นั่งข้ามเวทนา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jumook, 6 มีนาคม 2011.

  1. jumook

    jumook เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2009
    โพสต์:
    121
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,043
    อ่านแล้วมีกำลังใจครับเลยอยากให้คนในเว็บอ่านบ้างเพื่อจะได้เป็นกำลังใจในการปฏิบัติมากขึ้น

    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]บทความต่อไปนี้คัดมาจากหนังสือชื่อ"ธรรมะในโลกกว้าง"ของผู้เขียน (พระวรพงศ์ ธัมมะวังโส จักรเสน)[/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]นั่งข้ามเวทนา[/FONT]

    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]สมัยตอนผู้เขียนยังปฏิบัติกรรมฐานอยู่ที่สำนักวิปัสสนาวิเวกอาศรม จังหวัดชลบุรี ตอนนั้นนับเป็นพรรษาที่ 2 ปัญหาหนึ่งของผู้เขียนคือนั่งสมาธิไปสักพักจะเกิดเวทนา..........ก็ปวดขานั้นแหละจ้ะ...............มากๆเลย ซึ่งนักปฏิบัติหลายๆคนก็คงจะเคยเจอะเคยเจอกับปัญหานี้มาแล้วเช่นกัน [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ตอนนั้นจำได้ว่า ทุกครั้งที่นั่งไปจนนับเวลาได้ 40 นาที จะมีอาการปวดประเภทที่ว่า ทนไม่ได้ จะเป็นจะตาย.........เพราะรักเธอ...........เธอในที่นี้ก็คือรักตัวเองน่ะ..........มันปวดจนเหมือนขากำลังจะขาด หรือ กระดูกหัวเข่ากำลังจะแตก.......สุดจะบรรยาย [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ความจริงผู้เขียนสู้กับเวทนามาตลอดในการนั่งสมาธิ สมัยตอนหัดนั่งเองที่บ้าน เริ่มจากการนั่ง 5 นาที คือ เป็นการเริ่มเหมือนเด็กหัดใหม่เลย เราไม่เคยนั่งเอาขาขวามาทับขาซ้าย เพราะในชีวิตของลูกผู้ชายคนนี้เคยแต่นั่งขัดสมาธิแบบเอาขาไขว้กันธรรมดา หรือไม่ก็นั่งพับเพียบเรียบร้อย.......เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าพระ หรือผู้หลักผู้ใหญ่ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ตอนนั้น แค่นั่งคิดว่าเค้าจะเอาขาขวายกขึ้นมาทับขาซ้ายได้ยังไงกันเน้อ ลองทำดูแค่ยกก็เจ็บแล้ว ลองดูนั่งแค่นาทีเดียวก็ยังต้องยกเอาขาออกเลย ปวดขาน่าดู..............คราวนี้ ลองนั่งแบบเอาจริงเอาจัง กะสัก 5 นาทีนะ นะ นะ.............................ฮึด............................โอ้ 1 นาที..............ผ่านไป [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ฮึด......................2 นาที...................ผ่านไป โปรดสังเกตว่านานมากจนต้องขึ้นย่อหน้าใหม่เลย........... ฮึด.......................3 นาที ผ่านไป เคยสังเกตกันบ้างไหมเวลาที่เราทำอะไรที่เราไม่ชอบหรือเวลาที่เรามีความทุกข์ในเรื่องอะไรสักอย่าง...........มันรู้สึกไปเอง..........ว่าเวลามันทำไมผ่านไปช้าจัง [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]แค่ 3 นาที....ย่อหน้ามา 3 ย่อหน้าแล้ว.............โอย ทำไมมันนานอย่างนี้ คิดไปเรื่อย.....หรือว่านาฬิกามันจะเสียหรือเปล่าหนอ???................ไอ้นาฬิกาบ้าเอ๋ย...............โอย โอย............ในที่สุดต้องเลิก ยอมแพ้ แค่จะนั่งให้ได้สัก 5 นาทียังทำไม่ได้เลย...............เศร้า [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]จากนั่ง 5 นาที พอได้ก็ค่อยๆขยับปรับเวลาให้นานขึ้นไปอีก........เป็น 10 นาที................เป็น 15 นาที..............เป็น 20 นาที...................จนสูงสุดมาหยุดอยู่ที่ 40 นาที.............ต้องเลิกทุกที เกินกว่านั้นไม่ได้ มันทรมานสุดฤทธิ์สุดเดช............... [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]นั่ง 40 นาทีอย่างนี้มาตลอด 2 ปีของการเป็นฆราวาส และเมื่อมาบวชก็ยังคงรักษาสถิติการนั่งเช่นนี้ไว้อย่างเหนียวแน่น...............สงสัยจะชอบเลข 40 แน่ๆ[/FONT]

