พระจักรวรรดิวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ในห้อง 'ในหลวงกับพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 6 เมษายน 2010.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    [​IMG]

    พระจักรวรรดิวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    โดย พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์

    ประเทศไทยนับว่า เป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคนี้
    ที่ได้รับอารยธรรมมาจากประเทศอินเดียตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๓
    เชื่อกันว่า ในช่วงเวลานั้น กษัตริย์อินเดียแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
    ได้ทรงปกครองอาณาจักรสยามด้วย
    และในโอกาสนี้ พระพุทธศาสนา
    จึงได้แผ่เข้ามาในอาณาจักรสยามด้วยเช่นกัน

    อันสืบเนื่องมาจากอารยธรรมของอินเดีย
    และโดยอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
    ซึ่งมีลักษณะการบริหารประเทศโดยมีกษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ
    สืบเนื่องกันมาเป็นเวลานานตั้งแต่ก่อนพุทธกาล
    จึงได้มีการวาง รูปแบบการปกครองและการบริหารของประเทศ
    ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์ไว้ว่า

    "....กษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ ทรงมีอำนาจไม่มีขอบเขต....
    ทรงเป็นจอมทัพ...ทรงเป็นประมุขด้านตุลาการ....
    ทรงเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหลายในราชอาณาจักร......
    ...แต่กษัตริย์ก็มิได้ทรงเป็นราชาที่มีอำนาจเด็ดขาด


    เพราะในวันประกอบพิธีบรมราชาภิเษกนั้น
    กษัตริย์จะต้องปฏิญาณพระองค์ต่อประชาชนว่า

    ....ความสุขและสวัสดิภาพ
    ของกษัตริย์อยู่ที่ความสุขและสวัสดิภาพของประชาชน
    สวัสดิภาพของกษัตริย์มิได้อยู่ที่ความสุขของกษัตริย์เอง
    แต่อยู่ที่ ความสุขของประชาชนของกษัตริย์
    สิ่งใดที่ให้ความสุขแก่กษัตริย์จะถือว่าสิ่งนั้นมิใช่สิ่งดีงาม
    แต่สิ่งใดที่ให้ความสุขแก่ ประชาชนจะถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดีงาม....


    ข้อความดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่า

    "...กษัตริย์ไม่ทรงเป็นเผด็จการ
    ไม่ทรงทำ ความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน
    ไม่ทรงถือเอาผลประโยชน์จากประชาชนตามพระประสงค์
    หรือตามพระทัยของพระองค์เอง

    แต่กษัตริย์จะต้องทรงส่งเสริมสวัสดิการของประชาชน
    ต้องทรงถือพระองค์ว่า เป็นผู้รับใช้ของรัฐ...... "


    [​IMG]

    โดยหลักการบริหารประเทศดังกล่าว
    ได้มีการวางรูปแบบการปกครอง
    และการบริหารของประเทศในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์
    ไว้เป็นหลักใหญ่รวม ๓ ประการ คือ

    ๑. ทศพิธราชธรรม

    หรือ ธรรมะในการปกครองประเทศ ๑๐ ประการ
    เพื่อให้อาณาประชาราษฎร์ร่มเย็นเป็นสุขบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง

    ๒. ราชสังคหะ

    หรือ ธรรมะในการทำนุประชาราษฎร์ ๔ ประการ

    ๓. จักรวรรดิวัตร

    ธรรมะในการคุ้มครองป้องกันอาณาประชาราษฎร์

    ดังนั้น เจ้าชายองค์รัชทายาทซึ่งมีสิทธิ์ที่จะเสด็จขึ้นครองราชย์ในอนาคต
    แม้กระทั่ง เจ้าชายสิทธัตถะ แห่งราชวงศ์ศากยะ เมืองกบิลพัสดุ์
    ซึ่งต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    หรือเจ้าชายจันทรคุปต์ ซึ่งต่อมาได้เป็นพระเจ้าจันทรคุปต์
    แห่งราชวงศ์เมารยะ จอมจักรพรรดิ์ผู้ปลดแอก
    กู้ชาติอินเดียให้พ้นจากการปกครองของขนขาติกรีก
    เมื่อประมาณ ๓๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช

    (น่าเชื่อว่า เป็นพระองค์เดียวกับพระจันทโครพ
    ในนิยายจักร์ๆ วงศ์ๆ ของเรา....ผู้เขียน)


