ธุลีที่ปลิวไปแทบบาท : หลวงปู่่ชอบ ฐานสโม

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 11 พฤษภาคม 2011.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]


    ฐานสโมปูชา

    ภาคสอง

    ธุลีที่ปลิวไปแทบบาท



    ๑. ภาพพระภิกษุปรากฎที่ห้วยน้ำริน

    พูดถึงเรื่องเทวดา พญานาค เกี่ยวกับหลวงปู่ที่ครูบาอาจารย์เล่า ๆ กันมา บางท่านอ่านแล้ว อาจสงสัย ลังเล ไม่เชื่อ แต่เฉพาะผู้เขียน (คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต) นั้นเชื่อสนิทใจ อย่างน้อยก็เคยได้ประสบกับตัวเองมาแล้วเมื่อตอนไปกราบท่าน
    จำได้ว่าเป็นเวลาราวเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ผู้เขียนกำลังไปสัมมนาแบองค์การต่างประเทศที่เชียงใหม่ ต้องใช้เวลาในการสัมมนาถึง ๑ สัปดาห์เต็ม พอดีทราบข่าวว่าหลวงปู่ชอบมาพักที่วัดห้วยน้ำริน อำเภอแม่ริม จึงรีบไปกราบด้วยความดีใจ ระยะนั้นหลวงปู่ยังไม่เข้ากรุงเทพฯ บ่อยเหมือนสมัยนี้ นานนักจะได้ข่าวท่านสักครั้ง เราจึงคิดสะระตะ ขอใช้เวลาระหว่างนั้นให้เป็นประโยชน์คุ้มค่าที่สุด ให้ได้กราบหลวงปู่ให้เต็มอิ่มที่สุด

    ตื่นแต่มืด วิ่งไปตลาด ซื้ออาหารไปถวายจังหันที่แม่ริม แล้วก็รีบกลับมาเข้าสัมมนาที่ในเมืองเชียงใหม่ ตกเย็นเสร็จการประชุม วิ่งไปวัดห้วยน้ำรินอีก ทุกวัน ๆ บางทีเย็น เขามีงานเลี้ยง เราก็เลี่ยงเสีย

    วิ่งรอก ห้วยน้ำริน แม่ริม กับในเมืองเชียงใหม่เป็นว่าเล่น

    บ่ายวันนั้น สัมมนาเสร็จเร็วกว่าเคย จึงไปถึงวัด แต่ยังไม่ทันมืด พอรถเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ข้ามคลองชลประทานแล้ว รถก็เชิดหัวขึ้นไปสู่บริเวณวัด ซึ่งเป็นเนินสูงขึ้นไป ผู้เขียนมองเห็น พระ ๗ – ๘ องค์ ยืนคุยกันอยู่ที่กุฏิหลังหนึ่ง บางองค์ก็นุ่งห่มจีวรอย่างเรียบร้อย บางองค์ก็ใส่เพียงอังสะ พอเห็นรถเรา ท่านก็เหลียวมามองพร้อมกัน ด้วยสีหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม เฉพาะองค์หน้าสุด นั้น หัวเราะเต็มหน้า พลางยกมือชี้มาที่รถเราอย่างทักทาย ที่บรรยายภาพได้ชัดเพราะเป็นเวลาเย็น แสงแดดส่องไปที่กุฏิเห็นแสงสีทองอร่าม

    องค์หน้าสุดที่หัวเราะและชี้มือนั้น ผู้เขียนจำได้ว่า คือ ท่านพระอาจารย์สามารถ ผู้ซึ่งเคยรู้จักท่านอยู่ ท่านเคยเป็นนายทหารอากาศ ยศนาวาอากาศโท หรือเอก จำไม่ได้แน่ มีความซาบซึ้งในรสพระธรรม จึงลาออกจากราชการมาบวช เราเคยไปคุยกับท่านหลายครั้ง เรียนซักถามเหตุผลที่ทำให้ท่านเลื่อมใสทางสงบ จนสละบ้านสละเรือนมาเป็นพระกรรมฐาน
    ที่ท่านคงเห็นเราเทียวไปเทียวมา ทุกเช้า ทุกเย็น ท่านคงขำเราจนชี้มือมา...คงคิดว่า อ้ายพวกนี้มาอีกแล้ว...!

    ขันตัวเอง จึงบ่นออกมาดัง ๆ “ขายหน้าพระท่าน...เช้าก็มา เย็นก็มา ทุกวันไม่หยุดเลย”

    คุณ พิยดา ลิ่วเฉลิมวงศ์ ซึ่งเป็นผู้แทนจากอีกหน่วยงานหนึ่งมาสัมมนาด้วยและมีศรัทธามากราบหลวงปู่ด้วยกัน ทั้งเช้าทั้งเย็น ทุกวัน ก็หัวเราะ รับ “จริงซี”

    เราปลงอนิจจังตัวเองกัน แล้วก็แล้วกันไป ไม่ได้สนใจอะไร เพราะใจนั้น...โน่น...วิ่งโลดไปกราบหลวงปู่แล้ว...! เข้าไปถึงก็เห็นหลวงปู่อยู่ที่โบสถ์ มีพระเณรช่วยกันเข็นรถท่านจงกรมอยู่ เราก็กราบท่าน ชื่นชมท่าน และไม่ทันนึกอะไร

    รุ่งขึ้น เราไปกันอีก พอถึงวัด นึกขึ้นได้ว่า วานนี้ เห็นท่านสามารถ มัวแต่กราบหลวงปู่อยู่ จึงไม่ได้ไปกราบท่านเลย วันนี้ควรจะหาโอกาสปลีกตัวไปกราบท่านสามารถบ้าง จึงถามคุณเม้งศรัทธาหลวงปู่ ผู้เป็นเจ้าของร้านค้าที่เชียงใหม่ และช่วยบริการเราพาไปหาหลวงปู่บ่อย ๆ ว่า “ท่านสามารถ ท่านอยู่กุฏิตรงไหน จะไปกราบท่าน”

    ถามอย่างนั้น เพราะเมื่อวานที่เห็น ท่านอยู่กันหลายองค์ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นกุฏิท่าน

    “ท่านสามารถไม่อยู่แล้ว ท่านออกธุดงค์ไปแล้ว”

    “อ้าว ไปเมื่อเช้านี้หรือคะ”

    “สามสี่วันแล้ว”

    ผู้เขียนร้องฮ้า เสียงลั่น เถียงว่า เมื่อเย็นวานนี้ยังเห็นท่านอยู่เลย

    คุณเม้งหัวเราะ บ่นว่า เราพูดเล่น ข้างเราก็นึกว่า คุณเม้งล้อเล่น

    ซักกันไปซักกันมา จึงได้ความว่า ท่านสามารถออกธุดงค์ไปแล้ว ๓ – ๔ วันจริง ลูกชายของคุณเม้งยังไปส่งท่านขึ้นรถไปเลย...! และเมื่อวานนี้ พวกเรานั่งรถมาด้วยกัน ๔ คน คุณเม้งนั่งข้างหน้ากับคนรถ ผู้เขียนนั่งข้างหลังกับคุณพิยดา ประหลาดที่ว่า เราสองคนเห็นภาพพระ ๗ – ๘ องค์ กำลังหัวเราะยิ้มกัน เห็นเหมือนกัน ในขณะมี่คุณเม้งและคนขับรถ ไม่เห็นอะไรเลยทั้งสองคน !

    พอดีพบท่านพระอาจารย์ขันตี ซึ่งปรนนิบัติหลวงปู่อยู่ จึงเรียนเรื่องราวให้ท่านวินิจฉัย

    ท่านฟังเรื่อง ก็หัวเราะ พูดเปรยออกมาว่า

    พระในวัดนี้มีเพียง ๒ – ๓ องค์ และทุกองค์ก็มารับใช้หลวงปู่รวมกันอยู่ที่โบสถ์ทั้งนั้น ที่คุณสุรีพันธุ์เห็นนั้น จะเป็นพระได้อย่างไร

    ผู้เขียนยังไม่เฉลียวใจ ยืนยันกับท่านว่า เราเห็นจริง ๆ ท่านยืนอยู่ด้วยกันตั้ง ๗ – ๘ องค์ กุฏินั้นเป็นกุฏิไม้ มีชานพักข้างหน้า ทุกองค์ยืนอยู่บนชานกุฏิข้างหน้า...ไม่เชื่อถามน้องพิยดาดู

    คุณพิยดา ก็กล่าวรับรอง

    ท่านอาจารย์ขันตี อธิบายว่า กุฏิพระอยู่ด้านหลังวัด หน้าวัดเป็นเขตของแม่ชี กุฏิพระย่อมไม่ไปอยู่ในเขตแม่ชีทางด้านหน้าวัด

    เราสองคนไม่ยอมฟัง รีบออกไปดูด้วยตาตนเอง เป็นไปได้อย่างไร ก็เราเห็นกุฏิ เห็นพระนี่นา เขตแม่ชีอยู่หน้าวัดได้อย่างไร

    เอ๊ะ ! มองไม่เห็นกุฏิลักษณะที่เราเห็นเลย หรือว่าเขตวัดตอนนั้นเป็นเนิน คงมีเนินอะไรมาบังกระมัง เพื่อพิสูจน์ให้ชัดแจ้ง ผู้เขียนถึงกับชวนคุณพิยดาขึ้นรถลองออกไปนอกวัด ย้อนกลับมาในเส้นทางที่เราเข้ามา ถึงจุดตรงที่เราเคยมองเห็นกุฏิพระและคณะพระ ซึ่งมีท่านสามารถยืนข้างหน้า ชี้มือมาที่เราพลางหัวเราะ

    ประหลาดจริง ๆ อย่าว่าแต่จะเห็นพระองค์ใดเลย...แม้แต่กุฏิตรงนั้น ก็ไม่มีสักหลัง...! ไม่มีพระ ไม่มีกุฏิ

    คงมีแต่ป่าไผ่โปร่ง ๆ

    เราขยี้ตากันทั้งสองคน มองยังไงบริเวณนั้นก็คงมีแต่กอไผ่ประปราย มองเห็นแสงแดดรำไร ผ่านใบไม้ทอดเป็นเงาลงที่พื้นดินอย่างเงียบสงบ....

    วันหลังได้มีโอกาสถาม หลวงปู่บอกว่า

    “พญานาค เขามาต้อนรับ”

    “พญานาคกี่ตัวเจ้าคะ หนูเห็นเป็นพระตั้ง ๗ – ๘ องค์”

    “ตัวเดียว” ท่านตอบสั้น ๆ
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ภาพพระภิกษุปรากฎที่ห้วยน้ำริน (ต่อ)

    เรื่องที่กล่าวกันว่า หลวงปู่เป็นที่รักและเคารพของเทวดาอย่างสูง จนมีเหตุการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้นให้ได้เล่าขานกันต่อ ๆ มานั้น สำหรับผู้เขียนเอง ก็ได้ประสบพบเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เราตามไปกราบท่านที่วัดบนเขาสูง ในป่าลึก หรือเวลาท่านมาพำนักโปรดเราที่บ้านเรือนไทย...

    คราวหนึ่ง มีผู้นำดอกกล้วยไม้คัทลียา ควีนสิริกิติ์มาถวายหลวงปู่สามสี่ดอก ท่านรับประเคนแล้วก็ส่งผู้เขียนเพื่อนำไปถวายพระที่หน้าที่บูชา

    แทนที่จะนำไปจัดแจกันตามปกติ ผู้เขียนกลับนำไปปักไว้ในแก้วทรงสูงใบหนึ่งโดยใส่น้ำเพียงที่ก้นแก้วเล็กน้อย ปลายก้านดอกคัทลียาลอยอยู่เหนือระดับผิวน้ำเห็นได้ชัด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้น ...ทำทั้ง ๆ รู้ว่ากล้วยไม้ชอบน้ำมาก แต่...นี่นอกจากไม่ให้น้ำให้เต็มแก้วแล้ว ยังปล่อยให้ก้านดอกลอยอยู่กลางอากาศเสียอีก !

    ทุกวันก็จะเฝ้ามองดอกคัทลียาช่อนั้น...ที่โชคดีได้รับพระราชทานนามอันเป็นมหามงคลที่สุดมาเป็นชื่อ และได้มีโอกาสมาถวายเป็นพุทธบูชาแด่ พระภิกษุซึ่งเปรียบประดุจนาบุญอันประเสริฐเลิศเลอที่สุดองค์หนึ่งในยุคนี้

    เจ็ดวันผ่านไป...

    ความจริง อย่าว่าแต่จะไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงเลย แม้จะมีน้ำในแจกันให้อย่างเต็มที่แล้ว ปกติถ้าเวลาเกินสามสี่วัน อย่างน้อย ดอกก็จะสลด...ขอบกลีบช้ำ กลายเป็นสีน้ำตาลไหม้กันทั้งนั้น

    แต่ครั้งนี้.....เจ็ดวันผ่านไป ดอกกล้วยไม้คัทลียาซึ่งไม่มีน้ำมาหล่อเลี้ยงก้านดอกเลย ก็ยังคงชูดอก ขาวสล้าง กลีบสด แข็ง สวยอยู่ดังเช่นวันแรก....ดอกไม่สลด ขอบกลีบไม่ช้ำ ไม่กลายเป็นสีน้ำตาล ดั่งที่ควรจะเป็นเลย

    เพราะเป็นดอกไม้บูชาหลวงปู่...!

    บางวันเราซื้อดอกบัวมาน้อยไป...นั่งบ่นไป ไม่พอจะจัดแจกันให้ครบทุกที่บูชา...แต่ระหว่างจัดดอกไม้ พับกลีบเป็นรูปกลีบกุหลาบ ดอกแล้ว ดอกเล่า ปักในแจกัน

    เอ ...เราซื้อดอกบัวมาเพียง ๔ กำ ๔๐ ดอก ทำไมดอกบัวบนแจกัน...ทุกแจกันรวมกันกลายเป็น ๖๐ ดอก

    ถ้าเราซื้อมา ๖ กำ ๖๐ ดอก อาจจะกลายเป็น ๘๐ ดอกก็ได้...!