    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]เวลามองพระรูปอื่นที่เค้านั่งได้นานเป็นชั่วโมงแล้วก็รู้สึกเคารพศรัทธาว่าท่านเก่งจัง อดทนจัง ทำได้ยังไง อยากทำได้บ้างจัง ก็ได้แต่คิด...............แต่ทำไม่ได้..............เอาชนะความเจ็บปวดทรมานไม่ได้...................สักที [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]จนอยู่มาวันหนึ่งหลังเดินเข้าไปนั่งสมาธิในศาลาปฏิบัติธรรมเช่นเคย แต่วันนี้มีฝรั่งชาวต่างชาติ(หน้าใหม่)มานั่งอยู่ด้วย คือที่สำนักแห่งนี้ ได้เปิดให้การต้อนรับให้กับทุกๆคน ทั้งพระภิกษุและคนทั่วๆไปด้วย และเป็นสำนักหนึ่งที่มีชาวต่างชาติสนใจเข้ามาปฏิบัติธรรมกันเยอะพอควร [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ฝรั่งคนนี้อายุอานามก็คงราว 30 ปลายๆ แต่ว่านั่งได้นานมาก...........โดยเฉพาะมากกว่าผู้เขียนที่ตอนนั้นก็พรรษาที่ 2 เข้าไปแล้ว..............ฝรั่งแกนั่งทีละ 2 ชั่วโมง..............เฉยๆ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน................ต่างกับผู้เขียน นั่งคิดถึงแต่นาฬิกา............นาฬิกาที่สำนักแห่งนี้มันต้องเสียแน่ๆ................. [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ทำไมเวลาผู้เขียนไปนั่งสมาธิที่ไหน...............นาฬิกาในสถานที่นั้นมันต้องเดินช้ากว่าปรกติ...............หรือว่าเราจะมีพลังจิต.................บังคับนาฬิกา(บ้าๆนี่)ให้มันเดินช้าได้.............โอย โอย นี่เจ้าฝรั่งผมทองนี่คงต้องไม่รู้แน่ๆว่านาฬิกาที่นี่มันเสีย...............โอย โอย [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ตกเย็นวันนั้น เลยเข้าไปกราบพระอาจารย์ชาลีซึ่งเป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่ผู้เขียนเคารพท่านมากๆรูปหนึ่ง ผู้เขียนเล่าให้ท่านฟังว่านั่งมาหลายปีแล้วไม่เคยนั่งได้เกิน 40 นาทีเลยต้องยอมพ่ายแพ้ต่อเวทนาทุกทีไป......... [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]พระอาจารย์ชาลีท่านเป็นคนพูดน้อย.........แต่ว่า คำพูดน้อยๆและสั้นๆของท่านแต่ละคำนั้นดูมันศักดิ์สิทธิ์ ให้กำลังใจ และให้ความมั่นใจแก่ผู้เขียนมาก..........หลังจากท่านฟังผู้เขียนพูดจนจบ.......... [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ท่านก็พูดว่า............“ลุยเลย”[/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ผู้เขียนพูดทั้งเล่าปนบ่นมาตั้งนาน ท่านพระอาจารย์พูดแค่ 2 คำ.........ลุยเลย แต่มันกลับมีมนต์ขลังทำให้ผู้เขียนเกิดความฮึกเหิมขึ้นมาทันที..............ลุยเลย............ลุยเลย...........ลุยเลย [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ตอนนั้นห้องพักผู้เขียนอยู่บนชั้นที่ 2 ของศาลาปฏิบัติธรรมแห่งนี้นั่นเอง ผู้เขียนเดินออกไปจากห้องสอบอารมณ์ของพระอาจารย์ชาลี ขึ้นไปที่ห้องพักของตน และเริ่มนั่งสมาธิ และอธิษฐานจิตว่า ถ้ายังนั่งข้ามเวทนาความปวดไม่ได้.........ไม่ว่าจะนานเท่าไรก็ตาม..............จะไม่ยอมเลิกนั่ง.......ไม่ว่าจะเป็นอะไร........จะปวดขาตายก็ยอม.........ให้มันรู้กันไป [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]หลังจากนั่งมาได้ประมาณ 40 นาที..........เจ้าเวทนาความปวดเจ้ากรรมและนายเวร ก็ตามมาเล่นงานอย่างเก่า............ผู้เขียนปวดจนอยากจะเลิกนั่งอยู่หลายครั้ง............แต่เสียงคำว่า ลุยเลย ของพระอาจารย์ยังดังก้องอยู่ในดวงจิต................ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]คงราว 10 นาทีผ่านไป.............แต่เหมือนกับสัก 10 ชั่วโมง..........นาฬิกามันเสียอีกแล้ว....โอย.....โอย............แต่ครั้งนี้ แตกต่างออกไป............เพราะได้ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้แล้วว่าจะไม่เลิกนั่งจะทำลายบัลลังก์นี้...........หากไม่สามารถนั่งข้ามเวทนาได้ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]พอตัดใจได้เช่นนั้น..........ได้เกิดนิมิตภาพทางใจขึ้นมา.........โดยผู้เขียนได้เห็นภาพของเส้นเลือดที่บริเวณขาขวาตรงข้อพับ.....ซึ่งก็คือบริเวณที่กำลังปวดอยู่แสนสาหัสในขณะนั้นนั่นแหละ........มองเห็นว่ามีเส้นเลือดใหญ่เส้นหนึ่งกำลังตีบลงๆๆ..............จนเลือดเดินไม่ได้................. [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]และได้มีเสียง..........ดังปรากฏเข้ามาในกลางหัวของผู้เขียนว่า............ถ้าไม่เลิกนั่งตอนนี้ต่อไปจะเดินไม่ได้........จะกลายเป็นคนพิการ...............ขาจะเสีย................เสียงนั้นยังพูดต่อไป.....ไม่รู้เป็นเสียงใคร ไม่เคยได้ยินมาก่อน รู้แต่ว่าเป็นเสียงผู้ชายที่มีเสียงอันทรงพลังอำนาจคนหนึ่ง..........หรือ...........อาจจะคือเสียงของมาร [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]เสียงนั้นบอกต่อไปว่า..............ขาจะเสีย เดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต เดี๋ยวก็ต้องเดือดร้อนให้พระอาจารย์ชาลีขึ้นมาพาไปโรงพยาบาลที่ชลบุรี.............แล้วต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต.............. [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ผู้เขียนฟังแล้ว..............กลับทำใจได้.............บอกตอบกลับไปในจิตว่า.............เอาเลย.......จะเป็นอะไรก็เชิญ.............จะให้ขาพิการ.............ต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิตก็เชิญตามสบายเลย............ตอนนี้ ขอเพิ่มหน่อยว่า ก็ดีจะได้ไปนั่งขายลอตเตอรี่...........ลอตเตอรี่ ครับ ลอตเตอรี่......พรุ่งนี้รวย........ตอนนั้นนึกตลกไม่ทัน เพราะว่ามัวแต่ปวดขาจะตายอยู่แล้ว เลยไม่มีอารมณ์มาตลก [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]พอตัดใจได้เท่านั้น............เวทนาที่กำลังปวดแสนสาหัสอยู่นั้น...........หายไปเป็นปลิดทิ้ง..........กลับมีปีติสุข............เบา............เย็นสบาย............อย่างไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน.........มีความรู้ผุดๆขึ้นมาตลอด เช่น...........ทราบว่าเราเกิดมาทำไม............เพื่ออะไร.............. [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ในขณะนั้นก็มีความระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ว่าต้องขอกราบขอบพระทัยพระองค์ท่าน ที่ได้โปรดประทานธรรมะคำสั่งสอนอันล้ำค่านี้แก่มวลมนุษย์.................สมแล้วที่เค้ากล่าวว่าศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาแห่งความเพียร..............ผู้ที่มีความเพียรอย่างไม่ย่อท้อ..........จนอาจยอมแลกได้แม้ชีวิตของตน.............ย่อมได้รับผลของความเพียรนั้นๆ เป็นปัจจัตตัง.....รู้ได้เฉพาะตน [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]รวมเวลาที่นั่งอยู่ในบัลลังก์นั้นราว 1 ชั่วโมงกว่า..............เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เคยนั่งได้เกิน 40 นาที............... [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ผู้เขียนลุกขึ้นยืน...........และลงมากราบพระอาจารย์ชาลีทั้งน้ำตาแห่งความปีติ เล่าเรื่องราวที่เพิ่งประสบมาทั้งหมดให้ท่านฟัง...................ท่านพยักหน้าอย่างเข้าใจและ..........บอกว่า “ดีแล้ว”...........สั้นๆ แต่ได้ใจความสมบูรณ์บริบูรณ์ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ในวันต่อมา พระอาจารย์ท่านได้ขยายความให้ผู้เขียนฟังว่า เวทนามีอยู่ 2 ประเภท คือ 1.เวทนาอย่างหยาบ และ 2. เวทนาอย่างละเอียด.............นักปฏิบัติส่วนใหญ่จะมาติดอยู่ที่เวทนาอย่างหยาบนี่เอง พอปวดมากเข้าๆ ก็จะยอมพ่ายแพ้ต่อเวทนา [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]แต่ถ้าหากอดทน...........ยอมปวด...........จนถึงยอมตัดตายได้...............ก็จะข้ามพ้นเวทนาอย่างหยาบไป.............โดยแต่ละคนก็จะมีระยะเวลาที่แตกต่างกันออกไป สำหรับผู้เขียนคือ 40 นาที............พอขึ้นสู่เวทนาอย่างละเอียด เวลานั่งจะยังคงปวดอยู่ก็จริง แต่มันจะไม่ทรมานอย่างเก่าอีกแล้ว คือมันจะทนได้........(ถ้าเราอยากจะทน) [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ซึ่งก็เป็นความจริงตามพระอาจารย์ชาลีท่านกล่าวทุกประการ ในพรรษานั้น.........ผู้เขียน เริ่มนั่งเป็นครั้งละ 1 ชั่วโมง.................2 ชั่วโมง....................3 ชั่วโมง โดยได้นั่งชนะฝรั่งผมทองคนนั้นได้แบบขาดลอยไปนานแล้ว [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ในพรรษาที่ 3 อันเป็นพรรษาถัดมา..................ผู้เขียนเคยนั่งได้นานสูงสุดเป็นเวลา 18 ชั่วโมง...................... [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า บุคคลจะล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร และตลอดเวลา 45 พรรษาหลังทรงตรัสรู้พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสเน้นในเรื่องกรรม ผลแห่งกรรม และ ตรัสเรื่องการทำความเพียร ผู้เขียนก็เป็นเพียงอีกหนึ่งตัวอย่างของพระรูปหนึ่งที่เพียรพยายามดำเนินตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์ [/FONT]

    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]No Pain, No Gain[/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ไม่พยายามก็ไม่สำเร็จ [/FONT]

    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]นั่งดูลม[/FONT]
    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ว่างๆ เรามานั่งดูลมกันดีไหม ดูลมหายใจเข้า แล้วก็ดูลมหายใจออก วันหนึ่งๆคนเราหายใจเข้า-ออกนับเป็นหมื่นครั้ง เราต่างมีเครื่องมืออุปกรณ์ในการเจริญสติชั้นเลิศอยู่กับตนเองอยู่แล้ว หากปล่อยให้มันผ่านไป โดยไม่รู้จักเก็บเกี่ยวลมหายใจนี้มาใช้ประโยชน์ มาต่อยอด ก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน.... [/FONT]

    [FONT=Tahoma, Sans-Serif]ที่มา watthaiuk.co.uk[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2011
  2. jumook

    jumook เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2009
    โพสต์:
    121
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,043
    พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมฺโม
    ณ หอประชุม วัดอัมพวัน ๒๘ ส.ค. ๒๕๒๙