    จำเป็นจะต้องศึกษาวิชาต่างๆ ตั้งแต่พระชนมายุประมาณ ๑๖ ปี
    ทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติ ในห้วข้อ วิชาต่างๆ
    ซึ่งประกอบด้วย พระเวท และศิลปศาสตร์รวม ๑๘ อย่าง
    ได้แก่ การคำนวณ ภูมิศาสตร์ วิชาช่าง ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
    การค้าขาย การขับร้องดนตรี ดาราศาสตร์ การใช้ศรและธนู โบราณคดี
    แพทยศาสตร์ โหราศาสตร์ การแต่งกาพย์ ฉันท์ ตรรกวิทยา
    เกษตรศาสตร์และปศุสัตว์ พิชัยสงคราม เวทมนตร์คาถา
    การสื่อสารมวลชน และความรู้ทั่วไป

    สถาบันการศึกษาที่สำคัญในยุคนั้นแห่งหนี่ง
    ได้แก่ มหาวิทยาลัยตักศิลา
    โดยต้องใช้ระยะเวลาการศึกษาประมาณ ๘ ปี
    โดยรูปแบบการปกครองและการบริหารของประเทศที่ได้วางไว้

    [​IMG]

    เมื่อได้เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว
    กษัตริย์จะต้องทรงปฏิบัติพระองค์ในลักษณะธรรมราชา
    ปกครองอาณาประชาราษฎร์ให้กินดีอยู่ดี
    มีความร่มเย็นเป็นสุขบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง
    บนพื้นฐานที่มาจากความเชื่อว่า
    ราชาที่ดีจะต้องเป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งธรรมะสำคัญที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม"

    [​IMG]

    ทศพิธราชธรรม ประกอบด้วยหลักธรรม ๑๐ ประการ ได้แก่

    ๑. ทาน

    ได้แก่ การเอาใจใส่สงเคราะห์อนุเคราะห์
    ให้ประชาราษฎร์ได้รับประโยชน์สุข ความสะดวกปลอดภัย
    ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ เดือดร้อน ประสบทุกข์
    และให้การสนับสนุนแก่คนทำความดี

    พระมหากษัตริย์จะทรงยินดีจ่ายพระราชทานทรัพย์
    ให้แก่ข้าราชการ และราษฎรผู้สมควรได้รับในคราวที่ควร
    ตลอดจนถึงการจ่ายเพื่อบำรุงกิจการ
    เพื่อให้ความสะดวกและความสมบูรณ์แก่ราษฎร

    พระมหากษัตริย์จะทรงชุบเลี้ยงพระราชวงศานุวงศ์
    และข้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วยพระราชทาน
    พระราชทรัพย์ เครื่องอุปโภค บริโภคภัณฑ์ตามฐานะของบุคคลนั้น

    ซึ่งได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณ
    และพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่องค์การหรือ
    บุคคลและราษฎรเมื่อถึงคราวอันสมควร
    รวมทั้งพระราชทานจตุปัจจัยแก่บรรพชิตผู้ประกอบกิจพระศาสนา

    ๒. ศีล

    ได้แก่ การรักษาความสุจริต มีความประพฤติดีงาม
    สำรวมกายและวจีกรรม ประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดี
    ให้เป็นที่เคารพนับถือ ของประชาราษฎร์
    พระมหากษัตริย์จะทรงประพฤติพระจริยาทางพระกาย
    พระวาจาให้สะอาดตามขัตติยราชประเพณี
    ดำรงด้วยดีในเบญจศีลให้เป็น คุณสมบัติในพระองค์

    [​IMG]

    ๓. บริจาคะ

    ได้แก่ การเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
    และความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
    พระมหากษัตริย์จะทรงสละบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นต้น
    ตลอดจนความสุขส่วนพระองค์
    เพื่อความสุขของประชาราษฎร์ ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

    ๔. อาชชวะ

    ได้แก่ การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
    มีความจริงใจ ไม่หลอกลวงประชาชน
    พระมหากษัตริย์จะทรงมีพระราชอัธยาศัยประกอบด้วยความซื่อตรง
    ดำรงในความสัตย์สุจริตต่อพระราชสัมพันธมิตร
    และพระราชวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองพระบาททั้งปวง
    ไม่ทรงคิดลวงประทุษร้ายโดยอุบายอยุติธรรม

