ผลบุญที่ส่งผลไปเกิดในสวรรค์แต่ละชั้น ตอน ๒ ท่องสวรรค์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย พระวัดหัวเขา, 10 สิงหาคม 2009.

  1. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    [​IMG]

    ท่องสวรรค์


    (ผลบุญที่ส่งผลไปเกิดในสวรรค์แต่ละชั้น ตอน ๒) <O:p</O:p

    <O:p
    เราได้ทราบเรื่อง บุญที่ส่งผลให้เกิดในสวรรค์แต่ละชั้นมาแล้ว จากกระทู้ที่แล้วคือ……

    <O:p</O:p
    http://palungjit.org/threads/ผลบุญที่ส่งผลไปเกิดในสวรรค์แต่ละชั้น.199948/<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    ในเรื่องการเกิดพระพุทธเจ้าตรัสว่า สรรพสิ่งทั้งหลายมีกำเนิดจากที่ ๔ สถาน หรือที่เรียกกันว่า "กำเนิด ๔ " เช่น เกิดในครรภ์ ๑ เกิดในไข่ ๑ เกิดในเถ้าไคล ๑ เกิดผุดขึ้น ๑ ในที่นี้เราจะพูดถึงการเกิดแบบผุดขึ้นหรือที่เรียกกันว่า "โอปปาติกะ" นั้นเอง.......


    สำหรับการเกิดเป็นเทพบุตรหรือเทพธิดาบนสวรรค์นั้น เป็นการเกิดแบบ “โอปปาติกะ” จะต้องเกิดในทันที เป็นตัวเป็นตนในทันที กล่าวคือ ตายปุ๊บเกิดปั๊บ เหมือนหลับแล้วก็ตื่นขึ้นกลางวิมาน อายุก็อยู่รุ่นหนุ่มรุ่นสาว เทพบุตรมีอายุประมาณ ๒๐ ปี ส่วนเทพธิดา มีอายุประมาณ ๑๖ ปี จึงมีคำกล่าวว่า “เทวดาไม่มีแก่” <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ส่วนอายุของเทวดาก็ยืนยาวมากกว่ามนุษย์มาก เช่น ๑ วันของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ แต่ใช่ว่าเทวดานั้นจะอายุเท่ากันหมด บางองค์อาจไม่ยืนยาวก็ได้ แต่อาจมีเหตุให้จุติก่อน หรือตายก่อนหรือเคลื่อนก่อนก็ได้ ก็เหมือนกับมนุษย์บางคนก็อายุสั้น ตายเร็ว หรือบางคนก็อายุยืน หรือตายช้า หรือตายตามอายุขัย.... เทวดาก็เช่นกัน.....
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เหตุที่ทำให้เทวดาจุติ<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    เหตุที่ทำให้เทวดาจุติหรือเคลื่อนนั้น คำว่า “จุติ” หรือการเคลื่อน เกิดจาก.. สิ้นอายุ... สิ้นบุญ... สิ้นอาหาร.. และมีความโกรธ...

    การสิ้นอายุ ก็คือ เทวดาชั้นนั้น มีอายุ ๒๐๐๐ ปีทิพย์ เมื่อครบตามอายุแล้ว ก็จุติ หรือเคลื่อนหรือตายนั้นเอง.... การจุติของเทวดาจะไม่ทิ้งร่างกายไว้ เมื่อตายร่างกายก็จะหายไป.....


    การสิ้นบุญ คือ อายุยังไม่สิ้นแต่หมดบุญเหมือนรถวิ่งไป เครื่องรถยังดี แต่น้ำมันหมดก่อนรถจึงตายกลางทาง ไม่สามารถวิ่งต่อไปได้...


    การสิ้นอาหาร เมื่อเทวดาองค์ใด เมื่ออยู่ในสวรรค์แล้ว แต่กลับบริโภค แต่กามคุณมาก จนไม่เสวยหรือกินอาหาร แม้อาหารจะเป็นทิพย์ก็ไม่ย่อมกิน... ในที่สุดก็จุติเคลื่อนหรือตาย..
    <O:p</O:p
    การจุติเพราะมีความโกรธ คือ เทพบางองค์มีความโกรธเป็นเจ้าเรือน เห็นเทพองค์อื่น มีสมบัติมากก็ริษยา สวยกว่าก็ริษยา หรือมีศักดิ์สูงกว่าก็ริษยา คือกล่าวว่า ขอให้เห็นเทพองค์ไหนเหนือกว่า ตนเป็นอันโกรธ ริษยาทุกทีไป.. เมื่อมีความโกรธเข้ามา ก็ทำให้อายุสั้น แม้ในปัจจุบัน เมื่อโกรธบ่อยๆก็ตายไวเหมือนกัน....

    ที่นี้...เรามาสวรรค์แต่ละชั้นว่า มีลักษณะเป็นอย่างไร
    ;aa35


    สวรรค์จาตุมหาราชมหาราช<O:p</O:p


    <O:p</O:p


    สวรรค์ชั้นจาตุมหาราช เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๑ ประกอบไปด้วย ๔ นคร อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ แต่ลอยอยู่ในอากาศ..... มีผู้ปกครองอยู่เรียกว่า "ท้าวมหาราช"....<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ทิศตะวันออกมีท้าวมหาราชชื่อ "ท้าวธตรฐ" ..... ทิศใต้มีท้าวมหาราชชื่อ "ท้าววิรุฬหก".... ทิศตะวันตกมีท้าวมหาราชชื่อ "ท้าววิรูปักษ์".... ทิศเหนือมีท้าวมหาราชชื่อ "ท้าวเวสสุวัณ"หรือเรียกว่า "ท้าวกุเวร" ก็ได้......


    ใน ๔ นครนั้น มีอาเขตกว้างใหญ่ มีกำแพงทองทิพย์ล้อมรอบ ล้วนประดับไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ บานประตูประดับด้วยแก้ววิเศษ เหนือกำแพง แต่ละประตูมีปราสาททอง ภายในกำแพงเมือง มีปราสาทแก้วมากมาย ตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พื้นเป็นทองอ่อนนุ่น เมื่อเหยียบย่างลงไป เมื่อยกเท้าขึ้นพื้นที่ก้าวเหยียบก็จะยกตัวขึ้นเหมือนเดิม (พื้นคล้ายพรมในปัจจุบัน)

    ในการปกครองในแต่ละนครนั้นก็มีจอมเทพทั้ง ๔ เป็นผู้ดูแล ดังนี้...

    >> นครด้านตะวันออก มีท้าวมหาราชธตรฐ เป็นผู้ปกครองอยู่ และยังปกครองพวกคนธรรพ์ ซึ่งจัดเป็นเทพพวกหนึ่งที่ขึ้นอยู่ในนครแห่งนี้ ตังนั้นท้าวธตรฐจึงได้ชื่อว่า"จอมคนธรรพ์"

    >> นครด้านทิศใต้ มีท้าวมหาราชวิรุฬหก เป็นผู้ปกครองอยู่ โดยมีหน้าที่ปกครองพวกกุมภัณฑ์ จัดเป็นกายทิพย์พวกหนึ่ง ดังนั้น ท้าวมหาราชวิรุฬหกจึงได้ชื่อว่า"จอมกุมภัณฑ์"

    >> นครด้านทิศตะวันตก มีท้าวมหาราชวิรูปักษ์ เป็นผู้ปกครอง และยังทรงปกครองหมู่นาคด้วย จัดเป็นพวกกายทิพย์ (ในตำนานบอกว่าพวกนาคมีฤทธิ์มาก) ดังนั้น ท้าวมหาราชวิรุปักษ์จึงได้ชื่อว่า"จอมนาค"

    >> นครด้านทิศเหนือ มีท้าวมหาราชเวสสุวัณ เป็นผู้ปกครองอยู่ และนอกจากปกครองเหล่าเทพเทวดาแล้ว ท่านยังต้องปกครองพวกยักษ์ ดังนั้น ท้าวมหาราชเวสสุวัณจึงได้ชื่อว่า "ท้าวกุเวร" อีกด้วย.... <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    มีเรื่องกล่าวว่า พระเจ้าพิมพิสาร ก็เกิดอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช เช่นกัน เนื่องจากท่านทราบว่า ยักษ์ เป็นผู้มีฤทธิ์มาก จึงการอธิษฐานมาเกิดเป็นยักษ์ในสวรรค์ชั้นนี้

    สำหรับคำว่า “ยักษ์” ในที่นี้หมายถึง"ผู้ที่ควรบูชา ไม่ใช่หมายถึง ยักษ์ที่ดุร้ายเสมอไป ในนครแห่งท้าวเวสสุวัณนั้น... ในจำพวกยักษ์ที่มีฤทธิ์มากนี้ บางพวกมีธรรมะ บางพวกไม่มีธรรมะ หรือไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา...

    เมื่อกล่าวถึงอายุของเทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชนั้น..ปรากฏในตำราว่า.. มีอายุยืน ๕๐๐ ปีทิพย์ ซึ่งเท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์ ในวันหนึ่งคืนหนึ่งของสวรรค์ชั้นนี้เท่ากับ ๕๐ ปีในเวลาของมนุษย์......

