นิมิต : หลวงปู่บุดดา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 4 สิงหาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เมื่อครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ มีพระภิกษุ 500 รูป ปฏิบัติธรรมจนเข้าใจว่าตนบรรลุธรรม จึงเดินทางกลับมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ให้พระอานนท์ออกไปแจ้งกับพระภิกษุเหล่านั้นก่อนว่า“ตถาคตยังไม่ว่าง ให้ท่านทั้งหลายไปรอที่ป่าช้าก่อน” เมื่อภิกษุเหล่านั้นไปรอพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ป่าช้า เห็นซากศพที่เพิ่งตายใหม่ๆ ไม่มีเสื้อผ้าปกปิด พอราคะสังโยชน์ปรากฏขึ้น ปฏิฆะสังโยชน์ปรากฏขึ้น ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น จึงทราบว่าตนนั้นยังไม่บรรลุธรรม ในขณะนั้นแล ก็บังเกิดพุทธนิมิต แสดงธรรมเทศนาแก่ ภิกษุทั้ง 500 รูปนั้น โดยแสดงเหตุแห่ง ราคะสังโยชน์ที่เกิดขึ้น๑ ปฏิฆะสังโยชน์ที่เกิดขึ้น๑ เมื่อสดับพระธรรมเทศนาแล้วภิกษุทั้ง 500 รูปนั้นก็สำเร็จพระอรหันต์ แล้วจึงเดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่คันธกุฎีก็นี่ละ พทธนิมิต ทั้งที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ คันธกุฎี แต่กลับสามารถเทศนา ให้ภิกษุที่ป่าช้าได้

    [​IMG]
    และเมื่อครั้งพระพุทธองค์เทศนาโปรดพุทธมารดา และเทวดา ทั้งหลาย ตอนเช้าลงมารับบิณฑบาตพระสารีบุตร ก็เทวดาน่ะ นั่งฟังไม่ลุกจากที่ ตาไม่กระพริบ ตลอด ๓ เดือนน่ะ จะเอาหม้อข้าวหม้อแกงที่ไหนมาถวายล่ะ ก็ต้องมารับบิณฑบาตรพระสารีบุตรนี่ล่ะ แล้วทางโน้นใครจะแสดงธรรมล่ะ ก็ พุทธนิมิต น่ะซิ พุทธนิมิต นี่ไม่ใช่ไม่มี พุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิต จึงอยู่ใน อัปมาโนพุทธโธ อัปมาโนธัมโม อัปมาโนสังโฆ ใครอยากรู้ก็ไปอ่านพระไตรปิฏก ไปสนามหลวงเขาแปลไม่ถึง อัปมาโนพุทธโธ อัปมาโนธัมโม อัปมาโนสังโฆ สวดแล้วก็เททิ้งหมด

    [​IMG]

    มาบัดนี้ คนเขาไม่เคยเห็น พุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิต แค่กสิณ ๑๐ เขาก็เห็นแต่ภายนอก กรรมฐาน ๔๐ เขาก็เห็นแต่ภายนอก เห็นแต่ใบลานในกระดาษโน่น มันยังมีอยู่ในจิตนี่อีก ๔๐ ภายนอก ๔๐ ภายใน ๔๐ รวม ๘๐ มันจึงจะลงกันได้กรรมฐาน ๔๐ มันอยู่ตรงไหน ไปอ้างใบลาน อ้างกระดาษโน่น มันมีแต่ข้างนอกมันไม่มีข้างใน มันก็จะไม่ลงกันหรอก เดี๋ยวมันก็จะทะเลากัน ถ้าไปพูดในสนามหลวงอย่างนี้เขาไม่ให้กินน้ำแข็งเขาหรอก เขาไล่หนีก็เท่านั้นแหละ ก็อ่านธัมมานุปัสนา สติปัฏฐาน ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี ให้รู้ว่าเกิดขึ้น ให้รู้ว่าตั้งอยู่ ให้รู้ว่าเสื่อมไป นี้เป็นกรรมฐาน ทำไมจึงอ้างแต่ภายนอกล่ะ ก็ภายในมันมีอยู่แล้วนี่ พุทธภายนอกก็มี พุทธภายในก็มี ทำไมไม่อ้างเป็นยมก เป็น คู่ๆ ล่ะ ก็เพราะไม่รู้ภาษาใจ รู้แต่ภาษาหนังสือก็เถียงกันตายโหง ทุกประเทศนั่นล่ะ พูดกับคนพูดยาก พูดกับธรรมะง่ายกว่า เอาภาษาคนไปข้ามภาษาธรรมตกนรกอเวจีวันละ ๑๐๐ ครั้ง ๑๐๐๐ ครั้ง ไปค้านธรรมะพระพุทธเจ้าได้หรือ มันอวดดีว่าเรามีธรรมะ มันอวดรู้กว่าพุทธเจ้านั่นแหละ มันไปอเวจีแล้วล่ะ กายกรรมยังอยู่ วจีกรรม มโนกรรมน่ะ ไปแล้ว