    ไม่มีใครนำดอกบัวมาให้ และตรงที่เรานั่งจัดดอกไม้ ก็เป็นที่เฉพาะ ไม่มีใครเข้ามาใกล้

    ถ้าคิดว่า เราอาจจะจำผิด เราคงซื้อดอกบัวมามากกว่าที่คิด เมื่อถามผู้ไปซื้อดอกไม้ด้วยกัน เขาก็ยืนยันว่า เราซื้อมาในจำนวนที่เราจำได้จริง ๆ

    แล้วดอกบัว “เกิน” มาจากไหน

    และทุกคราวที่มีกรณี “ดอกบัวเกิน” มาเช่นนี้ ดอกบัวบูชาพระในแจกันจะสดงาม ขอบกลีบไม่เป็นสีน้ำตาลช้ำเลย คงงามเช่นวันแรก ๆ อยู่ราว ๗ วัน จึงจะแห้งโรยราไปตามสภาพ...!

    อีกครั้งหนึ่ง เพื่อนผู้เขียนคนหนึ่งนิมนต์หลวงปู่ไปพักที่บ้านริมทะเลที่หัวหิน ว่าอากาศทะเลคงจะทำให้ท่านแข็งแรงขึ้น

    วันนั้นคิดกันว่า ควรจะถวายกล้วยน้ำว้าท่าน เดินหากันทั้งตลาดหัวหิน โชคร้าย ไม่พบกล้วยน้ำว้าเลยสักหวีเดียว กลับมาบ้านพัก ก็บ่นกันเรื่องไม่มีกล้วยถวายหลวงปู่เลย

    ทำไมจะได้กล้วยมาถวายหลวงปู่นะ

    นั่งกันอยู่บนระเบียงบ้าน มองลงไปในทะเล เห็นแสงแดดจับพื้นน้ำเป็นประกายพร่าระยับน้ำกำลังขึ้น...คลื่นกำลังซัดเข้าหาหาดทราย เห็นฟองน้ำกระทบหาด แล้วก็แตกกระจาย

    เหมือนชีวิตคนเรา ที่เกิดขึ้น...ดำรงอยู่เพียงพริบตาเดียว แล้วก็ดับไป

    เกิดขึ้น...ตั้งอยู่...ดับไป

    ทำไมจะได้กล้วยมาถวายหลวงปู่นะ

    เกิดขึ้น...ตั้งอยู่...ดับไป

    แสงอะไรแปลบเข้าตา...จากที่ชายหาด ซึ่งคลื่นกำลังซัดวัตถุอะไรบางอย่างเข้ามากระทบฝั่ง...รูปลักษณะของวัตถุชิ้นนั้น ทำให้เราขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

    คุณพิยดา ผู้เป็นเจ้าบ้านหันมามองหน้าผู้เขียน แล้วเราก็อุทานขึ้นมาพร้อม ๆ กัน

    “กล้วยไม่ใช่หรือ”

    เราวิ่งแข่งกันลงจากบ้าน ไปที่ริมหาด

    ใช่กล้วยจริง ๆ...!

    ณ ที่ริมชายทะเลอันเวิ้งว้างนั้น นอกจากกล้วยน้ำว้าหวีที่เราช่วยกันหยิบขึ้นจากน้ำแล้ว ก็มิได้มีวัตถุอื่นแปลกปลอมปนมาอีก... ชายหาดนั้นแลดูว่างเปล่าลิบลิ่วไปจนสุดสายตา

    เป็นกล้วยน้ำว้าหวีที่มีผลอวบงาม ผิวเป็นสีเหลืองนวลแอร่มสวยสมบูรณ์ที่สุด ไม่มีริ้วรอยช้ำแสดงแรงกระแทกของกระแสคลื่นเลย

    และไม่นานมานี้ ในปี ๒๕๒๙ ขณะกำลังเตรียมข้อมูลเพื่อเขียนชีวประวัติท่าน สำหรับการพิมพ์เป็นเล่มเป็นครั้งแรก หลวงปู่ได้เมตตามาโปรดเราที่บ้านเรือนไทย ลาดพร้าว ให้เป็นโอกาสได้กราบเรียนซักถามข้อสงสัยในประวัติที่เล่า ๆ กันมาได้ง่ายขึ้น ประจวบกับท่านพระอาจารย์บุญญฤทธิ์ ฯ กลับมาจากออสเตรเลียใหม่ ๆ หลังจากไปจำพรรษาอยู่ที่นั่นหลายปี ได้ทราบข่าวหลวงปู่ ก็มากราบ และพักอยู่ด้วยที่บ้านลาดพร้าว

    ท่านอาจารย์บุญญฤทธิ์กรุณาเล่าเรื่องหลวงปู่ที่ท่านทราบและเกี่ยวข้องด้วยให้เราบันทึกไว้ คืนนั้นได้โอกาสซักถามท่านอย่างจุใจ จนเวลาล่วงเข้าวันใหม่ ทั้งผู้ซักทั้งท่านผู้ตอบ และกองเชียร์ก็มิได้แสดงความง่วงเลย

    พอดี เรื่องมาถึง ตอน เทวดา

    ผู้เขียนซักท่าน

    ท่านย้อนถามผู้เขียนว่า คุณล่ะ เชื่อไหม

    กราบเรียนท่านว่า ตัวเองมีประสบการณ์หลายครั้ง หลายอย่างจนไม่อาจที่จะไม่เชื่อได้ แล้วเสริมอย่างท้อแท้ใจว่า แต่นั่นแหละเจ้าค่ะ คนทั่วไปที่เขาไม่เคยพบ เขาก็ต้องหาว่าบ้า...!

    เทวดามี

    แล้วเวลานี้ล่ะ มีไหมเจ้าคะ

    กำลังพูด ๆ กัน ทุกคนก็ได้ยินเสียงครืนใหญ่ ดังสะเทือนเลื่อนลั่น เหมืนบนฝ้าเพดานหอกลางเรือนไทยได้ถูกเขย่าด้วยมือยักษ์ แปลกที่ว่า เมื่อมองขึ้นไปบนเพดาน ก็มิได้เห็นอาการสั่นของตัวเรือนหรือโครงไม้ส่วนใดเลย...!

    ได้ยินแต่เสียงสั่นสะเทือน เหมือนเรือนถูกเขย่า หากทุกอย่างคงปกติ โคมไฟทุกดวง...พวงระย้าดอกไม้ทุกจุด คงนิ่งสนิท

    หรือแผ่นดินไหว...? แต่ถ้าเสียงดังขนาดนี้ เรือนคงพังลงมาแล้ว และเสียงครืนลั่นนั้น ไม่ได้มาจากภายนอกเรือน...ดังอยู่บนเพดานเหนือศีรษะเรานั่นเอง

    หรือ เทวดา...? ใครคนหนึ่งว่า ก้อเรากำลังพูดกันจริง ๆ ว่า เวลานี้มีเทวดาไหม...

    เสียงอีกครืนใหญ่ สั่นสะเทือน เหมือนมือยักษ์นั้นสนุกเขย่าเล่นซ้ำ

    และก็อย่างเคย มีแต่เสียง...ทุกอย่างนิ่งสนิท

    ถ้าเป็นเทวดา ทำเสียงให้ฟังอีกทีซี ผู้เขียนอดไม่ได้ ขอท้าเทวดาสักทีเถอะ

    แล้วก็มีการรับคำท้าจริง ๆ เพราะเราได้ยินเสียงครืนสั่นสะเทือนใหม่อีกรอบหนึ่ง

    ท่านอาจารย์บุญญฤทธิ์ บอกว่า เรื่องเทวดา ท่านได้พบชัด ๆ ครั้งนี้เอง

    เวลาที่พูดกัน ได้ยินกันนั้น หลวงปู่ท่านเข้าที่พักไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว นอกจากท่านอาจารย์บุญญฤทธิ์ และผู้เขียนแล้ว ก็คงเหลือเพียง คุณปัญญา จิระสุข คุณฤดี เชี่ยวเวช และลูกสาวผู้เขียน รวม ๕ คนด้วยกัน ที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้

    รุ่งเช้ากราบเรียนถามหลวงปู่ถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ท่านก็ยิ้ม บอกว่า “เทวดา เขาทำเสียง”
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผู้มาร่วมงานฉลองอายุหลวงปู่

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างที่มีงานฉลองอายุของ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ และ พระคุณเจ้าหลวงปู่หลุย ซึ่งท่านทั้งสองต่างมีฐานะเป็น "เพชรยอดมงกุฎ” แห่งจังหวัดเลย คือเกิดที่จังหวัดเลย ในเดือนเดียวกัน ปีเดียวกัน หากแต่ห่างกันเพียงวันเดียวเท่านั้น โดยหลวงปู่หลุยเกิดก่อน ในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔ และ หลวงปู่ชอบเกิดภายหลังหนึ่งวัน...วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ และเป็นพ.ศ. ๒๔๔๔ เช่นกัน

    เหตุนั้น คณะศิษย์ทางกรุงเทพฯ จึงจัดงาน เป็นการรำลึกถึงพระคุณของท่านทั้งสองพร้อมกัน โดยมักจะจัดที่ สำนักสงฆ์ ก.ม. ๒๗ นิมนต์พระสงฆ์จากวัดป่าต่าง ๆ ที่เป็นศิษย์ของท่านมาในงาน ท่านเหล่านี้ได้มาสวดมนต์ สรงน้ำ ถวายสักการะหลวงปู่ และขณะเดียวกัน ศิษย์ที่เป็นฆราวาสก็ได้โอกาสเพิ่มขึ้น

    ...นอกจากจะได้ทำบุญฉลองอายุหลวงปู่ทั้งสองแล้ว ยังได้ถวายจังหัน “พระป่า” อีกมากมายด้วย แต่ละองค์ซอกซอนซ่อนองค์อยู่ในป่าลึก แต่ละเขต แต่ละเมือง อยู่ห่างไกลกัน จะไปกราบแต่ละครั้งเดินทางไปแสนยาก แต่นี่เป็นวาระพิเศษที่ท่านเหล่านั้นออกจากป่า ออกจากเขา มาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่แห่งเดียวกัน บรรดาศิษย์จึงดีใจ พากันรอที่จะมาร่วมงานนี้กันทั้งนั้น

    ในปีแรก ๆ หลวงปู่หลุยสั่งให้กำหนดในรายการกำหนดงานว่า งานมี ๒ วัน

    วันแรก นิมนต์ให้พระทั้งหมดไปสวดมนต์และฉันเช้าที่บ้านเรือนไทย ลาดพร้าว ตอนค่ำ มีสวดมนต์เย็น และแสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์ ก.ม. ๒๗

    วันที่สอง ณ สำนักสงฆ์ ก.ม. ๒๗ เช่นเดียวกัน มีตักบาตร ถวายจังหันพระ แล้วถวายสักการะ สรงน้ำหลวงปู่ทั้งสององค์ แล้วเป็นอันเสร็จงาน

    ปีสองปีแรก ยังมีพระมาร่วมงานไม่มาก ไม่เกินร้อย แต่ก็นับว่ามาก สำหรับบ้านเรือนไทย ซึ่งจะต้องจัดที่สำหรับพระฉันข้างบนเรือนไทยทั้งหมด จริงอยู่ มีเรือนไทยทั้งสิ้นถึง ๖ หลัง มีระเบียง มีชานทางเดินติดต่อถึงกัน แต่กลุ่มที่สร้างติดต่อกันเป็นโถงใหญ่ต่อเนื่องกัน ก็มีเพียง ๔ หลัง อีก ๒ หลัง สร้างแยกห่างออกไป เพียงแต่มีระเบียงทางเดินติดต่อกันได้เท่านั้น

    หลวงปู่หลุยท่านมาตรวจสถานที่ สั่งการ กำกับการด้วยองค์เอง เป็นพระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้

    ท่านสั่งผู้เขียนว่า วันงานนี้ ให้ย้ายที่ตั้งบูชาพระบรมสารีริกาตุและพระธาตุครูบาอาจารย์ทุกองค์จากเรือน “หอพระธาตุ” ซึ่งรวมอยู่ในกลุ่มเรือน ๔ หลัง ไปตั้งในเรือนอีกหลังหนึ่งแยกต่างหาก เพื่อให้ที่ว่างสำหรับพระฉัน และระหว่างนั้น หากจะมีคนมากราบชมพระธาตุ ก็จะเป็นส่วนสัดแยกไปต่างหาก ไม่มามัว “ออ” แน่นกันอยู่ทางนี้

    สำหรับหลวงปู่ชอบนั้น ปกติต้องถวายจังหันท่านตั้งแต่เช้า แต่เวลา ๗ นาฬิกา ซึ่งเวลานั้นเป็นเวลาเช้ามาก เกินกว่าที่พวกศรัทธาญาติโยม จากทั่วทิศานุทิศจะมาทำบุญได้ทัน โดยเฉพาะยิ่งเป็นงานใหญ่ พระป่า มารวมกันเป็น ๗๐ – ๘๐ องค์ ศรัทธาญาติโยมก็มาก เพียงแค่การลำเลียงอาหารที่ทุกคนนำมาขึ้นถวาย ก็กินเวลาเป็นชั่วโมง ๆ ยังมีการสวดมนต์ก่อนอีก กว่าพระจะได้เริ่มฉันเช้า คงเป็นเวลาเกือบ ๑๐ นาฬิกา จึงควรต้องจัดที่สำหรับถวายให้เป็นที่ฉันของหลวงปู่ชอบ แยกออกไปเป็นพิเศษ

    หลวงปู่หลุยท่านกำหนดให้จัดเรือนไทยหลังสุดท้าย ซึ่งแยกต่างหากออกไป เป็นที่ “พิเศษ” ถวายหลวงปู่ชอบ เรือนไทยหลังนั้นมีชาน และระเบียงกว้างขวางพอควร นอกจากชานจะกว้างแล้ว ก็ยังเชื่อมต่อกับกลุ่มเรือนไทยใหญ่ด้วย

    ที่ต้องเล่าถึงสภาพรูปลักษณะเรือนไทยให้ละเอียดสักหน่อย ก็เพื่อท่านผู้อ่านจะได้ติดตามระลึกถึงภาพเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น

    งานเช้าวันนั้นผ่านไปโดยเรียบร้อย ให้ทุกคนที่มาได้ชื่นอก ชื่นใจ อิ่มเอิบในงานบุณย์กันอย่างถ้วนหน้า เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปต่องานในตอนค่ำที่ดอนเมืองกันต่อไป

    เรื่อง “ไม่ธรรมดา” นี้คงจะไม่เป็นที่ทราบกัน ถ้าหากว่าหลังจากนั้นเป็นเวลาร่วมเดือน ที่ผู้เขียนจะไม่เผอิญไปพบเพื่อนรุ่นน้องกลุ่มหนึ่งเข้า เธอเหล่านั้นเข้ามาทักทายคุยด้วยอย่างสนิทสนม เล่าว่า วันนั้นเป็นบุญเหลือเกินที่ได้ไปร่วมงานที่บ้านเรือนไทยด้วย ...ได้กราบหลวงปู่ทั้งสององค์ ...ได้กราบพระอีกมากมาย จนลานตาไปหมด