    ต่อท้าย #1 13 พ.ค. 2553, 19:03:27
    อาตมาอาพาธวันนี้ไม่สบายมาก เมื่อวานนี้ไปบรรยายที่ค่ายจิระประวัตินครสวรรค์ กำลังมีเวทนามาก หมอเขาไม่ให้ไปหรอก โยมกำหนดเสียให้ได้ ปวดหนอ ปวดหนอ เอาเวทนาฝากไว้ก่อน ฝากไว้กับเสาก็ได้นะ แล้วก็ไปได้ไม่เป็นไรหรอก เอาเวทนาฝากเป็นหรือยัง ปวดหนอ ปวดหนอเนี่ย ฝากไว้แล้วก็ไป ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นไม่ป่วย แยกเวทนาออกเป็นสัดส่วนแล้วก็ฝากไว้ซะทำนองนี้ คงจะได้นะ

    ปวดหนอ ปวดหนอ หายปวดไหม ตั้งแต่มานั่งที่นี่....(ปวดหนอ แต่ ไม่หายหนอ เจ้าค่ะ) ยิ่งปวดหนักใช่ไหม ยิ่งหนักยิ่งกำหนดหนักเข้าไป ตายก็ให้ตายต้องอย่างนั้น เดี๋ยวปวดหนอ ปวดหนอ โอไม่หาย เลิกหนอ เลิกหนอ อย่างนั้นไหม...(ยังไม่ถึงขั้นเจ้าค่ะ) ยังไม่ถึงขั้นเลิกหนอหรือ งั้นก็ไปได้ซี ไปได้...(เปลี่ยนหนอเจ้าค่ะ) อ๋อ เปลี่ยนหนอ เออมีเปลี่ยนหนอเหมือนกันเดี๋ยวปวดหนอ ปวดหนอ โอ๊ยทนไม่ไหวแล้วหนอ เปลี่ยน...หนอ เปลี่ยน...หนอ เปลี่ยน...หนอ งั้นเหรอ เอ้าก็พอไป พอไปได้ แต่อย่าเปลี่ยนบ่อยนักนะ เดี๋ยวจะเคย ใหม่ ๆ นี้ได้ แต่หนักเข้าอย่าเปลี่ยนบ่อยนักนะ เดี๋ยวเคยชิน เปลี่ยนดี ทีแรกก็เปลี่ยน ๆ ไปก่อน พอหนักเข้าตายให้ตายไม่ต้องเปลี่ยน ทีแรกเปลี่ยนได้ เพราะเราไม่เคยนะ โยมนะ

    อุปาทาน นี่เป็นสมถะก่อน ปวดหนอนี่เป็นสมถะ ไม่ใช่วิปัสสนาจำไว้ให้ได้ ปวดหนอนี่ยึดบัญญัติเป็นอารมณ์ เพราะว่ามีรูปมันจึงมีเวทนา วัตถุคือรูปนี่เกิดสัมผัส เกิดสังขารปรุงแต่ง มันจึงปวด ปวดแล้วกำหนด ปวดหนอ ปวดหนอ ยิ่งปวดหนัก ถ้าเราไม่กำหนดเลยก็ไม่ปวดหรอก แต่วิธีปฏิบัติต้องกำหนดจะได้รู้ว่าเวทนามันเป็นอย่างไร นี่ตัวธรรมะอยู่ที่นี่ ตัวธรรมะอยู่ที่ทุกข์ ถ้าไม่ทุกข์จะไม่รู้อริยสัจ ๔ เอ้าลองดูซิ ถ้าปฏิบัติเกิดเวทนา-แล้วเลิก โยมจะไม่รู้จักอริยสัจ ๔ รู้แต่ทุกข์ข้างนอก ทุกข์ประจำไม่รู้เลยนะ รู้แต่ทุกข์จรนะ จำไว้ จะไม่รู้อริยสัจ ๔ ในภายในโยมจะรู้อริยสัจ ๔ ภายนอก รู้แต่ทุกข์จรเข้ามาเท่านั้นเอง

    ทุกข์ประจำนี่สำคัญเอาก่อน ปวดหนอ ปวดหนอ นี่ทุกข์ประจำ ทุกข์ประจำเลยต้องให้เห็นธรรมะ ว่า ปวดหนอ ปวดหนอ โอ๊ยจะตายเลย บางคนนั่งไปทำไปเหลืออีก ๑๕ นาทีจะหนึ่งชั่วโมง หรืออีก ๕ นาทีจะถึง ๓๐ นาทีที่ตั้งใจไว้ จะตายเลยทุกครั้ง ทุกคนเป็นอย่างนี้แหละ ถ้านั่ง ๑ ชั่วโมงจำไว้เหลืออีก ๑๐ นาทีจะแย่ เราไม่ต้องดูนาฬิกา พอมันจะแย่เวทนามาเราจะทายได้เลยว่าอีก ๑๐ นาทีถึงชั่วโมง ไม่เกินแน่นอน อย่างต่ำก็ ๑๕ นาทีถึงชั่วโมงแน่ ลองดูเลยจะตายเลย เอ้าตายให้ตาย ตายให้ตาย ปวดหนอ ปวดหนอ โอ้โฮมันทุกข์อย่างนี้เลย พิโธ่เอ๋ยกระดูกจะแตกแล้ว แล้วที่ก้นทั้งสองนี่ร้อนฉี่เลย เหมือนหนามมาแทงก้น โอ้โฮมันปวดอย่างนี้เองหนอ ปวดหนอ ปวดหนอ กำหนดไป เป็นไรเป็นกัน พอใกล้เหลือเวลาอีก ๕ นาทีถึง ๑ ชั่วโมงที่ตั้งสัจจะไว้จะตายเลยนะลอดดู ลองดู ต้องทนฝืนใจ

    ต่อท้าย #2 13 พ.ค. 2553, 19:03:52
    ....
    ธรรมะต้องฝืนใจ มิฉะนั้นถาดของแม่นุชนาฎสุชาดาลอยเหนือน้ำทำไม พระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่รู้นะ ว่านี่เราฝึกมาจากอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ยังไม่สำเร็จ ได้แค่ฌานสมาบัติมาตั้งแต่อดีตชาติ ท่านได้ฌานมาตั้งแต่เป็นพระเวสสันดรนะ พระพุทธเจ้าของเรานี่ เจ้าชายสิทธัตถะได้ฌานมาตั้งแต่เป็นพระเวสสันดรนะ ที่อยู่ในป่าหิมพานต์จะไม่เล่าเรื่องพระเวสสันดรหรอกเดี๋ยววันนี้ไม่จบรายการ ได้สำเร็จฌานมาพอเป็นกุมารก็ลอยขึ้นไปบนต้นหว้า เห็นไหมล่ะ สำเร็จมาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จว่าดับทุกข์ได้อย่างไร ไม่อยากจะมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ทำอย่างไรเพราะยังไม่พบ ยังไม่พบทำอย่างไร เลยทีนี้ก็ทนทุกข์ทรมาน ทุกขกิริยา ๖ ปี แล้วทำให้เกิดเทพสังหรณ์ ทำให้ปัญจวัคคีย์หนีไปหมด ถ้าไม่หนีไปไม่สำเร็จจำไว้ อยู่เป็นกลุ่มมาก ๆ ไม่สำเร็จ ทำให้เกิดพิณ ๓ สายขึ้นมา ตึงจัด- หย่อนจัด-มัชฌิมาปฏิปทา ปานกลาง ในธรรมจักรนั้นเอง พระพุทธเจ้าคิดได้ กลับมาฉันอาหาร ทำให้ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าคิดว่าเจ้าชายสิทธัตถะมักมาก หนีเลย ดีแล้วอยากจะให้หนีไปตั้งนานแล้ว เลยพระองค์ก็อยู่องค์เดียว ก็เสวยพระกระยาหารของแม่นุชนาฎสุชาดา แม่นุชนาฎสุชาดาเมื่อสมัยก่อนยังไม่มีพระพุทธเจ้า ก็ต้องไปถือเทวดา ต้องไปไหว้ต้นหมากรากไม้กัน เหมือนบางคนที่ยังไหว้อยู่จนบัดนี้ ยังถือมาอยู่ ๒,๐๐๐ ปีกว่าแล้ว ไปไหว้ต้นไม้ แล้วผ้าสวย ๆ นะไปห่มต้นไม้กันเดี๋ยวนี้คนยากจนไม่ให้ แหมไปห่มต้นไม้ทำไมกัน “แก้บน” เขาบอก ก็ดีอาตมาเห็นด้วย เอาเถอะไม่เป็นไรหรอกแล้วแต่อัธยาศัย เลยก็นางสุขาดาก็เห็นเทวดา บอกแหมมาบนบานศาลกล่าวทุกครั้ง ไม่เคยเจอเทวดาเลย แหม เทวดาสวยมากเลยถวาย แหมเทวดาแน่เลย ทุกครั้งกินไม่หมดต้องเอากลับบ้านทุกที แหมวันนี้ฉันซะหมดถาดเลย
    แล้วก็เจ้าชายสิทธัตถะจึงขออธิษฐานว่า ธรรมะบทใดหนอที่จะสำเร็จมรรคผลสัมโพธิญาณในกาลต่อไปนี้ ขอให้ถาดนี้เป็นปริศนาออกมา ณ บัดนี้ ว่าแล้วก็ลอยถาดออกไปเลย วิ่งขึ้นเหนือน้ำทันทีมีที่ไหน มีแต่ลอยล่องน้ำ นี่ขึ้นไปเลย ทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะของเรานั้นนึกถึง ต้องฝืนใจ ต้องฝืนใจ ถ้าไม่ฝืน ไม่สำเร็จ