    (ถอดความจากพระธรรมเทศนาโดย หลวงปู่บุดดา)
    โพสท์ในพันธุ์ทิพย์ กระทู้ที่ K1741901 [ศาสนา-ปรัชญา] โดยคุณ : เรรวน - [ 8 ก.ย. 45]
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หลวงปู่บุดดา ตอบเรื่อง นิพพาน และจิต

    [​IMG]





    ศิษย์ หลวงปู่ครับ นิพพานโลกุตระ เป็นอย่างไร



    หลวงปู่ มันก็หมดอาสวะซิ อวิชชาไม่เหลือ



    ศิษย์ จิตยังอยู่ไหมครับ



    หลวงปู่ จิตปรมัตถ์ไป เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์จิตยังอยู่ มันเกิด-ดับ มันเป็นสังคตะไป ไม่ใช่สัตว์ คน เป็นสังคตธรรมสังคตธรรมมีอยู่ อสังคตะธรรมมีอยู่ วิราคะธรรมมีอยู่ แต่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน เท่านั้น



    ศิษย์ หมดสมมุติ หมดความยึดถือใช่ไหมครับ



    หลวงปู่ ฮื้อ! มันไม่มีอาสวะ ไม่มีอวิชชาสวะ ไม่มีอวิชชาสังโยชน์ ไม่มีอวิชชานุสัย ล่ะก็ กิเลส กรรม วิบาก มันก็ไม่มี จิตไม่มีนาม-รูปของขันธ์แล้ว มันเหนือนาม-รูปของขันธ์แล้ว สังคตะมันเหนือขันธ์ ๕ วิราคะธรรมมันเหนือขันธ์ ๕ (เหนือ คือ ไม่ถูกครอบงำ ไม่มีอุปาทานขันธ์ ย่อมไม่กลับกำเริบอีก)ขันธ์ ๕ ยังมีนามรูปติดต่อกันทางอายตนะธาตุนี่ ส่วนนิพพาน ปรมัตถ์นี้ไม่เกิดไม่ดับเป็นอสังคตะธรรม แต่ จิต เจตสิก รูป ปรมัตถ์นี้ยังเกิดดับเป็นสังคตะธรรม วิราคะธรรม ไม่มีราคะ หมดราคะถึงโลกุตระแล้วนั่น ไม่มีราคะโทสะ โมหะ เผาลนแล้ว



    ศิษย์ เมื่อดับจิต แล้ว นิพพาน สูญ ไม่เหลืออะไรเลยหรือปล่าวครับ..