    เธอคนหนึ่งก็คุยขึ้นว่า เธออยู่ลาดพร้าวมานาน ไม่เคยเห็นพระมากเท่านี้ พระก็มาก แม่ชีก็มาก ฟังเธอคุย ผู้เขียนก็ยังไม่ทันคิดอะไร เธอก็เล่าต่อไปเรื่อย ๆ

    พระเป็นสีเหลืองไปหมด แม่ชีก็เป็นสีขาวบริสุทธิ์ สวยจริง ๆ ปลื้มจนน้ำตาคลอ รู้สึกว่าเขาจะถวายเงินพรกันมากนะคะ หนูน่ะอยากถวายแม่ชี สงสาร ไม่ค่อยมีใครทำบุญกับแม่ชี อยากจะถวายองค์ละร้อย...แต่ก็ไม่มีเงินพอ เสียดายจริง ๆ

    พอเธอพูดมาถึงตอนนี้ ผู้เขียนชักเฉลียวใจ มองหน้าผู้พูด

    ...จริงอยู่ แม้ว่าระหว่างเวลาสวดมนต์และถวายอาหาร ผู้เขียนจะมัวสาละวนดูแลความเรียบร้อยเรื่องการจัดอาการ ลำเลียงอาหารขึ้นถวายทางกลุ่มเรือนไทย ๔ หลังนั้นมากกว่า เพราะคนมาก พระมาก แต่ก็คอยปลีกตัวมาดู เรื่องการฉันเช้าของหลวงปู่ชอบท่าน ที่เรือนไทยหลังนั้นอยู่เสมอ ว่าจะมีอะไรขาดตกบกพร่อง

    จำได้ว่า ตรงระเบียงเรือนหลังที่หลวงปู่ชอบท่านกำลังฉันอยู่ก็ดี หรือตรงนอกชานกว้างที่ทำเชื่อมต่อเนื่องกับกลุ่มเรือนหมู่กลางก็มี แม้จะมีพวกศิษย์นั่งกันอยู่เนืองแน่น แต่ก็มีแม่ชีอยู่เพียง ๒ – ๓ องค์ แม่ชีองค์หนึ่งจำได้คือ คุณแม่นารี ฯ แห่งวัดป่าสุทธาวาส อีกองค์หนึ่ง นั่งอยู่ข้าง ๆ คุณแม่นารี คงจะคอยช่วยปรนนิบัติดูแลท่าน ด้วยคุณแม่นารีมีอายุเก้าสิบแล้ว หากจะมีแม่ชีมากขึ้น หลงหูหลงตาเราไป ก็ไม่น่าจะมีมากกว่าอีกองค์หนึ่งหรือสององค์
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผู้มาร่วมงานฉลองอายุหลวงปู่ (ต่อ)

    หากจะถวายองค์ละร้อย แม่ชี ๒ – ๓ องค์ เงินก็เพียง ๒ – ๓ ร้อยบาทเท่านั้น เธอพูดได้ยังไงว่า แม่ชีมาก ไม่มีเงินพอ

    ถามไปว่า แม่ชีนั่งตรงไหนกัน พี่ไม่เห็น เห็นแค่ ๒ – ๓ องค์ ตรงชานกว้าง

    เธอบอกว่า นั่งตรงบนระเบียง ด้านหน้าที่หลวงปู่ชอบฉัน

    ผู้เขียนขมวดคิ้ว ระเบียงตอนนั้น พอสายเข้า แดดส่อง คนหลบแดดกันเป็นแถว ลงมานั่งที่ชานกว้างอันอยู่ระดับถัดลงมา ระเบียงตอนนั้นดูจะว่างกว่าตอนอื่นเป็นพิเศษด้วยซ้ำ ยังไม่ทันแสดงความสงสัยอย่างใดออกไป เธอก็เล่าต่อ

    “แม่ชีนั่งกันเต็มระเบียง เห็นสีขาวจนลานตา หนูอยู่ข้างล่าง ชะเง้อขึ้นไปดู คงจะกระทบแสงแดดด้วย ดูผ้าพวกแม่ชีเป็นประกายระยิบระยับเชียวค่ะ ไม่รู้ว่าท่านมากันจากวัดไหน งามเหลือเกิน”

    ครั้นผู้เขียนร้อง “ฮ้า...” ถามว่า เห็นจริง ๆ หรือ เธอก็ยืนยัน แล้วหันไปพยักเพยิดกับเพื่อน ๆ “ใช่ไหม ที่เรายังชี้ให้กันดู”

    เพื่อนคนอื่น ๆ ก็รับเป็นสียงเดียวกัน “ใช่ค่ะ เห็นแม่ชีมากันมากจริง ๆ ยังบ่นเสียดายที่เราไม่ร่ำรวยอย่างคนอื่นเขา ถ้าจะถวายเงินจริง ๆ ก็ต้องหลายพันทีเดียว”

    รวมความแล้ว เธอและเพื่อนสี่ห้าคนต่าง “เห็น” เหมือนกัน....! และเชื่อกันว่าเป็นพวกแม่ชีจริง ๆ อยากจะตามไปกราบที่วัดด้วย....!

    ในภายหลัง เมื่อมีโอกาสกราบหลวงปู่ ผู้เขียนก็เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ถวายท่าน ท่านถามว่า “เห็น” กันหรือ กราบเรียนว่า ผู้เขียนไม่ได้ “เห็น” แต่เพื่อนรุ่นน้อง “เห็น” ต่างเล่ายืนยันแน่นแฟ้นกันทุกคน ข้อความตรงกัน

    แล้วกราบเรียนถามท่านเป็นประโยคสุดท้ายว่า “พวกนั้นใครกันเจ้าคะ หลวงปู่ ที่มางานฉลองอายุหลวงปู่ ...มากราบหลวงปู่วันนั้น”

    ท่านตอบสั้น ๆ เสียงเบา แต่ก็ฟังได้ชัดเจน “...พวกพรหม !”

    ผู้เขียนกราบท่านแล้วก็นิ่งอยู่ อดไม่ได้ที่จะแอบนึกในใจด้วยความปีติ โอ...หลวงปู่ของเรานั้น...อย่าว่าแต่มนุษย์จะบูชา เทวดาจะบูชา แม้พรหมก็ต้องลงมาบูชาเช่นกัน

    นึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่ละม้ายกันครั้งหนึ่งในอดีต ระยะนั้นเมื่อพวกเราไปภูทอกขึ้นไปพัก สวดมนต์ ภาวนากันที่บนศาลาชั้นที่ ๕ เป็นประจำ เคยได้ยินพระเณรท่านคุยให้ฟังเหมือนกันว่า คืนไหน วันไหน ที่ ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ สั่งให้ช่วยกันปัดกวาดทำความสะอาดศาลา โดยเฉพาะบริเวณหน้าพระประธานเป็นพิเศษ “รู้สึกว่า” จะเป็นเวลาที่พวกเทวดาเขาจะลงมาขอฟังธรรม

    ท่านอาจารย์จวนไม่เคยบอกตรง ๆ แต่ท่านจะเปรยว่า ทำให้สะอาด เผื่อพวกเทพเขาอาจจะลงมาไหว้พระ หรือไม่ก็ท่านมักจะกำชับพระเณรให้ภาวนาเต็มที่ อย่ามัวเกียจคร้าน เทวดาลงมาเห็นพระเณรนอนเป็นตะเข้ขวางคลอง จะอายเขา...!

    ท่านไม่กล่าวตรง ๆ แต่พระเณรองค์ที่ภาวนาดีก็มักจะได้มีโอกาสเห็น “แขกพิเศษ” ที่มากราบท่าน มาฟังธรรมจากท่าน...แอบกระซิบเล่าสู่กันฟัง จนสุดท้ายพวกเราและผู้เขียนก็พลอยได้ยินข่าวเหล่านี้ด้วย

    แต่ระยะนั้น เราเพิ่งเข้าวัดใหม่ ๆ ได้ไม่นาน จึงไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรนัก วันหนึ่งก็มีเสียงกระซิบกันว่า คืนนี้ท่านอาจารย์จวนกำชับให้ดูแลทำความสะอาดบริเวณหน้าพระประธาน ศาลาภูทอกบนเขาชั้นที่ ๕ นั้นไม่กว้างใหญ่มากนัก ที่พักบนเขาสมัยนั้นก็แทบไม่มี คนไปภูทอกจึงต้องพักรวมกันที่ศาลาใหญ่ ซึ่งโดยปกติก็จะเลือกที่นอนกันทั่ว ๆ ไป ที่ใดก็ได้ ขอให้อยู่ในบริเวณศาลาก็แล้วกัน

    แต่คืนนั้น ท่านอาจารย์มากำกับดูแล ไม่ให้นอนกันบริเวณหน้าพระประธาน โดยท่านไปช่วยเลือกหาที่อื่นให้เป็นที่นอนกัน มีศิษย์ดื้อคนหนึ่งเป็นชาย ถึงจะไม่กล้าแย้งท่านต่อหน้า แต่ลับหลังท่าน พอท่านเข้าที่พักแล้ว เธอก็หอบหมอนหอบผ้าห่ม กลับไปนอนหน้าองค์พระประธาน อ้างว่าที่ตรงนั้นว่างดี ไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่น พอกลางคืนตื่นขึ้นมา ประหลาดใจว่า ทำไมมานอนรวมกับเพื่อน ๆ อีกด้านหนึ่ง อยู่ห่างจากที่ตนนอนแต่เดิมร่วมยี่สิบเมตร แต่ก็ยังไม่ฉุกใจคิดอยู่ดี คงอวดเก่งบ่นอู้อี้ หอบหมอน หอบผ้าห่มกลับไปนอนที่ว่างหน้าพระประธานอีก

    คราวนี้แหละ....ถึงบ่นเสียงอ่อย ! เมื่อรู้สึกคล้ายถูกลากถูกดึงตัวออกไป มาลืมตาขึ้น ก็เห็นตัวเองกลับมานอนแอ้งแม้งอยู่ในที่ซึ่งถูกนำไปปล่อยไว้ในครั้งแรกอีกครั้งหนึ่ง...!

    ศิษย์อีกสองคน ต่างคนต่างเล่าว่า กลางดึกตื่นขึ้นมาราวตีสอง เห็นบริเวณหน้าพระประธาน มีคนแต่งขาว มาสวดมนต์กันเต็ม...แน่นขนัดไปหมด คราวแรกคิดว่าเป็นแม่ชี ด้วยเห็นเครื่องแต่งกายเป็นสีขาว สงสัยว่า แม่ชีทำไมขึ้นเขามาสวดมนต์จนดึกดื่นเช่นนี้ ปกติแม่ชีมีที่อยู่อยู่ ณ เชิงเขาชั้นล่าง จะขึ้นมาบนศาลาเขาชั้นที่ ๕ เพื่อทำวัตรสวดมนต์ฟังธรรมแล้วก็จะกลับลงจากเขาไป นี่ทำไมจึงยังคงอยู่จนดึก

    และความจริง แม่ชีที่ภูทอกก็มีเพียง ๖ –๗ องค์เท่านั้น ที่เห็นมากมายแน่นศาลานั้นมาจากไหน...?

    หรือว่ามีคณะแม่ชีจากวัดอื่นเดินทางขึ้นมาบนเขาตอนกลางดึก...?

    เธอว่า ลืมตาก็ “เห็น” หลับตาก็ “เห็น” ประหลาดจริง ๆ แสงไฟบริเวณหน้าพระประธานสว่างเรืองด้วยแสงเทียนน้อยใหญ่ เปลวเทียนลุกวอมแวมเห็นเครื่องแต่งกายสีขาวของคุณชีดูระยิบระยับ มองดูคล้ายมีการตามประทีปโคมไฟ

    หลับตา ก็ยัง “เห็น”

    ลืมตา ก็ยัง “เห็น”

    ภาวนาต่อไปอีกพักใหญ่ ลืมตาดูก็เห็นอีก จนเกือบสว่าง ภาพคณะบุคคลในชุดาวจึงหายไป

    รุ่งขึ้นเช้า กราบเรียนถามท่านอาจารย์จวน ท่านบอกว่า “พวกพรหม เขาลงมา”

    ยังจำได้ ประโยคสุดท้ายที่พูดกับผู้เขียนเบา ๆ ในเช้าวันนั้น คือ “พวกพรหม เขาแต่งขาวเสมอ !”
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เรื่องเล่า.อานิสงส์การพิมพ์พระปาฏิโมกข์

    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

    อานิสงส์การพิมพ์พระปาฏิโมกข์ มาจากบทความ
    หนังสือประสบการณ์ทางวิญญาณ จากคุณทองทิว สุวรรณทัต

    โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 008791 โดยคุณยุ
    [10 พ.ค. 2546]



    เรื่อง "อานิสงส์การพิมพ์หนังสือพระปาฏิโมกข์" นี้เป็นเรื่องที่คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต เขียนเองโดยใช้ชื่อ ตอน "การสั่งพิมพ์หนังสือภิกขุปาฏิโมกข์ บาลี-แปล" มีเนื้อความยาวกว่าทุกเรื่องที่นำมาลง จึงจำเป็นต้องแบ่งลงเป็นสองอาทิตย์ๆ ละตอน ซึ่งขอให้ติดตามอ่านต่อไป

    เรื่องของการพิมพ์หนังสือภิกขุปาฏิโมกข์ บาลี-แปล นั้น มีอยู่ว่า...

