นิมิต...พญานาค

ขออนุญาติร่วมแชร์ประสบการณ์ครับ...

ปี 2549 ผมบวชพระอยู่ที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดหนองคาย...ในพรรษา

นั้นมีพระภิกษุรูปหนึ่ง...ชอบอุปโลกเรื่องงมงายเกี่ยวกับพญานาค หลอกลวง

ชาวบ้านให้ถวายปัจจัยเงินทองโดยการร่วมมือกับแก๊งคนทรงเจ้า เชิญพญานาค

เข้าร่าง แล้วทำนำมนต์...บอกหวย...

พระชอบอุปโลกรูปนั้น นำกระดูกฟันกรามของช้างที่ตายแล้วซึ่งมีลักษณะ

คล้ายๆหงอนพญานาค(ส่วนที่อยู่บนหัว)ของรูปปั้นพญานาคตามบันไดทางขึ้น

โบสถ์ มาบอกกับชาวบ้านว่า "เป็นหงอนพญานาคจริง" ซึ่งสอดคล้องกับร่าง

ทรงที่หลอกลวงกันต่ออีกว่า "หงอนพญานาค ชัวร์"

ผมใช้เวลาทำความเข้าใจกับชาวบ้านหลายสัปดาห์ กว่าจะทำให้เลิกงมงาย

และแก๊งหลอกลวงค่อยๆหายไป โดยบอกว่า "ถ้าอยากเห็นกระดูกฟันของช้าง

แบบนี้ ให้ไปดูที่พิพิธภัณฑ์หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพงสิ...มีออกบานตะไท...ลง

ท้ายของเหตุการณ์ พระชอบอุปโลกรูปดังกล่าวถูกหลวงปู่เจ้าอาวาสให้

สมาทาน"งดพูด" เป็นเวลา 1 เดือน

คืนหนึ่ง...หลังเหตุการณ์สงบ...ผมนั่งภาวนาอยู่บนศาลากลางน้ำตาม

ปกติ...พอทำสมาธิให้จิตนิ่ง กระแสความคิดสงบตัว อารมณ์ใจนุ่มนวล ตาม

ประสาสมาธิขั้นกลางๆ ลมหายใจละเอียดจนไม่รู้สึก จิตไม่มีภาพปรากฎใด แต่

มีแสงสว่างนวลๆ ชื่นใจ อิ่มพอดิบพอดี...

จู่ๆ...ศาลากลางน้ำทั้งหลังนั้น เกิดสั่นไหวรุนแรง พลิกไปพลิกมา...เห็นเงา

ดำ..ใหญ่..ยาว เคลื่อนตัวอยู่ใต้นำ...ในใจรู้สึก ไม่กลัว เพราะเคยมี

ประสบการณ์มาบ้างแล้วหลายครั้ง ในรอบสิบปีที่ปฏิบัติธรรมมาก่อนหน้านั้น

และรู้ว่าศาลาไม่ได้สั่นไหว หรือพลิกจริง แต่มีอะไรบางอย่างที่ส่งกระแสสมมุติ

มารบกวนการทำสมาธิ หรือไม่ก็อยากแสดงอะไรบางอย่างให้เรารับรู้ถึงความ

มีอยู่...เป็นอยู่...ของพวกเขาเท่านั้นเอง

จึงกำหนดจิตไปที่เงาดำ ใหญ่ ยาว นั้นว่า..."ถ้าจะทำให้กลัว ตัวสั่น จนต้อง

พนมมือยอมเป็นบริวารนั้นน่ะ ไม่มีหวังหรอก เพราะผมเป็นพระ...เป็นลูกศิษย์

ของพระพุทธเจ้า (ตอนนั้นมั่นใจมาก)...แต่ถ้าต้องการให้รู้ถึงความ มีอยู่ เป็น

อยู่ ของคุณแล้วล่ะก็...ข้อนั้นทราบแล้ว และไม่อยากให้ใครเอาชื่อของคุณไป

เป็นเครื่องมือหากิน สร้างบาปความงมงายผิดๆกับชาวบ้าน" ท้ายสุดได้อุทิศ

กุศลให้เขา...

ไม่นานนัก...ศาลาก็สงบลง...เงา ดำ ยาว ใหญ่ หายไป

จึงทำให้ทราบว่า พญานาค ก็เป็น "ธรรมชาติสมมุติ" อย่างหนึ่ง เหมือนกับ

มนุษย์เรานี่เอง...ต่างกันที่ขันธ์ 5 ของเขา กับเรา มีคุณสมบัติไม่ตรงกับสถานะ

ที่จะอยู่ปะปนกับเราได้ในโลกที่เรารับรู้

เมื่อไหร่ที่ทำจิตให้นิ่ง...ระงับขันธ์ 5 ไว้ชั่วคราว เป็นสมาธิตั้งแต่ขั้นกลางๆ

ขึ้นไป เราก็อาจสัมผัสได้กับ "ธรรมชาติสมมุติ" อย่างอื่นได้ โดยไม่ต้องฝึก

อะไรเพิ่มพิเศษ

ขอให้ไม่หลงก็จะได้ปัญญา...ขอให้ไม่คิดว่าตนชักจะวิเศษแล้ว....ก็จะได้

เรื่องราวดีๆมาเล่าให้ผองเพื่อนนักบำเพ็ญจิตฟังเพื่อเสริมกำลังใจต่อไป ซึ่งผม

ยังมีประสบการณ์แปลกๆหลายเรื่องอยากจะร่วมแชร์กับทุกๆคน...

ขอขอบคุณ "เวปไซต์พลังจิต" ที่สร้างสรรค์ และนำพวกเรา เหล่า

"นักเลงสมาธิ" ได้มาพบกัน...ขอขคุณครับ

 

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆนะครับ....

 

น่าสนใจดีนะ

ให้เป็นความรู้ได้เลย

 

ขออนุโมทนาสาธุ ครับ แล้วนำเรื่องราวต่างๆ จากประสบการณ์มาเล่าให้ฟังอีกนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติได้มีความเจริญก้าวหน้าในการทำสมาธิต่อไป

 

ชอบอ่านครับ
ขอบคุณด้วยคน

 

อนุโมทนาครับที่นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง
เพื่อเป็นวิทยาทานต่อนักปฏิบัติท่านอื่นต่อไป
สาธุ