    หลวงปู่ นิพพาน ไม่สูญ เป็นแต่อาสวะกิเลสสูญ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม วิบาก มันสูญ แต่ สังคตะธรรม อสังคะธรรม วิราคะธรรม มันไม่ได้หมดไปด้วย บารมี ๓๐ ทัศน์ที่พระพุทธเจ้าสร้างเป็นของไม่ตาย แต่ว่าตัวบุญต้องเปลี่ยนแปลงไปจนกว่าพระโพธิสัตว์ตรัสรู้ เพราะถ้าเป็นตัวบุญอยู่กับพระเวสสันดรก็ไม่ตรัสรู้ซิ ก็ได้เป็นกษัตริย์ ไม่ตรัสรู้ซิ แต่เพราะสละหมดอย่างพระเวสสันดร เที่ยวออกค้นคว้าถึง ๖ ปี(ซึ่งก็ต้องอาศัยบารมี อันเป็นนิสัยที่สั่งสมมา) จึงตรัสรู้ พระพุทธเจ้าบางองค์ก็อายุไม่เท่ากันมาองค์ปัจจุบันอายุ ๘๐ ปี (แล้วแต่บารมี) (ทัศนะของผมในส่วนนี้คือ เมื่อสำเร็จอรหันต์แล้ว ก็นิพพานในปัจจุบันแล้ว


    ที่ว่าไม่สูญก็ตรงนี้ล่ะ และจิตเกิดดับเป็นปกติ ส่วนเรื่องนิพพานหลังตายผมไม่ออกความเห็น เพราะไม่รู้และก็ไม่มีใครถามหลวงปู่ไว้ตรงๆ)


    ศิษย์ ที่เขาว่าไปเที่ยวเมืองนิพพาน น่ะเขาไปกันได้จริงหรือป่าวครับ


    หลวงปู่ เที่ยวได้แต่ปริยัติน่ะซิ พูดเอาภาคปริยัติก็เที่ยวได้ ภาคปฏิเวธเที่ยวได้ที่ไหนล่ะ มันมีบอกเมื่อไหร่ล่ะ


    ศิษย์ แล้วอย่างมโนมยิทธิล่ะครับ


    หลวงปู่ นั่นมันเรื่อง พุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิต ก็ตามใจซิ ก็นิมิตมันมีอยู่ หลับตาลืมตาก็มี มีของพระอริยะเจ้า พระพุทธเจ้าก็แสดงพุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิต ได้ ให้เห็นกันทั่ว กามโลก รูปโลก อรูปโลก ให้เขาได้เห็นกันเมื่อครั้งเสด็จลงจากดาวดึงส์นี่ ก็จิตนี่ล่ะมันรับธรรมะ นอกจากกายกับจิตแล้วจะเอาอะไรไปรับล่ะ กายกับจิตนี่ล่ะมันรองรับพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้ารู้นรก ๒ ชั้น นรกชั้นนอก นรกชั้นใน สวรรค์ชั้นนอก สวรรค์ชั้นใน นิพพานชั้นนอก นิพพานชั้นใน มันต้องมีภายนอกภายในพิสูจน์กันดู ดูนิพพานกันอย่างนี้ อ่านพระไตรปิฎกกันอย่างนี้ซินิพพานไม่ใช่รูปขันธ์ ไม่ใช่นามขันธ์ มันเหนือรูปขันธ์ นามขันธ์ สร้างบารมีมาก็เอาเป็นเครื่องมือ สร้างบารมีต่างหากล่ะ นามรูปนี่ตรัสรู้แล้วเอาไปเมื่อไหร่ล่ะ บารมี ๓๐ ทัศน์ ไม่ใช่ตัวขันธ์ ๕ มันเหนือขันธ์ ๕พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็เหลือขันธ์ ๕ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลายตรัสรู้ ละสังโยชน์ แล้วก็เหลือยังขันธ์ ๕ เขายังเขียนรูปโลกไว้ให้ดู แต่อยู่เหนือขันธ์ ๕ ​
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เทคนิควิธีกำราบความโกรธส่วนตัวของหลวงพ่อบุดดา ถาวโร

    วิธีที่ ๑.


