ประวัติการสร้างพระศรีอาริยเมตไตรย โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Specialized, 12 มีนาคม 2009.

  1. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    ประวัติการสร้าง
    พระศรีอาริยเมตไตรย

    โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    Credit : http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=276

    ผู้เรียบเรียง...พระชัยวัฒน์ อชิโต


    คำปรารภ

    [​IMG]
    การจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ก็เพื่อเป็นการรวบรวมประวัติการสร้าง พระศรีอาริยเมตไตรย และ มณฑป อันเป็นที่ประดิษฐาน ตามความประสงค์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน นับตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังไม่ถึงกำหนดเวลา ในการสร้าง ท่านก็ได้มรณภาพไปเสียก่อน พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นลำดับมา จึงได้สืบสานงานของท่านต่อ จนกระทั่งสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี


    หลังจากการอัญเชิญรูปหล่อ พระศรีอาริย์ มาประดิษฐานไว้บนมณฑปแล้ว ท่านก็ได้กั้นเป็นห้องกระจก พร้อมทั้งติดม่านมู่ลี่ไว้เป็นอย่างดี แล้วจึงเปิดให้ญาติโยมทั้งหลายได้เข้าไปกราบไหว้บูชา ต่อมาท่านก็ได้มีความดำริที่จะให้เรียบเรียงประวัติการสร้าง เพื่อจัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ สำหรับไว้แจกเป็นที่ ระลึกแก่บรรดาผู้ที่เข้ามากราบไหว้ภายในมณฑป

    [​IMG]

    ส่วนเนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้ จะมีวัตถุประสงค์ในการสร้างตามที่หลวงพ่อได้เล่าไว้ พร้อมกับมีเรื่องของ พระศรีอาริย์ ที่กล่าวไว้ในหนังสือ อนาคตวงศ์ ซึ่งเป็นหนังสือเก่าแก่มีคุณค่าเล่มหนึ่งในทางพระพุทธ ศาสนา ทำให้ได้รับทราบประวัติความเป็นมาเรื่อง "พุทธวงศ์" คือวงศ์ของพระพุทธเจ้าในอนาคต ได้แก่ พระโพธิสัตว์ ที่จะมาตรัสรู้ในกาลข้างหน้าอีก ๑๐ องค์ ซึ่งนับเป็นผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์ต่อจากองค์สมเด็จพระสมณโคดม แต่หลวงพ่อบอกว่า ยังมีผู้ปรารถนาพุทธภูมิบารมีเต็มรอเวลาที่จะได้รับการบรรจุเป็นพระพุทธเจ้าอีกนับแสน


    ฉะนั้น เรื่องของ พระโพธิญาณ ย่อมเป็นที่ต้องการของคน แต่การบำเพ็ญบารมีมิใช่เป็นเรื่องง่าย ส่วนผู้ที่มีกำลังใจเข้มแข็ง สามารถสร้างสมบารมีจนเต็มครบถ้วน แล้วจึงได้รับการบรรจุเป็นอันดับ ๑ ภายในกัปนี้ นับว่าหายากมากทีเดียว การสร้างรูปพระมหาโพธิสัตว์ที่จะได้มาตรัสรู้เป็นองค์ต่อไปไว้บูชา จึงถือว่ามี อานิสงส์มาก ดังที่จะเห็นได้ว่าหลังจากหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว คณะศิษย์ทั้งหลายอันมีพระภิกษุที่อยู่ภายในวัดก็ดี หรือที่อยู่ต่างวัดก็ดี ตลอดถึงบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างก็มาช่วยกันสร้างจนสำเร็จ ตามเจตจำนงของหลวงพ่อครบถ้วนทุกประการ


    เป็นอันว่า...ภายในบริเวณวัดท่าซุงแห่งนี้ จึงเป็นที่สถิตย์ ประดิษฐานอันสำคัญ เพื่อเป็นสถานที่กราบไหว้สักการบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ กาล ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต คือ


    ๑. พระพุทธรูป "สมเด็จองค์ปฐม" นับเป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลายในสมัย "อดีตกาล"

    ๒. พระพุทธรูปยืน ๓๐ ศอก คือสมเด็จพระสมณโคดม นับเป็นพระพุทธเจ้าในสมัย "ปัจจุบันกาล"

    ๓. พระศรีอาริยเมตไตรย เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าในสมัย "อนาคตกาล" ดังนี้


    พระชัยวัฒน์ อชิโต
    ๑ ตุลาคม ๒๕๔๐
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    <CENTER>ประวัติการสร้างพระศรีอาริยเมตไตรย</CENTER>
    พระพุทธบัญชา

    [​IMG]




    "...ทีนี้จะมาพูดกันถึงด้านอานิสงส์ต่าง ๆ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทำเฉพาะอย่างยิ่งกรรมบถ ๑๐ กับศีล ๕ พระศรีอาริย์ ท่านเคยสั่งไว้ว่าเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๓๕ วันนั้น ตอนกลางคืนมันจะตาย..ล้างท้อง.! ตามธรรมดา.."ล้างท้อง" ไม่มี อาการอย่างอื่นมาแทรก มันก็สบายนอนหลับ แต่วันนั้นแปลก.. พระออกไปหมด คนออกไปหมด เหลือคนเดียว..!


    เวลาประมาณทุ่มครึ่ง..มีอาการเสียด..ปวดท้องอย่างมาก อากาศก็ร้อนจัดมันก็บังคับให้ไปถ่าย...ไปเข้าส้วม เข้าก็ออกนิด หน่อย กลับมาอีกมันก็ปวดท้องอีก...ปวดมวนอีก.! เดินอย่างนี้ เกือบ ๑๐ เที่ยว เดินก็เดินจะไม่ไหว


    พอถึงเวลาสองทุ่มเศษ..ก็มีความคิดในใจว่า ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ มันมีความทุกข์อย่างนี้ เราอย่าสนใจอะไรกับขันธ์ ๕ ในเมื่อขันธ์ ๕ มันจะป่วย..ก็เชิญมันป่วย ขันธ์ ๕ มันจะตาย..ก็เชิญมันตาย การป่วยการตายนี่...ใครช่วยไม่ได้ ใครจะแบ่งเบาภาระไม่ได้ จึงตัดสินใจเอนกายลงนอน....นอนแล้วใจนึกถึงพระ....ภาวนาตามปกติ...จิตจับ "นิพพาน" เป็นอารมณ์


    หลังจากนั้นเมื่อไหว้พระเสร็จ ก็ออกจากร่างกาย..ขอบคุณ เทวดาที่ท่านอารักขา มีเทวดา..มีนางฟ้า..มากท่านมายืนอารักขา ใกล้ ๆ ขอบคุณท่านแล้วก็ไปที่ เทวสภา ที่นั่นมีเทวดามีพรหม ประชุมกันเต็มหมด เมื่อไปคุยกับท่านขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การช่วยเหลือในงานต่างๆ แล้วหลังจากนั้นก็ไปนิพพาน ไปเฝ้า องค์สมเด็จพระประทีปแก้วคือ "องค์ปัจจุบัน"


    เมื่อไหว้ท่านแล้ว ท่านแนะนำรีบไปหา "องค์ปฐม" ประเดี๋ยวท่านจะมาที่วิมานของเธอ ไปวิมานของท่านก่อน ก็ไปวิมานของท่านก่อน เมื่อไปถึงแล้วไหว้ท่านเสร็จ ท่านบอกไปวิมานของเธอ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์มาพร้อมที่นั่น แล้วก็กลับมาที่วิมาน


    พอถึงวิมานเห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด ไม่รู้ว่ากี่แสนองค์ ท่านใหญ่สูงสวยงามมาก พระพุทธเจ้าสวยงามเหมือน ๆ กัน ความจริงตอนเย็นตอนก่อนที่จะป่วยก็มีความรู้สึกว่า เมื่อวานนี้ (๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕) เราหล่อ สมเด็จองค์ปฐม แล้ว ภารกิจใหญ่ของเราใกล้จะหมด วิหารก็ใกล้จะเสร็จเหลือแต่เครื่องประดับ และต่อไปก็ทางเดิน ๑๐๐ ไร่ก็ใกล้จะเสร็จ เข้าใจว่าอย่างช้าอีก ๔ ปี ก็เสร็จ เราก็หมดภาระในการงาน เมื่อหมดภาระในการงาน เรื่องกังวลต่าง ๆ ก็ไม่มี


