ผจญภัยแดนพุทธภูมิ ท่องสังเวชนียสถานสี่

ในห้อง 'วัดและศาสนสถาน' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 29 กรกฎาคม 2007.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10732​
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="100%"><TBODY><TR><TD>
    ผจญภัยแดนพุทธภูมิ ท่องสังเวชนียสถานสี่


    คอลัมน์ บันทึกเดินทาง

    โดย พนิดา สงวนเสรีวานิช

    </TD><TD vAlign=top align=right>
    [​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    พุทธคยายามค่ำ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ไปดินแดนพุทธภูมิมาค่ะ

    ก้อ สังเวชนียสถานทั้งสี่ อันได้แก่ *ลุมพินีวัน* สถานที่ประสูติ *พุทธคยา* สถานที่ตรัสรู้ *พาราณสี* สถานที่แสดงปฐมเทศนา และ *กุสินารา* สถานที่ปรินิพพาน

    ก่อนหน้านี้ยังพูดเล่นกับเพื่อนๆ ว่า พอก้าวเท้าเข้าวัดก็ให้ร้อนรุ่มในกายา ประสาพุทธศาสนิกชนที่มีกิเลสเป็นที่ตั้ง วางจุดยืนให้ตัวเองว่า แค่ไม่ทำผิดคิดชั่ว สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านก็น่าจะเพียงพอแล้ว

    ทริปนี้จึงเป็นวาสนาหนุนนำ โดยมีบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นสะพานบุญทอดข้ามให้โดยเปิดเส้นทางบินใหม่ กรุงเทพฯ-พุทธคยา-พาราณสี ทำให้ชาวพุทธมีโอกาสได้ไปสักการะสังเวชนียสถานทั้งสี่ได้โดยไม่ต้องอนาทรร้อนใจว่าจะต้องไปตกระกำลำบากอย่างที่เคยได้ยินได้ฟังมา

    สังเวชนียสถานสี่คือ ดินแดนที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าเคยตรัสบอกกับพระอานนท์ก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานว่า

    "ดูก่อนอานนท์...ชนทั้งหลายเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ 4 สถานเหล่านั้น แล้วมีจิตเลื่อมใส ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์"

    และก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ใครหลายๆ คนพากันหาโอกาสไปสักการะให้ได้สักครั้งในชีวิต ยิ่งสารคดีตามรอยพระพุทธเจ้าออกอากาศยิ่งทำให้ชาวพุทธผู้มีจิตศรัทธายิ่งมานะที่จะไปให้ได้ เป็นผลให้จำนวนทัวร์แสวงบุญยังประเทศอินเดียเพิ่มสูงขึ้น

    เที่ยวบินดังกล่าวเปิดสัปดาห์ละ 3 วัน จันทร์, พุธ และเสาร์ แค่เดือนตุลาคมถึงมีนาคมเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า ช่วงเวลานอกเหนือจากนี้เป็นหน้าร้อนโค-ตรๆ ของอินเดีย หาผู้โดยสารยากแสนเข็น เนื่องจากอุณหภูมิของอากาศจะพุ่งขึ้นสูงถึง 48-50 องศาเซลเซียส...โอ้ พระเจ้า

    หลังจากลงเครื่องที่เมืองคายา (Gaya) เมืองเล็กในรัฐพิหาร ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับเนปาล

    เอนหลังทอดอารมณ์ผ่านบานหน้าต่างห้องพักบนโรงแรมรอยัล เรสิเดนซี คายา

    ภาพที่เห็นตรงหน้าไกลออกไป เด็กน้อยในชุดสีฟ้าเดินเรียงกันเป็นทิวแถวกลับจากโรงเรียนที่หน้าตาเหมือนโรงเรือนเพาะชำโปร่งๆ ชั้นเดียว ผ่านทุ่งข้าวสาลีสีเขียวอมเหลือง

    วิถีเช่นนี้คงทำให้เด็กๆ ได้สัมผัสได้ซึมซับได้ซาบซึ้งในคุณค่าของแม่โพสพเป็นอย่างดี

    พระสงฆ์ขี่จักรยานผ่านไป จีวรปลิว รถโดยสารที่บรรทุกผู้นั่งเต็มอัตราเทียมด้วยม้า รวมทั้งภาพของสามีภรรยาที่นั่งเคียงคู่กันอยู่บนสามล้อถีบ...ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่แผดจัดจ้าอย่างสบายอารมณ์

    *คายา* เป็นเมืองที่ติดอันดับยากจนที่สุด ปัจจุบันจึงเป็นที่หมายตาของกองทัพเหมาที่อยากจะได้ไปเป็นหมู่มวลสมาชิก วันดีคืนดีก็จะมีการสไตร๊ค์กันพอหอมปากหอมคอ

    เช่นในทริปนี้ ซึ่งตามโปรแกรมแล้วหลังจากสักการะต้นศรีมหาโพธิ์ และแท่นวัชรอาสน์ ที่ "พุทธคยา" สถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จุดหมายต่อไปคือ "ราชคฤห์" เมืองของพระเจ้าพิมพิสาร บ้านเกิดของชีวกโกมารภัจจ เพื่อขึ้นไปนมัสการพระคันธกุฏิบนเขาคิชกูฏ และนมัสการสถานที่ซึ่งพระสารีบุตรบรรลุเป็นพระอรหันต์ ณ ถ้ำสุกรขาตา ฯลฯ