    คืนวันนั้นพระพุทธเจ้าก็อธิษฐานจิต ที่ศรีมหาโพธิ์ เอาหญ้ากุสะมาขัดเป็นบัลลังก์ “ข้าพเจ้ายอมตายเลยถ้าไม่สำเร็จมรรคผลสัมโพธิญาณ ในค่ำคืนวันนี้ข้าพเจ้ายอมตาย” ได้ธรรมะจากถาดที่ลอยขึ้นเหนือน้ำ ฝืนใจเลย ตายให้ตาย-ตายให้ตาย-ตายให้ตาย สำเร็จเลย เลือดเนื้อเหือดแห้งอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายอมตายบนหญ้าสุกะ ณ บัดนี้ ใช่ไหม เห็นด้วยไหม ต้องฝืนใจนะโยมนะ ต้องฝืนใจ

    ไปวัดกระซิบบอกเบา ๆ ฟังเขาสอน ชีวิตเราที่เกิดมาไม่ถาวร
    อย่ามัวนอนหลงเล่นไม่เป็นการ ไฟสามกองกองเผาเราเสมอ
    อย่าเลินเล่อควรทำกรรมฐาน ไหน ๆ ชีวิตเราเกิดมาต้องตายทุกคน
    ในเมื่อใกล้ตายญาติมิตรบอกให้คิดถึงอรหัง รู้ได้ดีที่สุดคุณพระพุทธัง
    เพราะกำลังเวทนาทุกข์กล้าเอย

    ต่อท้าย #3 13 พ.ค. 2553, 19:04:15
    ...
    ..
    นี่เราทำกรรมฐานนั้นเวทนามันสอนเรา มันแยกออกไป เวทนาแยกออกไปเป็นสัดส่วนนะ ขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์ เวทนาแยกออกไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ปวดหนักเข้า หนักเข้าแตกเลย มันมีจุดแตกออกมานะโยมนะ แล้วมันจะหายปวดทันที อย่างนี้ทีแรกนี่ไม่หายหรอก จะนั่งกี่ชั่วโมง ทำมากี่ครั้งมันก็ต้องมีหลัก ๔ ประการ ไม่ใช่ว่าเราสำเร็จแล้วได้โสฬสญาณ คำว่าสำเร็จวิปัสสนาไม่มี ทำเรื่อย ๆ ไปเถอะ แต่เราจะไปพูดกับเขาทุกคนไม่ได้นะ โอ๊ยดิฉันสำเร็จวิปัสสนา สำเร็จกรรมฐาน เดี๋ยวเขาจะโต้เอานะ บอกฉันเป็นนักปฏิบัติธรรมะ แต่ยังไม่สำเร็จ เท่านี้ พูดเท่านี้ เราก็บอกฉันเป็นนักปฏิบัติธรรมะ แต่ก็เพิ่งเริ่มต้น เราก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนไปอย่างนี้

    ทีนี้ใครจะทำถึงขั้นไหนก็ตาม ต้องผ่านหลัก ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ทุกคน ต้องมีเวทนาทุกคน แต่มีเวทนาแล้วเรากำหนดได้ ตั้งสติไว้ให้ได้ไม่เป็นอะไรเลย และเวลาเจ็บระทวยป่วยไข้จะไม่เสียสติ จะไม่เสียสติเลยนะ และเราทำวิปัสสนานี่มันมีเวทนาหนักยิ่งกว่าก่อนจะตาย เวลาก่อนจะตายมันจะหนักเหลือเกิน เราปวดมากก็กำหนดเข้าโยม กำหนดหนอ ปวดหนอ ปวดหนอ ปวดหนอ ปวดไป ตายให้ตายนี่เป็นสมถะ ยึดบัญญัติเป็นอารมณ์ ต้องจำไว้ก่อน พอกำหนดไป กำหนดไป กำหนดไป แตกพับซ่า ซู่ ซ่า หายไปเลย เบาตัวเลย พอเบาตัวนั่นแหละคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่แหละอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แจ้งแก่ใจทันที นี่คือเวทนา

    นั่นแหละอริยสัจ ๔ มาเลยทุกข์ หาที่มาได้แล้วคือ สมุทัย นิโรธแจ้งแก่ใจของข้าพเจ้าแล้วซ่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่เป็นอริยสัจ ๔ นี่ต้องฝืนใจนะโยมนะ ต้องฝืนใจกันหน่อย ถ้าพอมีเวทนาเลิกเลย เวทนาเลิกเลย โยมจะไม่พบธรรมะในอริยสัจ ๔ รู้แต่ทุกข์จรข้างนอก คนมาด่ามาว่า ทุกข์อย่างโน้นทุกข์อย่างนี้ แต่ทุกข์ประจำไม่รู้นะ เกิดแก่เจ็บตายนี่นะโยม เกิดเวทนา เกิดเสียอกเสียใจ ในตัวในข้างใน ไม่รู้จริงนะ ต้องรู้ทุกข์ข้างใน นี่อริยสัจ ๔ มาแล้ว พอเวทนามันหายไปนะโยมนะ อนิจจังไม่เที่ยงเป็นทุกข์อย่างนี้แหละหนอ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ นี่แหละทุกขัง ได้แก่ทุกข์ในอริยสัจ ๔ นะ เป็นความจริงในอริยสัจ ๔ อนัตตา ปล่อยให้สูญไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่มีรูปไม่มีนามแล้วก็หายไป ตอนสุดท้ายนี้ คือนิพพานดับสนิท ไม่ติดขึ้นมาเป็นเรื่องเล็กนะโยมนะ

    หลวงพ่อวัดอัมพวันบอกให้ฝืนใจหน่อย ฝืนใจหน่อยเพราะธรรมะต้องฝืนใจ ถึงจะเห็นธรรมะเหมือนถาดลอยขึ้นเหนือน้ำนะโยมนะ ท่านบอกให้ฝืนใจหน่อย โอ๊ยวันนี้ก็เหนื่อยมากนะ ทำงานมามาก็ฝืนใจไม่พอก็ได้ เอาไว้ฝืนใจพรุ่งนี้ต่อไปก็ได้ ทั้ง ๒ อย่างให้ฝืนใจหน่อย เมื่อก่อนอาตมานั่งอย่างนี้ไม่ได้ ที่คอหักไปไม่ปวดเลยเห็นไหม คอหักไม่ปวดไม่เจ็บ สบายมากเพราะเรารู้เวทนา สบายมากเลย
    และที่พูดเมื่อวันก่อนหายใจทางสะดือได้ พองหนอยุบหนอ หายใจได้นะ ถ้าใครไม่เชื่อลองบิดคอหักดู ต้องหายใจได้ แต่ต้องฝึกเสียก่อนนะ เดี๋ยวไม่ฝึกแล้วคอหักตายเลย ตายเลยนะ ต้องฝึกก่อน หายใจทางสะดือได้จริง ๆ เข้านิโรธนี่หายใจทางเส้นโลหิต ถ่ายอากาศได้ ไม่งั้นอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้หรอก อยู่ตามเส้นโลหิตนี่ อากาศถ่ายเทได้เลยนะ ถ้าอ๊อกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดร่างการสังขารเรานี่ทั้งหมดนะ มันไม่ได้ถ่ายทางทวารหนักอย่างเดียวหรอก เราเข้าใจว่าถ่ายออกช่องเดียว ไม่ใช่ช่องเดียว มันทุกเส้นขุมขนเลยนะ ที่เราอยู่ได้ ทุกวันนี้น่ะ ดูในสติปัฏฐาน ๔ ให้ครบจะพบอย่างแน่นอน