    ความจริงถึงแม้จะมีงานก็ไม่มีกังวล ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าหาเงินได้ก็ทำงานสร้างต่อไป หาเงินไม่ได้ก็เลิก มันจะไปค้างแค่ไหนก็ช่างมัน ก็ถือว่าไม่ใช่ภาระที่เราต้องเข้าไปผูกพัน ความรู้สึกตอนนี้มีอยู่ ใกล้ ๆ จะภาวนา พอเข้าไปถึงวิมานแล้ว สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสว่า "เธอคิดหรือว่างานที่เธอจะทำมันใกล้จะ เสร็จ" ก็บอกว่า "มันน้อยแล้วครับ ช่างก็น้อยลง และงานก็เหลือ น้อย" ท่านบอก "ยังไม่เสร็จ.! ฉันมีความต้องการให้ หล่อพระศรีอาริย์" ถามว่า "หล่อทำไม?" ท่านก็เลยบอกว่า


    " ต้องหล่อ... เพราะเงินที่เขาทำบุญหล่อฉันมันเหลือ เวลานี้ยังมีญาติโยมส่งเงินมาอีก...หล่อ องค์ปฐม" ท่านจึงสั่งให้สร้าง มณฑปพระศรีอาริย์ ขึ้นในสถานที่ใกล้ๆ มณฑปของท่าน ทำแบบเดียวกับ มณฑปหลวงพ่อปาน ท่านบอกว่า


    " ที่ตรงนั้น... ฉันดลใจเธอไม่ให้ปลูกต้นไม้ ฉันต้องการให้สร้าง มณฑปพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะคนจำนวนมากที่มีบารมียังไม่เข้มข้น และคนจำนวนแสนที่ติดตามพระศรีอาริย์ ต้องการเป็นสาวกของท่าน ก็มาเกิดสมัยนี้เป็นแสน ทั้งพระศรีอาริย์ ก็ฝากเธอไว้ว่า ให้ช่วยแนะนำให้เข้าใจตามเกณฑ์ที่เขาเหล่านั้นจะเกิดทันท่าน" เลยถามว่าจะหล่อพระศรีอาริย์เป็นอย่างไร?

    ท่านก็เรียกพระศรีอาริย์มา... พระศรีอาริย์ก็มา ในเมื่อพระศรีอาริย์มาแล้ว ก็ถามท่านว่าจะให้หล่อแบบไหน? แต่ความจริง พระศรีอาริย์สีสดสวยมาก เครื่องประดับแพรวพราวและสว่าง เป็นพิเศษ...สวยจัด! สีหลายสี..เครื่องประดับ แต่ว่าเวลาจะหล่อ จริง ๆ ท่านยืนให้ดู
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • berm.jpg
      berm.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19 KB
      เปิดดู:
      10,231
  3. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    รูปลักษณะที่จะหล่อ

    [​IMG]


    <DD>ท่านบอก.. หล่อเป็นรูปยืนครับ และเครื่องประดับทั้งหมด ไม่ต้องการให้มีสี ต้องการเป็นแก้วใสอย่างเดียว ส่วนที่เป็นเนื้อ ให้เป็นเนื้อ... เนื้อของท่านก็เป็นเนื้อสีขาว จึงถามว่า

    <DD>"ถ้าจะเอาแก้วปิด ก็จะเหมือนเครื่องประดับที่เสื้อที่กางเกง จะทำอย่างไร?" ท่านบอก "ปิดทองก็ได้ ปิดแผ่นเงินก็ได้"

    <DD>ถ้าปิดแผ่นเงินจะคล้ายคลึงเนื้อของท่าน ส่วนที่เป็นเครื่องแต่งกาย ให้ใช้กระจกเงาใส ท่านแสดงให้ดูท่ายืน มือขวาถือ "จักร" แต่ห้อยเฉย ๆ มือซ้ายถือ "พระขรรค์" ก็ถามว่า "มีจักรมี พระขรรค์ทำไม?" ท่านบอก "ผมห้อยเฉย ๆ ไม่ใช่ท่าของนักรบ"

    <DD>"จักร" ก็หมายถึง "ธรรมจักร" ก็หมายความว่า หากคนใด ที่มีกิเลสหนามาก มีทิฏฐิมานะหนามาก ต้องใช้จักรปราบปราม คือ "ธรรมจักร" คนใดที่มีกิเลสน้อยก็ให้ใช้ "พระขรรค์" เคาะ หรือให้ถู หรือขูดก็หาย อย่างเทศน์พระสูตรก็ดี หรือชาดกก็ดี เลยถามว่า "จะให้หล่อเป็นพระหรือเป็นเทวดา?"

    <DD>ท่านบอกว่า "เวลานี้ผมเป็นเทวดา..ให้หล่อเป็นรูปเทวดา อย่าเพิ่งหล่อรูปเป็นพระ" (เป็นอันยืนยันได้ว่า ขณะนี้ท่านยังเป็น เทวดา ยังมิได้จุติลงมาอย่างที่บางคนเข้าใจ ขอให้ระวังอุปาทาน) ก็ถามท่านว่า " ถ้าคนต้องการไปเกิดในสมัยของท่าน จะต้องทำบุญอะไรไว้.? ท่านบอกว่า "คนของผม...ผมฝากท่านไว้แล้วนะ ให้แนะนำด้วย มีหลายแสนคน...คนที่จะเกิดในสมัยของผม"

    </DD>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    คำสอนของพระศรีอาริย์

    [​IMG]







    <DD>ถามว่า "แนะนำแล้วทุกอย่าง แต่ว่าไม่รู้ข้อเจาะจง ให้เจาะ จงไปว่าทำบุญอย่างไร...จึงจะทันศาสนาพระศรีอาริย์?"




    <DD>(นี่..สำหรับคนมี "บารมีอ่อน" นะ คนมี "บารมีเข้ม" ให้ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าคน "บารมีอ่อน" ตั้งใจไปนิพพานชาติพระ ศรีอาริย์ หรือวางแผนไว้ ๒ อย่างก็ได้ว่า ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าพลาดชาตินี้ ขอให้ได้นิพพานสมัยพระศรีอาริย์ก็ได้)




    <DD>ท่านบอกว่า "ให้ทุกคนที่ต้องการเกิดทันสมัยผม ให้รักษา ศีล ๕ เป็นปกติ รักษา กรรมบถ ๑๐ เป็นปกติทุกวัน ไม่คลาดเคลื่อนอย่างนี้เป็น อุคฆฏิตัญญู ไปเกิดในสมัยผมฟังเทศน์แค่ หัวข้อเล็ก ๆ สั้น ๆ ก็บรรลุมรรคผลทันที




    <DD>ถ้าบางท่านปฏิบัติอ่อนกว่านั้น รักษาได้ กรรมบถ ๑๐ เหมือนกัน ศีล๕ ก็ครบ แต่ว่าบางทีก็มีอาการเผลอเล็กน้อย อย่างนี้เป็น วิปจิตัญญู หมายความไปเกิดสมัยผมเทศน์หัวข้อฟังไม่เข้าใจ ต้องอธิบายเล็กน้อยจึงบรรลุอรหันต์




    <DD>บางท่านที่มีบารมีอ่อนกว่านั้น วันธรรมดา ๆ อาจจะบก พร่องบ้างเป็นของธรรมดา แต่สำหรับวันพระต้องรักษาให้ครบ ถ้วนทั้ง ศีล ๕ และ กรรมบถ ๑๐ หมายความตามธรรมดา คน เรามีอาชีพต่างกัน บางคนปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ต้องฉีดยา ฆ่าเพลี้ยฆ่าสัตว์ที่มารบกวนพืชพันธุ์ธัญญาหารบ้าง บางคนมี อาชีพไปในทางการประมง ต้องทำการประมงฆ่าปลาฆ่าสัตว์บ้าง ถ้าอย่างนี้ถือว่าวันธรรมดาบกพร่องได้ และวันพระต้องครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างนี้ถ้าเกิดในสมัยผม เขาเรียกว่า เนยยะ เทศน์ครั้งเดียวสองครั้งยังไม่มีผล ต้องฟังเทศน์หลาย ๆ หน สามารถ เป็นพระอริยะได้




