ฝันเห้นเเต่เรื่องร้ายๆฟังทางนี้...อานิสงส์การแผ่เมตตา

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร, 6 เมษายน 2013.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    # อานิสงส์การแผ่เมตตา #

    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงตรัสปรารภเมตตาสูตรว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ของการแผ่เมตตามี ๑๑ ประการ คือ

    ๑. หลับเป็นสุข
    ๒. ตื่นเป็นสุข
    ๓. ไม่ฝันร้าย
    ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
    ๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
    ๖. เทวดาย่อมรักษา
    ๗. ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ไม่ล่วงเกิน
    ๘. จิตได้สมาธิเร็ว
    ๙. สีหน้าผ่องใส
    ๑๐. ไม่หลงตาย
    ๑๑. เมื่อยังไม่บรรลุ ธรรม ย่อมเข้าถึงพรหมโลกชั้นสูง
    ภิกษุทั้งหลาย พึงเจริญเมตตาไปในสัตว์ทุกชนิดโดยเจาะจงและไม่เจาะจง พึงเจริญ กรุณา มุทิตา อุเบกขา แม้ไม่ได้มรรคผลก็ยังเข้าถึงพรหมโลกได้"
    (อรกชาดก.... พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑)
     
  2. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    เหตุที่ทำให้เกิดการฝันร้าย หรือเกิดความฝันต่างๆนั้น "สุบินวิถี" เกิดเฉพาะบุคคลที่นอนหลับไม่สนิท เท่านั้น บุคคลที่หลับสนิทหรือตื่นปกติย่อมไม่มี

    เหตุแห่งความฝันมี ๔ ประการ
    ๑. ปุพพนิมิต (กรรมนิมิต) เป็นฝันที่เป็นความจริงแน่นอน
    ๒. จิตอาวรณ์ คือ จิตได้หน่วงอารมณ์ใดไว้ แล้วเกิดความฝันขึ้น ส่วนมากไม่เป็นความจริง
    ๓. เทพสังหรณ์ คือเทวดามาดลให้ฝัน เป็นความจริงหรือไม่ต้องดูว่าเทวดาเป็นสัมมาทิฏฐิหรือไม่
    ๔. ธาตุกำเริบ คือ อาหารย่อยไม่สมบูรณ์ทำให้ฝัน ฝันไม่เป็นจริง

    เรียงลำดับสาเหตุที่ฝันจากมากไปหาน้อยคือ
    ธาตุกำเริบ > จิตอาวรณ์ > เทพสังหรณ์ > ปุพพนิมิต

    สุบินวิถีมี ๑๒ วิถี

    คัดลอกจากหนังสือเรียน ปริจเฉทที่ ๔ วิถีสังคหะ ชั้นมัชฌิมอาภิธรรมิกะตรี เรียบเรียงโดย พระอาจารย์ วรฤทธิ์ โอภาโส ครับ
     
  3. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า...
    “ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนปัญญาอ่อนที่ไปนั่งดูดาวดูเดือนอยู่
    ประโยชน์มันเป็นฤกษ์อยู่ในตัวแล้ว
    ดวงดาวในท้องฟ้าจะช่วยอะไรได้”.........
    .....พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรตอนหนึ่งว่า..
    “ผู้ใดประพฤติสุจริตตอนเช้า ตอนเช้าเป็นฤกษ์ดียามดี
    ประพฤติสุจริตตอนสาย ตอนสายเป็นฤกษ์ดียามดี
    ประพฤติสุจริตตอนกลางวัน ตอนกลางวันเป็นฤกษ์ดียามดี
    กลางคืนประพฤติสุจริต กลางคืนเป็นฤกษ์ดียามดี
    ความดีของวันเวลานั้น ไม่ได้อยู่ที่ดวงดาวในท้องฟ้า”
    ...ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าไม่ได้ยึดถืออย่างนั้น คือไม่ถือว่าเวลานั้นดี,เวลานั้นไม่ดี
    เราถือว่า ทำดีเวลาไหน มันก็ดีเวลานั้น, ทำชั่วเวลาไหน มันก็ชั่วเวลานั้น
    ดี-ชั่วมันอยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่เวลา
    ......ชาวพุทธเราถือว่า ประโยชน์นั้นแหล่ะคือสิ่งที่ควรกระทำเป็นฤกษ์
    หมายความว่าเป็นเรื่องที่เราจะต้องกระทำอย่าไปมัวนั่งดูดาวดูเดือน ประโยชน์มันจะผ่านไปเสีย
    ประโยชน์นั้นแหล่ะเป็นฤกษ์อยู่ในตัวเรา จะทำอะไรก็รีบทำเสีย อย่าชักช้า
    พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดในเรื่องนี้..........


    ....เราต้องหัดมองอะไรๆด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยตาเนื้อหรือมังสะจักษุอย่างเดียว
    ต้องมองด้วยปัญญา คือปัญญาจักษุด้วย มองด้วย”ตาใน”ไม่ใช่”ตานอก”
    มองพิจารณาสิ่งนั้นๆให้เห็นชัดตามสภาพที่เป็นจริง

    (ที่มา: เลิกเชื่อไร้เหตุผล พึ่งตนและพึ่งธรรมะ ของหลวงพ่อปํญญานันทะ ภิกขุ)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...