    จบเรื่องสวรรค์ชั้นที่ ๑ ... <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2009
  2. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    สวรรค์ชั้นดาวดึงส์...ว่ากันว่า เป็นที่อยู่ของพระอินทร์ หรือท้าวสักกะเทวราช เป็นประธาน คำว่า “ดาวดึงส์” หรือ “ตาวติงสะ” มีความหมายแปลว่า "สามสิบสาม" คือ พวกเทพ ๓๓ องค์ที่อุบัติขึ้นบนสวรรค์ชั้นนี้...

    ตามตำราบอกว่าตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เป็นเทพนครที่กว้างใหญ่ไพศาลอยู่ในอากาศ เป็นวิมานเป็นทิพย์ มีกำแพงล้อมรอบ ประด้วยแก้วอยู่ ๑๐๐ ประตู มีปราสาทที่สูงมากเด่นชัดอยู่กลางนครประดับไปด้วยแก้ว ๗ ประการชื่อ "เวชยันต์"

    เวชยันต์ปราสาทนั้น เป็นปราสาทที่ยิ่งใหญ่ แม้พระอินทร์เองก็ภูมิใจในปราสาทของตน....ในเรื่องความใหญ่โตกว้างขวาง.....

    ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั้น มีเจดีย์สำคัญอยู่แห่งหนึ่งชื่อ "พระจุฬามณี" มีความสูง ๘ หมื่นวาประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ มีกำแพงทองคำล้อมรอบอยู่สี่ทิศ ยาวทิศละหนึ่งแสนหกหมื่นวา เป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุคือ “พระมวยผมของพระพุทธเจ้า” ในครั้งแรกเริ่มสร้างเจดีย์องค์นี้

    ต่อมาก็อัญเชิญ “พระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาข้างบน” มาบรรจุไว้ พระเขี้ยวแก้วนั้นพระอินทร์ได้อัญเชิญมาจากโฑณพราหมณ์ที่แบ่งเก็บไว้บนมวยผมของตนเองขณะที่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุแก่บรรดากษัตริย์ต่าง ๆ ทั้ง ๘ เมือง หลังจากพระพุทธเจ้าทรงเสด็จปรินิพพาน

    พระอินทร์ทรงเห็นว่า เป็นที่ ๆ ไม่ควรให้อยู่ในเมืองมนุษย์ จึงได้อัญเชิญนำมาบรรจุไว้เพื่อบูชาในสวรรค์ชั้นนี้..

    <O:pแต่ความจริงแล้ว เหล่าปวงเทพเทวดาในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ล้วนมากราบไหว้บูชาทั้งสิ้น...แม้แต่เทพเทวดาที่อยู่ชั้นจาตุมหาราชก็ขึ้นมาบูชาเช่นกัน เพราะเทวดาชั้นจาตุมหาราชเป็นผู้เฝ้าประตูสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่า ในท้าวมหาราชทั้งสี่นั้นล้วนเป็นทหารเอกที่เฝ้าประตูทั้งสี่ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ดังนั้น จึงสามารถขึ้นมาได้.....

    ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีอุทยานสวรรค์อยู่สี่แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในทิศทั้งสี่เป็นสวนดอกไม้ในสวนสวรรค์ที่สวยงามมาก และอยู่ประจำทิศต่าง ๆ มีชื่อที่ไพเราะ เช่น ...

    “นันทวัน” ตั้งอยู่ทิศตะวันออก... “จิตรลดา” ตั้งอยู่ทิศตะวันตก... “มิสสกวัน”ตั้งอยู่ทิศเหนือ...และ “ปารุสกวัน” ตั้งอยู่ทิศใต้ จัดเป็นที่หน้ารื่นรมย์ สง่างาม สวนสวรรค์นั้น ใช่มีแต่สวนสวรรค์ในชั้นดาวดึงส์เท่านั้น ในสวรรค์ทุกชั้นก็มีสวนสวรรค์เช่นกัน....


    มากล่าวถึงต้นไม้สำคัญในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่กลางสวนปุณฑริกวัน มีไม้ทองหลางใหญ่ต้นหนึ่ง เป็นไม้ทิพย์ชื่อว่า “ปาริชาต” ต้นปาริชาตนี้ จะมีดอกบานครั้งหนึ่ง ต่อเมื่อครบหนึ่งร้อยปี ขณะที่ดอกปาริชาตนี้บาน จะมีรัศมีเรืองไปไกลถึงแปดแสนวา และเมื่อลมพัดไปทางทิศใด ย่อมมีกลิ่นหอมฟุ้งไปทิศนั้นไกลแสนไกล กลิ่นหอมนั้นจะตลบอบอวลอยู่ทั่วบริเวณสวรรค์ชั้นนี้นานเท่านาน

    ที่ใต้ต้นปาริชาตนี้เอง...เป็นที่ประทับแห่งพระอินทร์หรือ "องค์อัมรินทราธิราช"แท่นอาสนะเป็นแก้วสีแดงดังดอกชบา.. ชื่อ "บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์"

    ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาที่ไปอุบัติเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นเทพบุตรชื่อ "สันตุสิต" นั้น พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปเพียงชั้นดาวดึงส์ แล้วตรัสให้พุทธมารดาลงมาหา... พระพุทธเจ้าทรงประทับนั้นบนแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี้เอง และทรงแสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาและเหล่าเทวดาทั้งหลาย...

    ในอุทยานแห่งนี้ ยังมีธรรมศาลาชื่อว่า"สุธรรมาเทวสภา" จัดเป็นที่ประชุมเหล่าเทพเทวาในวันธรรมสวนะ ธรรมศาลาแห่งนี้ ก็อยู่ใกล้ ๆ ต้นปาริชาตนั้นเอง ภายในศาลา พื้นทำด้วยแก้วผลึก ประดับด้วยรัตนะเจ็ดประการ มีธรรมาสน์แก้วอยู่เบื้องหน้ารองลงมา ก็เป็นอาสนะทิพย์ของพระอินทร์ เรียงรายตามลำดับไป.... ก็เป็นที่ประทับของเหล่าพระอินทร์อีก ๓๒ อาสนะ..รวมมีอยู่ ๓๓ อาสน์ที่เป็นเทพมเหศักดิ์ และรองลงมาก็มีอาสนะของเทพชั้นรองลงมาอีกมาก..... <O:p</O:p

    ทุกวันธรรมสวนะ จะมีการแสดงธรรมโดยเทวดาที่มีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนา หรือเป็นพระโพธิสัตว์ขึ้นไปแสดงธรรม แต่ในบางครั้งพระอินทร์ก็แสดงธรรมเอง.....

    ในความเชื่อของคนนั้นในเรื่องของสวรรค์...บ้างก็เชื่อ บ้างก็ไม่เชื่อ...แม้จะเคยอ่านหรือฟังพูดคุยมานับครั้ง แต่ก็คงยังสงสัยอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์ เป็นการแสดงความไว้และยืนยันไว้ก็ตาม แต่ก็ยังมีความสงสัยอยู่ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในยุคของพระพุทธเจ้าเองก็มีคนสงสัยเช่นกัน ในตำราที่บันทึกเรื่องราวไว้ว่า... พระพุทธเจ้าของเราท่านเคยเสวยชาติอุบัติเป็นท้าวสักกะนานถึง ๓๖ ครั้ง ติดต่อกันในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเป็นท้าวมหาพรหมก็เคย เป็นอยู่ในพรหมโลกชั้นอาภัสสระ.. หรืออาภัสรา...

    ดังนั้นเราชาวพุทธ ต้องเชื่อโดยอาศัยหลัก"ตถาคตโพธิสัทธา" คือ เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า... เหมือนเราเชื่อหมอ. แม้เรายังไม่เคยเห็นเชื้อโรค แต่เราก็เชื่อว่ามีตัวเชื้อโรคอยู่ ดังนี้.....

    <O:p</O:p
     
  3. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    เรื่องราวของท่านท้าวสักกะเทวราช<O:p</O:p


    พระอินทร์ หรือท้าวสักกะเทวราช เมื่ออุบัติขึ้นในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว .....ก็จะมีนครใหญ่เกิดขึ้นมีประตูพันประตู ประดับด้วยอุทยานและสระโบกขรณี มีปราสาทชื่อว่า"เวชยันต์" สูง ๗๐๐ โยชน์ ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ประดับด้วยธงทั้งหลาย สูง ๓๐๐ โยชน์ ผุดขึ้นเองด้วยผลแห่งศาลาในท่ามกลางนครแห่งนั้น.. คันเป็นทอง มีธงเป็นแก้วมณี ที่ต้นเป็นแก้วมณีมีธงเป็นทอง ที่คันเป็นแก้วประพาฬมีธงเป็นแก้วมุกดา ที่คันเป็นแก้วมุกดามีธงเป็นแก้วประพาฬ.. <O:p</O:p

    ท้าวสักกะเมื่ออดีตชาติ ชื่อ มาฆมานพ และเพื่อนอีก ๓๒ คน เคยสร้างศาลาที่พักให้คนเดินทางได้พักในขณะเดินทาง... เป็นที่พักคนป่วย... เป็นที่พักคนจน...เป็นที่พักคนรวย(พวกอิสระชนคนใหญ่คนโต)
    <O:p</O:p

    ท้าวสักกะเทวราขนั้น มีชื่ออยู่หลายชื่อที่เราคงเคยได้ยินมาว่า..เช่น บางองค์มีชื่อเรียกว่า"ท้าวปุรินททะ" บางองค์ชื่อ"ท้าวสักกะ" บางองค์ชื่อ"ท้าวมฆวาน" บางองค์ชื่อ"ท้าววาสวะ"เป็นต้น..