    ต่อท้าย #4 13 พ.ค. 2553, 19:05:13
    โยมขอให้ฝืนใจต่อไปนะจ๊ะ ถ้ามันปวดเป็นตายร้ายดีอย่างไร กำหนดซะ พอกำหนดแล้ววิปัสสนามาเลย แตกพรึบ มันก็ซ่าไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละตัววิปัสสนา เห็นชัดขึ้นมาแล้ว ขั้นแรกนี่ต้องสมถะก่อน เพราะฉะนั้นเขาถึงเรียกว่า สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานทางสายเอกสายเดียวเท่านั้น ที่จะพ้นทุกข์ และพบกฎแห่งกรรม ถ้ามโนมยิทธิ หรือเจริญอานาปานสติ ไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ จะไม่พบกฎแห่งกรรม และจะไม่สามารถจะรู้กรรมที่ตนทำไว้อย่างแน่นอน

    สติตัวเดียวนี้มันถอยหลังได้ รู้ครั้งอดีตชาติที่ผ่านมาได้เลย เพราะเราสงบแล้ว สตินี่สำคัญมาก สัมปชัญญะรู้ตัวได้ ถอยหลังไปได้เลย แต่วิธีปฏิบัติต้องปัจจุบัน ปัจจุบัน อดีต ไม่มารื้อฟื้น เรื่องของคนอื่นไม่คิด กิจที่ชอบทำ อนาคตอย่าจับมั่นคั้นให้มันตาย จะผิดหวังเสียใจตลอดชีวิต เอาปัจจุบัน ปัจจุบัน ปัจจุบัน พอนั่งเข้าหน่อย เอ! ที่บ้านเป็นอย่างไร อ๋อเรื่องโน้นเป็นอย่างนี้ เรื่องนี้เป็นอย่างนั้น เขาไม่ให้กำหนดอย่างนั้น เอาแต่ปัจจุบันที่เราจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมานี่ ก็สรุปได้ว่าสติตัวเดียวเท่านั้นเป็นพฤติกรรมแสดงออกทางจิตใจของเรา ถ้าเราไม่พอใจใคร มันออกทางใจเราแล้วเป็นพฤติกรรม เป็นตัวธรรมะ และทำให้ใจเราไม่สบายนะ แน่นอนที่สุด แผ่เมตตาก็ไม่ออกด้วย หดหมดเลย หมดอาลัยตายอยาก ซังกะตายไปวันหนึ่งไม่เกิดประโยชน์ในชีวิตอย่างแน่นอน.........
     
  3. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ชนะเวทนาจนได้

    เอาความปวดเป็นอารมณ์
    การเพ่งรูปนามเป็นอารมณ์ เป็นวิปัสนา(ปัญญา)อย่างยิ่ง
    อนุโมทนาคะ
     
  4. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    บุคคลผู้ข้ามเวทนาได้ อาศัยกำลังใจเด็ดเดี่ยว สู้แค่ตาย...
    มหาทุกข์์จากการเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่างกาย
    เหมือนกระดูกจะแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ เสมือนเส้นเอ็นจะขาดสะบั้น
    ร่างกายร้อนผ่าวดุจไฟเผาไหม้ เหงื่อกาฬแตกพลั่กหลั่งไหลท่วมทั้งตัว
    หนาวเหน็บเจ็บปวดถึงขั้วกระดูก เหมือนมีเข็มแทงเป็นพันเล่มทั้งตัว
    ขนกายลุกซู่ชูชัน ทรมานเสมือนตายทั้งเป็น

    จนจิตปล่อยวางร่างกาย เวทนากายดับ ร่างกายตัวตนหายไป
    จิตแยกออกจากกาย เหลือแต่สภาวะที่เป็นธรรมชาติล้วนๆของจิต ที่ไม่มีสังขารปรุงแต่งจิต
    ความรู้เฉพาะเด่นชัดภายในจิต เกิดจากจิตที่ไม่หลงยึดกาย
    เป็นปัจจัตตังความรู้เฉพาะตน ที่ไม่เกิดจากสัญญาความรู้ภายนอก
    แต่เป็นความรู้ภายในของจิต ที่รู้ทุกข์เห็นทุกข์ด้วยความเพียรของตน


    การเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อธรรมปฏิบัติ ด้วยสัจจะความเพียร
    เป็นบุคคลน่ายกย่องสรรเสริญในความเพียร

    ขออนุโมทนาธรรมแฏิบัติ
     
  5. ElFMan

    ElFMan สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +3
    มีมนุษย์คนใหนชนะเวทนาได้เหรอ
     
  6. jumook

    jumook เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2009
    โพสต์:
    121
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,043
    หมายถึงข้ามเวทนานะครับ ถ้าเข้าใจผิดขอโทษด้วยคร๊าบบบบ
    [​IMG]
     
  7. parinyabp

    parinyabp สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +14
  8. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ถ้าจงใจดับ รูปนามหายหมด จริงๆ ตัณหามันตั้งธงมา ตั้งแต่ว่าจะเข้าที่ภาวนามาแล้วนะ มันโปรแกรมมาแบบนั้นเลย ผมเคยดับหมดทั้งรูปทั้งนามมาแล้ว แวบเดียว
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เก่งดีครับ...
     
  10. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
  11. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015

    ขอถามว่า

    ดับหมดทั้ง รูป นาม เป็นยังไงครับ

    เพื่อเป็นความรู้ต่อผู้อื่น
     
  12. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    สำหรับผมมันเป็นแค่ปรากฏการณ์ทางวิปัสสนาญาณครับ เกิดขึ้นแวบเดียว แบบไม่ได้คิดว่าจะให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ไม่ได้ง่วงนอน เพราะนอนเต็มอิ่มมาแล้วครับ สติดีทุกประการ ตอนนั้นแค่พอรู้ว่ากำลังเริ่มคิดฟุ้งจิตเกิด ก็เลยตัดใจ ตัดกระแส (จริงๆก็คือปัดกระแส) ไหงดับเรียบไปเลย คือตอนดับนี่ไม่รู้ พอสติกลับมาจึงรู้ว่าแวบเมื่อกี๊หายเงียบไปหมดทั้งตัวทั้งใจทั้งสติ แต่ความรู้ที่เกิดขึ้นตอนนั้นคือ

    จากปกติที่เราจะเห็นแต่ว่าไอ้โน่นไอ้นี่มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเสียทั้งหมด แต่ไอ้นั่นเป็นเรื่องที่เราส่งจิตออกไปพิจารณาภายนอก เห็นแต่ข้างนอก แต่อันนี้ตัวที่ไปว่าเขาเกิดดับ มันหายไปด้วยไง ก็เลยถึงบางอ้อ ที่แท้เจ้าของคำกล่าวเอง ก็ไม่พ้นเกิดดับกับเขาเหมือนกันหมด ไม่เหลือนะ โลกทั้งโลกมันเป็นของเกิดดับหมด ตัวกูของกูอยู่นี่เกิดดับหมด มันได้ความเห็นตรงนี้

    แต่จะให้มันดับพรึบแบบท่านเรื่อยๆ ทำไม่ได้ เพราะตอนเกิดปรากฏการณ์นั้นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจเอาไว้ว่าจะดับแบบนี้ ดังนั้นน่าจะไม่เหมือนกับของหลวงพ่อท่าน เพราะเคยได้ยินว่า ของท่านดับไปเป็นวันๆ คุณยายก็ดับเป็นวันๆเหมือนกัน

    แต่อย่าไปมุ่งหมายเอาแบบนี้เด็ดขาด ผมคิดว่ามันเป็นแค่สุญญตสมาธิเฉยๆ หมดกำลังก็กลับมาใหม่ ถ้าพ่วงความเห็นเข้าไปว่านี่คือนิโรธสมาบัติ ก็เป็นเรื่องแน่ มันจะชำระกิเลสยังไง ถ้ามีแต่ดับไปแบบนั้นท่าเดียว ก็มีแต่พอกพูนทิฏฐิว่า นิพพานคือสูญทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่ใช่น้าาา