    ต้องเปลี่ยนกำหนดการกะทันหันเพราะสไตร๊ค์ทั้งเมือง

    ทว่าถึงแม้จะไปราชคฤห์ไม่ได้ แค่ในเมืองคายาก็มีสถานที่ให้ตามรอยพระพุทธเจ้าอยู่หลายแห่ง เช่น ที่ *บ้านนางสุชาดา* สตรีซึ่งถวายข้าวมธุปายาส ซึ่งหลังจากพระองค์ฉันแล้ว ได้อธิษฐานจิตลอยถาดทองคำที่แม่น้ำเนรัญชรา ก่อนจะเดินข้ามฝั่งน้ำไปนั่งบำเพ็ญเพียรใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ และตรัสรู้ ณ ที่นั้นเอง

    บ้านนางสุชาดาปัจจุบันเห็นเป็นสถูปโบราณ มาจากค่านิยมที่จะสร้างสถูปครอบลงสถานที่สำคัญๆ เพื่อเป็นอนุสรณ์

    ที่น่าแปลกใจคือ "แม่น้ำเนรัญชรา" ซึ่งจะมีน้ำไหลหลากก็เฉพาะฤดูฝน ช่วงที่เราเดินทางไปเป็นช่วงปลายเดือนมีนาคม แม่น้ำทั้งสายซึ่งกว้างราว 1 กิโลเมตร จึงกลายสภาพเป็นแม่น้ำทรายกว้างใหญ่ มองเห็นชัดเจนตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน เป็นเส้นทางสีชาใส่นมสายคดเคี้ยว

    ว่ากันว่าเป็นเพราะการสูบน้ำบาดาลทำให้แม่น้ำเปลี่ยนทางเดิน

    อีกสถานที่น่าสนใจคือ "คยาสีสะประเทศ" หรือ "เขาพรหมโยนี" เชื่อกันว่าพระพรหมถือกำเนิดขึ้นที่นี่ เป็นสถานที่ชฎิล 3 พี่น้อง นักบวชลัทธิบูชาไฟ ซึ่งเป็นที่นับหน้าถือของชาวเมืองราชคฤห์ พร้อมกับบริวารอีก 1,000 คน ฟังคำสอนของพระพุทธองค์แล้วสำเร็จเป็นอรหันต์

    จากคายา ต่อสายการบินภายในประเทศไปยังเมือง *พาราณสี* (Varanasi) ในรัฐอุตตรประเทศที่อยู่ติดกัน ใช้เวลา 35 นาที ชั่วเวลากินกล้วยตาก 2 ชิ้น ที่เสิร์ฟบนเครื่องหมดก็ถึงที่หมาย

    พี่อ๋อ-เลิศรัชต์ อัครพัศพงศ์ กรรมการผู้จัดการศรัทธาทัวร์ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลทริปนี้ เล่าให้ฟังว่า ที่เมืองคายายังถือเรื่องวรรณะอย่างเข้มข้น จึงมีคนฮินดูส่วนหนึ่งที่บอกว่าตนเองเปลี่ยนศาสนามานับถือพุทธ แต่ก็ไม่ได้รู้วิถีปฏิบัติแบบพุทธศาสนิกชนแต่อย่างใด

    บางคนเดินถือขันขอรับบริจาคจากคนทั่วไป โดยให้เหตุผลของการกระทำเช่นนั้นว่า

    "ผมเป็นพุทธในแบบของผม"

    ส่วนผู้หญิงอินเดียจนถึงพอศอนี้แล้วก็ยังเป็นฝ่ายขอผู้ชายแต่งงาน ต้องจ่ายค่าสินสอดราว 3 แสนรูปี ยังมีค่าจัดงานและอื่นๆ อีกจิปาถะรวมแล้วตกราว 1 ล้านรูปี (100 บาท=115 รูปี)

    ฉะนั้น ในตอนเย็นๆ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างพาราณสีเราจะเห็นหนุ่มอินเดียแต่งตัวแบบหล่อสุดสุด เดินอวดโฉมตามถนน ขณะที่ผู้หญิงเองจะอยู่บนดาดฟ้าของบ้าน ซึ่งบ้านส่วนใหญ่จะก่อด้วยอิฐเปลือย ชั้นเดียวเป็นส่วนใหญ่ ดาดฟ้าเปิดโล่ง เป็นสถานที่แอบมองชายหนุ่ม เมื่อถูกตาต้องใจหนุ่มคนไหนก็จะกระซิบบอกพ่อให้ไปสืบประวัติ แล้วค่อยสู่ขอเป็นเรื่องเป็นราวกันต่อไป

    พระมหา ดร.ปรีชา กตปุญโญ มหาน้อย พระธรรมวิทยากร สายพุทธภูมิ เล่าถึงการดำรงชีพของชาวอินเดียว่า ในอินเดียจะไม่มีโรงเรียนอาชีวะ เพราะถือกันว่าพ่อแม่คือครูบาอาจารย์ ลูกจะสืบทอดอาชีพของพ่อแม่ แม้กระทั่งอาชีพขอทาน