    ตามที่พุทธเจ้าตรัสไว้มี ๗ ชื่อด้วยกันนี้ มีชื่อเรียกต่างกันนั้น เพราะเหตุการณ์กระทำในขณะที่เป็นมนุษย์นั้นไม่เหมือนกัน เช่น
    <O:p</O:p

    - ท้าววาสวะนั้นได้สร้างเหตุในการให้ที่พักอาศัย.
    <O:p</O:p
    - ท้าวสักกะนั้นก็ได้สร้างเหตุ คือ เป็นผู้ให้ทานโดยเคารพ
    <O:p</O:p
    - ท้าวมฆวานนั้นได้ทำเหตุในการสร้างทางและที่พักให้ผู้เดินทางได้รับความสะดวกสบาย และยังมีที่ให้พักข้างทางด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    บุคคลจะเกิดเป็นท้าวสักกะได้นั้นต้องกระทำ"วัตตบท" ๗ อย่าง (ความประพฤติเป็นประจำไม่ประมาทในความประพฤติ ๗ อย่างนี้) กล่าวคือ...

    ๑. เลี้ยงดูมารดาบิดา<O:p</O:p
    ๒. อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล....<O:p</O:p
    ๓. กล่าววาจานุ่มนวลสุภาพ....<O:p</O:p
    ๔.ไม่กล่าววาจาส่อเสียด.....<O:p</O:p
    ๕.ไม่ตระหนี่มีใจในการบริจาคทาน.....<O:p</O:p
    ๖. มีวาจาสัจจริงใจ.... <O:p</O:p
    ๗.ไม่โกรธ แม้โกรธก็ระงับได้...

    </O:p
    คุณธรรมทั้ง ๗ ข้อนี้ ต้องปฏิบัติไปให้ได้ตลอดชีวิต....

    ท้าวสักกะเทวราช องค์ปัจจุบันนี้ อยู่มาตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าของเราจะเกิด ตามตำราว่า พระพุทธเจ้าได้พบท้าวสักกะในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และท้าวสักกะนั้นได้สำเร็จเป็นโสดาบัน ตามตำราบอกว่า ท้าวสักกะเทวราชนั้น เมื่อสำเร็จเป็นโสดาบันแล้วจะกลับเป็นท้าวสักกะหนุ่มขึ้นทันที..... <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สำหรับเรื่องบุพกรรมของท้าวสักกะเทวราช และมานพทั้ง ๓๒ นั้น ของดไว้ เนื่องจากเคยมีผู้นำเสนอมาหลายครั้ง ขอกล่าวถึงเรื่อง"ช้างเอราวัณ"
    <O:p</O:p
    ตามปกติในสวรรค์นั้นจะไม่มีสัตว์เดรัจฉาน สำหรับช้างเอราวัณนั้น เป็นช้างจำแลงโดยเทพบุตร ในอดีตชาติ ก็คือช้างที่พระราชาสั่งให้ทำร้ายมาณพทั้ง ๓๓ คน (หมายถึง ท่านมาฆมาณพ หรือพระอินทร์ และเพื่อนทั้ง ๓๒ คน) <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในครั้งมาณพทั้ง ๓๓ คน เมื่อครั้งถูกจับ เพราะเหตุความไม่เข้าใจกัน ในเรื่องการทำดี การทำชั่ว คนดีเห็นการทำดีว่ามีผล คนชั่วเห็นการทำชั่วว่าเป็นสิ่งดี เมื่อเห็นคนดีทำดี ก็มีความคิดว่า สิ่งที่เห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ.... <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในตอนนั้นช้างนั้น กลับไม่ทำร้ายมาณพทั้ง ๓๓ คน เป็นเหตุให้พระราชาต้องสอบสวนเรื่องราวใหญ่ จนรู้ความจริงในสิ่งดีงามที่มาณพ ๓๓ คนก็สั่งให้ปล่อยตัว และยังมอบทรัพย์ มอบหน้าที่การปกครองให้.. ยังแถมช้างให้เป็นรางวัลในความดีงามอีก... <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้น ช้างตัวนั้น ก็ได้เจ้านายดี เมื่อเจ้านายทั้ง ๓๓ คนคิดสร้างศาลา และช้าง ก็เป็นแรงงาน ช่วยลากไม้ เพื่อนำมาทำศาลาและเป็นพาหนะให้มาณพทั้ง ๓๓ คนขี่ไปไหนมาไหนตลอด..... เมื่อตายก็ไปเกิดในสวรรค์ด้วยผลแห่งบุญนั้น .......

    เมื่อช้างไปเกิดเป็น เทพบุตรก็ได้ชื่อว่า "เอราวัณ" มี่หน้าที่จำแลงตัว เป็นช้างให้ท้าวสักกะทรงขี่ไปไหนมาไหน...

    ตามตำนานกล่าวว่า ตัวสูงใหญ่มาก ช้างเทพบุตรนั้น ได้นิรมิตกระพอง ๓๓ กระพอง (หมายถึง ส่วนที่นูนเป็นปุ่ม ๒ ข้างหัวช้าง หรือกระหม่อมช้าง) เพื่อประโยชน์แก่เทพบุตรทั้ง ๓๓ องค์ ในกระพองเหล่านั้น กระพองหนึ่ง ๆ มีส่วนกลมประมาณ ๓ คาวุตุ (๑ คาวุต คือ ระยะทางที่สามารถได้ยินเสียงวัวร้องคือห่าง ๑๐๐ เฑส้น)..... ข่ายแห่งกระดิ่ง เมื่อถูกลมอ่อนพัดแล้ว ก็มีเสียงกังวานปานดังเสียงดนตรีทิพย์ ประสานเสียงด้วยเสียงดนตรีมีองค์ ๕ ห้อยอยู่โดยรอบ... บัลลังก์แก้วประมาณ ๑ โยชน์ เป็นแท่นที่จัดไว้ดีแล้วสำหรับท้าวสักกะ ในท่ามกลางมณฑปนั้น..บนบัลลังก์ในกระพองหนึ่งๆ ช้างเทพบุตรนิรมิตกระพองละ ๗ วา... ในงาเหล่านั้น งาหนึ่งๆยาวประมาณ ๕๐ โยชน์

    ส่วนในงามีสระโบกขรณีงาละ ๗ สระ แต่ละสระมีดอกบัวสระละ ๗ กอ ในกอหนึ่งมีดอกบัว ๗ ดอก ในดอกหนึ่ง ๆ มีกลีบดอกละ ๗ กลีบ ในกลีบหนึ่ง ๆ มีนางเทพธิดาฟ้อนรำอยู่ ๗ นาง จัดเป็นงานมหรสพอันยิ่งใหญ่มีอยู่บนงาช้างในเนื้อที่ ๕๐ โยชน์อยู่โดยรอบอย่างนี้.....<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    นี้เป็นความยิ่งใหญ่ของช้างเอราวัณ.... สัตว์ทำดียังได้ไปสวรรค์...

    แล้วเราทำดีแล้วหรือยัง.... หากยังไม่ทำก็ต้องเร่งทำ ..จงเพียรสร้างความดีเพื่อหนีทุกข์... เพื่อความสุขข้างหน้าพาสดใส จิตสงบจิตสว่างด้วยความดีที่ทำไป..... สำเร็จได้ด้วยกรรมดีที่ทำมา....... <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    นอกจากนี้ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ยังมีเจดีย์ทีสำคัญมากอยู่องค์หนึ่ง ชื่อว่า “พระจุฬามณีเจดีย์” พระเจดีย์องค์นี้มีชื่อเรียกกันหลายอย่าง... บางท่านเรียกพระเกศธาตุเจดีย์.. บางท่านก็เรียกรวมเป็น..พระเกศธาตุจุฬามณี.. <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระจุฬามณีเจดีย์นี้ เป็นทีกราบไหว้ของเทวดาทุก ๆ วัน แม้เทวดาในสวรรค์ชั้นอื่นๆก็ลงมากราบไหว้เช่นกัน เราจะเห็นได้ว่า การทำดีไม่ใช่ มีแต่โลกมนุษย์ แม้โลกสวรรค์ก็ทำดี และอาจทำดีมากกว่าเราชาวมนุษย์เสียอีก... ในสวรรค์ก็มีการรักษาศีล และก็บูชาสิ่งที่ควรบูชาเช่น พระจุฬามณี เป็นต้น

    ในพระจุฬามณีเจดีย์นั้นได้บรรจุสิ่งสำคัญอยู่ ๒ อย่าง คือ.."พระเกศโมลี"และ"พระทันตธาตุ" พระเกศโมลีหรือพระเมาลีคือ..มวยผมหรือพระโมลีของพระพุทธเจ้า.. ส่วนพระทันตธาตุ หมายถึง..พระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า...