    ถ้านิพพานคือสูญทุกสิ่งทุกอย่าง พระพุทธองค์จะไม่ทรงตรัสถึงพระนิพพานว่า อายตนะนั้นมีอยู่ฯ อย่างแน่นอนครับ (ผมจำชื่อพระสูตรนี้ไม่ได้ครับ ถ้าสนใจลองค้นต่อดูนะครับ) พระพุทธองค์จะไม่มีทางที่จะทรงตรัสพระสูตรขัดแย้งกันเองอย่างแน่นอนครับ น่าจะพอเห็นภาพบ้างแล้วนะครับ
     
  13. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ไม่แน่ใจครับ แต่เจอมาท่านหนึ่ง ท่านว่า ท่านนั่งสมาธิสัญญาดับไป 3 ชั่วโมงท่านว่าอย่างนั้น ตอนแรกผมก็นึกอีกเหมือนกันว่าท่านเข้านิโรธ คนก็แห่กันทำบุญตรึม

    ตอนหลังถึงมาเข้าใจ สัญญาดับก็สัญญาดับสิ เกี่ยวอะไรกับนิโรธสมาบัติ คนละเรื่อง สัญญาดับ คือสัญญามันหาย อ้าว! ก็อสัญญีพรหมดีๆนี่เองนี่หน่าาา ไม่เห็นมีอะไรเฉียดใกล้นิพพานเลย

    เนี่ยคุณดูเอาก็แล้วกัน มันพลาดง่ายมาก แถมอาจารย์ของท่านก็ดันไปเข้าใจว่าท่านเป็นอรหันต์ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้วไปซะอีก มาถึงตอนนี้ผมละกลุ้ม แต่ก็ต้องทำใจ เพราะท่านเล่นหนีไม่คุยด้วยกับผมนานแล้วครับ ผมก็หาทางช่วยท่านหลายทางอยู่ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆก็ต้องทำใจน่ะครับ นี่ไม่ได้พูดเอาดีเข้าตัวเลยนะ สังเวชใจมากกว่า มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยแหละ ใครจะไปห้ามได้
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ขออนุญาติเล่าสู่กันฟังอย่างนี้นะครับ
    อ่านดีๆนะครับ
    การที่ดวงจิตดวงใดก็ตามจะเข้าสู่สภาวะ
    สภาะนิโรธฯหรือสภาวะดับได้นั้น
    ดับในที่นี้ ไม่ใช่ดับสัญญาฯยะตะนะอะไรในอรูปฌาน ๔ นะครับ
    เพราะในอรูปฌาน ๔ นี้มันยังเกิดผลที่สร้างสิ่งพิเศษให้เกิด
    กับตัวจิตอยู่ พูดง่ายๆว่า มันยังไม่จบจริง
    ไม่จบจริงคือ ไม่เหลือเชื้อที่จะเป็นเหตุให้ยังเกิดได้
    ในเชื้อนั้นๆ เพราะสิ่งพิเศษยังเป็นเหตุให้เกิดได้อยู่นั่นเอง

    ต้องดูด้วยว่ายังใช้ความชำนาญ กำลังจิต
    ตบะ ฌาน ญาน อะไรนำในการเข้าหรือไม่
    และยังมีการมาผูกใช้กายนำในการเข้าหรือเปล่าร่วมด้วยครับ

    ทางกิริยาก็หมายความว่า ดวงจิตดวงนั้นจะต้องมีความ
    สามารถใช้งานทางจิตได้จริงมาก่อน
    และต้องเคยใช้งานทางจิตมาก่อนระยะเวลาหนึ่ง
    นานพอสมควร(ต้องนี้แล้วแต่ดวงจิตครับ อาจเป็นปี หลายปี
    แล้วแต่ดวงจิตครับ) ที่พอจะเกิดผลให้รู้สึกเกิดเวทนาทางจิต
    และรู้สึกถึงความเตลิด จนเข้าใจว่าต้องทิ้ง
    เรื่องตบะ ฌาน ญาน กำลังจิต อะไรให้หมดไปก่อน
    ต่อมาก็จะเข้าโหมดการใช้งานทางจิต
    ในแบบที่ในวงการเรียกว่า จิตเหนือจิต
    (คือไม่มีตัวจิต ตัวเราเข้าไปกระทำ พวกการรู้ว่า
    จะต้องทำโน้นนี่นั้น เราเรียกวิตกวิจารณ์
    แต่ดวงจิตที่ใช้งานได้ มักบอกว่า มันการรู้อัตโนมัติ
    ว่าจะต้องทำอะไรต่อนั้นหละครับ จริงๆตรงนี้คือตัวขวาง
    นะครับ ค่อยๆพิจารณาดีๆครับ)ผ่านอย่างที่กล่าวมา
    เป็นเบสิคพื้นฐานครับ. ย้ำว่าเป็นพื้นฐานนะครับ


    ต่อมาเมื่อดวงจิตนั้นได้ทิ้งแล้ว ไม่เอาแล้ว
    จิตดวงนั้นก็จะเริ่มเช้าสู่โหมดใช้งานทางจิต
    ในลักษณะที่ไม่มีดวงจิต ของกายนั้นเข้าไปกระทำครับ
    ซึ่งตรงนี้ไม่สามารถกะได้ อะไร เพราะว่า
    ถ้ามันเข้าได้ มันจะเข้าได้ของมันเองครับ
    และการเข้าได้นั้นมันจะเริ่มจากหลักเวลาเป็นวินาทีก่อนนะครับ..

    ไม่ใช่แบบที่ออกข่าวในปัจจุบัน ว่าจะเข้ากี่วันกี่วัน
    แล้วมีคนแอบส่งกล้วย ส่งข้าวให้นะครับ
    (ส่วนตัวปากเสียพูดไปอย่างงั้นหละครับ)


    ถ้ายังมีกายหรือจิตนำในการเข้า
    ไม่ว่าจะด้วยความชำนาญ ในการเข้าสมาธิ
    ด้วยตบะ ฌาน ญาณ กำลังจิตที่มีในการนำเข้าก็ตาม
    ไม่ใช่สภาวะดับ ไม่ใช่สภาวะนิโรธแน่นนอนครับ
    เพราะมันดับเชื้อที่ยังเป็นเหตุให้ก่อไม่ได้จริง
    มันจะดับได้อย่างไรหละครับ
    เมื่อยังมีกาย มีจิตเป็นตัวกระทำอยู่
    เพราะสภาดับนี้ มันจะดับเชื้อที่ขึ้นมาจากจิต
    ที่ยังเป็นตัวก่อให้เกิดอยู่ ไปเอาจิตนำ
    มันจะยอมไปดับเชื้อได้อย่างไรหละครับ
    เหมือน โจรกระทำความผิดโดยมีหัวหน้าโจร
    ออกคำสั่งให้ไปกระทำ แล้วให้หัวหน้าโจร
    ที่เป็นคนออกคำสั่งเป็นคนสอบสวนหาความ
    ผิดของของโจรที่ไปกระทำผิดนั่นหละครับ
    พอมองภาพออกนะครับ

    แต่ก็พอมีข้อดีคือกำลังที่ใช้ในการเข้า
    จากการใช้ความชำนาญ ใช้กำลังจิตในการเข้านั้น
    มันสามารถนำมาใช้งานได้อยู่ครับ
    ส่วนใช้งานทางด้านไหนก็แล้วเหตุและวาระครับ

    ต่อไปนี้สำคัญมากเลยครับ
    ที่ทำให้ดวงจิตทั้งหลายหลงตนเอง
    ว่าบรรลุโน้นนี่นั้น
    ก็เพราะว่า ๑.มีตัวนำในการเข้า
    และเข้าได้นาน ตรงนี้คือพลาดอย่างแรง

    และ ๒.แม้ว่าจะเข้าได้แบบไม่มีตัวนำนั้น
    แต่ดันกลับหลงสภาวะ หลงคิดว่าตนเอง
    บรรลุโน้นนี่นั้นครับ


    เพราะทางกิริยาแม้ว่า
    จะมีความสามารถเข้าได้
    แบบไม่มีกายนำหรือใช้กายนำก็ตามนั้น