    วันหนึ่งราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2537 ที่บ้านได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากท่านเฉลียว แห่งวัดป่าโคกมน (หลวงปู่ชอบ ฐานสโม) สั่งให้ผู้เขียนขึ้นไปที่วัดป่าโคกมนด่วน ด้วยหลวงปู่อยากให้ขึ้นไปพบ ผู้เขียนไม่ได้เป็นคนรับโทรศัพท์เอง ประกอบกับธุระยุ่งๆ เลยลืมไป

    ต่อมาอีก 2-3 วัน ท่านอาจารย์เฉลียวโทรฯ มาตามอีก คราวนี้ผู้เขียนรับเอง ท่านบอกว่า หลวงปู่อยากพบจริงๆ ต้องการพบคุณหญิง ขอให้รีบขึ้นไป ขณะนั้นยอมรับว่า เกิดความกังขาว่า หลวงปู่ท่านอยากพบจริงๆ หรือ เพราะตามปกติท่านก็ไม่เคยเรียกหา หรือว่าทางวัดต้องการจะให้เราทำอะไร แล้วอ้างชื่อหลวงปู่ ท่านอาจารย์เฉลียวก็คาดคั้นถามอีก ตาผู้เขียนมองไปที่ปฏิทินเหลือเวลาอีกเพียง 2-3 วัน ก็จะถึงงานฉลองวันเกิดหลวงปู่ จึงเรียนไปว่า ขอให้เรียนหลวงปู่ว่า จะขึ้นไปกราบท่านราววันที่ 12 กุมภาพันธ์นี้ ใจหนึ่งฉุกคิดขึ้นมาทันทีว่า คงจะไม่ใช่เรื่องแอบอ้างหลวงปู่ เพราะท่านเฉลียวยังย้ำว่า

    "มาแน่นะ ถ้างั้นจะไปเรียนหลวงปู่เดี๋ยวนี้แหละว่า คุณหญิงรับว่าจะมาแน่วันที่ 12 นี้"

    พวกเราเตรียมตัวออกเดินทางเย็นวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ถึงวัดป่าโคกมนเช้ามืดวันที่ 12 พอมาถึงก็พบว่า บริเวณวัดคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนมากมายที่มาร่วมงานวันเกิดหลวงปู่แน่นขนัดไปหมด ตามโรงทานต่างๆ กำลังตระเตรียมทำอาหาร พวกเราก็เตรียมจัดทำอาหารที่นำมาจากกรุงเทพฯ สำหรับถวายพระ เวลาที่มาถึงวัด

    ประมาณตี 4 ทราบว่าที่กุฏิหลวงปู่ยังไม่เปิด ผู้เขียนเป็นอันแน่ใจว่าท่านอยากพบจริงๆ เมื่อเดินสวนกับชาวบ้านที่จำผู้เขียนได้ ร้องบอกว่าหลวงปู่บ่นอยากพบ พระที่นั่นก็ยืนยันเช่นกัน พวกเราขอเข้าข้างใน กราบท่านตอนใกล้รุ่ง เวลานั้นหลวงปู่เพิ่งหายป่วย ออกจากโรงพยาบาลกลับมาวัด ท่านพักอยู่ในกุฏิที่เป็นห้องกระจกเพื่อกันติดเชื้อ และไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนท่านได้มากเกินไป เมื่อผู้เขียนคลานเข้าไปกราบท่าน ท่านยิ้มเล็กน้อยมองมายังผู้เขียน ผู้เขียนกราบเรียนถามท่านว่า

    "หนูมาแล้วเจ้าค่ะ หลวงปู่ให้หนูมาหา หลวงปู่มีเรื่องอะไรให้หนูรับใช้หรือเจ้าคะ"

    ท่านไม่ตอบ ปกติหลวงปู่เป็นอัมพาตพูดค่อนข้างลำบาก จึงเรียนถามซ้ำอีก

    "หลวงปู่จะให้หนูช่วยหาเงินสร้างศาลาให้เสร็จใช่ไหมเจ้าคะ"

    เพราะขณะนั้นศาลาใหญ่วัดป่าโคกมนยังสร้างไม่เสร็จ ท่านนิ่งและสั่นศีรษะเล็กน้อย แปลว่าไม่ใช่เรื่องนี้ พยายามลองเรียนถามดูอีกหลายอย่าง

    "หลวงปู่จะให้ทำอะไร หลวงปู่จะให้พิมพ์หนังสือประวัติเพิ่มหรือเจ้าคะ"

    ท่านนิ่ง สุดท้ายท่านพยายามเปล่งเสียงออกมาได้ โดยมีพระที่อยู่ใกล้ๆ ช่วยอธิบาย ในที่สุดถึงทราบว่าท่านสั่งให้พิมพ์หนังสือภิกขุปาฏิโมกข์ ก็เอะใจถามว่า

    "ภิกขุปาฏิโมกข์นี่เป็นพระวินัยของพระที่พระภิกษุจะต้องสวดเวลาลงปาฏิโมกข์ทุกวันพระใช่ไหมเจ้าคะ"

    ท่านรับว่า ใช่

    ผู้เขียนรับปากจะจัดทำมาถวายท่าน แล้วถามต่อไปว่า

    "หลวงปู่จะให้หนูพิมพ์สักเท่าไรคะ"

    ในใจกะว่าท่านคงจะให้พิมพ์ราว 3-5 พันเล่ม

    ท่านตอบว่า "แปดหมื่น"

    ผู้เขียนได้ยินก็ตกใจกับตัวเลขจึงเรียนซักถามต่อ ปรากฏว่าท่านต้องการให้พิมพ์ถึง แปดหมื่นสี่พันเล่ม

    ผู้เขียนตอนนั้นเพิ่งหายเหนื่อยจากการจัดงานทอดผ้าป่ามาหยกๆ ระหว่างวันที่ 29-31 มกราคม เป็นการชวนพวกเพื่อน ๆ ไปทำบุญทอดผ้าป่าวัดต่างๆ หลายแห่ง รวมทั้งวัดใหญ่คือภูทอกด้วย
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เรื่องเล่า.อานิสงส์การพิมพ์พระปาฏิโมกข์ (ต่อ)

    แต่เดิมเข้าใจว่าท่านต้องการให้พิมพ์แจกในงานวันเกิดของท่านในปีหน้า ท่านก็บอกว่าไม่ใช่ ต้องการให้เร็วกว่านั้น ยังไม่ทันคิดอะไร กราบลาท่านกลับกรุงเทพฯ หลังจากนั้นไม่นานผู้เขียน (คุณหญิงสุรีพันธุ์) ทราบข่าวว่าหลวงปู่ไม่สบาย กำลังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา ผู้เขียนจึงรุดไปกราบเยี่ยมท่าน เวลานั้นท่านไม่ค่อยสบายมาก พูดไม่ได้ ฉันไม่ค่อยได้ การสื่อความเข้าใจกับท่านจะต้องใช้วิธีพูดนำ คือสบตาท่าน พยายามให้รู้ความหมายว่า ท่านต้องการอะไร และพูดนำว่า ใช่ หรือไม่ใช่ ผู้เขียนอยากให้ท่านสบายใจในเรื่องที่รับปากท่านไว้ จึงเรียนท่านว่า

    "ที่หลวงปู่อยากให้พิมพ์ภิกขุปาฏิโมกข์ให้เสร็จเร็วก่อนวันเกิดนั้น หลวงปู่ต้องการประมาณวันเข้าพรรษา จะได้แจกพระวันนั้น ใช่ไหมเจ้าคะ"

    ท่านบอกว่า "ให้เร็วกว่า"

    เรียนถามว่า "ถ้าอย่างนั้นคงเป็นวันวิสาขบูชาใช่ไหม"

    สุดท้ายจึงได้ทราบว่า หลวงปู่ต้องการให้เสร็จทันถวายเป็นพระราชกุศลในวันฉัตรมงคล คือวันที่ 5 พฤษภาคม ท่านบอก

    "เวลาเฮาเหลือน้อย ต้องรีบทำ"

    ระยะนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองกำลังผันผวน วงการสงฆ์มีพระบางองค์เป็นข่าวอื้อฉาวด้วยเรื่องละเมิดทำผิดวินัยสงฆ์ ตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งบนหนังสือพิมพ์ คงจำกันได้ นี่หากพระเหล่านั้นอ่านและปฏิบัติตามพระวินัยปาฏิโมกข์ของพระพุทธเจ้า ก็คงไม่มีข่าวเหลวไหลดังกล่าวเกิดขึ้น

    มีอยู่สองประการคือ ประการแรกทำไป เพราะไม่รู้ อีกประการ ทำไปทั้งๆ ที่รู้

    อย่างประเด็นที่ว่า พระไม่ควรอยู่กับผู้หญิง แม้จะมีผู้หญิงอยู่จำนวนเป็นร้อย หากไม่มีบุรุษหรือเพศชายอยู่ด้วยก็ไม่ได้ ถึงจะมีเด็กชายน้อยก็ยังไม่ได้ ต้องเป็นเด็กชายที่รู้เดียงสาอยู่ด้วย

    เข้าใจว่า หลวงปู่คงจะต้องการให้ความนี้เป็นที่แพร่หลายไป เพราะสังเกตจากจำนวนหนังสือภิกขุปาฏิโมกข์ที่โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัยจัดพิมพ์ขึ้นมานั้น ในระยะเวลา 50 ปี รวมแล้วมีเพียงแสนกว่าเล่ม แต่นี่......หลวงปู่ให้พิมพ์คราวเดียวถึง แปดหมื่นสี่พันเล่ม น่าจะมีความหมาย !

    แต่แรกคิดว่า หลวงปู่คงจะต้องการให้พระวินัยแพร่หลายไปทั่วประเทศ มาฉุกใจคิดอีกแง่หนึ่ง ที่ท่านเร่งว่า ให้พิมพ์เสร็จเร็ว เพื่อให้ทันการถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันฉัตรมงคล

    ระยะนั้นสถานการณ์บ้านเมืองน่าเป็นห่วงมีการเรียกร้อง อดข้าวประท้วงหน้ารัฐสภา มีข่าวออกมาจะมีการปลุกระดมจนอาจเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเลือดตกยางออก สูญเสียยิ่งกว่าเหตุการณ์เดือน พฤษภาคม 2535 เสียอีก ท่านผู้ใหญ่หลายท่านมาเตือนขอให้ผู้เขียน อาราธนากราบเรียนครูบาอาจารย์ให้ท่านช่วยแผ่เมตตาให้บ้านเมืองด้วย หลวงปู่ท่านเคยพูดเสมอว่า ท่านแผ่เมตตาเข้าไปถวายพระราชจักรีวงศ์ในวังเป็นประจำ

    เมื่อมาฉุกคิดประเด็นนี้ได้ จึงรีบเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งท่านเป็นองค์ประธานมหามกุฏราชวิทยาลัย เพื่อทูลขออนุญาตจัดพิมพ์หนังสือนี้จำนวน 84,000 เล่ม ตามคำขอของหลวงปู่ เพื่อรีบถวายพระราชกุศลโดยเร็ว ท่านก็ทรงพระเมตตาและประธานคำ "ธรรมทานานุโมทนา" ให้ด้วย ตรัสว่าท่านอนุญาต แต่ขอให้ทำหนังสือขอขึ้นมาเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย จะได้เป็นการอนุญาตอย่างเป็นทางการ
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เรื่องเล่า.อานิสงส์การพิมพ์พระปาฏิโมกข์ (ต่อ)

    ผู้เขียน กราบทูลท่านไปว่าเราจะพิมพ์ให้กระดาษดีขึ้น โดยเฉพาะปก จะใช้กระดาษดีเป็นพิเศษ ไม่ขาดง่ายเป็นเล่มเล็กขนาดเท่าของมหามกุฏฯ เพื่อว่าพระจะสามารถนำใส่ย่ามหยิบมาอ่านทบทวนพระวินัยดูเป็นประจำ

    น่าแปลก...........เป็นเพราะบารมีหลวงปู่โดยแท้ ทั้งๆ ที่เราเพิ่งเสร็จจากงานบุญกฐินก่อนหน้านั้นเพียงสิบกว่าวัน ก็ชวนกันกับหมู่เพื่อนทำบุญอีกสามล้านกว่าสำหรับงานผ้าป่า พอเราบอกเพื่อนฝูง 5-6 คน ไปบอกต่อๆ กันเรื่องงานที่หลวงปู่จะให้จัดพิมพ์หนังสือ เพียงไม่กี่วัน ก็สามารถหาเงินได้ครบล้านกว่าบาท พอที่จะเป็นค่าพิมพ์หนังสือได้ เพราะทางโรงพิมพ์ช่วยจัดพิมพ์ให้ในราคาพิเศษ ใช้กระดาษอย่างดี หน้าปกทอง แถมหุ้มพลาสติกด้วย
    ประมาณปลายเดือนเมษายน หนังสือเสร็จเรียบร้อย เราเตรียมนำหนังสือจำนวนหนึ่งถวายเข้าไปในวัง จำนวนหนึ่งถวายพระสังฆราช และถวายพระผู้ใหญ่ เพื่อจะให้แจกจ่ายไปทั่วประเทศ จำนวนใหญ่เอาขึ้นรถตู้ไปกับพวกเรา จำได้ว่าเป็นวันที่ 23 เมษายน เราเดินทางไปกราบหลวงปู่ เอาหนังสือไปถวาย และตั้งใจว่าจะนำเอารายชื่อพวกเรา ที่ช่วยกันออกเงินจัดพิมพ์ไปถวาย ให้หลวงปู่แผ่เมตตา เพราะคิดว่าจะเป็นกุศลอย่างมหาศาล เพียงทำบุญกับท่านก็เป็นบุญอันยอดอยู่แล้ว นี่เป็นการถวายพระราชกุศลด้วย ผลบุญนั้นคงยิ่งมหาศาลขึ้นไปอีก สมเด็จพระสังฆราชก็ทรงประทานคำ "ธรรมทานานุโมทนา" ซึ่งพิมพ์เป็นหลักฐานไว้ที่ด้านหน้าหนังสือ

    เราเดินทางไปถึงวัดโคกมนในเวลาเกือบมืดแล้ว หลวงปู่เพิ่งจะตื่นจากจำวัด พระที่วัดให้เราไปรอที่ศาลาซึ่งมีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ตั้งอยู่ โดยท่านจะนำรถเข็นหลวงปู่ไปพบเราที่นั่น

    พอเราไปถึงศาลารูปปั้นหุ่นขี้ผึ้ง ภายในนั้นค่อนข้างมืดไม่ได้เปิดไฟ ชาวบ้านกับพระเอาเสื่อมาปูให้เรานั่ง

    นึกแปลกใจ....ที่ทำไมเอาเสื่อเก่าๆ ขาดๆ มาปูให้นั่ง แต่ก็คิดว่าคงจะดีที่สุดที่หามาได้ในตอนนั้น เป็นเสื่อกกเก่าๆ ผืนเล็กที่ผ่านการใช้งานมานานจนขาดมีกลิ่นอับ

    อย่างไรก็ดีพวกเราก็นั่งบนเสื่อนั้น สักครู่หลวงปู่ก็เข้ามา พวกเราเข้าไปกราบแทบเท้าท่าน เรียนท่านว่า