    ซึ่งตามสังเวชนียสถานส่วนใหญ่จะมากมายด้วยเด็กที่จะเดินตาม ร้องเรียก "อาจารย์ๆ" เพื่อขอสตางค์ นั่นก็เพราะคนไทยที่ใจอ่อนให้เงินเป็นประจำทำให้เด็กๆ เหล่านี้มีอาชีพเสริมคือ การขอเงินตามสังเวชนียสถาน

    อย่างที่ ลุมพินี ซึ่งอยู่ในเขตประเทศเนปาลนั้น เมื่อก่อนเด็กเหล่านี้จะเดินตามผู้มาแสวงบุญ ท่องบทอาราธนาศีล "มยังภันเต" คนไทยได้ยินแล้วเอ็นดูว่าเด็กสวดมนต์ได้ก็ให้เงิน 10 รูปี หลังๆ เด็กก็เลยเริ่มหัดท่องบท "พาหุง" เพื่อใช้แลกรูปีจากนักท่องเที่ยว

    "ถ้าดูวิถีการดำรงชีพของคนอินเดียจะเห็นว่าคนอินเดียถือศีลห้าเคร่งยิ่งกว่าคนไทย เราจะเห็นว่าที่นี่จะยังมี "นิลกาย" หรือกวางป่าอยู่ทั่วไปตามท้องทุ่ง คนอินเดียก็จะไม่ตีไม่ทำร้าย เพราะนิลกายกินหญ้า ไม่ใช่ข้าวที่เขาปลูก

    ในอินเดียไม่มีขโมย ถ้าอยากได้อะไรก็จะใช้การขอกัน

    ยิ่งศีลข้อ 3 ยิ่งเคร่งใหญ่ จะสังเกตว่าเด็กๆ ที่เดินกลับจากโรงเรียน เด็กผู้หญิงจะไม่เดินกับเด็กผู้ชาย และหนุ่มๆ ก็จะไม่เดินกับหญิงสาว เพราะหญิงคนไหนที่เดินกับผู้ชายจะไม่มีหนุ่มคนไหนยอมแต่งงานด้วย ซึ่งผลคือหญิงคนนั้นจะถูกประณามว่าเป็นหญิงไม่ดี และถือเป็นบาปกรรมของหนุ่มคนนั้นที่ทำให้ฝ่ายหญิงหาสามีไม่ได้

    หรืออย่างการโกหก คนอินเดียที่โกหกก็จะไม่โกหกในเรื่องที่ร้ายแรง ส่วนเรื่องเมรัยนั้นเขาก็ไม่ดื่มกันอยู่แล้ว"

    จาก "พาราณสี" ต้องนั่งรถข้ามชายแดนเพื่อไปสักการะสถานที่ประสูติที่เมืองลุมพินี ประเทศเนปาล

    บรรยากาศบริเวณชายแดนอินเดีย-เนปาลคึกคักไปด้วยการค้าขาย คับคั่งด้วยผู้คนที่สัญจรไปมาตลอดวัน แม้รถราจะติดขัดขนาดหนักชนิดที่ว่าบนถนนเลนเดียวกัน แต่เราจะได้เห็นรถบัส 2 คัน มาประจัญหน้ากัน

    สองข้างถนนมีรถอีก 2 เลน รวมทั้งรถสามล้อรับจ้าง รถจักรยานขนของที่จ่อคิวรอข้ามไปอีกฝั่งถนน

    ...ติดอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมงๆ เพราะรถแต่ละฝ่ายต้องค่อยๆ ขยับถอยให้แก่กัน...ถ้าเป็นบ้านเรา ไม่อยากจะนึก

    ที่สุดการจราจรก็ไหลไปได้ตามปกติ โดยไม่เกิดเหตุรุนแรง

    อย่างว่า คนเราถ้ามีขันติ รู้จักการให้อภัย อะไรๆ ก็เป็นเรื่องเล็ก

    ส่วนใครที่มีศรัทธาแรงกล้า แต่กำลังทรัพย์ไม่ถึง ไม่ต้องเสียใจ เพราะพระท่านบอกว่า แค่รักษาศีลห้าอย่างบริสุทธิ์ให้ได้ ก็ได้ขึ้นสวรรค์...เหมือนกัน

    หรือไปสนามหลวงก่อนก็ได้ อาทิตย์นี้วันสุดท้ายของสัปดาห์อาสาฬบูชาพอดี ที่มีการจำลองสังเวชนีสถานมาให้สักการะถึงที่

    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01tra01290750&day=2007/07/29&sectionid=0139
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. Tenpokensin

    Tenpokensin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2007
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +1,639
    อนุโมทนาครับ


    ผมเคยเกือบจะได้ไป แต่เนื่องจากยังเด็ก การไปต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะผู้ใหญ่เลยไม่ค่อยสบายใจกัน เลยยังไม่ได้ไป รอให้พร้อมจริง ๆ จะไปแน่ ๆ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...