    ประวัติพระเกศธาตุหรือพระจุฬามณีมีความว่า เรื่องมีอยู่ว่า...

    <O:pเมื่อครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จออกจากเมืองสาวัตถี เพื่อออกผนวชนั้น เนื่องจากเกิดความเบื่อสลดใจ ทรงพยายามที่จะแสวงค้นหาสัจธรรม อันเป็นเครื่องหลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย... <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในครั้งนั้นเอง พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปสู่ฝั่งแม่น้ำอโนมาแล้วทรงอธิษฐานบรรพชา พระองค์ทรงตัดพระโมลีแล้ว (พระโมลีคือ มวยผมนั้นเอง ผมก็คือ เกศา ส่วนเกศา ก็คือ เกศ หรือที่เรียกว่าเกศธาตุนั้นเอง) ก็ทรงอธิษฐานโยนพระโมลีขึ้นไปในอากาศแล้วตรัสว่า<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    "ถ้าพระองค์จะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ขอให้มวยผมนี้ลอยไปในอากาศแล้วอย่าได้ตกลงมา"

    .. ในสมัยนั้นท้าวสักกะเทวราชทรงทราบ จึงได้นำเอาผอบทองมารองรับพระเกศาหรือมวยผมนั้นไว้....จากนั้นก็ทรงเสด็จไปทรงสร้างเจดีย์ไว้ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อเป็นที่บรรจุพระเกศธาตุ ดังนั้นพระเจดีย์ที่บรรจุพระเกศธาตุไว้เป็นครั้งแรก จึงได้ชื่อว่า “พระจุฬามณีเจดีย์หรือพระเกศธาตุเจดีย์” อันเป็นที่บูชาของเหล่าเทพยดาทั้งปวง ..... <O:p</O:p

    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape id=_x0000_i1028 style="WIDTH: 11.25pt; HEIGHT: 11.25pt" alt="Razz" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\nn\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif" o:href="http://www.watcharathath.com/images/smiles/icon_razz.gif"></v:imagedata></v:shape>... ตอนนี้ก็จะกล่าวถึงประวัติของพระเขี้ยวแก้วต่อไป... โดยมีความว่า..... ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว พุทธบริษัททั้งหลายได้จัดการถวายพระเพลิง หลังจากถวายพระเพลิงแล้ว ก็มีการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ตามประวัติว่าครั้งแรก ก็จะเกิดสงครามแย่งพระธาตุกัน แต่มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อ"โฑณพราหมณื" ท่านเป็นคนฉลาดได้พูดกับบรรดากษัตริย์ที่จะทำสงครามกันในการคิดแย่งพระบรมสารีริกธาตุนั้นว่า...
    <O:p</O:p

    “พระพุทธเจ้าทรงสอนในเรื่องขันติความอดทน และความสงบ ไม่ส่งเสริมการทำสงคราม ดังนั้น เราควรมาแบ่งพระบรมสารีริกธาตุนี้ด้วยกัน โดยจะแบ่งพระบรมธาตุออกเป็น ๘ ส่วน”<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในขณะที่โฑณพราหมณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุนั้น ก็ได้เห็นพระเขี้ยวแก้ว เมื่อเห็นแล้วว่า พระเขี้ยวแก้วเป็นของพิเศษ ก็เลยจัดเอาเก็บไว้ที่มวยผมของตนเสียเอง <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ฝ่ายพระอินทร์ ทรงเห็นว่า เป็นการไม่ควรที่พระเขี้ยวแก้วจะอยู่กับพราหมณ์ ดังนั้นจึงทรงอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปไว้บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วก็ทรงบรรจุไว้ในพระจุฬามณีเจดีย์ ดังนั้นในองค์พระจุฬามณี จึงมีพระเกศธาตุและพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวา ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จบเรืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์.......<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 สิงหาคม 2009
  4. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    สวรรค์ที่ ๓ สวรรค์ชั้นยามา<O:p</O:p


    ในสวรรค์ชั้นยามานั้น ได้ชื่อว่า เป็นแดนที่อยู่ของเทพผู้ปราศจากทุกข์ โดยมีท้าวสุยามเทวราช ปกครองอยู่ ในสวรรค์ชั้นนี้ มีปราสาทเงิน ปราสาททองอยู่เป็นจำนวนมาก

    มีคำกล่าวไว้ว่า สวรรค์ชั้นยามานี้ มีปราสาทสวยงามกว่าปราสาทในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และที่แปลกกว่านั้นคือ สวรรค์ชั้นนี้ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีดวงจันทร์เพราะเป็นสวรรค์ที่อยู่ไกลมากห่างจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปไกลแสนไกล <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้น จึงห่างไกลจากดวงอาทิตย์ ดวงดาว ดวงจันทร์ จึงนับว่าแปลก เพราะไม่เหมือนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และชั้นจาตุมหาราชที่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ให้เห็นอยู่ เพราะสวรรค์ทั้งสองชั้นนั้นอยู่ไกลจากโลกของเรา บางคนอาจสงสัยว่าเมื่อไม่มีดวงอาทิตย์ดวงจันทร์แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนไหนกลางวัน ตอนไหนกลางคืน.. จะมีแสงสว่างมาจากไหนให้มองเห็นกันและกัน...

    ในสวรรค์ชั้นนี้ เทวดาต้องอาศัยแสงสว่างจากรัตนะต่าง ๆ ที่ประดับอยู่ทั่วไป และแสงจากรัศมีแห่งกายของตนเอง และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ... ในสวรรค์ชั้นยามานั้นจะมีดอกไม้ทิพย์ชนิดหนึ่งที่บานและหุบ เป็นเวลาที่เท่า ๆ กัน.. คือ เมื่อเวลาดอกไม้ทิพย์บาน ก็ถือว่าเป็นเวลากลางวัน ครั้นดอกไม้ทิพย์หุบ ก็แสดงว่าเป็นเวลากลางคืน เทวดาสามารถมองเห็นดอกไม้ทิพย์ที่บานและหุบได้ เพราะแสงสว่างจากตนเอง แสงจากประสาท และแสงจากรัตนะต่าง ๆ ที่สว่างไสวไปหมด...

    มีเรื่องเล่าว่า เมื่อเทวดาชั้นนี้มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ที่วัดพระเชตว้น ก็ทำให้วัดพระเชตวันสว่างไสวไปหมด เพราะเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ มีร่างกายสุกสดใสด้วยรัศมี มีรูปสวยงาม มีความสุขสำราญมากด้วยอำนาจแห่งบุญที่ทำไว้แต่ปางก่อน..

    สำหรับ เรื่องอายุนั้น.. เทวดาชั้นยามามีอายุยืนเท่าหนึ่งของเทวดาชั้นดาวดึงส์ คือเทวดาชั้นดาวดึงส์อายุ ๑ พันปีทิพย์ แต่เทวดาชั้นยามานั้นมีอายุ ๒ พันปีทิพย์ คิดเป็นเวลาของมนุษย์ก็ได้ ๑๔๔ ล้านปี ในวันหนึ่งคืนหนึ่งของเทวดาชั้นนี้เท่ากับ ๒๐๐ ปีมนุษย์ จัดว่าอายุยืนมาก..
    <O:p</O:p

    แต่ใช่ว่าเทวดานั้นจะอายุเท่ากันหมด บางองค์อาจไม่ยืนยาวก็ได้ แต่อาจมีเหตุให้จุติก่อน หรือตายก่อนหรือเคลื่อนก่อนก็ได้ตามที่ได้กล่าว ส่วนปฏิปทาของที่จะทำให้ไปเกิดในสวรรค์ยามานั้นก็จะคล้าย ๆ สวรรค์ชั้นอื่นๆ คือ การให้ทาน รักษาศีล แต่ในทานสูตรกล่าวไว้ว่า <O:p</O:p

    "ผู้ใดให้ทานโดยคิดว่าบิดา มารดาปู่ย่าตายายของเราเคยทำมา เราก็ควรทำตามประเพณีที่ท่านทำไว้ ผู้นั้นเมื่อตายไปก็จะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นยามา"

    แต่ในส่วนของวิตถตสูตรนั้นกล่าวว่า ผู้ใดให้ทาน รักษาศีลแล้วตั้งจิตอธิษฐาน ขอไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ ก็จะได้ไปเกิด.... ดังได้กล่าวไว้แล้ว ในตอนต้น ๆ....