    หนังสือที่หลวงปู่ให้พิมพ์ เวลานี้พิมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว และเอาไว้กรุงเทพฯ จำนวนหนึ่งเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเตรียมจะถวายสมเด็จพระสังฆราชเพื่อทรงแจกจ่าย ขณะนี้ได้นำจำนวนหนึ่งมาที่วัดโคกมนเพื่อถวายหลวงปู่ ขอกราบเรียนท่านช่วยแผ่เมตตาให้ผู้ที่บริจาคเงินพิมพ์หนังสือ
    ท่านรับฟังนิ่งๆ

    ผู้เขียนให้รู้สึกแปลกใจ ที่พระยังไม่เปิดไฟในศาลารูปปั้นนั้น ขณะนั้นอ่านรายชื่อผู้ที่ร่วมทำบุญบริจาคตั้งแต่หมื่นบาทขึ้นไปให้ท่านฟัง จำได้ว่ามันมืดจนเพื่อนคนหนึ่งต้องเอาไฟฉายมาช่วยส่องให้ นึกในใจว่าเหตุใดพระถึงไม่เปิดไฟให้เรา ข้างนอกก็มืดแล้ว ข้างในก็เป็นแสงสลัว หากด้วยห้องเป็นสีขาว แสงสะท้อนจึงพอมองเห็นบ้าง
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เรื่องเล่า.อานิสงส์การพิมพ์พระปาฏิโมกข์ (ต่อ)

    พวกเราค้างอยู่ที่วัดหนึ่งวัน รุ่งเช้าหลวงปู่ไปพักเดินจงกรม (ด้วยรถเข็น) อยู่ที่ภายในโรงศาลาอีกหลังใกล้ๆ เมรุเผาศพ พวกเราตามไปที่นั่น มีโอกาสถวายจังหันแด่ท่านและพระเณรรูปอื่นในวัด จากนั้นก็กราบลาท่านเดินทางกลับ
    ขากลับพวกเราคุยกันมาในรถ อันเป็นธรรมดาของการเดินทางไปกราบครูบาอาจารย์ทุกครั้ง ที่เที่ยวกลับก็จะพูดคุยกันถึงเรื่องความเมตตาของท่านที่มีต่อพวกเราเสมอ รวมทั้งสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ที่พบเห็นมา

    รถของเราแวะเต็มน้ำมันจนเต็มถังที่แถวบ้านสีดาก่อนถึงโคราช เป็นระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ เราแวะซื้อผลไม้ที่ปากช่อง เมื่อซื้อเสร็จ เราเป็นคนพูดดังๆขึ้นมา

    "ดูซิว่าจากปากช่องเราจะใช้เวลาเท่าไร นี่เวลานี้หกโมงครึ่งนะ"

    รถแล่นมาสักครู่ใหญ่ คุณเทิดเกียรติซึ่งนั่งหน้ารถก็ร้องขึ้นว่า

    "พี่เปี๊ยกดูสิ เกย์น้ำมันไม่เห็นลดลงมาเลย น้ำมันที่เราเติมตั้งแต่บ้านสีดาก่อนถึงโคราช เกย์น้ำมันยังอยู่ที่ตัวเอฟอยู่เลย"

    ต่างสงสัยว่าเกย์คงจะเสีย แต่พอรถแล่นไปได้อีกหน่อยก็ร้องขึ้นมาอีก

    "เอ๊ะ....อ๊ะ เข็มเกย์น้ำมันลงมาหน่อยละ" พวกเราพูดเล่นๆว่า

    "อ้าว...ทำไมไม่กลับขึ้นไปอีกละ"

    เข็มน้ำมันกระดกกลับไปที่ตัวเอฟอีก.......ก็แปลก!

    รถวิ่งต่อไปอีก มีประเด็นประหลาดอีกอย่างเกิดขึ้นในระหว่างทาง

    อยู่ๆ ก็พบมังคุดลูกใหญ่เบ้อเรอ ขนาดเท่าอุ้งมือผุดขึ้นมา ยังไม่เคยพบมังคุดที่ไหนที่มีขนาดใหญ่เท่านี้ เปิดออกดู ชักสงสัยว่า ฤาจะเป็นมังคุดปาฏิหาริย์!!

    ยื่นให้พวกผู้ชาย คือ คุณเทิดเกียรติกับคุณประพันธ์ดู สองคนนั้นนึกว่า ยกให้ เลยช่วยกันทานจนหมด แทนที่จะได้แบ่งกันคนละนิดคนละหน่อย เพราะโดยมาก ถ้าเราจะมีพวกของปาฏิหาริย์ทำนองนี้ ก็มักจะเอามาแบ่งให้ทุกคนมีส่วนชื่นใจทั่วถึงกัน

    วันนั้น น่าแปลก.....รถวิ่งเข้ากรุงเทพฯอย่างราบเรียบง่ายดายโดยไม่ติดสัญญาณไฟแดงที่ใดเลยแม้แต่แห่งเดียว

    รถมาถึงลาดพร้าวแค่ทุ่มครึ่ง!!!

    ทั้งๆ ที่รถของเราขับประมาณความเร็วเฉลี่ยแค่ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ได้เร็วเกินกว่ากฎกำหนดของจราจรทางหลวง และขณะนั้นแถวรังสิตยังมีการก่อสร้างทางปกติรถจะติดอยู่บ้าง แต่รถของเราไม่ติด ระยะทางจากปากช่องมากรุงเทพฯประมาณ 190 กิโลเมตร

    เราใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียวจากปากช่องวิ่งมาถึงบ้านลาดพร้าว

    ที่น่าแปลกอีกอย่าง คือ ผู้เขียนกับคุณปราณีซึ่งนั่งมาด้วยกัน ต่างบ่น

    "เอ๊ะ! เมืองสระบุรีหายไปไหน"

    ทั้งๆ ที่นั่งมองดูทางมาตลอด แต่เราทั้งคู่ไม่เห็นสระบุรี อยู่ๆ รถก็มาถึงหินกอง แล้วก็มาถึงลาดพร้าว

    ไม่ทราบว่าเมืองสระบุรีหายไปไหน..........

    วันนั้นแต่แรก พวกเราจะเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนคืนเจ้าของ แต่ปรากฏว่าน้ำมันยังเต็มถังอยู่ ภายหลังเจ้าของรถโทรมาบอกผู้เขียน น้ำมันเหลืออยู่ในรถนั้น เธอสามารถใช้ต่อในกรุงเทพฯได้อีกถึงเจ็ดวัน

    แสดงว่าน้ำมันที่เราเติมมาจากบ้านสีดานั้นไม่ได้พร่องลงมาเลย............................
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เรื่องเล่า.อานิสงส์การพิมพ์พระปาฏิโมกข์ (ต่อ)

    ต่อมาน้องคนหนึ่งที่ร่วมเดินทางไปด้วยชื่อ คุณศรีเพ็ญ เธอเป็นคนถ่ายรูปทั้งคุณปภัสธร และคุณศรีเพ็ญส่งข่าวมาว่า รูปที่ถ่ายวันไปกราบหลวงปู่นั้น ดูๆ ประหลาดพิกล อยากเอามาให้พี่เปี๊ยกดู จากนั้นเธอทั้งสองก็เอารูปมาให้ผู้เขียนดู

    มันก็ประหลาดจริงๆ

    รูปนั้นทั้งชุด.........นับแต่รูปแรก (รูปที่ ๑) ที่ถ่ายในศาลารูปปั้นขี้ผึ้ง
    ขณะที่พวกเรานั่งอยู่ในห้องมืดๆ ไม่ได้เปิดไฟ กระทั่งจะอ่านหนังสือก็ยังต้องใช้ไฟฉายส่อง แต่ในรูปนั้นเป็นห้องที่เปิดไฟสว่าง (ห้องที่เราบ่นกันทุกคน ว่าทำไมพระไม่เปิดไฟ......)

    [​IMG]


    มองออกไปนอกหน้าต่างในรูปก็สว่างเหมือนกับเวลาตอนบ่ายๆ มีแสงจากดวงไฟบนเพดาน ซึ่งตามจริงไม่ได้เปิดไฟ แสงนั้นเป็นลำแสงสีฟ้า อย่างที่ท่านอาจารย์จวนเคยบอกว่าเป็นแสงเทพ หรือแสงพญานาคพุ่งเข้ามาในห้อง ที่น่าแปลกคือ ในภาพนั้นพวกเราได้นั่งบนเสื่อเล็กๆ ขาดๆ เก่าๆ แต่เป็นเสื่อที่ยาว

    ซึ่งอีกรูปหนึ่ง (รูปที่ ๓) ที่เห็นได้ชัดว่าพวกเรากำลังนั่งบนเสื่อจันทบูรณ์ใหม่เอี่ยมยาวๆ สีแดง ทำนองเดียวกับที่เคยเคยซื้อถวายพระ

    ปกติเสื่อแบบนี้จะมีความกว้างประมาณ 90 เซนติเมตร และมีความยาวตามขนาดความกว้างของศาลา โดยทำกุ๊นริมเสื่อเป็นขอบผ้าสีแดงตลอดแนว [​IMG]
    จึงทำให้คิดว่า คงเป็นอานิสงส์แห่งการทำบุญ......แม้ในโลกความเป็นจริงเรากำลังนั่งบนเสื่อที่เก่าๆ ขาดๆ แต่ในโลกทิพย์เรากลับนั่งบนเสื่อจันทบูรณ์สีแดง ดังที่ผู้เขียนเคยชักชวนกันทำถวายวัดนับครั้งไม่ถ้วนมาแล้ว
    มีความแปลกอีกประการหนึ่งคือ ในรูปนั้น (รูปที่ ๓) ปรากฏใครไม่ทราบนั่งซ้อนทับพวกเราอยู่ โดยคงกำลังกราบรูปปั้นหลวงปู่ในศาลา ในท่านั่งกระหย่ง หากเห็นแต่เท้าขนาดใหญ่สามเท้า ซึ่งไม่ใช่ขนาดมนุษย์เรา ซ้อนทับตรงที่คุณสมศรี หลิมตระกูล นั่งอยู่

    หลายรูปปรากฏภาพแปลกๆ อย่างเช่น ในความเป็นจริง พระจริงๆ ที่ปรนนิบัติหลวงปู่อยู่สององค์ แต่ในรูปจะมีพระรางเลือนอีกหลายองค์ คงเป็นเทพที่เคยบวชเป็นพระมาก่อนมาเฝ้าดูหลวงปู่อยู่



    [​IMG][​IMG]ทำให้เราเริ่มเข้าใจว่า ทำไมหลวงปู่ท่านจึงอยู่ในบริเวณที่มืดๆ ได้อย่างสบาย เพราะในขณะที่เราเห็นเป็นที่มืดนั้น

    สำหรับหลวงปู่กลับเป็นโลกที่สว่างด้วยแสงเทพตลอด..............

    ภาพที่ ๔, ๕, ๖ ถ่ายเวลาเช้าของวันรุ่งขึ้น คือวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๓๗ ที่ศาลาใกล้เมรุเผาศพ ณ วัดโคกมน ขณะกำลังกราบนมัสการหลวงปู่

    มีรูปหนึ่งปรากฏเป็นร่างเลื่อนทับคุณปภัสธรจางๆ แต่เห็นส่วนหูได้ชัดเจน (รูปที่ ๔ ดูภาพขยาย)

    รูปของหลวงปู่ก็ดูเป็นภาพไม่ชัด ประหนึ่งหลวงปู่หายตัวได้........คล้ายกับที่เคยอ่านเรื่องที่ ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ทีปธัมโม ได้เคยเล่าไว้ว่า บางทีมองๆ ไป ไม่เห็นหลวงปู่ คล้ายกับท่านหายตัว พอสักครู่ร่างของหลวงปู่ก็จะค่อยๆ กลับมาใหม่
    [​IMG]
    อีกรูปหนึ่ง ทุกคนจำได้ว่า ถ่ายขณะที่พวกผู้ชายไปช่วยกันเข็นรถเข็นหลวงปู่จงกรมช้าๆ ที่ศาลาใกล้เมรุศพ ส่วนผู้เขียนเดินอยู่ห่างๆ เพื่อจะถวายพัดให้ท่าน น้องบอกว่า

    "พี่เปี๊ยก (รูปที่ ๕) รูปนี้ก็แปลกนะ ที่ศาลา (ตรงหน้าพระประธาน) ไม่ได้จุดไฟ แต่กลับมีแสงไฟ (เหมือนจุดเทียน) ที่พระประธาน

    อีกรูปหนึ่ง (รูปที่ ๖) ตัวพี่เปี๊ยกลอยไปติดอีกฟากหนึ่งของศาลา (ความจริงเดินอยู่ด้านขวามือของหลวงปู่ แต่ในรูปกลับเดินอยู่ทางซ้าย) ตัวพี่ก็โปร่งแสง เห็นแสงไฟ และขอบคันศาลายกพื้นข้างหลังชัดเลย"

    รูปถ่ายชุดนั้นทั้งชุดเป็นรูปที่อัศจรรย์จริงๆ........