    ย้ำว่า สภาวะดับ มันไม่ได้ใช้กายและจิตนำ
    ในการเข้านะครับ เพราะฉนั้นดวงจิตใดก็ตาม
    ที่ไปตามดู ตามเชื่อม ดวงจิตที่กำลังเข้าในกายใดๆก็ตาม
    ก็คือการพลาดอย่างแรง ต้องระวังให้ดีๆนะครับ (ต้องดูสภาวะรอบๆกายแทนครับ
    เพราะสภาวะนี้มันไม่ใช้กายและจิตครับ)
    โดยเฉพาะ ดวงจิตที่เอก ทางด้านสัมผัสภายในทั้งหลายครับ
    เพราะการเข้าสภาวะนี้
    มันแค่กำลังฟอกอยู่ครับ
    มันฟอก ตัวโทสะ โมหะ โทสะ
    ที่มันอยู่ในจิตตั้งแต่ก่อนที่จะมีกาย
    อยู่ของมันครับ มันก็เริ่มฟอกตาม
    ระยะเวลาที่สามารถอยู่ในสภาวะดับได้นั่นหละครับ

    เราอาจจะไปเทียบเคียง กับระดับโปรซีรีย์ทั้งหลาย
    และสัญญาความจำได้ จากตำราที่เคยได้อ่าน
    หรือเคยได้ยิน ท่านโน้นนี่นั้นว่ามา
    แล้วอาจจะอนุมานเอา ว่าต้องเข้าได้กี่วันกี่วัน
    ทางปฏิบัติจะเริ่มเข้าได้จากหลักวินาทีนะครับ
    ไม่ใช่ต้องกี่วันตามตำรา เหมือนเข้าฌานนั่นหละครับ
    มันจะเริ่มเข้าได้จากหลักวินาทีก่อน
    ส่วนจะอยู่ในสภาวะนั้นได้นานแค่ไหนเป็นอีกเรื่องครับ.......


    ระดับโปรซีรีย์ทั้งหลาย ท่านเข้าจริงได้นาน
    เพราะผ่านประสบการณ์ใช้ทางจิตมาอย่างโชกโชน
    ผ่านการวิปัสสนา จนถึงขั้นระดับปัญญาญาน
    มาจนรู้เหตุแห่งการเกิดดับต่างๆ สะสมบารมี
    ตรงนี้มาพอตัวแล้วครับ.....

    จนบางท่านแม้ว่ายังมีเชื้อ โทสะ โมหะ โลภะ
    ตัวใดตัวหนึ่งอยู่ในจิตก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถจะมี
    อะไรมาทำให้เกิดมันได้อีก บางท่านก็โปรซีรีย์ยิ่งกว่า
    จนกระทั่งไม่มีเชื้อเหล่านั้นหลงเหลืออยู่ในจิตอีกเลย
    แต่ท่านคือระดับโปรซีรีย์ครับ.....


    ฆารวาสแบบเราๆ แบบทั่วไป
    เอาพื้นฐานธรรมดาๆให้มันได้ก่อนคือ
    มีความสามารถใช้งานทางจิต ให้มันได้จริงๆก่อนครับ
    แบบที่ใช้งานเห็นผลได้จริง แบบที่พิสูจน์ได้
    ทำให้เกิดกับคนอื่นๆได้ เอาตรงนี้ให้ได้ก่อนครับ

    และเลิกหลงตัวเองว่า บรรลุโน้นนี่นั้น เป็นผู้มีความสามารถ
    เหนือมนุษย์ให้มันได้ก่อน และเลิกกล่าวหาคนโน้นนี่นั้น
    ทั้งๆที่ตัวเอง ไม่มีความสามารถในระดับใช้งานได้จริง
    ในกรรมฐานกองต่างๆ และ
    ไม่สามารถแสดง
    ความสามารถทางจิตอะไรได้เป็นที่ประจักษ์
    หรือ แบบเห็นผลได้ และเลิกแบบ
    ความสามารถชนิดนึกเอา
    มโนมนึกเอา แบบคิดเอา
    และก็ยังหลงตัวเอง ว่าบรรลุโน้นนี่นั้น
    มีหน้าที่สำคัญโน้นนั่นนี่
    เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาลงมาเกิด
    ก่อนดีกว่าครับ ค่อยมาดูว่า
    จะเข้าสภาวะดับได้หรือไม่ได้ครับ

    พูดง่ายๆ แสดงผลของกรรมฐานต่างๆ
    ให้มันได้ซักอย่างก่อนจะดีกว่าครับ....
    ค่อยมาว่ากันเรื่องนิโรธ เรื่องสภาดับครับ.....


    สภาวะดับโดยปกติ เป็นวิถีของดวงจิต
    ที่จะต้องมีฐานการใช้ทางจิตได้มาก่อน...
    กรณีดวงจิตท่านใดเด่นทางภายในนั้น
    (คือจิตรับรู้ได้ดี แต่ไม่สามารถทำให้เกิด
    กับคนอื่นๆได้ แต่สอนได้ **** ไม่ใช่แบบ
    เก่งสัมผัสภายในมาก แต่สอน แต่แนะไม่ได้นะครับ ****
    พวกนี้ได้แรงสนับจากภายนอก หรือพวกโดนคลุมจิต
    หรือพวกจิตโดนแทรกแซงนะครับ)
    ยังมีทริคในการเข้าได้...อยากทราบ
    ให้ไปถามหลวงตา ชื่อย่อ ช
    แห่งวัดแห่งหนึ่ง ที่ขึ้นต้นด้วย ถ้ำ...
    ที่จังหวัง สระบุรีเอาเองนะครับ.....


    ปล. แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังนะครับ
    ย้ำว่าเล่าให้ฟังเฉยๆ.....
     
  15. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015


    ขอวิเคราะห์แค่ตรงนี้นะครับ
    อันนี้เป็นเรื่องของ จิตดูจิต หรือ จิตในจิต
    คนที่ปฏิบัติในสาย การดูจิต ของ
    หลวงพ่อปราโมช ปราโมชโช เท่านั้น จึงจะเข้าใจได้
    สายอื่นคงจะไม่เข้าใจอยู่ดี
    ขอบอกตรงนี้ นะครับว่า
    คุณยังตาม ดูจิตไม่ทันตามสภาวะ
    ด้วยความที่เผลอทำ โดยที่ตนเองไม่เข้าใจ
    จึงคิดไปเองว่า ตรงนี้คือ นิโรธ
    ซึ่งมันไม่ใช่ สภาวะนิโรธ แต่เป็นสภาวะ หลงในการรับรู้นั้นเอง
    โดยสภาวะ นิโรธจะต้องประกอบ หรือ เจือไปด้วย
    ความดับ ความว่างเปล่า อากาสธาตุ ความไม่มี
    ความไม่หลงเหลือ ความหมดสิ้น ความสูญสิ้น ความดับสูญ
    และอื่นๆที่ใกล้เคียงกันประมาณนี้


    ส่วนอาการของคุณ เค้าจะเรียกว่า การหลงสภาวะ
    ตามดูไม่ทัน ยังไม่ใช่ การเข้านิโรธ
    เพราะการเข้านิโรธ จะเริ่มจาก มี ไป มีน้อย ไป นิดนึง ไป ไม่มี
    ประมาณนี้ ที่สุดก็คือ ความคิดนึกถึงการดับหมด
    อย่างนี้เรียกว่า การฝึกเข้านิโรธ จะลองดูก็ได้ครับ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อยากดี อยากเด่น อยากดัง
    ติดในการอยากได้รับการยกย่องสรรเสริญ
    อยากให้คนยกย่องตนเป็นว่าอาจารย์
    และมีความคิดอกุศล กล่าวความเท็จ
    ดิสเครดิสคนปฎิบัติได้จริงไปเรื่อย
    เชิงเพราะหมาย
    คิดเอาว่าตนเหนือกว่าใครเค้า
    (หลงตัวเองทั้งที่ไร้ความสามารถทางจิตทำได้จริง
    น้องเอ้ยความลับไม่มีในโลกนี้นะน้อง
    อย่าคิดว่าการนินทาใคร
    แม้ในข้อความส่วนตัว
    มันจะเป็นความลับนะน้อง
    โลกนี้ยังมีสิ่งที่น้องยังมองไม่เห็นอีกเยอะนะน้อง
    อย่าคิดว่าการที่น้องแอบคุยกับใครก็ตาม
    ในข้อความส่วนตัวภพภูมิท่านจะไม่รู้เน้อ)