    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape id=_x0000_i1026 style="WIDTH: 11.25pt; HEIGHT: 11.25pt" alt="Razz" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://www.watcharathath.com/images/smiles/icon_razz.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\nn\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif"></v:imagedata></v:shape>ขอกล่าวถึง ตามคัมภีร์ทางพุทธศาสนากล่าวถึง พระเถระองค์หนึ่ง ชอบเที่ยวไปในสวรรค์ชั้นต่าง ๆ โดยเฉพาะสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นั้น คือ พระมหาโมคคัลลานะนั่นเอง.... พระโมคคัลลานะได้ไปประสบพบ ถามความเป็นไป เป็นมาของเทพทั้งหลายว่า ท่านทำอย่างไรจึงได้เกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ... เช่น เรื่องของเทพบางองค์ คือ บางองค์เคยให้ทาน บางองค์ใช้ความอดทน บางองค์แค่ได้ฟังธรรม บางองค์ช่วยการงานในการต้อนรับพระสงฆ์ เป็นต้น...

    การเกิดในสวรรค์ชั้นยามานั้น บางก็อธิษฐานเอาเมื่อทำทาน รักษาศีล

    "ขอผลแห่งทาน ผลแห่งศีลจงเป็นไป เพื่อสวรรค์ชั้นยามา" .

    .. บางก็ทำบุญให้ทานโดยคิดเพียงว่า พ่อแม่เคยพาทำก็ทำตาม เพราะมีความเห็นว่า การให้ทานเป็นเพียงประเพณีนิยมที่ทำตามกันมาเท่านั้น.... ผลที่ได้ก็ไปเกิดที่สวรรค์ชั้นยามาเช่นกัน....<O:p</O:p
     
  5. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    มีเรื่องเล่าให้ฟังอยู่เรื่อง เป็นตัวอย่างแห่งการเกิดในสวรรค์ชั้นยามา.....

    ในสมัยที่พระพุทธเจ้าของเรา ประทับอยู่ที่วัดเวฬุว้น ในกรุงราชคฤห์ ในครั้งนั้น ยังมีอุบาสกผู้หนึ่งมีศรัทธามาก จัดเป็นอุบาสกที่ดี ทำทานถวายสังฆทานทุกวัน โดยนิมนต์พระสงฆ์ ๔ รูปมารับสังฆทานที่บ้านทุก ๆ วัน... <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อยู่มาวันหนึ่งประตูบ้านนั้นปิดอยู่ แม้เช้าก็ไม่เปิดออกแม้เช้าแล้วก็ตาม เมื่อพระภิกษุมารับบาตรแต่เห็นประตูปิดอยู่ก็กลับวัดเสีย ในตอนนั้นอุบาสก เมื่อตื่นมาก็ไม่เห็นพระภิกษุ ก็ถามภรรยาว่า <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    "น้องได้ถวายสังฆทานแด่พระภิกษุหรือยัง" ภรรยาตอบ "ยัง เพราะตื่นสาย เมื่อมาเปิดประตูก็ไม่เห็นพระภิกษุแล้ว" และยังตอบไปอีกว่า "น้องว่าพระภิกษุคงไม่มาแล้ว" ฝ่ายสามีก็ว่า "เพราะเหตุใดพระจึงไม่มา"<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ภรรยาก็ตอบว่า "เมื่อคืนเราปิดประตูตอนค่ำ เพราะเกรงขโมยจะเข้าบ้าน แต่เมื่อคืนเรานอนตื่นสาย เมื่อตอนเช้าเรา จึงไม่ได้เปิดประตู เมื่อพระคุณเจ้ามาก็เข้าบ้านเราไม่ได้ ท่านจึงกลับวัดไป".....

    ในตอนนั้นเองอุบาสก ก็เกิดความสังเวชใจแล้วกล่าวว่า "วันนี้เราขาดบุญไป ไม่ได้ทำทาน และที่สำคัญ พระคุณเจ้าก็ขาดประโยชน์ไม่รู้จะไปบิณฑบาตรที่ใด...เมื่อกลับวัดไปแล้วจะได้อะไรฉัน...แล้วจะได้ฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้ จัดเป็นความผิดของเราทีเดียว"....

    ในวันต่อมาเขาก็ไปหาคนมาเฝ้าประตูเพื่อคอยเปิดประตูคอยรับพระภิกษุที่จะมารับสังฆทานที่บ้านตน.... โดยสั่งเป็นสำคัญว่า "เราจ้างท่านมา ก็เพื่อดูพระภิกษุที่จะมารับสังฆทาน โดยให้ท่านเฝ้าหน้าประตูให้ดี เมื่อพระคุณเจ้ามาก็ให้นิมนต์เข้าบ้าน จัดที่นั่ง เอาน้ำเข้าต้อนรับ นิมนต์ให้พระคุณเจ้านั่งในที่ควรนั่ง"..... ชายชราก็รับ "สาธุ สาธุ"....

    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape id=_x0000_i1026 style="WIDTH: 11.25pt; HEIGHT: 11.25pt" alt="Razz" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://www.watcharathath.com/images/smiles/icon_razz.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\nn\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif"></v:imagedata></v:shape>ตั้งแต่นั้นมา ชายชราก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ได้ต้อนรับพระ ได้รับพร ได้ฟังธรรม และได้รักษาศีล พร้อมทำกิจกรรมต่าง ๆ แทนท่านอุบาสกอีกด้วย...เมื่อได้ฟังธรรมก็เกิดศรัทธามีใจเข้าถึงพระรัตนตรัย ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์...ชายชราได้ทำอยู่อย่างทุก ๆ วันในบ้านอุบาสกผู้ใจบุญ....

    <v:shape id=_x0000_i1027 style="WIDTH: 11.25pt; HEIGHT: 11.25pt" alt="Razz" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://www.watcharathath.com/images/smiles/icon_razz.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\nn\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif"></v:imagedata></v:shape>อยู่มาไม่นานอุบาสกก็ถึงแก่ความตายด้วยกรรมดีที่ทำ จึงส่งผลให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นยามา สถิตอยู่บนวิมานอันวิจิตรตระการตา ได้รับความสุขเสวยทิพย์สมบัติที่มากมายในสวรรค์.....

    ส่วนชายชราเมื่อตายก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เหตุที่เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพราะชายชราไม่ได้ให้ทาน เพียงรักษาศีล ช่วยกิจการงานในสิ่งที่ดีงาม เฝ้าดูแลพระภิกษุสงฆ์ และอนุโมทนาในบุญที่ท่านอุบาสกทำอยู่ตลอดเวลา จึงส่งผลให้เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งต่ำกว่าชั้นยามา แต่ก็ได้รับความสุขสบายเช่นกัน.....ถึงแม้ไม่อาจจะสูงเท่าเจ้านายได้....แต่ผลบุญที่ช่วยต้อนรับพระ ฟังธรรมก็เป็นบุญ...แม้ไม่ได้ให้ทานก็ตาม.......


    ครั้นเมื่อพระโมคคัลลานะได้ท่องไปในสวรรค์ในที่ต่าง ๆ ตามสมควรแล้วก็สู่โลกตามเดิม เมื่อกลับมาโลกมนุษย์แล้ว ก็ได้พบกับญาติของท่านใด ท่านพระโมคคัลลานะ ก็จะบอกว่าเทพองค์นั้น องค์นั้น ซึ่งเป็นญาติของท่านได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนั้น ชั้นนี้ เพราะเหตุแห่งบุญนั้น ๆ

    สรุปความว่า...สวรรค์ชั้นยามานั้น เป็นสวรรค์ที่เป็นแดนสุขาวดี โดยมีท้าวสุยามาเทวราช ปกครองอยู่ ชาวสวรรค์ชั้นนี้ล้วนมีแต่ความสุข ไม่มีความลำบากเพราะเหตุแห่งผลบุญที่ทำไว้ในปางก่อน...<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้น ท่านสาธุชนคนเมืองพุทธ ควรเร่งให้ทาน รักษาศีลเอาไว้ โดยทำให้มาก เจริญให้มากในบุญ ในกุศล เพื่อเป็นผลส่งสู่ความเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นยามา ....

    จบสวรรค์ชั้นยามา สวรรค์อันเป็นแดนสุขาวดี... จงทำในสิ่งที่หวัง เมื่อหวังในสิ่งใดแล้วก็ต้องทำให้ได้.... ตามที่หวังและตั้งใจไว้.... เทอญ......
    ;aa46<O:p</O:p
     
  6. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    สวรรค์ชั้นที่ ๔ ชั้นดุสิต
    ;aa36​

    สวรรค์ชั้นดุสิตนั้น จัดเป็นแดนที่อยู่ของเทพผู้อิ่มเอิบด้วยสิริสมบัติของตน หรือแปลง่าย ๆ ก็ได้ว่า แดนที่มีความยิ่งดีเอิบอิ่ม....
    <O:p</O:p

    สวรรค์ชั้นดุสิตนั้น เล่ากันว่า....เป็นแดนสวรรค์ ที่มีเทพนครที่กว้างใหญ่ไพศาล ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไปไกลแสนไกล ภายในนครแห่งนี้มีปราสาทอยู่ ๓ ชนิดคือ... มีวิมานแก้ว มีวิมานทอง มีวิมานเงิน วิมานทั้งสามมีกำแพงแก้วล้อมอยู่ และยังมีสระโบกขรณีและอุทยานทิพย์อีกมากมาย สวยงามกว่าสวรรค์ชั้นยามาอีก.....