    ๕. มัททวะ

    ได้แก่ ความอ่อนโยน การมีอัธยาศัย
    พระมหากษัตริย์จะไม่ทรงดื้อดึงถือพระองค์ด้วยอำนาจมานะ
    เมื่อมีผู้กราบทูลตักเตือนโต้แย้งด้วยข้ออรรถข้อธรรมที่กอปรด้วยเหตุผล
    ซึ่งเป็นวิสัยของบัณฑิตชนกมิได้ทรงห้ามปรามคัดค้าน
    ทรงวิจารณ์โดยถ้วนถี่ ถ้าดีชอบก็ทรงยินดีด้วยแล้วทรงอนุวัตรตาม
    โดยไม่ทรงถือ พระองค์ด้วยอำนาจมานะ

    ไม่ทรงเย่อหยิ่งหยาบคายกระด้าง ถือพระองค์
    มีความงามสง่าอันเกิดจากท่วงทีกิริยาสุภาพนุ่มนวลละมุนละไม
    ทรงมีสัมมาคารวะอ่อนน้อมแก่ท่านผู้เจริญโดยวัย และเจริญโดยคุณ

    [​IMG]

    ๖. ตปะ

    ได้แก่ การบำเพ็ญความเพียรเพื่อกำจัดความเกียจคร้าน และความชั่ว

    พระมหากษัตริย์จะต้องทรงตั้งพระราชหฤทัยกำจัดความเกียจคร้าน
    และการทำผิดหน้าที่
    ทรงตั้งพระราชอุตสาหะวิริยภาพปฏิบัติ
    พระราชกรณียะให้เป็นไปด้วยดีเพื่อคุ้มครองไพร่ฟ้าประชาชน

    ๗. อักโกธะ

    ได้แก่ การไม่เกรี้ยวกราด
    ไม่วินิจฉัยข้อความและกระทำด้วยอำนาจความโกรธ มีเมตตาประจำใจ
    พระมหากษัตริย์จะต้องทรงมีพระราชอัธยาศัยประกอบด้วยพระเมตตา
    ไม่ทรงปรารถนาก่อเวรก่อภัยให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง
    ไม่ทรงพระพิโรธ ด้วยเหตุที่ไม่ควร

    แม้จะมีเหตุที่ให้ทรงพิโรธ ก็จะทรงข่มเสียให้สงบระงับอันตรธาน
    และทรงปฏิบัติด้วยพระสติรอบคอบ

    ๘. อวิหิงสา

    ได้แก่ การไม่หลงระเริงอำนาจ ไม่บีบคั้นกดขี่
    มีความกรุณา ไม่หาเหตุเบียดเบียนลงโทษอาชญา
    แก่ประชาราษฎร์ผู้ใดด้วย ความอาฆาตเกลียดชัง

    พระมหากษัตริย์จะต้องทรงมีพระราชอัธยาศัยกอปรด้วยพระมหากรุณา
    ไม่ทรงปรารถนาก่อโทษก่อทุกข์แก่ผู้หนึ่งผู้ใด
    ไม่ทรงเบียดเบียน พระราชวงศานุวงศ์
    ข้าทูลละอองธุลีพระบาทและอาณาประชาราษฎร์
    ให้ลำบากด้วยเหตุอันไม่ควร
    ทรงปกครองประชาชนดังบิดาปกครองบุตร

    [​IMG]

    ๙. ขันติ

    ได้แก่ การมีความอดทนอดกลั้นต่อความโลภ
    ความทะเยอทะยานอยากได้
    ความโกรธความพยาบาทมุ่งร้าย ความหลงงมงาย
    หลงระเริงในอารมณ์ที่ยั่วให้เกิด

    ไม่ยอมละทิ้งกิจกรณีย์ที่ได้บำเพ็ญโดยชอบธรรม
    พระมหากษัตริย์จะต้องทรงมีความอดทนอดกลั้น
    ไม่หวั่นไหวต่อความโลภ ความโกรธ
    และความหลงที่เกิดขึ้นเป็นอารมณ์

    ทรงมีความอดทน ต่อเวทนามีเย็นร้อนเป็นต้น
    ทรงอดทนต่อถ้อยคำที่มีผู้กล่าวชั่ว
    ทรงรักษาพระราชหฤทัยและพระอาการกายวาจาให้สงบเรียบร้อย