    ยามใดเมื่อเราโกรธ เราต้องรู้ตัวของเราเองว่า เรากำลังได้รับพิษร้ายเข้าไปแล้ว ควรสร้างความรู้สึก"สะดุ้งกลัว"ขึ้นมาทันที และ พยายามระงับความโกรธนั้นไว้ ไม่ให้พิษโกรธกำเริบแสดงเป็นกริยาอาการอะไรออกมาอย่างเด็ดขาด ด้วยการพิจารณาโทษของความโกรธให้มากที่สุด


    ตัวอย่างวิธีคิด



    "หากเราโง่เขลาคิดตอบโต้ผู้อื่นด้วยความโกรธเมื่อใด พิษร้ายของความโกรธก็จะเพิ่มขึ้นและหมักหมมอยู่ในใจมากขึ้นทุกที มันจะคอยออกมาเผาลนจิตใจของเราไปชั่วกาลนาน เสมือนหนึ่งเราได้สร้างนรกให้เกิดขึ้นในใจของตัวเอง "


    (เป็นการนำคุณธรรมข้อ "โอตตัปปะ"หรือ "ความสะดุ้งกลัว" มาอธิบาย ให้ตัวเองเห็นถึงผลร้ายของความโกรธ / สุตตันต.เล่ม ๑๓ ข้อ ๑๑ หน้า ๑๔ )


    วิธีที่ ๒.



    มองเห็นผลดีของการระงับความโกรธด้วยเมตตา ว่าทำให้เรานอนหลับฝันดี มีเพื่อนเยอะแยะ ใครเห็นใครก็รักไคร่ มีสุขภาพจิตดี มีความสุขตลอดเวลา โห..คุ้มค่าจริง ๆ เลย (ดูอานิสงส์เมตตา ๑๑ ประการ / สุตตันต.เล่ม ๑๖ ข้อ ๒๒๒ หน้า ๓๖๑ )



    วิธีที่ ๓.



    เมื่อรู้สึกโกรธ หรือ เคืองใจใครก็ตาม ให้ตั้งสติระลึกนึกถึงความดีของคน ๆ นั้นไว้ในใจ เช่นเขาเคยทำดีอะไรให้แก่เราบ้างไหม หรือ เขามีส่วนดีอื่นๆ ที่น่าประทับใจอะไรบ้าง นึกอย่างนี้มาแทนความคิดไม่ชอบใจ ความโกรธก็จะหายไปเอง


    ตัวอย่าง


    "นายมีโกรธนายแดงที่พูดจาดูถูกตน แต่พอนายมีนึกถึงเมื่อครั้งนายแดงเคยช่วยมา ทาสีบ้านให้ทั้งวันเมื่อปีที่แล้ว นายมีก็หายโกรธนายแดง"


    "คุณเจ ไม่ชอบหน้าคุณจอนเลย เพราะคุณจอนชอบพูดจากวนประสาท แต่คุณเจก็ พยายามคิดว่าคุณจอนถึงแกจะชอบพูดกวนประสาท แต่แกก็ยังดีที่ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ คิดได้ดังนี้คุณเจ ก็เกิดความรู้สึกที่ดีต่อคุณจอนขึ้นมาบ้าง "


    (ดู วิธีระงับความอาฆาต ด้วยการมองเห็นความดีของเขา /สุตตันต.เล่ม๑๔ ข้อ ๑๖๑-๑๖๒ )
    วิธีที่ ๔.



    เมื่อโกรธคนใกล้ตัว เช่น แฟน , พี่น้อง , เพื่อนร่วมงาน หรือ โกรธคนไกลตัวเช่น นักการเมือง ฯลฯ ให้ลองนึกมโนภาพหน้าตาของเขาให้เป็นเด็กเล็ก ๆ อายุสัก 1-2 ขวบ โดยให้คิดเหมือนกับ ว่าเขาเป็นลูกของเรา สร้างความรู้สึกเอ็นดูเมตตาเหมือนพ่อแม่รักลูก ความโกรธจะหายไปเป็น ปลิดทิ้ง วิธีนี้แม้ดูง่าย ๆ และ น่าขำ แต่ก็สามารถทำให้หายโกรธได้ผลเป็นอย่างดีเลยทีเดียว


    ( ดูคำสอนเรื่องให้รักผู้อื่นเหมือนมารดารักบุตร /สุตตันต เล่ม๑๗ ข้อ ๑๐ หน้า ๑๑ )


    วิธีที่ ๕.