    <DD>เอาละ... บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านทั้งหลายมานั่งอยู่กันที่ตรงนี้และฟังเทศน์แล้ว เรื่องของ พระศรีอาริยเมตไตรย ถ้าจะว่ากันไปก็คงไม่แตกต่างกับเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าทุกท่านรักษา ศีล ๕ ครบถ้วน กรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน ที่มีบารมีเข้มข้นสามารถจะไปนิพพานได้ในชาตินี้ </DD>

    <DD>ถ้าบังเอิญชาตินี้พลาดไปนิพพาน ไปเกิดเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี หรือพรหมก็ตาม อีกไม่นานนักพระศรีอาริย์ก็ตรัส เราก็ฟังเทศน์ จากพระศรีอาริย์ภายในไม่ช้าก็บรรลุอรหันต์สามารถไปนิพพานได้
    </DD>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      134.3 KB
      เปิดดู:
      11,833
  5. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    งานพิธีเททองหล่อพระศรีอาริย์

    [​IMG]


    <DD>ครั้นหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วในปี๒๕๓๕ จึงได้จัดงานทำบุญประจำปีและงานพิธีหล่อ พระศรีอาริย์ วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๓๗ อันเป็นวันเริ่มงาน เวลา ๑๗.๐๐ น. พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เป็นประธานในการทำพิธีบวงสรวงเนื่องในพิธีสุมทอง

    <DD>และวันที่ ๑๓ ตอนเช้า เวลา ๐๗.๐๐ น. ได้ทำพิธีบวงสรวงอีกครั้งหนึ่ง เนื่องในพิธีเททองหล่อรูปพระศรีอาริย์ ณ ปะรำ พิธีหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร เสร็จแล้วไปรับแขกที่ศาลา ๒ ไร่ เมื่อถวายภัตตาหารและเครื่องไทยทานแด่พระมหาเถรานุเถระแล้ว จึงเดินทางมาที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ก่อนพิธีเททองมีญาติโยมพุทธบริษัทเข้ามาถวายทองคำบ้าง ทองเหลืองบ้าง ส่วนผู้ที่ทำบุญ ๕๐๐ บาท ได้รับล็อกเก็ต ๑ องค์เป็นที่ระลึกด้วย

    <DD>ครั้นถึงเวลา ๑๔.๐๐ น. หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ซึ่งเป็นองค์ประธาน เททองในวันนี้ (แทนหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา) เดินทางมาถึงปะรำพิธี นั่งพักสักครู่จึงเริ่มพิธีเททอง โดยเจ้าหน้าที่ยกเบ้ามาให้ใส่ทองยังหน้าปะรำพิธี พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา

    <DD>สำหรับ "ทองคำ" ที่ญาติโยมพุทธบริษัทถวายมาร่วมหล่อรูปพระศรีอาริยเมตไตรยในครั้งนี้ ชั่งได้น้ำหนัก ๕๐ กิโลกรัมเศษ หลังจากเทไปได้ ๓ เบ้า หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงให้พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ นำทองคำที่เหลือไปใส่เบ้าในเตาหลอมจนหมดสิ้น เสร็จแล้วหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึง เดินทางกลับ ก่อนเดินทางกลับท่านบอกกับพระครูปลัดอนันต์ว่า "จัดงานได้เรียบร้อยดี..!" ได้ยินแล้วเป็นที่ชื่นใจมาก ดังนี้

    </DD>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    <CENTER>พระอนาคตวงศ์ </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>



    <DD>บัดนี้ จะได้วิสัชนาในเรื่อง "พระอนาคตวงศ์" โดยพุทธ ภาษิตปริยาย มีเนื้อความตามพระบาลีว่า




    <DD>เอกัง สะมะยัง... ครั้งหนึ่งสมเด็จพระสรรเพชรพุทธเจ้า เสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานครวะสันโต.. เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพระพรรษาอยู่ในบุพพาราม อัน นางวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิฯ




    <DD>ครั้งนั้นพระองค์ทรงปรารภซึ่ง พระอชิตเถระ ผู้เป็นหน่อบรมพุทธางกูร "อาริยเมตไตรยเจ้า" ให้เป็นเหตุ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชฏฐ์จึงตรัสพระธรรมเทศนาแสดง ซึ่งพระโพธิสัตว์ ทั้ง ๑๐ องค์ อันจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ครั้งนั้นพระธรรมเสนา สารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา พระองค์ก็นำมาซึ่ง "อดีตนิทาน" แห่งองค์สมเด็จพระพิชิตมารทั้ง ๑๐ พระองค์ ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไปเป็นใจ ความว่า (บางคำ "ผู้เขียน" ขอเกลาสำนวนที่ฟุ่มเฟือยออกไปบ้าง)




    <DD>"...เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว ฝูงสัตว์ก็มีอายุ ถอยลงคงอยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัย ครั้งนั้นแล... จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มี "สัตถันตรกัป" คือเป็นกัปที่มนุษย์ทั้งหลายจะวุ่นวายเป็นโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะจับไม้และใบหญ้าก็กลายกลับเป็นหอกดาบแหลนหลาว อาวุธน้อยใหญ่ไล่ทิ่มแทงกัน ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา ก็หนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกห้วยหุบเขา จะเหลืออยู่ก็แต่มนุษย์ที่มีปัญญา นอกกว่านั้นแล้วก็ถึงซึ่งพินาศฉิบหายเป็นอันมาก




    <DD>เมื่อพ้น ๗ วันล่วงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่นั้น เห็นสงบสงัดเสียงคนก็ออกมาจากที่ซ่อนเร้น ครั้นเห็นซึ่งกันและกัน ก็มีความสงสารรักใคร่กันเป็นอันมาก เข้าสวมสอดกอดรัด ร้องไห้กันไปมา บังเกิดมีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป ครั้นตั้งอยู่ใน "เมตตาพรหมวิหาร" แล้วก็อุตสาหะรักษาศีล ๕ จำเริญ กรรมฐานภาวนาว่า




    <DD>"อะยัง อัตตะภาโว.. อันว่ากายของอาตมานี้ อนิจจัง.. หาจริงมิได้ ทุกขัง... เป็นกองแห่งทุกข์ฝ่ายเดียว หาสัญญาสำคัญมั่น หมายมิได้ ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสาร..."




    <DD>เมื่อมนุษย์ทั้งหลายปลงปัญญาเห็นในกระแสพระกรรมฐานภาวนาดังนี้เนือง ๆ อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็วัฒนาจำเริญขึ้นไป ที่มีอายุ ๑๐ ปีเป็นอายุขัยนั้น ค่อยทวีขึ้นไปถึง ๒๐ ปีเป็นอายุขัย ค่อยทวีขึ้นไปทุกชั้นทุกชั้น จนอายุได้ร้อย พัน หมื่น แสน โกฏิ จนถึงอสงไขยหนึ่ง




    <DD>ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักความตายแล้ว ก็มีความประมาท มิได้ปลงใจลงในกอง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา อายุก็ถอยน้อย ลงมาทุกทีจนถึง ๘ หมื่นปี ฝนก็ตกเป็นฤดูคือ ๕ วันตก ๑๐ วันตก ใน "ชมพูทวีป" ทั้งปวงมีพื้นแผ่นดินราบคาบสม่ำเสมอ เป็นอันดี



    </DD>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    เกตุมดีราชธานี

    [​IMG]



    <DD>ครั้งนั้น กรุงพาราณสี เปลี่ยนนาม ชื่อว่า เกตุมดี โดย ยาวได้ ๑๖ โยชน์ โดยกว้างได้ ๑ โยชน์ มีไม้กัลปพฤกษ์เกิดทั้ง ๔ ประตูเมือง มีแก้ว ๗ ประการ ประกอบเป็นกำแพงแก้ว ๗ ชั้นโดยรอบพระนคร