    ๑๐. อวิโรธนะ

    ได้แก่ การวางตนให้เป็นหลัก หนักแน่น
    สถิตมั่นในธรรมทั้งส่วนยุติธรรม และนิติธรรม
    ไม่มีความเอนเอียงหวั่นไหวเพราะ ถ้อยคำดีร้าย
    ลาภสักการะ อิฏฐารมณ์ หรือ อนิฏฐารมณ์
    โดยยึดถึงประโยชน์สุข และความดีงามของรัฐและราษฎร์เป็นที่ตั้ง

    [​IMG]

    พระมหากษัตริย์จะต้องทรงตั้งอยู่ในขัตติยประเพณี
    ไม่ทรงประพฤติผิดจากราชจรรยานุวัตร (ราชสังคหะ ๔ ประการ)
    นิติศาสตร์ และ ราชศาสตร์

    ทรงอุปถัมภ์ผู้ที่มีคุณความชอบ
    ทรงบำราบผู้ที่กระทำความผิดด้วยความเป็นธรรม
    ไม่ทรงอุปถัมภ์ยกย่อง หรือบำราบบุคคล ด้วยอำนาจอคติ ๔ ประการ
    คือ ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ และภยาคติ
    ไม่ทรงหวั่นไหว สะทกสะท้านต่อโลกธรรม

    ในส่วนที่เกี่ยวกับ ราชสังคหะ
    หรือ ประการการทำนุประชาราษฎร์ด้วยหลักธรรม ๔ นั้น จะประกอบด้วย

    [​IMG]

    ๑. สัสสเมธะ

    ได้แก่ พระปรีชาสามาถในเรื่องการบำรุงพืชพันธุ์ธัญญาหาร
    ส่งเสริมการเกษตรให้อุดมสมบูรณ์

    ๒. ปุริสเมธะ

    ได้แก่ พระปรีชาสามารถในการสงเคราะห์พระราชวงศานุวงศ์
    และข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ประกอบราชกิจ ฉลองพระคุณ
    ทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน
    โดยทรงยกย่องพระราชทานยศ ฐานันดร
    ตำแหน่งหน้าที่โดยสมควรแก่กุลวงศ์
    วิทยาสามารถ และความชอบในราชการ

    ๓. สัมมาปาสะ

    ได้แก่ พระปรีชาสามารถในการส่งเสริมอาชีพ
    เช่น การจัดทุนให้คนยากจนยืมไปสร้างตนในพาณิชยกรรม เกษตรกรรม
    หรือดำเนินกิจการต่างๆ
    เพื่อมิให้บังเกิดช่องว่างในสังคมมากจนเกินไป

    ๔. วาจาไปยะ

    ได้แก่ พระปรีชาสามารถในการใช้พระวาจาที่เตือนสติแก่ผู้ฟัง
    ทำให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ ดูดดื่มใจ
    รวมทั้งจะไม่ทรง รังเกียจเบื่อหน่ายที่จะทรงทักทายปราศรัย
    ถามไถ่ทุกข์สุขของประชาราษฎร์ทุกระดับชั้นโดยสมควรแก่ฐานะ

    [​IMG]


    [​IMG]

    และภาวะสำหรับ จักรวรรดิวัตร
    หรือธรรมะในการคุ้มครองป้องกันอาณาประชาราษฎร์นั้น
    มีรายละเอียดครอบคลุมเรื่องที่เกี่ยวกับการปกครอง ไว้อย่างกว้างขวาง
    ปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย
    มีแนวทางปฏิบัติของพระมหากษัตริย์สำคัญที่น่าสนใจดังนี้

    ๑. พระมหากษัตริย์จะต้องทรงพิทักษ์ชีวิตและทรัพย์สมบัติของประชาชน

    ๒. พระมหากษัตริย์จะต้องทรงอนุเคราะห์ประชาชนชาวนิคมชนบทโดยฐานานุรูป

    ทรงแนะนำชักนำให้ประชาชนตั้งอยู่ใน กุศลสุจริต
    ประกอบอาชีพโดยชอบธรรม

    หากชนใดไม่มีทรัพย์พอเลี้ยงชีพโดยสัมมาอาชีวะ
    จะพระราชทานทรัพย์เจือจาน
    ให้เลี้ยงชีพด้วยวิธีอันเหมาะสม ไม่ให้แสวงหาด้วยทุจริต