    คิดตั้งหลายวิธีแล้วก็ยังไม่หายโกรธ มาลองใช้วิธี "ไม่คิด" ดูก็ได้ ด้วยการ หายใจเข้าปอดลึก ๆ ยาว ๆ ทำลมหายใจให้ละเอียด (นึกจินตนาการว่าลมหายใจ ของเราเป็นอะไรบางอย่างที่ละเอียด อ่อน บางเบา ในขณะที่หายใจ ) หายใจเข้า ออกติดต่อกันสัก ๑๐ ครั้ง ความโกรธก็จะสลายหมดไป กลายเป็นความสบายใจมาแทนที่


    (ดูอานิสงส์อานาปาสติ ทำให้เกิดปีติ สุข จิตใจสงบระงับ ร่าเริง / สุตตันต.เล่ม ๖ ข้อ ๒๘๘ ข้อ ๑๗๐)


    วิธีที่ ๖.



    วิธีนี้ง่ายที่สุด เหมาะสำหรับเพื่อนสนิท หรือ คู่รัก ในยามที่เกิดความไม่เข้าใจกัน หรือ ทะเลาะกันจนต่างฝ่ายต่างโกรธ นั่นคือ "การให้ของขวัญ" เป็นวิธีแก้ไข ปัญหาความโกรธที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่ง วิธีนี้เป็นการแสดงออกที่ทำให้หายโกรธ ทั้งผู้ให้และผู้รับ


    (ดูสังคหวัตถุ ๔ คือ การให้ พูดจาไพเราะ ช่วยเหลือเจือจาน ร่วมทุกข์ร่วมสุข สมานไมตรีไว้ตลอดกาล/ สุตตันต.เล่ม๓ ข้อ๒๖๗ หน้า๒๒๐)


    วิธีที่ ๗.



    ให้มองว่าทั้งตัวเราและคนที่เราคนโกรธ ต่าง เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น คือ ไม่มีใครสามารถรอดจากความทุกข์ แก่ เจ็บ ตายได้สักคน ให้คิดจินตนาการ มองเห็นคนที่เรากำลังโกรธอยู่ เห็นภาพในอนาคตสมมุติว่าเขากำลังป่วยหนัก ใกล้ตาย เขาจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานแค่ไหน จากนั้นให้หวนคิดถึงตัวเราเองว่า เราเองสักวันหนึ่งก็ต้องพบกับความทุกข์ทรมานและความตายเหมือนเขาเช่นเดียวกัน พวกเราล้วนตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเดียวกันด้วยกันทั้งนั้น แล้วจะมามัวโกรธกันอยู่ทำไมกัน


    (ดูบทสวดมนต์แผ่เมตตา) ข้อ ๒๘๘ ข้อ ๑๗๐)


    วิธีที่ ๘.



    ใช้วิธีกราบพระเพื่อระงับความโกรธการกราบพระทำให้จิตใจเกิดความอ่อนน้อม หมดความมานะถือตัว สภาพจิตใจเช่นนี้ ความโกรธเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นหากท่านใช้วิธีระงับโกรธหลายวิธีแล้วยังไม่ได้ผล ขอแนะนำให้ใช้วิธีกราบพระ ท่านว่าได้ผลชะงัดนัก วิธีง่าย ๆ เมื่อใดที่โกรธ ให้ก้มลงกราบพระทันที และในขณะที่ท่านกราบพระ ให้นึกถึงใบหน้าของ คนที่ท่านโกรธ ท่านจะพบด้วยตนเองว่าตราบใดที่ท่านยัง กราบพระอยู่ ความโกรธจะไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลย( จากเทคนิควิธีกำราบความโกรธส่วนตัวของหลวงพ่อบุดดา ถาวโร )
     
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
  5. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260


    สาธุ นิพพานังปรมังสุขขัง
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...