    <DD>ครั้งนั้น มหานฬการเทพบุตร ก็จุติลงมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักรพรรดิ เสวยศิริราชสมบัติในเกตุมดีราชธานี เป็นพระราชาที่ทรงธรรม ครอบครองแผ่นดินมีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต และในท่ามกลางพระนครนั้นมี "ปราสาท" อันสำเร็จแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นมาจากมหาคงคา ลอยขึ้นมายังนภากาศ มาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร ปราสาทแก้วนี้ ในสมัยพุทธกาลเป็นปราสาทแห่ง "พระเจ้ามหาปนาท" (ในตอนนี้ จะขอแทรกประวัติไว้ด้วยดังนี้) <DD><DD>
    ประวัติพระเจ้ามหาปนาท


    อันว่าปราสาทของพระเจ้ามหาปนาทนั้น เป็นปราสาทที่ ท้าวสักกเทวราช ตรัสสั่ง วิษณุกรรมเทพบุตร ลงมาสร้างถวายพระราชา กล่าวคือ..สมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นนั้น ยังมีช่างเสื่อลำแพน ๒ คนพ่อลูก ได้พากันสร้างบรรณศาลาแล้วด้วย ไม้อ้อและไม้มะเดื่อ เพื่อถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วทั้ง ๒ คนก็ช่วยกันอุปถัมภ์บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นด้วยปัจจัย ๔


    <DD>ครั้นพ่อลูก ๒ คนนั้นตายแล้ว จึงได้ไปบังเกิดในเทวโลก ส่วนบิดายังอยู่ในเทวโลก ฝ่ายบุตรได้จุติจากเทวโลก ลงมาเกิดเป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าสุรุจิ และ พระนางสุเมธาเทวี มี พระนามว่า มหาปนาทกุมาร เวลาได้เสวยราชย์แล้ว จึงมีพระนามว่า พระเจ้ามหาปนาท ต่อมาท้าวสักกเทวราชได้ตรัสสั่งให้วิษณุ กรรมเทพบุตรลงมาสร้างปราสาทถวายแก่พระเจ้ามหาปนาทนั้น


    <DD>ทั้งนี้ ด้วยอำนาจแห่งบุญญาธิการที่ได้เคยสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ปราสาทแก้ว ๗ ประการนี้ สูง ๒๕ โยชน์ จำนวน ๗ ชั้น ยาว ๙ โยชน์ กว้าง ๘ โยชน์


    <DD>ครั้นพระเจ้ามหาปนาทสวรรคตแล้ว ปราสาทนั้นก็ได้เลื่อนลงไปสู่กระแสมหาคงคา ในที่ตั้งบันไดปราสาทนั้นได้กลายเป็น บ้านเมืองขึ้นเมืองหนึ่งชื่อว่า ปยาคปติฏฐนคร ที่ตรงยอดปราสาทนั้นได้กลายเป็นหมู่บ้านชื่อว่า โกฏิคาม


    <DD>ในเวลาต่อมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง พระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลกแล้ว เทพบุตรองค์นี้ ซึ่งมีนามว่า นฬการเทพบุตร จึงได้จุติลงมาเกิดเป็นบุตรเศรษฐี มีนามว่า ภัททชิ เป็นผู้มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ มีปราสาทถึง ๓ หลัง เป็นที่ยับยั้งอยู่ในฤดูทั้ง ๓


    <DD>หลังจากได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เมื่อกราบทูลขอบรรพชาแล้ว จึงเข้าไปนั่งเข้าฌานอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำคงคา ฝ่ายชาวบ้านโกฏิคามได้ยกเรือทานถวายพระภิกษุสงฆ์ เวลาสมเด็จพระพุทธองค์เสด็จลงประทับในเรือแล้ว โปรดให้พระภัททชิไปในเรือลำเดียวกันด้วย พอไปถึงกลางแม่น้ำคงคา สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่า


    <DD>"ดูก่อน...ภัททชิ.! ปราสาทแก้วที่เธอเคยอยู่ในเมื่อครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาทนั้นอยู่ที่ไหน?"


    <DD>พระภัททชิกราบทูลว่า "จมอยู่ตรงนี้...พระเจ้าข้า"


    <DD>บรรดาภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชนก็พากันร้องกล่าวโทษว่าพระภัททชิอวดมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลจึงตรัสบอกพระภัททชิให้แก้ความสงสัยของภิกษุทั้งหลาย พระเถระถวายบังคมแล้วก็บันดาลปลายนิ้วเท้าลงไปคีบยอดปราสาทอันสูงได้ ๒๕ โยชน์นั้นขึ้นมาจากแม่น้ำคงคา ไปปรากฏอยู่บนอากาศสูงจากพื้น น้ำได้ถึง ๓ โยชน์ แล้วปล่อยไปในแม่น้ำคงคา มหาชนทั้งหลายก็หมดความสงสัย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า ปราสาท หลังนี้ พระภัททชิ เคยอยู่มาตั้งแต่ครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาท


    <DD>มีคำถามว่า เพราะเหตุใด ปราสาทหลังนั้นจึงยังไม่อันตรธาน


    <DD>มีคำแก้ว่า เป็นเพราะอานุภาพแห่งช่างเสื่อลำแพน ซึ่งเป็นบิดาในชาติปางก่อน อันมีนามกรว่า มหานฬการเทพบุตร จะจุติ ลงมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักร แล้วพระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อไปว่า


    <DD>"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า เมตไตรย อุบัติขึ้นในโลกแล้ว พระองค์จักแสดงธรรมมีคุณอันดีในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด พร้อมทั้งอรรถะพยัญชนะ จักประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง และจักปกครอง พระภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนกันกับเราตถาคตในบัดนี้


    <DD>พระเจ้าสังขจักรนั้น จักเสวยราชย์อยู่ที่ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท อันมีมาในอดีตกาลนั้น แล้วจักทรงสละปราสาทนั้น ให้เป็นทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทางไกล คนขอ ทานทั้งหลาย แล้วจักปลงผมและหนวด นุ่มห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ออกบรรพชาในสำนักของพระศาสดาผู้ทรงพระนามว่า พระเมตไตรย แล้วจักออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว จักไม่ประมาท จะมีความ เพียร จะมีใจตั้งมั่น แล้วจะสำเร็จที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันเป็น สิ่งยอดเยี่ยมและปรารถนาของกุลบุตรทั้งหลายผู้บรรพชาในไม่ช้า"


    <DD>สมัยต่อมาพระเจ้าสังขจักรได้เสวยราชสมบัติในเกตุมดีนั้น ปราสาทแก้วก็ผุดขึ้นมาแต่แม่น้ำคงคา ด้วยอานุภาพแห่งผลบุญที่เคยร่วมกันกับลูกชาย ถวายภัตตาหาร ผ้าไตรจีวร และสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าให้มีความสุขสบาย ด้วยอานิสงส์มหาศาลนี้ จึงได้เกิดมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ประดับไป ด้วยหมู่พระสนม แสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ มีพระราชโอรสมากกว่า ๑ พันพระองค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ แกล้วกล้า สามารถย่ำยีเสียซึ่งเสนาของผู้อื่น


    </DD>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70 KB
      เปิดดู:
      9,821
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2009
  8. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    แก้ว ๗ ประการ


    <DD>พระราชโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า อชิตราชกุมารเจ้า อชิตราชกุมารนั้น ดำรงตำแหน่งเป็น ปรินายกแก้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดา ผู้เป็นพระยาบรมสังขจักร อันบริบูรณ์ไปด้วยแก้ว ๗ ประการคือ จักรแก้ว ๑ นางแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ คหบดีแก้ว ๑ ปรินายกแก้ว ๑ อันว่าสมบัติของ พระเจ้าจักรพรรดินั้น ย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ เป็นที่เกษมสานต์ ยิ่งนักเหลือที่จะพรรณนาได้ในกาลนั้น

    <DD>ฝ่ายว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้ มีนามปรากฏว่า สุตพราหมณ์ นางพราหมณี ผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพราหมณวดี

    <DD>ในกาลนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ พระศรีอาริยเมตไตรย รับอาราธนาจากบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายแล้ว ก็จุติลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาถือกำเนิดในครรภ์แห่งนางพราหมณวดี ภรรยาแห่งมหาปุโรหิต พราหมณ์ผู้ใหญ่ ในวันเพ็ญเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลาย ๑๒ ประการ

    <DD>คือเหล่าเทพยดาพากันกระทำสักการบูชา ดังห่าฝนตกลง ในกลางอากาศ แล้วมีปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ผุดขึ้นมา เพื่อจะให้ เป็นที่สำราญแห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ปราสาทหลังที่ ๑ ชื่อว่า ศิริวัฒนะ ปราสาทหลังที่ ๒ ชื่อว่า สิทธัตถะ ปราสาทหลังที่ ๓ ชื่อว่า จันทกะ ปรางค์ปราสาททั้ง ๓ นี้เป็นที่จำเริญพระศิริสวัสดิ มงคล ควรจะให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ปรากฏงามดังดวง พระจันทร์ แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันหอมมิรู้ขาด เดียรดาษ ไปด้วยนางนาฏพระสนม ประมาณ ๗ แสนคน

    <DD>ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระนามว่า พระนางจันทมุขี เป็นประธานแห่งนางบริวารทั้งหลาย ๗แสน มีพระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พราหมณ์วัฒนกุมาร

    <DD>เมื่อพระมหาบุรุษผู้ประเสริฐทรงพระเกษมสำราญอยู่ใน ปราสาททั้ง ๓ ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้ จนพระองค์มีพระชนม์ได้ ๘ หมื่นปี แล้วจึงเสด็จขึ้นสู่รถแก้วอันเป็นทิพย์วิมานมีศิริหา เสมอมิได้ เสด็จไปประพาสอุทยานทอดพระเนตร เห็นนิมิตรทั้ง ๔ ประการนี้เป็น "เทวทูต" ยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้น ก็มีพระทัย น้อมไปในบรรพชา พิจารณาเห็นเพศสมณะนั้นเป็นอารมณ์

    <DD>ในขณะนั้น อันว่าปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญ ยับยั้งอยู่นั้นก็ลอยไปในอากาศ พร้อมทั้งพระราชโอรสและหมู่ นางกัลยาทั้งหลายไปกับปรางค์ปราสาท ครั้งนั้นเปรียบประดุจดังว่า พญาหงส์ทองบินไปในเวหา ฝ่ายฝูงเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชา ต่างเหาะตามมากระทำ สักการบูชาในอากาศ เนืองแน่นกันมากเป็นอเนกอนันต์ บรรดา ท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย ๘ หมื่น ๔ พันพระนครก็ดี และชาวนิคมชนบททั้งหลายก็ดี ก็ชวนมากระทำสักการบูชาด้วย ดอกไม้และของหอมมีประการต่าง ๆ เต็มเดียรดาษกลาดเกลื่อน ไปทั้งชมพูทวีป เหล่าพวกอสูรทั้งหลายก็เข้าแวดล้อมพิทักษ์รักษา ปรางค์ปราสาท

    <DD>ฝ่ายพญานาคราชนั้นกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี พญาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี อันเป็นเครื่องประดับตน เหล่าคนธรรพ์ทั้งหลายนั้นกระทำสักการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ฟ้อนรำมีประการต่าง ๆ

    <DD>เมื่อ องค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้า เสด็จออกบรรพชานั้น ฝูงเทพยดา อินทร์พรหม ยมยักษ์ และ มนุษย์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ทั้งหลาย กระทำสักการบูชา ฝ่าย พระเจ้าสังขจักรพร้อมด้วยข้าราชบริพารทั้งหลาย ก็ได้เสด็จไป ที่ใกล้แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ครั้งนั้นมหาชนทั้งหลายทั้ง ปวง มีความปรารถนาจะบรรพชา แล้วก็พากันลอยไปในอากาศ พร้อมด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักร และอานุภาพแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น

    <DD>ครั้นเสด็จถึงควงไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ คือ ไม้กากะทิง แล้วปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑล ไม้มหาโพธินั้น ฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวพัตร์ กับเครื่องบริขารทั้ง ๘ น้อมเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ แล้วพระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศาให้ขาดแล้ว ก็โยนขึ้นไปในอากาศ ก็ถือเครื่องบริขารทั้ง ๘ ประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว ส่วนว่าบริวารทั้งหลายนั้น ก็ชวนกันบวชตาม สมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก

    <DD>ฝ่ายพระมหาบุรุษราชองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้น กระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระมหาโพธิสิ้นประมาณ ๗ วัน ใน เมื่อเวลาเย็นพระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่ควงไม้พระมหาโพธิขึ้นทรงนั่งเหนือรัตนบัลลังก์ คือพระที่นั่งแก้ว แล้วทรงระลึกชาติของพระองค์ด้วย ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ได้ทรงเห็นโดยลำดับกัน ประจักษ์แจ้งในปฐมยาม

    <DD>ครั้งล่วงเข้ามัชฌิมยามทรงเห็นซึ่งการเกิดและตายแห่งสัตว์ทั้งหลายด้วย ทิพจักขุญาณ ครั้นล่วงไปในปัจฉิมยามที่สุดนั้น พระองค์ได้ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม ที่เรียกว่า อาสวักขยญาณ คือบรรลุอภิเษกสัมโพธิญาณ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ แล้วพระองค์ก็ยังมนุษย์ ทั้งหลายประมาณแสนโกฏิ ให้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรส คือพระ สัทธรรม เห็นพระนิพพานอันมิได้รู้แก่รู้ตาย เป็นธรรมาภิสมัย ให้บังเกิดแก่ฝูงเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้ตรัสรู้มรรคและ ผลหาประมาณมิได้
    </DD>
     
  9. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    พระพุทธลักษณะ

    [​IMG]


    <DD>สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยมีพระรูปพระโฉมงดงาม ตามพระพุทธลักษณะครบถ้วนทุกประการ คือพระองค์มีพระ วรกายสูงได้ ๘๘ ศอก พระองค์ใหญ่กว้างได้ ๒๕ ศอก ตั้งแต่ ฝ่าพระบาทถึงพระชานุ (เข่า) มีประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระ ชานุขึ้นไปถึงพระนาภี (ท้อง) ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระ นาภีขึ้นไปถึงพระรากขวัญ (ไหปลาร้า) ทั้ง ๒ ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระรากขวัญขึ้นไปถึงพระเศียรเกล้าที่สุดยอดพระ

    <DD>อุณหิตเปลวพระพุทธรัศมีนั้น ประมาณ ๒๒ ศอก เสมอกันทั้ง ๔ ส่วน พระรากขวัญทั้ง ๒ แต่ละอันนั้นยาวได้ ๕ ศอก อันว่าพระหัตถ์ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้น ยาวได้ ๔๐ ศอก ใน ระหว่างภายในแห่งพระพาหา (แขน) ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้นมีประมาณ ๒๕ ศอก พระอังคุลี (นิ้ว) แต่ละอันยาวได้ ๕ ศอก ฝ่าพระหัตถ์ แต่ละข้างกว้างได้ ๕ ศอก พระศอ (คอ) โดยกลมรอบมีประมาณ ๕ ศอก โดยยาวก็ ๕ ศอก

    <DD>พระโอษฐ์ (ปาก) เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง ๑๐ ศอก เสมอ กันเป็นอันดี พระชิวหา (ลิ้น) อยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว ๑๐ ศอก พระนาสิก (จมูก) สูงยาวลงมาได้ ๗ ศอก ดวงพระเนตรทั้ง ๒ โดยกว้างได้ ๗ ศอก แววพระเนตรทั้ง ๒ ข้าง ที่ดำกลมเป็น ปริมณฑลอยู่นั้นมีประมาณ ๕ ศอก พระขนง (คิ้ว) แต่ละข้าง ยาวได้ ๕ ศอก ในระหว่างพระขนงทั้ง ๒ กว้างได้ ๔ ศอก พระ กรรณ (หู) ทั้ง ๒ แต่ละข้างยาวได้ ๗ ศอก ดวงพระพักตร์นั้น เป็นปริมณฑลกลมดังดวงพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญมีประมาณ กลมได้ ๒๕ ศอก.