    ส่วนเทพยดาในสวรรค์ชั้นนี้ มีรูปงามดัวยรูปสมบัติและคุณสมบัติ ตั้งอยู่ในธรรม ท้าวสันดุสิตเทวราช ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ท่านเป็นพหูสูต ในสวรรค์ชั้นนี้ ก็จะมีการประชุมฟังธรรมทุกวันพระมิได้ขาด......

    <O:p</O:p
    ที่ว่า การจะไปอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ได้นั้น ต้องทำบุญไว้มาก ทำความดีไว้มาก เช่น

    ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้สร้างวัดพระเชตวัน นอกจากท่านจะทำทาน รักษาอุโสถศีล และบุญอื่น ๆ มามาก ท่านยังเป็นอริยะบุคคลอีกด้วย... เราควรทำตามแบบท่าน หรือการทำกุศลอย่างสม่ำเสมอ และอธิษฐานไปเกิด อย่างท่านธัมมิกอุบาสก ดังที่หลาย ๆ ท่านได้ทราบมาแล้ว
    <O:p</O:p

    ในตำรากล่าวไว้อีกว่า สวรรค์ชั้นนี้นั้น ผู้ที่จะอุบัติได้นั้น ต้องเป็น พระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้าย ก่อนที่จะมาจุติเกิดในโลกมนุษย์แล้วตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เช่น องค์พระศรีอาริยเมตไตรย ก็สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ นอกจากนี้ยังเป็นที่อุบัติของพระพุทธมารดา พระพุทธบิดา และพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย.....<O:p</O:p

    ตามหนังสือว่าไว้..

    ใครอยากเกิดให้ทำทาน และตั้งจิตอธิษฐานขอไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ก็จะได้เกิด... แต่ในบางสูตรบอกว่า การรักษาศีลแปดหรือศีลอุโบสถก็ไปบังเกิดได้แม้จะไม่ได้อธิษฐาน แต่ในทานสูตรกล่าวไว้ว่า "ผู้ใดให้ทานแก่สมณพราหมณ์ด้วยคิดว่า... ท่านเหล่านี้ไม่ได้หุงหาอาหารกินอย่างเรา " เพียงท่านคิดจะให้แล้วให้เพราะเหตุ ที่เราให้เพราะเขาไม่มี...เขาทำไม่ได้และเขาไม่ได้ทำ โดยไม่ต้องอธิษฐานก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้...

    ดังนั้น ใครก็ตามที่ต้องการสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว ต้องบำเพ็ญทานให้มาก รักษาศีลให้มาก เจริญปัญญาให้มาก ละความเห็นผิดให้ได้ เชื่อในเรื่องของกรรม เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีความเห็นถูกต้อง และอาจต้องมีคุณแห่งอริยะคุณในตัว....จึงไปเกิดได้.... หรือทำทาน รักษาศีล แล้วก็อธิษฐานเอา... <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    .... สวรรค์ชั้นดุสิตนี้มีอายุในวันหนึ่งคืนหนึ่งเท่ากับ ๔๐๐ ปีในโลกมนุษย์......จัดว่ายาวนานมาก.. ส่วนอายุนั้นยาวนานกว่าสวรรค์ชั้นยามาถึงสองเท่าคือ.. ๔๐๐๐ ปีทิพย์ เท่ากับ ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในสวรรค์ชั้นดุสิตนั้น ไม่มีเรื่องราวมากมายเหมือนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์..... ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องราวเท่าไร... จะมีก็มีเรื่องที่ว่าด้วยองค์พระพุทธเจ้าไปจำพรรษาอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดา...

    ในครั้งนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ท้าวสักกะและเทวดาทั้งหลาย ต่างก็มาเฝ้าเป็นจำนวนมาก ในตอนนั้นพระพุทธเจ้าก็ตรัสให้ท้าวสักกะเทวราช ให้ไปเชิญพุทธมารดาที่อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต ให้ลงมาฟังธรรม ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่สามเดือนของโลกมนุษย์.... <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็ลงมาสู่โลกมนุษย์ ลงมาที่ "สังกัสสนคร" ในวันออกพรรษาที่เรารู้จักกันว่า"วันตักบาตเทโว" หรือเรียกกันว่า"เทโวโรหนะ"

    ในช่วงที่พระพุทธเจ้าทรงอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น พระพุทธองค์ไม่ได้เสวยอาหารอันเป็นทิพย์ แต่ทรงลงมาเที่ยวบิณฑบาตที่โลกมนุษย์ โดยมีพระสารีบุตรเฝ้าดูแลถวายไม้ชำระฟัน และคอยรับใช้ จึงได้ฟังพระอภิธรรมจากพระพุทธเจ้าที่แสดงให้พระสารีบุตรฟัง <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้น ผู้ที่จำพระอภิธรรมได้ดี ก็คือ พระสารีบุตร... ส่วนพระที่เป็นบริวารขอพระสารีบุตรทั้งห้าร้อยก็ได้ฟังอภิธรรมจากท่านพระสารีบุตร.....ดังนั้น พระสารีบุตรจึงจำพระอภิธรรมได้ตั้งแต่ตันจนจบ....

    สำหรับพุทธมารดานั้น เมื่อไปอุบัติที่สวรรค์ชั้นดุสิตนั้น ก็เป็นเทพบุตรอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต... บางคนอาจตกใจว่า เป็นหญิงทำไมไปเกิดเป็นชาย... ท่านกล่าวว่า... การที่พระนางต้องมาเป็นพระมารดาพระพุทธเจ้านั้น ก็ทรงอธิษฐานไว้จึงได้มาเป็นพุทธมารดา... <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อเสร็จกิจแล้วก็กลับมาเป็นเทพบุตร เพราะถ้าเป็นเทพธิดาแล้ว เกิดมีเทพบุตรองค์ใดจะมารักใคร่ในพุทธมารดานั้น ถือว่าเกิดเป็นโทษ ดังนั้นจึงต้องมาเกิดเป็นเทพบุตร.... ดังนี้...... <O:p</O:p

    รวมความว่า ด้วยบุญแห่งทาน ศีล ภาวนาที่สั่งสมก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต .....

    ขอจงเจริญในธรรม

    พระวัดหัวเขา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 สิงหาคม 2009
  7. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    สวรรค์ชั้นนิมมานรตี ..



    สวรรค์ชั้นนิมมานรตี นั้น แปลในความหมายว่า "แดนอันเป็นที่อยู่ของผู้ยินดีในการเนรมิต" ในความหมายคือ เทพเจ้าในสวรรค์ชั้นนี้เมื่อปรารถนาสิ่งใด(ประสาบ้านเราว่าอยากได้)ก็เนรมิตได้เลยตามที่เราปรารถนา คือ สั่งได้ด้วยอำนาจแห่งบุญของตน (มีเงินจะเอาอะไรก็ได้ ตามความต้องการ)

    ปฏิปทาที่จะให้เกิดในสวรรค์ชั้นนี้ คือ การให้ทานแล้วก็ตั้งจิตอธิษฐาน ขอไปสวรรค์ชั้นนี้ และต้องรักษาศีลแปดหรือศีลอุโบสถ .....
    <O:p
    แต่ในทานสูตรนั้นได้กล่าวว่า "ผู้ใดให้ทานด้วยคิดว่าเราหุงหาอาหารได้ ส่วนสมณะพราหมณ์นั้น หุงหาอาหารไม่ได้ เพราะเป็นการไม่ควร ดังนั้น เราควรให้ทานนั้น หรือ คิดว่าเราควรให้ทาน เหมือนอย่างฤาษีทั้งหลาย ในปางก่อน แล้วเขาก็ให้ทาน เมื่อเขาตายไปย่อมบังเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ ....

    ในสวรรค์ชั้นนิมมานรตีนั้น มีท้าวนิมมิตเทวราชเป็นผู้ปกครองอยู่ สวรรค์ชั้นนี้ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไปไกลแสนไกล เป็นเทพนครที่กว้างใหญ่ มีปราสาททอง ปราสาทแก้ว ตลอดจนถึงสระโบกขรณีและอุทยานเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับสวรรค์ชั้นดุสิต แต่มีความแตกต่างคือสวยงามกว่าสวรรค์ชั้นดุสิต.... กล่าวกันว่า

    </O:p
    นางวิสาขามหาอุบาสิกาผู้สร้างบุพพารามถวายพระพุทธเจ้า ก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ ทวยเทพทั้งหลายในสวรรค์ชั้นนี้มีความอุดมสมบูรณ์มาก เพราะสามารถเนรมิตได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามด้องการ ......

    ส่วนเรื่องอายุนั้นกล่าวว่า อายุเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้นั้น อยู่ประมาณ ๘ พันปีทิพย์ซึ่งเท่ากับ ๒๓๐๔ ล้านปี ในวันหนึ่งคืนหนึ่งของเทวดาในชั้นนี้เท่ากับ ๘๐๐ ปี ในโลกมนุษย์ ..

    ในสวรรค์ชั้นนิมมานรตีนี้ ในตำราไม่ได้บันทึกไว้มาก ก็เท่าทีเห็นก็คงมีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่มีความเกี่ยวอยู่ .... ในเรื่องของพระมหากัสสกัปะ ที่ได้ไปโปรดหญิงตกยากคนหนึ่ง และในที่สุดหญิงตกยากผู้นั้นก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรตี ....