    [​IMG]เลยมาคิดขึ้นว่า การพิมพ์หนังสือภิกขุปาฏิโมกข์คราวนั้นคงเป็นอานิสงส์มหาศาล เพราะเป็นการช่วยพระศาสนาให้พระภิกษุในพระศาสนาจะได้ประจักษ์ในพระธรรมวินัยนี้ เป็นการฟอกพระศาสนาให้มีความขาวสะอาดขึ้น พวกเราเมื่อได้อ่านคำแปล ก็พอจะเข้าใจว่า พระดีหรือไม่ดีนั้นเป็นอย่างไร พระองค์ไหนที่ประพฤติไม่ตรงตามในหนังสือพระปาฏิโมกข์ก็จะรู้กันว่าพระนี้ ไม่ใช่พระภิกษุที่เราควรเคารพนับถือ

    เทพทั้งหลายคงมาร่วมอนุโมทนาด้วยเรา ให้เห็นเป็นที่แสงสว่างที่เราถ่ายได้ดังปรากฏในรูป และผู้ที่ช่วยกันออกเงินทำบุญต่างก็ชื่นอกชื่นใจ เพราะได้ประจักษ์กับตา

    คุณศรีเพ็ญ ซึ่งเป็นผู้ถ่ายรูปเหล่านี้ เธอบอกว่า ขณะกำลังจะถ่ายรูป เธอได้ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ ภาพเหล่านั้นจึงมีผู้ที่อยู่ต่างภพ ต่างภูมิกับเราซ้อนให้เห็นในภาพ บ้างก็กำลังกราบหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่....บ้างก็มาอนุโมทนาในกุศลผลบุญอันบังเกิดขึ้นในโอกาสนี้
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อานิสงส์การทำบุญกับพระผู้ทรงศีลวิสุทธิ์

    เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณปี ๒๕๒๖ ระยะนั้น คุณแม่ของผู้เขียนยังมีชีวิตอยู่ ท่านเพิ่งหายป่วยจากไข้หวัด บ่ายวันหนึ่งผู้เขียนไปเยี่ยมท่าน ขณะสนทนากันพักหนึ่ง ผู้เขียนชวนท่าน

    “คุณแม่อุดอู้อยู่แต่ในบ้านมาร่วม ๒ อาทิตย์กว่าแล้ว ไปเที่ยวไหมคะ ที่พุทธมณฑล ได้สร้างพระประธานเสร็จแล้ว อยากชวนคุณแม่ไปกราบพระจัง !!” ท่านเห็นดีด้วย รับคำชวน

    จากนั้นจึงออกเดินทางกันด้วยรถตู้ ในรถมีเพียงสามคน คือ คนขับ ผู้เขียน และคุณแม่ เวลานั้นประมาณเกือบห้าโมงเย็น พี่น้องคนอื่น ๆ เขากลับกันหมดแล้ว เมื่อรถแล่นไปถึงแถบตลิ่งชัน เกิดฝนตกหนักมาก ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา ผู้เขียนกังวลใจ ไม่ได้คาดคิดมาก่อน ว่าจะพบฝนตกหนักเช่นนี้ คุณแม่เพิ่งหายจากไข้หวัด หากไปโดนละอองฝนที่พุทธมณฑล เป็นอะไรไป เราคงไม่ได้รับการยกโทษจากพี่น้องเป็นแน่ คิดดังนั้น ผู้เขียนจึงนึกในใจ ขอให้ฝนหายเถอะ !! และเมื่อไปถึงพุทธมณฑลก็ขอให้มีแดดด้วย !! เพราะไหน ๆ ก็ออกจากบ้านมาตั้งไกลแล้ว หากจะกลับก็ใช่ที่

    พอรถแล่นใกล้จะถึงบริเวณพุทธมณฑล ฝนหยุดตกจริง ๆ ..! และเมื่อแล่นเข้าประตูทางเข้า แดดก็ออก แสงแดดสวยเป็นประกายสีทอง อย่างที่โบราณเรียกว่า แสงแดดผีตากผ้าอ้อม...!

    ระยะนั้นการก่อสร้างพุทธมณฑลยังไม่ได้เสร็จงดงามดังที่เห็นในปัจจุบัน คงมีเพียงพระประธานที่สร้างเสร็จโดดเด่นกลางแจ้ง ส่วนบริเวณโดยรอบ ๆ ยังคงเป็นดินลูกรัง ไม่ได้มีกระเบื้องปูพื้น ห่างจากองค์พระมีเต็นท์อำนายการกางอยู่ มองไปโดยรอบ มีเพียงรถของเราคันเดียวเท่านั้นที่เข้าไป พอรถจอดนิ่ง ผู้เขียนนึกหาทางให้คุณแม่ลงจากรถ ขึ้นไปกราบองค์พระ ก่อนอื่น อยากหาร่มสักคัน สำหรับกันละอองฝน เพราะไม่ได้เตรียมมาเนื่องจากไม่คาดฝันว่าจะเจอฝน สายตามองไปที่เต็นท์ เห็นร่มสีดำแขวนที่ชายคาเต็นท์เรียงรายกันอยู่สักยี่สิบกว่าคัน จิตแวบนึกไปถึงร่มที่เคยถวายพระที่วัดป่าบ่อย ๆ รวมทั้งการจัดร่มสีดำใส่ในสังฆทานเป็นประจำ เวลาพระท่านลงจากเขา ท่านจะนำมาแขวนเรียงรายกันที่ชายคาศาลาทำนองเดียวกัน

    ขอยืมร่มได้แล้ว พอกลับมาที่รถ กางร่มออก แล้วกลับนึกอีกว่า.. จะทำอย่างไรให้คุณแม่ขึ้นไปที่พระประธานได้ คุณแม่เป็นคนอ้วน แถมยังเพิ่งหายไข้ ท่านจะขึ้นไปได้อย่างไร ใจตอนนั้นนึก อยากได้รถเข็น พาท่านขึ้นไป
    กลับไปถามที่เต็นท์อำนวยการอีกครั้งหนึ่ง

    “ประทานโทษค่ะ พอมีรถเข็นให้ยืมหน่อยไหมคะ คุณแม่เพิ่งหายไข้ อยากจะขอยืมรถเข็นหน่อยค่ะ”

    เจ้าหน้าที่ที่นั่งในเต็นท์กุลีกุจอตอบ

    “ได้ครับ.. มีครับ”

    สักครู่ก็ได้รถเข็นมา เป็นรถเข็นใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ มีกระดาษแก้วหุ้มอยู่ จึงช่วยกันกับคนขับรถ แกะกระดาษแก้วออก แล้วนำมาที่รถ หลังจากกางรถเข็นประคองคุณแม่นั่งบนรถเข็น กางร่มให้ท่านเสร็จแล้วมองไปที่พระประธาน ใจนึกอีก..

    ทำอย่างไรจะพาคุณแม่ขึ้นไปบนลานพระประธานได้นะ

    หากเราได้พาคุณแม่ขึ้นไปบนนั้น จะได้พาท่านทำทักษิณาวัฏรอบองค์พระสักสามรอบ เวลานั้นบริเวณพื้นดินโดยรอบยังขรุขระและยังมีน้ำขังเฉอะแฉะ เนื่องจากฝนเพิ่งหายตกใหม่ ๆ ใกล้ ๆ กันก็ยังไม่มีรถคันอื่นเลยแม้แต่คันเดียว คงไม่มีใครคิดออกจากบ้านมาพุทธมณฑลยามฝนเพิ่งหายตกหนักอย่างนี้
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อานิสงส์การทำบุญกับพระผู้ทรงศีลวิสุทธิ์ (ต่อ)

    ทันใดนั้น ปรากฏมีพระองค์หนึ่ง รูปร่างสันทัด ผิวคล้ำ ๆ เดินเข้ามาหา พร้อมกับพูดขึ้นว่า

    “คุณโยม..คุณโยมอยากพาคุณแม่ขึ้นไปกราบพระประธานบนโน้นใช่ไหม”

    “ใช่เจ้าค่ะ”

    ท่านถามต่อ

    “คุณโยมอยากพาคุณแม่ขึ้นไปเดินเวียนเทียนบนนั้นสามรอบใช่ไหม”

    ผู้เขียนงงนึกประหลาดใจ เอ๊ะ !! พระองค์นี้ท่านมาจากไหน ทำไมท่านทราบว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ ความงงมีมากกว่าความประหลาดใจ จึงได้แต่ตอบรับท่านว่า

    “ใช่เจ้าค่ะ”

    ผู้เขียนยังไม่ทันจะคิดสงสัยอะไรต่อ ท่านก็หันไปข้างหลัง

    “เอ้า .. พวกเรามาช่วยกันหามคุณแม่คุณโยมขึ้นไปบนนั้น เร็ว !!”

    ปรากฏมีบุรุษฉกรรจ์ ๘ –๙ คน ไม่ทันสังเกตว่ามาจากไหน ตรงเข้ามาแบกรถเข็นของคุณแม่เดินนำลิ่วไปที่พระประธาน เร็วจนผู้เขียนกับคนขับรถต้องรีบเร่งเดินตาม พลางก้าวกระโดดให้พ้นพื้นผิวที่น้ำขังแฉะอยู่เป็นระยะ ๆ เพื่อตามให้ทันพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งก้าวย่ำพรวด ๆ ผ่านลานชั้นล่าง ลานชั้นสองขึ้นไปข้างบน เมื่อขึ้นไปถึงลานบนสุดก็วางรถเข็นที่มีคุณแม่นั่งลง
    ผู้เขียนได้พาคุณแม่นมัสการองค์พระประธานและเข็นพาทักษิณาวัฏวนสามรอบสมดังความตั้งใจ

    เสร็จแล้วก็มายืนเก้ ๆ กัง คิดอีก

    “มีเรากับคนรถเพียงแค่สองคน จะพาคุณแม่ลงไปได้อย่างไร.. คุณแม่ท่านอ้วนน้ำหนักมาก จะทำอย่างไรดี..??”

    เช่นเคย พระองค์เดิม ไม่ทราบท่านมาจากไหน รู้สึกเราไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่า ท่านขึ้นไปบนลานข้างบนด้วย ท่านเข้ามาถามผู้เขียนอีก

    “คุณโยมจะพาคุณแม่กลับไปที่รถใช่ไหม”

    ผู้เขียนรับคำ “ใช่เจ้าค่ะ”

    “เอ้า ..พวกเรา ช่วยกันอีก"

    กลุ่มบุรุษฉกรรจ์ซึ่งแต่งกายแบบชาวบ้าน กรูช่วยกันยกคุณแม่ขึ้นอีก พาลงจากข้างบนไปที่รถ
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อานิสงส์การทำบุญกับพระผู้ทรงศีลวิสุทธิ์ (ต่อ)

    ขณะนั้นเอง จิตผู้เขียนก็พลันพลิ้วเห็นภาพอดีตที่เคยนิมนต์หลวงปู่ชอบไปเที่ยวพม่า หลวงปู่เดินไม่ได้ ต้องให้คนอุ้มท่านขึ้นไปบนเจดีย์ ชเวดากอง เจดีย์หงสาวดี ที่พม่ามีเจดีย์เยอะ ต้องให้คนช่วยกันยกรถเข็นหลวงปู่ขึ้นและช่วยกันยกลงจากเจดีย์ต่าง ๆ ภาพนั้นพลิ้วปรากฏให้ผู้เขียนเห็นอย่างชัดเจน

    อ๋อ..นี่คงเป็นอานิสงส์จากผลบุญในครั้งนั้นที่เราได้ทำถวายหลวงปู่...

    จำได้ว่า ดูเหมือนจะเป็นปี ๒๕๒๖ หลวงปู่ปรารภนานแล้วอยากจะกลับไปดูพม่าอีกสักครั้ง

    ระยะนั้นยังคิดกันว่า สภาวะร่างกายของหลวงปู่ยังไม่เหมาะกับการเดินทางไกลไปต่างประเทศ ยังไม่มีการนิมนต์ท่านไปเช่นระยะหลัง ๆ นี้ ผู้เขียนคิดว่า เราเคยทำอะไรถวายครูบาอาจารย์หลายองค์อยู่ พูดง่าย ๆ เป็นเหมือนหนุมานอาสามาหลายครั้งแล้ว

    อย่างท่านอาจารย์วันกับท่านอาจารย์จวน มีคนนิมนต์ท่านไปอินเดีย จนท่านได้บอกลาญาติโยมกันหมดแล้ว แต่พอถึงเวลาไป คนนิมนต์ก็หายหน้าไป เรื่องไปอินเดีย สุดท้ายเราก็จัดการไปจนสำเร็จ การไปอินเดียครั้งนั้น ในปี ๒๕๑๙ นอกจากท่านอาจารย์จวน ท่านอาจารย์วัน ก็ยังมีสมเด็จพุทธปาพจน์ และมีอีกหลายองค์ที่ไป เราได้รับใช้ท่านทุกองค์เป็นอย่างดี

    ต่อมาเช่นกัน ปี ๒๕๒๑ หลวงปู่หลุยปรารภเรื่องอินเดีย เราก็ได้โอกาสนิมนต์ท่านไปอินเดียพร้อมท่านอาจารย์จวนอีกครั้งหนึ่ง

    หรืออีก ๒ – ๓ ปีภายหลัง มีการนิมนต์หลวงปู่หลุย ท่านอาจารย์เหรียญ ท่านอาจารย์ท่อน ท่านอาจารย์บัวพา ไปศรีลังกา ครั้งนั้นผู้เขียนไม่ได้เป็นคนนิมนต์ คุณหมอปัญญา แห่งโรงพยาบาลแพทย์ปัญญาเป็นผู้นิมนต์ พอถึงเวลา ท่านไปไม่ได้ หัวหน้าทัวร์ก็ไม่มี ยังไงไม่ทราบ ผู้เขียนได้กลายเป็นหัวหน้าทัวร์ รับใช้ท่านพาไปจนทั่ว

    แม้งานทำไฟฟ้าเข้าวัดท่านอาจารย์วัน ในปี ๒๕๑๙ เราก็จัดทำเข้าไปได้จนสำเร็จ หรือวัดที่ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ชาวบ้านอยากได้ไฟ เราก็ทำให้เสร็จ ที่วัดป่าแก้วบ้านชุมพล ในปี ๒๕๑๙ เช่นกัน

    หลวงปู่เทสก์ปรารภถึงเรื่องหนังสืออัตตโนประวัติท่านในปี ๒๕๑๙ ก็ทำสำเร็จหมด จัดพิมพ์หนังสืออัตตโนประวัติถวาย ท่านพอใจมาก จนภายหลังเมื่อท่านคิดจะปรับปรุงเพิ่มเติมข้อความในหนังสือ ท่านก็มอบให้เราช่วยดูแลทำถวายท่านเสมอมา

    งานต่าง ๆ เหล่านี้เราทำถวายสำเร็จมาได้ทุกองค์ ก็เมื่อหลวงปู่ชอบท่านปรารภอยากไปพม่า ไฉนเราไม่นิมนต์ท่านไปให้ได้ เลยมีการจัดรายการไปพม่ากัน มีทั้งหลวงปู่หลุย ท่านอาจารย์สุวัจน์ ท่านอาจารย์เหรียญ ท่านอาจารย์บัวพา ท่านอาจารย์ท่อน และอีกหลายองค์ที่ไปคราวนั้น ไปกันอย่างสนุก

    แต่แรก ผู้แทนการบินไทยบอกว่าบ้านพักกว้างขวาง ชวนกันขนของไปยกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอาสนะ หมอนขวานจัดเอาไปให้ครบ สำหรับครูบาอาจารย์ทุกองค์ กว่าสิบสามชุด หลวงปู่ชอบ ชอบฉันแตงโม ไม่รู้ว่าที่พม่าจะหาได้หรือเปล่า จึงซื้อแตงโมไปจากเมืองไทยให้พอถวายได้ครบ ๗ วัน ข้าวของที่ขนไปคราวนั้นมากมาย กระทั่งเป็นที่ขบขันและเย้าแหย่จากเพื่อนพ้องน้อง ๆ ที่ไปส่งที่สนามบิน

    “อ้าว...พี่เปี๊ยก จะย้ายบ้านไปอยู่พม่าเหรอ..!”
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อานิสงส์การทำบุญกับพระผู้ทรงศีลวิสุทธิ์ (ต่อ)

    การเดินทางไปพม่าของหลวงปู่ชอบคราวนี้ ดูท่านพอใจมีความสุขที่ท่านได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ท่านเคยเดินธุดงค์มาสมัยก่อนถึง ๒ ครั้ง เป็นดินแดนที่ท่านได้ธรรมะอย่างมากไปจากที่นี่ เป็นดินแดนที่ท่านมีโอกาสพบพระอรหันต์ที่มาเยือนและอนุโมทนาท่านกลางป่าลึกในพม่า

    ภาพการอุ้มหลวงปู่ขึ้นลงเจดีย์ตามวัดและสถานที่ต่าง ๆพลิ้วให้เห็นขึ้นมา น่าจะเป็นการยืนยันถึงอานิสงส์แห่งการทำบุญกับพระผู้ทรงศีลวิสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น...ร่ม ...รถเข็น ...หรือคนที่มาช่วยนำคุณแม่ขึ้นไปกราบพระ...