    </DD>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC02073.jpg
      DSC02073.jpg
      ขนาดไฟล์:
      159 KB
      เปิดดู:
      10,406
  10. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    พระเจ้าสังขจักร

    [​IMG]


    <DD>การบำเพ็ญบารมีของพระองค์ครั้งหนึ่งปรากฏชัดเจนเป็น ปรมัตถบารมี อันยิ่งยอดกว่าพระบารมีทั้งปวง ฉะนั้น สมเด็จองค์ปัจจุบันจึงนำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งการสร้างพระบารมีของพระศรีอาริยเมตไตรยมาตรัสแสดงแก่ พระสารีบุตร มีใจความว่า

    <DD>อตีเต กาเล.. ในกาลล่วงมาช้านาน ได้มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระสิริมิตร ครั้งนั้น พระศรีอาริยเมตไตรยได้เสวยศิริราชสมบัติใน เมืองอินทปัตรมหานคร ทรงพระนามว่า บรมสังขจักร มีแก้ว ๗ ประการ

    <DD>อยู่มาในกาลวันหนึ่ง พระเจ้าสังขจักรเสด็จนั่งอยู่ภาย ใต้เศวตฉัตร มีพระทัยปรารถนาว่า ผู้ใดมาบอกข่าวว่า พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ บังเกิดมีแล้ว พระองค์จะสละราชสมบัติบรมจักร พระราชทานให้แก่บุคคลผู้นั้นแล้ว พระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

    <DD>ในกาลนั้น ยังมีกุลบุตรเข็ญใจผู้หนึ่ง ไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ในพระพุทธศาสนา ด้วยมารดาของสามเณรเป็นทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่ง สามเณรนั้นคิดแสวงหาทรัพย์จะไปให้แก่มารดา เพื่อให้พ้นจากการเป็นทาสรับใช้ จึงเที่ยวไปโดยลำดับจนถึงกรุงอินทปัตร ฝูงมหาชนชาวพระนครไม่รู้จักว่าสามเณรเป็นอย่างไร ครั้นเห็นเข้าก็สงสัยว่าเป็นมหายักษ์ ต่างก็พากันจับไม้ไล่ทุบตีสามเณร ฝ่ายสามเณรมีความกลัวก็วิ่งหนีมหาชนเข้าไปจนถึงพระราชวัง ไปยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของพระราชา พระองค์จึงตรัสถามว่า มานพนี้มีนามว่าอย่างไร?

    <DD>เจ้าสามเณรจึงกราบทูลว่า อาตมภาพมีนามว่า "สามเณร" จึงตรัสถามว่า สามเณรนั้นด้วยเหตุใด สามเณรจึงทูลว่า ข้าพเจ้า มีนามว่าสามเณรนั้น ด้วยเหตุว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำบาปในภายนอก แล้วตั้งอยู่ภายในแห่งกุศล เหตุดังนั้นจึงมีนามว่า "สามเณร" พระองค์ก็ทรงตรัสถามต่อไปว่า นามกรของท่านนั้น บุคคลผู้ใด ตั้งให้แก่ท่าน สามเณรจึงทูลว่า พระอาจารย์ของข้าพเจ้าตั้งให้

    <DD>พระองค์จึงตรัสถามอีกว่า อาจารย์ของท่านนั้นชื่อใด สามเณรจึงถวายพระพรว่า อาจารย์ของอาตมาท่านมีนามว่า "ภิกษุ" จึงตรัสถามต่อไปว่า พระอาจารย์ของท่านนั้นมีนามว่า "ภิกษุ" ด้วยเหตุอะไร สามเณรจึงทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้นชื่อ "รัตนะ" เป็นแก้วอันหาค่ามิได้

    <DD>ครั้นพระราชาได้ทรงสดับว่า"พระสังฆรัตนะ" ในพระพุทธศาสนาหาได้เป็นอันยากยิ่งนัก พระองค์ก็มีความชื่นชมยินดีหาที่จะอุปมามิได้ คำนึงอยู่ในพระราชหฤทัยว่า จะเสด็จลงจากพระราชอาสน์ไปทรงนมัสการเจ้าสามเณร

    <DD>ในทันใดนั้นเอง...พระวรกายของพระองค์ก็ลอยไปตกลง ตรงหน้าเจ้าสามเณรด้วยอำนาจแห่งธรรมปีติ ด้วยเดชะที่พระ องค์มีความเลื่อมใสในคุณพระสังฆรัตนะ ดอกปทุมชาติ คือดอก บัวก็บังเกิดผุดขึ้นรองรับพระองค์ไว้มิได้เป็นอันตราย จึงถวาย นมัสการเจ้าสามเณรโดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงตรัสถามต่อ ไปว่า "พระสังฆรัตนะ" อาจารย์ของท่านนั้น บุคคลผู้ใดให้นามกร

    <DD>เจ้าสามเณรก็ทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้น คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระนามว่า "พระสิริมิตร" พระองค์โปรดประทานให้นามว่า "พระสังฆรัตนะ" แก่พระอาจารย์ของ ข้าพเจ้า พระเจ้าสังขจักรบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้ทรงพระอุตสาหะรอ การสดับข่าวว่า เมื่อใดพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นในโลก ครั้น ได้ทรงฟังสามเณรออกวาจาว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัม มาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ถึงกับทรงวิสัญญีภาพ คือสลบ ลงอยู่ตรงนั้นเอง

    <DD>ครั้นพระองค์ได้พระสติขึ้นมา จึงตรัสถามสามเณรอีกว่า ดูก่อน...เจ้าสามเณรผู้เจริญ บัดนี้ องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จ ประทับอยู่ที่ไหน สามเณรจึงทูลว่า สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จยับยั้งอาศัยอยู่ใน บุพพารามวิหาร อันมีอยู่ในทิศอุดร คือ ทางเหนือของกรุงอินทปัตรนี้ไปไกลกันมีประมาณ ๑๖ โยชน์ ครั้น ได้ทรงสดับข่าวจากสามเณรว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบังเกิดแล้วในโลก จึงตรัสว่า ดูก่อน...สามเณร! หากว่าองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเสด็จอยู่ในทางทิศใด เราก็จะไปในประเทศทิศนั้น

    <DD>สมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมบพิตรผู้ประเสริฐ หาความห่วง ใยในศิริราชสมบัติบรมจักรของพระองค์ไม่ ด้วยมีพระทัยนั้นผูกพันอยู่ในการที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระศรีสรรเพชรเป็นที่ยิ่งอย่างอุกฤษฏ์ ก็กระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรนั้น ให้สึกออกมาเสวยราชสมบัติแทนพระองค์เป็นพระราชาอันประเสริฐ

    <DD>ครั้นกระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรแล้ว เสด็จลำพังแต่เพียงพระองค์เดียว มีพระทัยเฉพาะต่อทิศอุดร ตั้งพระทัยไปสู่บุพพารามวิหาร อันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระสิริมิตรสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระเจ้าสังขจักรเป็นสุขุมาลชาติ พระสรีรกาย นั้นละเอียดอ่อนเป็นอันดี เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปตามหนทาง แต่พระบาทเปล่า เพียงเวลาวันเดียวเท่านั้น พระบาททั้งสองข้างก็แตกจนพระโลหิตไหลไปตามฝ่าพระบาททั้งสอง

    <DD>เมื่อพระบาททั้งสองบาดเจ็บจนเดินไปมิได้แล้ว ในกาลนั้น พระองค์ก็ลงนั่งคุกเข่าคลานไปทีละน้อย ไปตามหนทางที่เจ้าสามเณรบอกมานั้น ไม่ยอมละเสียซึ่งความเพียร ครั้นล่วงไปถึง ๔ วัน พระหัตถ์ซ้ายขวาและพระชงฆ์ (แข้ง) ทั้งสองข้างนั้นก็แตกช้ำ โลหิตไหลออกมา จะคุกคลานไปก็มิได้ให้เจ็บปวดแสนสาหัส เห็นขัดสนพระทัยนักแล้ว ถึงกระนั้นพระองค์จะได้คิดท้อถอยย้อน รอยกลับคืนมาหามิได้ ทรงมุ่งมั่นในพระทัยว่า จะต้องไปให้ถึง สำนักขององค์สมเด็จพระจอมไตรให้จงได้