    ไว้ก่อนได้เวลาไปทำวัตรเย็นแล้ว .....

    แล้วพบกันใหม่ ....

    พระวัดหัวเขา ... นาโพธิ์ ...

    *********************************



    ตอน "พระมหากัสสปโปรดหญิงตกยาก"(เทพธิดาข้าวตัง)
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ขอสวัสดี พบอีกกับสวรรค์ชั้นนิมมานรตี ในตอน"พระมหากัสสปโปรดหญิงตกยาก".....<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในสมัยที่พระพุทธเจ้า ทรงประทับในกรุงราชคฤห์นั้น ได้มีหญิงตกยากคนหนึ่งที่สามีตาย ลูกก็ตาย เพราะเป็นช่วงที่อหิวาตกโรคกำลังเกิดขึ้น ทำให้ผู้คนตายเป็นจำนวนมาก ส่วนนางนั้นก็หนีออกจากบ้าน โดยไม่มีอะไรติดตัวมา อาหารก็ไม่มีจะกิน เที่ยวเดินโซชัดโซเซออกไปไกลจนไปพบหมู่บ้าน ๆ หนึ่ง แล้วก็เข้าไปขออาศัยในบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ก็จนเหมือนกัน เมื่อเข้าไปในบ้านเจ้าของบ้านหลังนั้น ก็ให้ข้าวยาคูและข้าวตังเพราะเห็นนางแล้วสงสาร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในวันนั้นเองเป็นวันที่พระมหากัสสปออกจากนิโรธสมาบัติพอดี เมื่อออกจากสมาบัติแล้วก็พิจารณาว่าจะไปโปรดใครดี และเมื่อพิจารณาด้วยทิพยจักษุแล้วก็เห็นนางหญิงตกยากคนนี้แล้ว ก็พิจารณาว่า คน ๆ นี้ใกล้ตายและยังเป็นมารดาเมื่อชาติปางก่อนอีกด้วย ดังนั้นจำเป็นต้องช่วย จากนั้น องค์พระมหากัสสปก็ออกเดินไปบิณฑบาต เดินไปยังบ้านที่หญิงตกยากอาศัยอยู่<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    มีเรื่องว่า ขณะที่พระมหากัสสปกำลังเดินทางจะไปรับบาตรของหญิงตกยากนั้น ก็ได้มีพระอินทร์มาคอยดักใส่บาตรก่อน โดยแปลงกายเป็นคนแก่ออกมาจากป่าเพื่อใส่บาตร แต่พระมหากัสสป กลับรู้ว่าชายแก่คนนี้เป็นท้าวสักกเทวราช จึงถวายพระพรว่า

    "มหาบพิตร ท่านฉลาดในการบุญ แต่ทำไมกลับมาแย่งชิงสมบัติของคนยากจนเสียเล่า"

    เมื่อท้าวสักกเทวราชได้ฟัง ก็รู้ว่าพระมหาเถระทราบว่าตนเป็นใคร แล้วก็แปลงกายกลับดังเดิม แล้วกราบนมัสการลากลับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ต่อจากนั้นพระมหากัสสป ก็เดินไปยืนเฉพาะหน้าของหญิงตกยากคนนั้น ในขณะช่วงที่นางรับอาหารมาใหม่ ๆ เมื่อนางเห็นพระยืนอยู่ นางก็มองอาหารที่มีอยู่ก็เกิดความละอายใจที่ตนไม่มีของจะทำบุญ ถึงมีก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรใส่บาตรพระ นางจึงพูดว่า

    "ขอพระคุณเจ้าไปโปรดข้างหน้าเถิด"

    แต่พระมหากัสสปก็ไม่ไป กลับยืนอยู่ที่เดิม <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อมีผู้อื่นมาใส่บาตรท่าน ท่านก็ไม่เปิดบาตรให้ผู้อื่นใส่ เมื่อนางหญิงตกยากเห็นเป็นเช่นนั้น นางหญิงตกยากก็คิดว่า "ท่านคงมาโปรดเราแน่" นางจึงตัดสินใจเทข้าวตังที่ได้มาลงในบาตร ด้วยมืออันสั่นเทา <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ด้วยความรู้สึกที่ปิติยินดีในทานของตน เมื่อพระมหากัสสปรับบาตรแล้วก็ขอนั่งที่บ้านนั้น เพื่อฉันข้าวตัง แล้วก็เดินจากไป ในคืนนั้นเองหญิงตกยากก็ตายลง ไปบังเกิดเป็นเทวดาที่มีฤทธิ์มาก ในสวรรค์ชั้นนิมมานรตี ด้วยแรงแห่งบุญที่ได้ตักบาตร แม้อาหารที่เป็นข้าวตัง อันเป็นอาหารที่ไม่มีรสเลิศ แต่เมื่อทำกลับพระที่ทีคุณเลิศก็ให้ผลมาก ........ <O:p</O:p
    <O:p

    ขอจบสวรรค์ชั้นนิมมานรตีเท่านี้ ....... สาธุ... สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ขออนุโมทนา .....<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระวัดหัวเขา .... นาโพธิ์<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2009
  8. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    มาพบกันในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี...

    สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี " แดนที่อยู่ของผู้มีอำนาจ ให้เป็นไปในสมบัติอันผู้อื่นเนรมิตให้"

    ในสวรรค์ชั้นที่ ๖ ที่จะกล่าวนั้น ท่านว่าเป็นสวรรค์ที่อยู่ห่างไกลเหนือ"สวรรค์ชั้นนิมมานรตี" ไปไกลแสนไกล และยังห่างสวรรค์ชั้นอื่นๆอีกมาก ........

    ในสวรรค์ปรนิมมิตวสวัตดี ในความหมายคือ สวรรค์อันเป็นแดนที่อยูของผู้มีอำนาจ อันเป็นไปในสมบัติที่ผู้อื่นเนรมิตให้

    เมื่ออยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ก็ไปเสวยทิพย์สมบัติอันผู้อื่นเนรมิตให้ ดังนั้น จึงสบายกว่าเทพชั้นนิมมานรตีที่ต้องเนรมิตเอง (ดูเอาแม้อยู่สวรรค์ถึงอยู่แบบสบาย ๆ แค่อยากได้ก็เนรมิตเอาก็ได้แล้ว ยังว่าลำบากอีก กรรมแท้ๆ) เทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดีนี้ สั่งก็ไม่ต้องสั่ง แต่เทพเทวดาอื่น ๆ จัดการให้เลย คือ มีความต้องการอะไรผู้อื่นเอามาให้ด้วยไม่ต้องสั่ง เพราะเป็นเทพที่มีบุญมาก ในสวรรค์ชั้นนี้ จัดเป็นเทพนครที่กว้างใหญ่ ห่างไกลสววรค์ชั้นอื่นๆมาก .....

    ปฎิปทาที่จะทำให้เกิดในสวรรค์ชั้นนี้คือ การให้ทานแล้ว อธิษฐานขอไปเกิดบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี และการรักษาศีลอุโบสถ

    ส่วนในทานสูตรกล่าวว่า "ผู้ใดให้ทานโดยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตใจของเราจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจ ดีใจโสมนัสเมื่อให้ทานแล้ว ผู้นั้นตายแล้วไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี " ...

    ในเรื่องอายุของเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้อยู่ประมาณ... ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ ...... ซึ่งเท่ากับ ๙,๒๑๖ ล้านปี .... ในวันหนึ่งคืนหนึ่งของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดีนั้น เท่ากับ ๑,๖๐๐ ปีมนุษย์

    ในการเป็นอยู่นั้นสวรรค์ชั้นนปรนิมมิตวสวัตดีนี้มีการแบ่งเขตเป็น ๒ แดนคือ แดนเทพยดา และแคนมาร....

    แดนเทพยดานั้น เป็นเขตที่อยู่ของเทพยดาทั้งหลาย โดยมีท้าวปรนิมมิตวสวัตดีเทวราชเป็ผู้ปกครองอยู่...

    ส่วนแดนมารเป็นเขตที่อยู่ของมาร โดยมีพระยามารชื่อปรนิมมิตวสวัตดีเป็นผู้ปกครองอยู่

    <O:p</O:p
    ในแต่ละแดนนั้นก็อยู่ในการปกครองของแต่ละแดน คือต่างก็ปกครองกันเองไม่ขึ้นแก่กัน ต่างอาศัยกันอยู่อย่างมีความสุข ไม่เป็นศัตรูกัน

    ท่านกล่าวว่า ... พวกเทวดาที่อยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ก็คือ"เทวปุตตมาร" ที่เมื่อครั้งหนึ่งนั้น ได้มาแย่งที่ประทับนั่งของพระพุทธเจ้าในวันตรัสรู้ ก็มาจากสวรรค์ชั้นนี้ (เทวปุตมารนี้จัดอยู่ใน มาร ๕ ประเภท แต่อยู่บนสวรรค์ชั้นนี้)


    ในตำราทางพุทธศาสนากล่าวถึง ผู้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ไว้น้อยมาก แต่ก็มีอยู่เรื่องที่น่าสนใจ เอาเป็นแบบอย่างให้เราได้ดำเนินตาม

    อยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องของ นางสิริมา... ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ อยู่เรื่องหนึ่งที่กล่าวไว้ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี .....