    ๓. พระมหากษัตริย์จะต้องทรงช่วยชีวิตของประชาชน
    ในยามเกิดภัยพิบัติจากธรรมชาติ


    เช่น อุทกภัย วาตภัย ดินฟ้าอากาศแห้งแล้ง
    ฝนไม่ตกตามฤดูกาล รวมทั้ง โรคระบาด อัคคีภัย

    [​IMG]

    ๔. พระมหากษัตริย์จะต้องทรงดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง

    ด้วยการผูกพระราชไมตรีสมานราชสัมพันธมิตรกับกษัตริย์
    ประธานาธิบดี และผู้นำของประเทศต่างๆ
    เพื่อให้ราชอาณาจักรอยู่รอดปลอดภัย

    ๕. พระมหากษัตริย์จะต้องทรงส่งเสริมศิลปะและการศึกษา
    รวมทั้งสุขภาพ อนามัย สุขาภิบาล


    ทรงให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ ปลดเปลื้องภาระคนยากจน
    ตลอดจนการกระทำอันเป็นบุญกุศลซึ่งได้แก่
    การสร้างโรงพยาบาล บ้านพักคนชรา คนกำพร้า คนอนาถา เป็นต้น

    [​IMG]

    ๖. พระมหากษัตริย์จะต้องทรงอุปการะสมณชีพราหมณ์ผู้มีศีลประพฤติชอบ

    โดยพระราชทานไทยธรรม บริขารเกื้อกูลแก่ ธรรมปฏิบัติ ฯลฯ

    หากได้นำพระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ได้ทรงปฏิบัติต่อประเทศชาติ ต่อส่วนรวม
    ต่อพสกนิกรประชาชนคนไทย มาโดยตลอด

    นับตั้งแต่วันที่ได้เสด็จขึ้นครองราชย์มาอย่างต่อเนื่อง
    เป็นเวลานานเกินกว่าครึ่งศตวรรษ
    มาเปรียบเทียบกับหลักการปกครอง
    และบริหารประเทศตามตำราอรรถศาสตร์
    ซึ่งถือเป็นตำรามาตรฐานในการปกครอง
    และบริหารประเทศตามอำนาจหน้าที่ของพระมหากษัตริย์
    มาแต่โบราณกาลดังกล่าวข้างต้น

    [​IMG]

    จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติตามแนวทางเหล่านั้นมาโดยตลอด
    โดยไม่มีขาดตกบกพร่องจากเลยแม้แต่ข้อเดียว


    ถึงแม้ว่า พระองค์ท่านจะมิได้ทรงมีโอกาสเข้ารับการศึกษา
    ตามหลักสูตรที่ได้กำหนดไว้ในตำรา อรรถศาสตร์
    ดังกล่าวเช่นเดียวกับเจ้าชายรัชทายาท
    อันเนื่องมาจากกาลเวลา และสภาพสังคมที่ได้ปลี่ยนแปลงไป
    กับการที่ต้องเสด็จขึ้น ครองราชย์โดยกระทันหัน
    ด้วยเหตุการณ์ที่มิได้คาดคิด

    [​IMG]

    ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่า
    ถึงความเป็นพหูสูตของพระองค์ท่าน

    ไม่เพียงเท่านั้น ประชาชนคนไทยนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีโชคดี
    ที่พระมหากษัตราธิราชซึ่งทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรม
    ทรงมีพระปรีชาสามารถ
    ทรงมีพระราชอัจฉริยภาพสูงส่ง
    ทรงมีความเป็นพหูสูต ในสาขาวิชาการต่างๆ
    และทรงมีพระมหากรุณาแก่พวกเราอย่างมากมายเหลือคณานับ


    [​IMG]

    ดังนั้นในวโรกาสมหามงคลแห่งพิธีการเฉลิมฉลองพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา
    และพระราชพิธีฉัตรมงคลเวียนมาบรรจบอีกครั้งในปี ๒๕๕๑

    จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พวกเราทุกคนจะได้ร่วมกันตั้งสัจจบารมี
    กำหนดจิตอธิษฐานถวายพระพรให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
    เป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรประชาชนคนไทยตลอดไป


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    (ที่มา : พระจักรวรรดิวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    โดย พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์ : เอกสารอ้างอิง "ประวัติศาสตร์เอเชียใต้ยุคโบราณ",
    ดนัย ไชยโยธา, บริษัทอักษรเจริญทัศน์ฯ)

    ::
     

แชร์หน้านี้

Loading...