    <DD>ครั้นพระองค์คุกคลานมิได้แล้ว ก็ทรุดลงพังพาบไถลไปแต่ ทีละน้อย ด้วยพระอุระ (อก) ของพระองค์ ประกอบไปด้วยทุกข เวทนาเหลือที่จะอดกลั้น พระองค์ยึดหน่วงเอาพระพุทธคุณของสมเด็จพระพุทธองค์เป็นอารมณ์ ด้วยเจตนาใคร่จะทรงพบเห็นพระองค์ผู้ทรงประเสริฐยิ่งกว่าใครในโลก แล้วก็ทรงอดกลั้นซึ่งทุกขเวทนานั้นเสีย หาได้ทรงอาลัยในพระวรกายของพระองค์ไม่

    <DD>ครั้งนั้น สมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงพระมหากรุณาเล็งแลดูสัตวโลกทั้งหลายด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ก็รู้แจ้งเห็นด้วยกำลังความเพียรของพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นอุกฤษฏ์ยิ่งโดยวิเศษแล้ว ก็มิใช่อื่นมิไช่ไกล เป็นหน่อพระพุทธางกูรพุทธพงศ์วงศ์เดียวกันกับพระตถาคตนั่นเอง สมควร ที่ตถาคตจักเสด็จไปสู่ที่ใกล้แห่งบรมสังขจักร

    <DD>เมื่อพระพุทธองค์ทรงพระดำริแล้ว ก็เสด็จพระพุทธดำเนินมาด้วยพระศิริวิลาสเป็นอันงาม แล้วพระองค์กระทำอิทธิฤทธิ์ เนรมิตพระวรกายของพระองค์ให้อันตรธานหาย กลับกลายเป็น มานพน้อย ขึ้นขับรถทวนมรรคามาเฉพาะหน้าแห่งสมเด็จพระบรมสังขจักรนั้น แล้วสมเด็จพระพุทธสัพพัญญูเจ้าจึงร้องถาม ไปว่า ผู้ใดมานอนอยู่กลางทางขวางหน้ารถเรา จงหลีกไปเสีย..เรา จะขับรถไป..!

    <DD>ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงตรัสตอบว่า ดูก่อน...นายสารถี ผู้ขับรถ ท่านจะมาขับเราไปให้พ้นจากหนทางนั้นด้วยเหตุใด ตัว เราผู้รู้จักคุณสมเด็จพระจอมไตรเป็นอารมณ์ยิ่งนัก หากแต่นายสารถีจะยั้งรถของท่านให้หลีกเราไปเสียจึงจะสมควร ถ้าท่านไม่หลีกก็ให้ท่านขับรถไปเหนือหลังเราเถิด ซึ่งจะให้เราหลีกนั้นเรา หาหลีกไม่ แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ถ้าท่านจะไปยังสำนักพระพุทธเจ้าแล้ว จงมาขึ้นรถไปกับเราเถิด เราจะพาท่านไปให้ถึง สำนักสมเด็จพระประทีปแก้วให้สมดังความปรารถนา

    <DD>สมเด็จพระราชาธิบดีจึงตรัสตอบว่า ถ้าท่านเอ็นดูกรุณาแก่ เรา เราก็มีความยินดีสาธุอนุโมทนาด้วย แล้วก็อุตสาหะดำรงทรง พระวรกายขึ้นสู่รถแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธ องค์ก็ทรงหันหน้ารถไปตามถนนหนทาง ในระหว่างทางนั้น สมเด็จอมรินทราธิราชกับนางสุชาดาผู้เป็นอัครมเหสี จึงได้นำเอา โภชนาหารอันเป็นทิพย์กับทั้งน้ำทิพย์ลงมา จำแลงเพศเป็นบุรุษ ยืนอยู่ตรงหน้ารถแล้วร้องว่า

    <DD>ดูก่อน...นายสารถีผู้เจริญ! ท่านต้องการข้าวน้ำโภชนาหาร หรือ...เราจะให้ เมื่อท้าวโกสีย์สักกเทวราชกับนางสุชาดากล่าว ดังนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาซึ่งแปลงเพศเป็นนาย สารถีขับรถจึงกล่าวว่า มานพผู้เจริญ.! บุรุษทุพพลภาพผู้หนึ่งมา ในรถด้วยกับเรา มีความลำบากเวทนานัก ท่านจะให้ข้าวน้ำโภชนา หารแก่เราก็ให้เถิด เราจะได้ให้แก่บุรุษผู้นี้บริโภค องค์อัมรินทร์ปิ่นธานีกับนางสุชาดาก็ให้ข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์ แด่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสตร์ แล้วพระองค์ก็ทรงประทานให้แก่พระบรมโพธิสัตว์สังขจักรเสวยข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้น

    <DD>ครั้นพระองค์เสวยอิ่มหนำสำเร็จแล้ว ด้วยอานุภาพแห่งข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้น ทำให้ทุกขเวทนาในพระสรีรกายอันตรธานหาย มีพระวรกายเป็นสุขสมบูรณ์เสมอเหมือนแต่ก่อน องค์สมเด็จ พระชินวรเจ้าจึงพาพระยาสังขจักรไปใกล้ "บุพพารามวิหาร" แล้ว พระองค์ก็ประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์ในพระวิหาร

    <DD>ส่วนหน่อเนื้อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์ก็เสด็จลงจากรถเข้าไปสู่บุพพาราม ทอดพระเนตรไปเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะอีก ๘๐ ทั้งประดับด้วยพระพุทธรัศมีอันโอภาส สว่างรุ่งเรืองออกจากพระวรกาย อันเสด็จประทับนั่งอยู่ในที่นั้น พระองค์ก็ทรงสลบลงตรงพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระ ภาคเจ้าด้วยความโสมนัส เกิดความปีติยินดีหาที่สุดมิได้

    <DD>ส่วนสมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อน มหาบุรุษราชผู้ประเสริฐ พระตถาคตเสด็จอยู่ในที่นี้แล้ว ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมสังขจักรก็ได้พระสติฟื้นขึ้นมา เกิดความเลื่อมใสศรัทธาน้อมเศียรเกล้าคลานเข้าไป แล้วเสด็จนั่งยังที่อันสมควร จึงยกพระกรขึ้นประนมถวายบังคมเหนือเศียรเกล้า กระทำการ อภิวาทนมัสการกราบทูลว่า

    <DD>"ภันเต ภควา...ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ ข้าพระบาทได้ถึงสำนักของพระองค์แล้ว ขอจงทรงพระกรุณาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้า โปรดตรัสแสดง พระสัทธรรมเทศนาให้ข้าพระบาทฟังเถิด...พระพุทธเจ้าข้า"

    <DD>สมเด็จพระศาสดาจารย์จึงมีพระพุทธบรรหารว่า "ดูก่อน.. มหาบพิตรผู้ประเสริฐ.! จงตั้งโสตประสาทสดับรสพระพุทธพจน์ เทศนาของพระตถาคต แล้วพิจารณาธรรมกถาอันกล่าวในคุณ พระนิพพานนี้เถิด"

    <DD>ปางนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดแก่พระยาสังขจักร เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับพระสัท ธรรมเทศนาบทหนึ่งสิ้นเนื้อความลงแล้ว ก็กราบทูลห้ามสมเด็จ พระประทีปแก้วว่า ขอพระองค์จงหยุดการแสดงธรรมเสียเถิด

    <DD>มีคำถามว่า... เหตุไฉนพระเจ้าสังขจักรจึงทูลห้ามเช่นนี้ เพราะเดิมทีมีพระทัยผูกพันในพระพุทธศาสดา ระลึกถึงซึ่งคุณ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า เป็นอันมาก สู้ทรงสละราชสมบัติบรมจักร เสด็จมาด้วยความลำบากแทบถึงซึ่งชีวิต ครั้นมาประสบพบองค์พระสัพพัญญูเจ้า พระองค์ประทานธรรมเทศนาแล้ว กลับห้ามเสียด้วยเหตุประการใด..?