    ย้อนกลับมาที่พุทธมณฑล เมื่อมาถึงรถ ผู้เขียนและคุณแม่ได้ยกมือไหว้คารวะขอบคุณในความมีเมตตาของพระภิกษุองค์นั้น และก่อนลาท่าน อดเรียนถามท่านไม่ได้ว่า

    "ท่าน..มาจากไหนเจ้าคะ”

    ท่านตอบ

    “เรามาจากฉะเชิงเทรา”

    ด้วยความซาบซึ้งที่ แหม..เราอยากได้อะไรก็สมใจนึก อยากพาคุณแม่ขึ้นไปกราบพระข้างบนก็ได้ไป อยากพาท่านทำทักษิณาวัฏรอบองค์พระก็ได้ทำ ทำให้ผู้เขียนบังเกิดความปลื้มปีติ ใจนึกอยากทำบุญ เดินไปที่เต็นท์อำนายการ ขอเช่าพระจำลองพระประธาน เลือกเอาองค์ที่ใหญ่ที่สุด จำไม่ได้แน่ชัดว่า ได้บูชามาสามพันหรือห้าพันบาท แต่ช่างเถอะ...ขอให้ได้ทำบุญ

    เรื่องนี้ยังไม่จบ...ขอเล่าต่ออีกนิด ภายหลังผู้เขียนมีโอกาสพบผู้ใหญ่ในกรมการศาสนาท่านหนึ่ง ที่รับผิดชอบดูแลด้านพุทธมณฑลอยู่ อดไม่ได้ที่จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าด้วยความซาบซึ้งใจ โดยเฉพาะการช่างคิดช่างนึกที่จะบริการคนไปกราบพระด้วยการเตรียมร่ม เตรียมรถเข็นให้ยืม

    “บริการที่นี่ดีเหลือเกินนะคะ พาคุณแม่ไปเที่ยว ฝนตกหนัก ดิฉันไปขอยืมร่ม ก็มีบริการให้ยืม”

    ผู้ใหญ่ท่านนั้นขมวดคิ้ว ปฏิเสธ

    “ไม่มี ที่นั่นไม่มีบริการให้ยืมร่ม”

    “อะไรกัน...ไม่มี วันนั้นเห็นมีร่มแขวนที่ชายหลังคาเต็นท์ เรียงรายเป็นตับเลย ตั้งยี่สิบสามสิบคัน แล้วแถมยังมีบริการให้ยืมรถเข็นอีก”

    “ไม่มีครับ..ไม่มี” ผู้ใหญ่ท่านนั้นยืนยันหนักแน่น

    อัศจรรย์แท้..!! แล้วร่มกับรถเข็นนั่นมาจากไหน...!!!

    ก็เลยย้อนคิดไปอีกว่า...แล้วพระที่มาช่วยเราวันนั้น ท่านมีองค์จริงหรือเปล่า
    ทำไมวันนั้นท่านรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ในใจ

    เราอยากพาคุณแม่ขึ้นไปไหว้พระ ท่านก็พูดตรง

    อยากพาคุณแม่ขึ้นไปเวียนเทียนสามรอบ ท่านก็พูดตรงอีก

    ท่านเป็นใคร ?

    เล่าให้คนอื่นฟัง มีคนหนึ่งบอกว่า แล้วทำไมไม่คิดว่า ท่านคือหลวงพ่อโสธรเล่า ท่านบอกมาจากฉะเชิงเทราไม่ใช่หรือ ?

    จริงด้วยนะ เราไม่ทันคิดกัน เพราะท่านบอกว่า ท่านมาจากฉะเชิงเทรา อาจเป็นได้ !!! พระที่มาช่วยคุณแม่วันนั้น เป็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อโสธรมาช่วย เราก็เคยกราบไหว้ท่าน และที่บ้านก็มีพระพุทธรูปจำลองหลวงพ่อโสธรตั้งอยู่ที่เรือนไทยเหมือนกัน

    อย่างไรก็ดี วันหนึ่งมองไปที่โต๊ะหมู่บูชาที่บ้านเรือนไทย เห็นพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธรหายไป บ้านเรามีคนมากราบพระธาตุมากมาย ไม่ทราบว่าใครนึกถือสนิท ยกท่านไปบูชาเฉย ๆ เราก็เพิ่งปิดทองคำเปลวใหม่ ๆ อยู่ด้วย
    เสียดายพระนั้นส่วนหนึ่ง เพราะเป็นองค์ที่เพื่อนหามาให้แต่เมื่อครั้งผู้เขียนยังไม่รู้จักไหว้พระ แต่ที่เสียดายมากกว่านั้น เพราะเริ่มมีความรู้สึกผูกพัน ขอบพระคุณท่านอยู่ลึก ๆ ในใจเพิ่มพูนขึ้น

    วันนั้นก็เลยออกไปหาเช่าพระหลวงพ่อโสธร แต่ไม่พบถูกใจ พอกลับถึงบ้าน พบพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธรองค์หนึ่ง ตั้งอยู่บนโต๊ะรับแขก วิลาศบอกว่ามีใครไม่ทราบมาฝากไว้ให้ สั่งไว้ว่าเป็นพระหลวงพ่อโสธรขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว ทำจากกระเบื้องหลังคาโบสถ์ ขนาดนี้หายาก มีเพียงไม่กี่องค์

    รุ่งขึ้นก็มีคนเอามาให้อีกองค์หนึ่ง พอวันหลังกำลังนั่งคุยกันเรื่องนี้อยู่ ก็ปรากฏมีพระขึ้นมาอีกองค์ ครั้งแรกเห็นรูปทรงคิดว่าเป็นพระสมเด็จ เป็นพระองค์เล็กขนาด ๔ ซม. พอพลิกดูที่ฐาน มีเขียนสลักว่า หลวงพ่อโสธร องค์หลังนี้ท่านปาฏิหาริย์มาเองอย่างแน่นอน แกะสลักจากหินที่ว่าเป็นพระธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้ารวมตัวกัน

    อานิสงส์การทำบุญกับผู้ทรงศีลวิสุทธิ์เช่นหลวงปู่จะเป็นสิ่งที่แปลกมาก จะเกิดในสิ่งที่เหลือเชื่อ และไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้เป็นประจำ
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หลวงปู่กับบัวใต้น้ำ


    สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงมีพระพุทธสาสนีเปรียบบุคคล ๔ ประเภทเทียบได้เก็บดอกบัว ๔ เหล่า

    ประเภทแรกทรงเรียกว่า อุคฆติตัญญู ได้แก่บุคคลผู้มีอุปนิสัยสามารถจะตรัสรู้ธรรมวิเศษได้โดยฉับพลัน พร้อมกันกับกาลเวลาที่ท่านผู้ศาสดาแสดงธรรมสั่งสอน คืออาจตรัสรู้ได้ในเวลาพอท่านยกแต่เพียงหัวข้อธรรมขึ้นแสดงเท่านั้น ท่านเปรียบด้วยดอกบัวเหล่าที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญในน้ำ อันน้ำพยุงไว้ โผล่ขึ้นอยู่เหนือน้ำ อันน้ำไม่ถูกแล้ว เป็นดอกบัวอันจะบานในวันนี้

    ประเภทที่สอง ทรงเรียกว่า วิปจิตัญญู คือบุคคลผู้มีอุปนิสัยไม่ถึงเช่นนั้น แต่จะตรัสรู้ธรรมวิเศษได้ต่อเมื่อท่านแจกข้อความแห่งคำย่อให้พิสดารออกไป ประหนึ่งดอกบัวเหล่าที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญในน้ำ อันน้ำพยุงไว้ ตั้งอยู่เสมอผิวน้ำ เป็นดอกบัวอันปริ่มน้ำ ที่จะบานในวันพรุ่งนี้

    ประเภทที่สาม ทรงเรียกว่า เนยยะ คือบุคคลที่จะตรัสรู้ธรรมวิเศษได้ต่อเมื่อใช้ความวิริยะอุตสาหะอย่างแรงกล้า มีความเพียรพยายาม หมั่นถาม หมั่นทำในใจโดยอุบายที่ชอบ คบหาสมาคมกับกัลยาณมิตรจึงตรัสรู้ธรรมวิเศษได้ ประหนึ่งดอกบัวใกล้ผิวน้ำที่จะบานในวันต่อ ๆ ไป เป็นดอกบัวเหล่าที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญในน้ำ อันน้ำพยุงไว้ แม้ยังจมอยู่ในน้ำแต่ใกล้จะถึงผิวน้ำ ย่อมมีโอกาสจะบานได้ในโอกาสต่อ ๆ ไป

    ประเภทที่สี่ ทรงเรียกว่า ปทปรมะ ได้แก่ บุคคลที่แม้จะมีผู้ทรงธรรมกล่าวธรรม บอกธรรมอันวิเศษให้ฟังเป็นอันมากเช่นไรก็ตาม ก็ไม่สามารถตรัสรู้หรือ เข้าถึงธรรมวิเศษได้เลย ประหนึ่งดอกบัวใต้น้ำที่เพิ่งขุดจากเหง้าจมอยู่กับเปือกตมอันรังจะเป็นภักษาแห่งเต่าปลา ฉะนั้น เป็นดอกบัวเหล่าที่แม้จะเกิดในน้ำ เจริญในน้ำอันน้ำพยุงไว้ แต่อินทรีย์ยังอ่อน จมอยู่กับเปือกตม เป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสจะบานได้เลย

    พวกเรารู้ตัวกันดีว่าเป็น “บัวใต้น้ำ” ที่ยังไม่โผล่พ้นน้ำหรือปริ่มน้ำ อันจะบานในวันนี้หรือพลังนี้ ทั้งคงไม่ใช่ประเภท “เนยยะ” อันเป็นบุคคลที่เปรียบเหมือนบัวที่อยู่ใกล้ผิวน้า ซึ่งยังมีโอกาสบานได้ในวันต่อ ๆ ไป หากได้ใช้ความวิรยะอุตสาหะเพียรพยายามอย่างแรงกล้า

    เราคงไม่ใช่ทั้งนั้น...!

    เราคงเป็น บัวใต้น้ำ - ปทปรมะ ประเภทที่เพิ่งขุดจากเหง้าอยู่ล้ำลึกหมกจมอยู่กับโคลนตมที่รังแต่จะเป็นเหยื่อแก่เต่าปลานั่นเอง...!

    แต่เรายังโชคดีอยู่บ้าง ที่มีบุญได้มีโอกาสกราบไหว้ครูบาอาจารย์ ผู้ทรงศีลวิสุทธิ์ ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ผู้เป็นนาบุญเอกของโลก...อย่างหลวงปู่ ท่านจึงได้แผ่กระแสเมตตาให้อย่างท่วมท้น ไม่มีประมาณ

    แม้ท่านกำลังอาพาธ ลำบากในการพูด การเปล่งวาจา แต่เมื่อเหล่าศิษย์ผู้เป็นบัวใต้น้ำ ขอโอกาสกราบเรียนถามปัญหา ท่านก็จะเมตตาตอบให้โดยดี แม้บางครั้งคำถามเหล่านั้นจะฟังดูเป็นเรื่องหญ้าปากคอก หรือแสนเชยและไม่เอาไหนเพียงใดก็ตาม

    ให้โอกาสบรรดาบัวอ่อน...ใต้น้ำเหล่านั้น ได้เติบโตมีโอกาสจะหลุดพ้นจากภาวะของการที่จะถูกเต่าปลากัดกินเป็นอาหารได้บ้าง

    บรรดาเหล่าบัวใต้น้ำสำนึกในเมตตาธิคุณ กรุณาธิคุณ ของหลวงปู่อย่างหาที่สุดมิได้ เป็นพระคุณอย่างสุดจะพรรณนา และขอกราบแทบเท้าของพระคุณท่านไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง

    แน่นอน ภาคคำถามที่บันทึกไว้ต่อไปข้างหน้านี้ ย่อมไม่มีคำถามจากบรรดา “บัวพ้นน้ำ”...หรือแม้แต่ “บัวปริ่มน้ำ” โดยแน่แท้ คงมีแต่จากบรรดา “บัวใต้น้ำ" เท่านั้น ดังนั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายโปรดอภัยด้วย หากจะอ่านก็ขอได้โปรดอ่านด้วยความเมตตา... หรือหากรำคาญ ก็กรุณาพลิกผ่านเลยไป.....
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หลวงปู่กับบัวใต้น้ำ (ต่อ)

    คำถาม หลวงปู่เจ้าคะ เวลาภาวนาทำอย่างไรจิตจึงจะรวม

    หลวงปู่ ให้พิจารณาความตาย

    คำถามหนูนั่งภาวนาครั้งหนึ่ง เกิดมีกลิ่นเหม็นร่างกายของตัวเองอย่างรุนแรงจนแทบอาเจียน แต่หนูพยายามฝืนทนนั่งภาวนาอยู่ต่อไป คิดว่าเหม็นก็ช่างมัน ทนเอา อีกสักครู่เกิดอาเจียนออกมาคล้ายเสลด กองอยู่บนตักเต็มไปหมด ประมาณได้สัก ๑ กระโถน พอหนูออกจากภาวนาเอามือมาจับดู ปรากฏว่าไม่เห็นมีอะไร มันเป็นอะไรคะ หลวงปู่