    แต่ปฎิบัติไม่ได้จริง ป่านนั้นยังหลงตัวเอง
    พูดง่ายๆว่าความความสามารถทางจิตไม่มีจริง
    ท้าพิสูจน์ได้ถ้าแน่จริง น้องกล้าหรือเปล่า ไม่กล้าหรอก
    เพราะน้องมันใจปลาซิว
    การปฎิบัติจะมามามโนเอาไม่ได้หรอกนะน้อง
    จะเป็นเหตุให้น้องเกิดสัญญาวิปลาสวกวนเด้อน้อง
    อนาคตจะเพี้ยนเอาง่ายๆเน้อ
    เพี้ยนแบบไร้ความสามารถทางจิต
    และยังหลงตัวเองอีกต่างหาก

    ปล. แล้วจะหาว่าพี่ไม่เคยเตือนเน้อ
    พี่ไม่เคยพลาดเรื่องการพูดถึงใครทำนองนี้เน้อ
    อ่านประวัติเรื่องคำพูดพี่ย้อนหลัง
    เวลาพี่ปะชะดะกับใครมาบ้างเด้อ
    กลับตัวตอนนี้ยังทันเด้อน้อง
    พูดถึงใครก็ไม่รู้หวังว่า
    มันจะกลับตัวได้
    ถ้าไม่ได้ ก็ช่างหัวพระญาติน้องแล้วกันนะครับ
    สมควรแล้วกับวิบาก ที่เจือกไปแสดงกล้าม
    กับห่มเหลืองที่ปฎิบัติได้จริง
    ไปว่าท่านสอนผิด แล้วยกตัวเองว่าเหนือกว่า
    ท้ายนี้ พูดไปงั้นหละ เพราะจะอุเบกขารับรู้แล้วต่อไป
    ดันชื่อขึ้นต้นเหมือนพี่ เลยหวังว่าจะเตือนน้องได้
    จะว่าใคร จะดิสใคร แบบลับๆ
    หัดประมานกำลังจิตตนเองหน่อยนะ
    การสำเร็จแบบ มโนมัน มัน บ่ มีกำลังจิตหรอกเด้อ
    จะปลอดภัย ต่อตนเอง
    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง ใครไม่เกี่ยว
    กรุณาอ่านอย่างเดียวครับ
     
  17. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ที่ผมเล่ามานั่น สภาวะที่ผมเจอนั่นไม่ใช่เข้านิโรธอะไรเลยนะครับ ไม่ได้บอกตรงไหนเลยครับว่าตัวเองเข้านิโรธได้นะครับ อย่ามั่วครับ อ่านดีๆ อ่านใหม่ครับ
     
  18. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    เวลากล่าวถึงนิพพาน นิพพานเป็นเมืองแก้วหรือไม่อะไรนั่นอย่าไปสนใจมาก ว่าตกลงเป็นดังนั้นจริงหรือไม่จริง อันนั้นยกให้เป็นเรื่องของวาสนาบารมีของแต่ละบุคคลไป ต่างคนต่างท่านทำมาไม่เหมือนกัน

    อย่างกรณีที่ยกอ้างเรื่องอย่าไปเข้าใจว่า นิพพานสูญ หายเงียบ หายตัวหายตนไปแบบนั้น โดยยกอ้างเอาพระสูตรหนึ่งเรื่อง "นิพพานสูตร" ขึ้นมา เพื่อชี้ให้เห็นว่า พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงตรัสว่านิพพานสูญแบบนั้น

    ทีนี้มันมีบางคนรีบทะลึ่งโชว์ห่วยขึ้นมา โพสต์ว่า นิพพานไม่ใช่เมืองแก้ว นั่นเป็นความโง่ของเขาเอง ที่มัวไปติดใจอยู่แต่เรื่องเป็นบ้านเป็นเมืองหรือไม่อยู่นั่น เพราะต่อให้ไม่เป็นบ้านเป็นเมืองตามที่ตนเข้าใจ ถ้ายังยึดมั่นถือมั่นอยู่ก็ไม่มีทางที่จะรู้จักนิพพานจริงๆ ได้หรอก

    "สัพเพธัมมานาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" ความสำคัญของพระธรรมคำสอนอยู่ตรงนี้ ไอ้ที่ค้างคาใจ แล้วมาโชว์ฉลาดอยู่นั่น นั่นมันเป็นส่วนของผลไปแล้ว ผลมันเป็นปัจจัตตังอย่าไปใส่ใจ เหตุคือมรรค มรรคคือเจริญ กระทำความสิ้นไปแห่งตัณหาอุปาทานให้เป็นจริง เมื่อใดสิ้นตัณหา สิ้นความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงนั่นแหละถึงจะเข้าถึงนิพพาน มัวแต่ไปงมๆซาวๆ อวดรู้อยู่นั่น ไม่ช่วยอะไรเลยนะ มีแต่ยึดกับยึด อย่าเพียงเรียนธรรมเพื่อเอามาเป็นศัตรู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2018
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ตอนที่สัญญาดับ เวทนาดับนี่นี้ เหลือแต่สภาวะรู้เด่นเหลือแต่สภาวะเดียวหรือเปล่าค่ะ คือปรากฏการณ์เห็นอยู่ รู้อยู่ นะค่ะ เท่าที่จำเขามาถ้าสภาวะนิโรธสมาบัติ เป็นปัจจุบันขณะเต็มตัว ไร้สภาวะขันธ์ ไร้กิริยาจิต ที่มันรู้อยู่ เจตนาและวิญญาณขันธ์ และขันธ์ทั้งหมดไม่สามารถตั้งอยู่ในสัญญาเวทยิธนิโรธได้ มันจะเหลือแต่สภาวะรู้เท่านั้นค่ะ แต่จะมีจุดหนึ่งที่มองให้เห็นว่า นิโรธสมาบัติ กับ ความว่าง จะแตกต่างกันตรงที่ ความว่างแบบอรูปวิญญาณ จะมีความเป็นตนอยู่ในความว่างนั้น แต่...สภาวะรู้ หรือ มหาสติ หรือ สภาวะอยู่กับปัจจุบันขณะ จะไม่มีความเป็นตนอยู่ แตกต่างกันตรงนี้ค่ะ มีแต่ว่ารู้อยู่ เห็นอยู่ แค่นั้น

    พอมาถึงตรงนี้แล้ว สงสัยแล้วค่ะว่า...สภาวะนิโรธสมาบัติ ทำให้แจ้งนิพพานได้อย่างไร เพราะนิโรธสมาบัติเป็นเหตุให้เกิดญาณทัศนะหรือค่ะ ทีนี้ก็ไปได้คำตอบว่า สภาวะรู้ หรือสติบริสุทธิ์ เป็นสภาวะไร้ทุกข์ คือพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บตาย ดังนั้น นิโรธสมาบัติที่เป็นปัจจุบันขณะ จึงทำให้เห็น สภาวะเกิดการแยกออกจากัน หลุดออกจากกัน จากอุปาทานขันธ์ห้า จึงเป็นเหตุเกิดวิมุตติญาณทัศนะ นั่นเอง เข้าใจอย่างนี้ค่ะ
     
  20. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ดับหมดครับ ที่เล่ามา คือมารู้เอาตอนหลังจากสติกลับมาแล้วทั้งหมดครับ แต่ไม่นานหรอก แค่หายจ้อยไปแป๊บเดียว น่าจะไม่กี่วิ หรือวินาทีเดียวด้วยซ้ำ แต่ก็ทำให้รู้ว่า มีตัวที่หลงลืมหรือมองข้ามไปถนัดใจตลอดเวลาอยู่ คือตัวผู้ไปรู้นั่นรู้นี่ รู้ไปเสียทั้งหมดทุกเรื่องนั่นน่ะครับ หรือก็คือตัวที่คอยจะอธิบายความเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาให้กับตัวเองมาตลอดๆ จะเรียกว่าตัวที่อยู่เบื้องหลังก็ได้ หรือผู้กำกับตัวจริงเสียงจริงก็ได้ ที่คอยจะรู้ไปเสียทุกเรื่องแต่ไม่เคยรู้ตัวเองเลยนั่นน่ะครับ และไม่ใช่นิโรธสมาบัติแต่อย่างใด โหยยย! ใครจะไปเก่งขนาดนั้นครับ ไม่ใช่นิโรธสมาบัติแน่นอนครับ


    จนด้วยเกล้าจริงๆครับ แต่ส่วนตัวว่า ตัวที่ทำให้แจ้งในนิพพานคือ มรรค ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...