    <DD>มีคำตอบว่า... สมเด็จพระบรมสังขจักรทรงพระดำริว่า ถ้า สมเด็จพระบรมศาสดาโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาเป็นอัน มาก แล้วพระองค์ก็เสด็จมาแต่เพียงลำพังพระองค์เดียวเปลี่ยวพระทัยนัก จะหาเครื่องไทยธรรมอันสมควรที่จะสักการบูชาให้สมควรแก่รสพระสัทธรรมนั้นหามีไม่ บัดนี้เราได้สดับรับรสแห่งอมตธรรมแต่บทเดียว เครื่องสักการบูชาของเรานี้ มิพอสมควรกันกับพระสัทธรรม พระองค์ทรงดำริดังนี้แล้ว จึงกราบทูลห้ามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสีย แล้วพระองค์จึงกราบทูลว่า

    <DD>"ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับพระสัทธรรมของพระองค์ในกาล ครั้งนี้ พระองค์ทรงพระมหากรุณาตรัสพระธรรมเทศนาแสดง พระนิพพานอันเดียวเป็นที่สุดพระสัทธรรมอยู่แล้ว ข้าพระพุทธ เจ้าจะตัดเศียรเกล้าอันเป็นที่สุดสรีระกายแห่งข้าพระพุทธเจ้า ออกกระทำการสักการบูชาพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระ ผู้มีพระภาคเจ้าก่อน"
    </DD>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.jpg
      0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      151.1 KB
      เปิดดู:
      10,593
  11. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    <CENTER>ตัดพระเศียรบูชาพระธรรม</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER>




    <DD>ครั้นตรัสดังนั้นแล้ว พระเจ้าสังขจักรผู้มีอัธยาศัยในพระโพธิญาณ จึงทรงอธิษฐานขอให้เล็บของพระองค์คมดังพระแสงดาบ เด็ดซึ่งพระศอให้ขาด แล้ววางไว้บนฝ่าพระหัตถ์ พร้อมตั้งมโนปณิธานความปรารถนา ออกพระโอษฐ์ตรัสด้วยวาจาว่า




    <DD>"ภันเต ภควา...ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงศิริ ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าสู่เมืองแก้วอันเกษมสานต์ คือพระอมตมหานิพพานอันสำราญก่อนข้าพระบาทเถิด ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไปสู่พระนิพพานอันสำราญต่อภายหลัง ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายเศียรเกล้าบูชาพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ในกาลบัดนี้ ด้วยมิได้หวังสมบัติใดในโลกนี้ มีความปรารถนาเพียงอย่างเดียว คือการบรรลุพระโพธิญาณ เป็นพระศาสดาจารย์พระองค์หนึ่งในอนาคตกาลนั้นเทอญ..."




    <DD>ในที่สุดแห่งพระวาจาที่ได้ตั้งความปรารถนาขาดลง พระ บรมโพธิสัตว์ก็สิ้นพระทัยไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต




    <DD>ดูก่อน...สารีบุตร! ครั้นเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพิชิตมารบรมศาสดาจารย์แล้ว จึงมีพระองค์สูงได้ ๘๘ ศอก ด้วยผลทานที่เด็ดพระเศียรกระทำสักการบูชาแห่งพระสัทธรรมเทศนา พระองค์ทรงพระรัศมีสิ้นทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ขาดนั้น ด้วยอานิสงส์ที่ พระองค์ทรงอุตสาหะไปในหนทาง ปรารถนาจะพบเห็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จนพระโลหิตไหลออกจากพระบาท พระชงค์ พระหัตถ์ และพระอุระ ของพระองค์ ในคราวเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสังขจักรนั้น




    <DD>อนึ่ง พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบน จนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงอเวจีมหานรก ด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์เด็ดพระเศียร ออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรม โลหิตไหลออกจากพระเศียร




    <DD>อีกประการหนึ่ง ในพระศาสนาแห่งพระศรีอาริยเมตไตรย บังเกิดมีต้นไม้กัลปพฤกษ์ นึกได้สำเร็จสมความปรารถนานั้น ด้วยผลานิสงส์ที่พระองค์เสด็จไปตามถนนหนทางใคร่จะพบองค์ สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้ามีกำหนดถึง ๗ วัน จึงได้ประสพพบพระพุทธองค์สมพระราชหฤทัย




    <DD>ดูก่อน...สารีบุตร! ผู้เป็นธรรมเสนาบดีของตถาคต ฝูงชนทั้งหลายที่มิได้เห็นรูปกายของพระตถาคตนี้ แม้ได้พบเห็นแต่พระพุทธศาสนาของพระตถาคต แล้วได้กระทำ ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ด้วยเดชะผลานิสงส์นี้ บรรดาปวงชนทั้งหลายเหล่านั้น จักได้บังเกิดทันพระพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย อันจะมาอุบัติบังเกิดเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต แสดงมาด้วยเรื่อง "พระศรีอาริยเมตไตรยบรม โพธิสัตว์" ก็ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง..ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ




    <DD>หมายเหตุ : หลวงพ่อบอกว่าอีกประมาณล้านปีเศษ ๆ พระศรีอาริย์ จึงจะมาตรัสรู้ทางอาณาเขตของประเทศพม่า ฯ<DD>Credit : http://www.tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=276


    </DD>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2009
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อนุโมทนาครับ

    ภาพของพระศรีอาริย์เป็นภาพที่ติดตามากที่สุดตอนสวดมนต์ครับ
     
  13. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ข้อเท็จจริงหลวงพ่อบอกว่าอีกประมาณล้านปีเศษ ๆ พระศรีอาริย์ จึงจะมาตรัสรู้ทางอาณาเขตของประเทศพม่า

    เท็จจริง คือ<WBR>สิ่งที่ทุกคนเชื่อว่าเป็นความจริง แต่สามารถมีการแก้ไข เปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง
     
  14. Ugood

    Ugood ธรรมชาติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +490
    อนุโมทนา ครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    ___________
    ธรรมะคือธรรมชาติ
     
  15. datchanee

    datchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,947
    ค่าพลัง:
    +1,276
  16. tarh2o

    tarh2o เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +168
    ทำไมท่านฆ่าตัวตายจึงไม่ลงนรก?<!-- google_ad_section_end --> หรือว่ากรรมก็มีลำเอียง(ไม่ได้ตั้งใจจะหลบหลู่นะครับแต่สงสัยว่าทำไมฆ่าตัวตายจึงไม่ตกนรกหรือว่ากรรมก็มีเฃือกที่จะส่งผล)
     
  17. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    ต้องไปศึกษาให้มากกว่านี้นะครับ

    การฆ่าตัวตาย หรือการ ถวายชีวิต เป็น พุทธบูชา นั้นเป็นกำลังใจของผู้ที่ทำเช่นนี้เป็นบารมีขั้น ปรมัตถ์บารมี แตกต่างจากการฆ่าตัวตายเพื่อหนีโลก หนีปัญหาเหมือนในปัจจุบันครับ ส่วนใหญ่แล้วคนที่ถวายชีวิตเป็นพุทธบูชานั้นท่านมักจะเป็น หน่อพุทธภูมิ ครับ

    ลองไปศึกษาพุทธประวัติให้ดีๆก่อนนะครับ เพราะมีหลายท่านเหมือนกันที่ถวายชีวิตเป็นพุทธบูชาครับ ดังคำกล่าวนี้

    พุทธัง ชีวิตัง เมปูเชมิ (ข้าพเจ้าขอถวายชีวิต เป็น พุทธบูชา)
    ธรรมัง ชีวิตัง เมปูเชมิ (ข้าพเจ้าขอถวายชีวิต เป็น ธรรมบูชา)
    สังฆัง ชีวิตัง เมปูเชมิ (ข้าพเจ้าขอถวายชีวิต เป็น สังฆบูชา)
     

แชร์หน้านี้

Loading...