    มีเรื่องเล่าว่า นางสิริมา เดิมเป็นหญิงกลางเมืองที่มีรูปร่างงดงามมาก (นางสิริมา เป็นน้องสาวของท่านหมอชีวกโกมารภัจ มารดาเป็นโสเภณีนคร นางเป็นโสเภณีตามมารดาตนตั้งแต่อายุ ๑๐ ขวบ ด้วยกรรมเก่าที่เคยด่าภิกษุณีอรหันต์ที่บ้วนน้ำหมากมาเปื้อนผ้านางว่า นางแพศยาผู้ใด บังอาจบ้วนน้ำหมากมาเปื้อนผ้าของเราวิบากกรรมนี้นางจึงได้เป็นหญิงกลางเมือง)<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาเสวยพระกระยาหาร พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ที่บ้านของนางอุตตรา(เรื่องราวของนางอุตตรา ไม่ขอนำมากล่าว ณ.ที่นี้) นางสิริมาก็ได้เข้าไปกราบพระพุทธเจ้า เพื่อขอขมาโทษ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เหตุที่นางสิริมาต้องเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ก็เพราะเหตุที่ตนนั้นได้ทำร้ายนางอุตตรา แต่นางอุตตรากลับไม่โกรธนางสิริมาเลย และยังกลับปกป้องไม่ให้คนของตนทำร้ายนางสิริมาอีก นางสิริมาจึงสำนึกผิด เข้าไปขอขมาโทษนางอุตตรา แต่นางอุตตรากลับบอกให้ไปขอขมาโทษจากพระบิดาก่อน หากพระบิดาท่านยกโทษให้ นางก็จะยกโทษให้ด้วย(พระบิดาที่นางอุตตรากล่าวถึง ก็คือพระพุทธเจ้า)<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อนางสิริมาได้ฟัง ก็เต็มใจที่จะทำตามที่นางอุตตราขอ เมื่อสิริมาเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า เพื่อขอขมาโทษแล้ว ก็ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าที่ว่าด้วยเรื่องการไม่โกรธ การทำความดี การให้และสัจจวาจา ... มีความว่า....


    "พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี ...... <O:p</O:p

    พึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้

    พึงชนะคนพูดโกหก ด้วยคำจริง .......”<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    เมื่อนางสิริมาได้ฟังธรรมของพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้สำเสร็จเป็นพระโสดาบัน หลังจากนางสิริมา ได้บรรลุโสดาบันแล้ว นางสิริมาก็ทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าไปรับภัตตาหารที่บ้านของนาง ในวันรุ่งขึ้น จากนั้น นางสิริมาก็กราบนิมนต์พระสงฆ์มารับภัตตาหารเป็นประจำทุก ๆ วัน..


    อยู่มาวันหนึ่งนางก็ล้มป่วยโดยโรคชนิดหนึ่ง แต่นางก็ยังคงใช้พวกคนใช้ของนาง อยู่ดูแลพระสงฆ์ที่นิมนต์มารับอัฏฐกภัต( หมายถึงภัตเพื่อพระภิกษุ ๘ รูป)
    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    ในตอนนี้ มีเรื่องเล่าถึงพระภิกษุที่เข้ามารับอัฏฐกภัตอยู่รูปหนึ่งที่มาด้วยอยากเห็นรูปร่าง ความสวยงามของนางสิริมา เมื่อพระสงฆ์รับบาตรที่บรรจุอาหารเต็มบาตรแล้ว คนใช้ก็มารายงานแก่นางสิริมา จากนั้นนางสิริมาก็ใช้คนใช้พยุงนางเพื่อไปไหว้พระภิกษุทั้งหลาย เมื่อนางสิริมาเข้ามาใกล้ พระภิกษุรูปนั้น(รูปที่มีจิตเสน่หา ในรูปกายของนางสิริมา) เมื่อเห็นนางสิริมาก็เกิดความรัก โดยมีจิตจดจ่อไปที่นางสิริมาคนเดียวเท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อกลับมาถึงวัดก็ ไม่ฉันอาหารที่ได้มา แต่กลับเก็บไว้ในบาตรปิดบาตรไว้ ยอมนอนอดอาหารอยู่ ๔ วัน จนได้ข่าวว่าพระพุทธเจ้าจะพาไปดูนางสิริมา จึงยอมลุกตามพระพุทธเจ้าไป โดยไม่รู้ว่านางสิริมาได้ตายไปแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าและหมู่ภิกษุไปถึงที่ป่าช้าผีดิบแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมว่า...<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงดูหญิงคนนี้ ซึ่งเป็นที่รักของคนทั้งหลายในกาลก่อน คนทั้งหลายมักเอาเงินให้นาง เพื่อได้อภิรมย์กับนางเพียงวันหนึ่ง แต่เดี่ยวนี้ แม้ผู้ใดจะรับเอาเปล่า ๆ ก็ไม่มี รูปที่เคยสวยงามเห็นแม้ปานนี้ ได้ถึงความสิ้นเสื่อมไปแล้ว ดังนั้นเธอจงดูอัตภาพอันอาดูรนี้ "
    <O:p</O:p

    หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสจบลง ในบรรดาผู้คนที่มาประชุมกันที่ป่าช้าผีดิบ ก็ได้บรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก ส่วนพระภิกษุรูปนั้นก็ได้บรรลุเป็นพระอริยชั้นโสดาบัน .....

    ด้วยผลบุญที่ทำ ด้วยกรรมดีที่สร้าง นางสิริมาก็ได้ไปเสวยสุขสวรรค์ เป็นเทพธิดาในชั้นปรนิมมิตวสวัตดี......

    <O:p</O:p

    รวมความว่า... สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีนี้ เป็นเทวโลกชั้นสูงสุด เป็นสถานที่เกิดของท่านที่มีบุญมาก ฉะนั้น... ท่านที่ปรารถนาไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ ก็ต้องสั่งสมบุญ คือ มีทาน และ มีศีล เป็นต้น ทำด้วยความสุจริต แล้วตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อให้บังเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ หากบุญกุศลที่สั่งสมมามากพอ ก็จะเป็นแรงผลักดัน ให้เกิดเป็นเทพเจ้าในแดนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีได้

    ขอจบเรื่องสวรรค์ไว้เพียงเท่านี้ .... เอวัง ....
    <O:p</O:p


    ขอจงเจริญในธรรมปฏิบัติ .....
    <O:p</O:p


    พระวัดหัวเขา ..... นาโพธิ์ .....

    ;aa59

    หมายเหตุ .... ในการเขียนกระทู้นี้ก็ได้แนวทางจากหนังสือ"อนุปุพพิกถาทีปนี" ซึ่งเขียนโดยหลวงพ่อท่านเจ้าคุณธรรม วัดโสมนัสวิหาร นำมาอ้างอิงไม่น้อยเลยทีเดียว กระผมต้องขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ......<O:p</O:p

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2009
  9. yaba150

    yaba150 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    983
    ค่าพลัง:
    +636
    โมทนาบุญด้วยครับ เจอกันในชั้นไหน ก็ขอให้รอเกิดในยุคพระศรีกันทุกท่านทุกคนนะครับ
     
  10. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    hello8ไปชั้น ๖ ค่ะ ฝ่ายเทพนะคะ ฝ่ายมารไม่เอา อิอิ..
     
  11. ทิกเกอร์_ทิกเกอร์

    ทิกเกอร์_ทิกเกอร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +914
    ขอบคุณสำหรับ ... ความรู้เรื่อง สวรรค์ชั้นต่างๆ...


    อนุโมทนา สาธุ...!!~
     
  12. 夜明けの光。

    夜明けの光。 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +96
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2009
  13. ตายแน่!

    ตายแน่! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +509
    อนุโมสาธุครับ
    ข้าพเจ้ารู้ว่าสวรรค์สวยงามและยืนยาวจริง
    แต่ไม่มีความยั่งยืนหมดบุญเมื่อไหร่ก็ต้องมาเกิดเป็นอะไรอีก
    ข้าพเจ้าจึงไม่ปราถนาจะไปสวรรค์ชั้นใดเลย
    ชาตินี้ขอมุ่งนิพพานอย่างเดียว ครับ^ ^
     
  14. marie

    marie สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +16
    กราบนมัสการพระคุณเจ้า เจ้าของกระทู้ค่ะ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    อนุโมทนามิค่ะ
    ขออนุโมทนากุศล และความเพียรของพระคุณเจ้าค่ะ ^^
     
  15. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    ขอจงเจริญในธรรม
     
  16. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    ขอจงเจริญในธรรม
     
  17. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    ขอให้เจริญในธรรม..น่ะทุกท่าน
     
  18. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    สาธุๆๆ
     
  19. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    FB_IMG_1660790898654.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...