    หลวงปู่ ธรรม



    a8a8a8a8a8a8a8a8a8a


    คำถาม หลวงปู่ครับ กระผมนั่งสมาธิอยู่ มันเกิดมีแสงสีม่วงมาแยงเข้าตา จะทำอย่างไรครับ

    หลวงปู่ เกิดขึ้นมันกะหายไปเอง

    ถาม ไม่ต้องไปสนใจมันใช่ไหมครับ หลวงปู่

    หลวงปู่ อื้อ บ่ต้องดีใจ บ่ต้องเสียใจ ฮ้ายกะซ่าง ดีกะซ่าง (ร้ายก็ช่าง ดีก็ข่าง)


    a8a8a8a8a8a8a8a8a8a


    คำถาม (ของข้าราชการบำนาญ อดีตนายอำเภอ)

    หลวงปู่ครับ กระผมและครอบครัวเดินทางมาไกล เพื่อกราบนมัสการ หลวงปู่ โอกาสนี้ขอฟังธรรมะ หรือเทศน์สั้น ๆ เพื่อจะได้นำไปเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตต่อไป

    หลวงปู่ นิ่งสักครู่ประมาณ ๒ - ๓ นาที แล้วตอบว่า “เอาใจใส่” และว่า “มนุสโส ปฏิลาโภ
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หลวงปู่กับบัวใต้น้ำ (ต่อ)

    คำถามของคนหูหนัก (เกือบหนวก) ผู้หนึ่งชื่อนายคำ เป็นคนมีสัตย์มีศีลธรรมดีคนหนึ่ง และเป็นนักภาวนาที่หาตัวจับยากในบรรดาชาวบ้านด้วยกัน แกมีอาการแปลก ๆ เกี่ยวกับการภาวนามาเล่าถวายหลวงปูเสมอ ซึ่งท่านก็เมตตาแนะนำ เมื่อแกหายหน้าไป ท่านจะถามหาและเมตตาแกมาตลอดเวลาร่วม ๒๐ ปี

    วันหนึ่งได้โอกาส แกเรียนถามหลวงปู่ว่า

    คำถาม หลวงปู่ครับ เป็นเพราะกรรมอันใดหรือ ทำไมหูผมจึงหนวก ผมเคยได้ทำกรรมอะไรไว้บ้างครับ

    หลวงปู่ แต่ก่อนเวลาพระกำลังเทศน์ มีญาติโยมนั่งฟังอยู่หลาย ที่ศาลาโรงธรรมแล้วบ่สนใจฟัง ซ้ำยังเป่าแคน ตีฉิ่ง ตีกลอง มารอบศาลาที่พระเทศน์ให้โยมฟังอยู่ แล้วเว้าหยอกผู้สาว เวลาผู้สาวเหลียวมากะพากันเฮ !จนพระที่กำลังเทศน์อยู่เสียสมาธิ ทำให้ลืมคำเทศน์ ต้องตั้งนะโมฯ ขึ้นใหม่ ตั้งเทื่อสองเทื่อ (ครั้งสองครั้ง)...กรรมอันนี้จึงทำให้หูหนวก

    ถาม ชาตินี้สิพ้นกรรมบ่ หลวงปู่

    หลวงปู่ อือ


    a8a8a8a8a8a8a8a8a8a





    คำถาม (มีญาติโยมคนหนึ่งมาปรารภว่า ตนมักจะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอยู่เสมอ และฝันร้ายเป็นนิจ กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า)

    จะให้ทำอย่างไร จึงจะหายจากฝันร้ายและอยู่เย็นเป็นสุขเสียที

    หลวงปู่ ให้ตั้งสติให้คัก ๆ (แน่วแน่ ดี ๆ) และระลึกถึงพระรัตนตรัย และสวดยันทุนนิมิตตังฯ

    คำถาม คนฆ่าตัวตายนี่บาปมากไหมครับ หลวงปู่

    หลวงปู่ บาป...มันต้องตาย (ฆ่าตัวเองตาย) อีกห้าร้อยชาติ

    ถาม มันมีกรรมแม่นบ่ หลวงปู่

    หลวงปู่ อือ !
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หลวงปู่กับบัวใต้น้ำ (ต่อ)


    คำถาม หลวงปู่คะ ผู้หญิงถ้าบวชเป็นแม่ชี - ถ้าแม่นบุญบารมีหลาย สมาธิเก่ง ๆ ก็อาจจะฮู้ (รู้ภายใน) ครือกันบ่ หลวงปู่

    หลวงปู่ อื้อ ฮู้ครือกันนั่นแหล่ว ไปนิพพานได้ครือกัน

    ท่านนิ่งไประยะหนึ่ง แล้วก็เล่าต่ออย่างเมตตาว่า “มีหญิงคนหนึ่งอยู่เมืองพม่า อายุได้ ๓๐ ปี รักษาศีลแปด นุ่งขาวห่มขาว ก็ได้ไปขึ้นสวรรค์...เหาะได้”

    ถาม เหาะได้ตั้งแต่ยังบ่ทันตายหรือคะ

    หลวงปู่ อื้อ...เหาะได้ตั้งแต่บ่ทันตาย

    ถาม เขาบวชมาได้จั๊กปีคะ (กี่ปีคะ)

    หลวงปู่ ๓ ปี

    ถาม อันนี้ เพิ่นสร้างบุญบารมีมาแต่ชาติก่อนหรือคะ หลวงปู

    หลวงปู่ เทิ่งชาติก่อน เทิ่งขาตินี้ (เทิ่ง = ทั้ง) ปู่เคยไปอยู่ที่นั่นคืนหนึ่ง แม่ชีเอาผ้าขาวงามมาถวาย มาให้พระอาบน้ำ

    ถาม ทุกวันนี้ก็ยังอยู่หรือคะ หลวงปู่

    หลวงปู่ คงจะยังอยู่ เพราะตอนนั้นยังหนุ่ม ๆ (สาว) อยู่

    ถาม ในเมืองไทยมีไหมคะ - คนที่สำเร็จแบบแม่ชีพม่านี้

    หลวงปู่ ภาวนาเก่ง ๆ นี้ มีอยู่ที่คำชะอี

    ถาม เดี๋ยวนี้ยังอยู่ไหมคะ (ถาม พ.ศ. ๒๕๒๖)

    หลวงปู่ ยังอยู่


    a8a8a8a8a8a8a8a8a8a
    คำถาม หลวงปู่...ข้าน้อยทำมาหากินอยู่อย่างสุจริต แต่มีคนมาบังเบียด อิจฉาริษยา แกล้งต่าง ๆ นานา เขาว่าเอาหมอธรรม (หมอไสยศาสตร์) มาเสกก้อนหินแล้วขว้างใส่หลังคาบ้าน ๓ ก้อน ได้ยินเสียง แล้วมันสิเป็นอันตรายบ่ หลวงปู่

    หลวงปู่ บ่เป็นหยัง

    คำถาม เขาจะจ้างมือปืนมาฆ่า เขาขู่เข็ญให้หนี ว่าถ้าขืนไม่หนีต้องตาย มันเป็นยังไงคะหลวงปู่ มันจะตายเพราะเขาจริง ๆ หรือคะ

    หลวงปู่ บ่เป็นหยัง ถ้าไหว้พระ สวดมนต์ภาวนาอยู่ บ่เป็นหยัง เขาขู่...นาน ๆ มันกะจืดกะจางไปเอง
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หลวงปู่กับบัวใต้น้ำ (ต่อ)


    คำถาม (ของหัวหน้าครอบครัวผู้ตกทุกข์ได้ยาก) กระผมจะปะ (ปล่อยปละ เลิกกัน) ลูกปะเมีย มาบวชสิบาปบ่ หลวงปู่

    หลวงปู่ บ่เป็นหยัง บ่บาป


    a8a8a8a8a8a8a8a8a8a
    คำถาม กระผมได้ยินท่านอาจารย์เปลี่ยน (วัดป่าอรัญญวิเวก เชียงใหม่) เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนหลวงปู่สั่งให้ลูกศิษย์ไปบิณฑบาตแต่บ้านคนจน ๆ แม่นบ่ครับ หลวงปู่

    หลวงปู่ อื้อ !

    (เพื่อให้โอกาสคนจนได้ทำบุญมากกว่าคนที่มีเงินอยู่แล้ว)


    a8a8a8a8a8a8a8a8a8a
    คำถาม หลวงปู่คะ ทำอย่างไรจึงจะเรียนหนังสือให้จำได้เก่ง ๆ

    หลวงปู่ จั๊ก (ไม่รู้) ตัวเจ้าของเองกะลืมอยู่

    ผู้ถาม...เลยหัวเราะ

    a8a8a8a8a8a8a8a8a8a
    คำถาม ทำอย่างไรจะให้หลานไม่ต้องติดทหารครับ หลวงปู่ทำน้ำมนต์ให้หลานด้วยครับ หลานกำลังสมัครสอบ แต่พอดีต้องเกณฑ์ทหาร ไม่อยากให้ติดทหาร กลัวจะเสียการเรียน

    หลวงปู่ ถืกกะดี บ่ถืกกะดี (ถืก = ถูก)

    คำถาม หลวงปู่คะ หนูฝันเห็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ฝันเห็นเขาบ่อย ๆ แต่หนูรู้จักกับลูกชายเขา ทำไมถึงฉันเห็นเขาคะ หลวงปู่

    หลวงปู่ เขาสิมาเกิดนำ

    ถาม แล้วหนูควรจะทำอย่างไรคะ

    หลวงปู่ ใส่บาตร ทำบุญให้เขา
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หลวงปู่กับบัวใต้น้ำ (ต่อ)


    คำถาม อยากรู้ล่วงหน้าว่า คนจะมาหา ทำอย่างไรจึงจะรู้ให้เจ้าคะ

    หลวงปู่ ภาวนา

    ถาม จะรู้ใจเขา ทำอย่างไรเจ้าคะ

    หลวงปู่ ภาวนา

    คำถาม โยมผู้หญิงเคยไปพักภาวนาที่วัด แต่เกิดกลัวผี เพราะที่วัดเป็นป่าช้า มีการเผาศพเป็นประจำ เลยมากราบเรียนหลวงปู่ตรง ๆ หนูกลัวผีเจ้าค่ะหลวงปู่ หลวงปู่มีคาถากันผีไหมเจ้าคะ ขอให้หนูด้วย

    หลวงปู่ สุขัง สุปะติ

    (เป็นคาถาแผ่เมตตา นิสังสะสุตตะปาโฐ...คาถาเต็มบท... สุขัง สุปะติ สุขัง ปฎิพชฌะติ นปาปะกัง สุปินัง ปัสสะติฯ มนุสสานัง ปิโย โหติ อะมนุสสานัง ปิโย โหติ.)

    คำถาม หลวงปู่ครับ พวกศรัทธาญาติโยมเก่า ๆ ที่เคยปฏิบิตหลวงปู่ พวกที่ตายไปแล้ว หลวงปู่ เคยปรากฏหรือเคยนิมิตเห็นบ้างไหมครับในระยะหลัง ๆ นี่

    หลวงปู่ บ่เห็น ได้ยินแต่เสียง

    คำถาม ได้ยินเสียงยังไงครับหลวงปู่

    หลวงปู่ ได้ยินเสียงเขามา...เขามารับส่วนบุญ มารับเมตตา

    คำถาม ได้ยินแต่เสียง บ่เห็นรูป แม่นบ่หลวงปู่

    หลวงปู่ อื้อ !

    คำถาม (หนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่องผีปอบเข้าสิงคน) เมื่ออ่านถวายท่านฟังจนจบ แล้วเรียนถามท่านว่า ผีปอบมีจริงบ่ครับ หลวงปู่

    หลวงปู่ ตอบรับว่า มี

    คำถาม หลวงปู่เจ้าคะ ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ ไม่ต้องมาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีก

    หลวงปู่ ไปบวช

    คำถาม หลวงปู่ครับ เพื่อนมันแกล้งนินทาว่าร้ายผมต่าง ๆ นานา ทำอย่างไรดีครับ

    หลวงปู่ บ่ต้องสนใจ

    ถาม มันอดไม่ได้นี่ครับ

    หลวงปู่ แผ่เมตตา

    คำถาม หลวงปู่เจ้าคะ พวกเพื่อนฝูงหนูเขาร่ำรวย มีเงินกันทั้งนั้น ทำยังไง หนูจึงจะรวยอย่างเขากันบ้างละเจ้าคะ

    หลวงปู่ ทำงาน

    ผู้ถามนิ่งไป คงจะคิดตามหลวงปู่ไม่ค่อยทัน ครั้นแล้วเธอผู้นั้นก็ถามซ้ำอีกอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจ

    ทำงานแล้วรวยแน่นะเจ้าคะ ?

    หลวงปู่ ทำบุญด้วย
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หลวงปู่กับบัวใต้น้ำ (ต่อ)


    คำถาม หลวงปู่ครับ ตั้งแต่บวชมา เคยคิดอยากสึกไหมครับ (ผู้ถามเป็นพระ ซึ่งกำลังคิดอยากสึก)

    หลวงปู่ เคย

    ถาม แล้วทำอย่างไรจึงไม่สึกครับ

    หลวงปู่ อยู่ซื่อ ๆ (อยู่เฉย ๆ) มันกะหายไปเอง

    ก็รู้กันทุกคนว่าหลวงปู่อาพาธเป็นอัมพาต ซีกข้างซ้ายตั้งแต่ไหล่ แขน ขาใช้การเคลื่อนไหวไม่ได้ แม้แต่การพูด ก็ลำบากที่ลิ้นจะเคลื่อนเป็นคำพูดดังที่ท่านต้องการ ปกติท่านเป็นผู้พูดน้อยอยู่แล้ว เมื่อท่านเป็นอัมพาต การพูดซึ่งเป็นภาระหนักแก่ท่านอย่างยิ่ง จึงเป็นสิ่งที่เราแทบจะไม่ควรคาดหวัง แต่พวกบัวใต้น้ำ บางครั้งก็อดเผลอตัวคอยกราบเรียนถามปัญหาต่าง ๆ ไม่ค่อยได้

    ที่ได้บันทึกมาเป็นตัวอย่างข้างต้นนั้น ส่วนใหญ่เป็นปัญหาธรรมที่แต่ละคนติดข้อง แต่บางโอกาส บางเวลา เห็นท่านมีอารมณ์แจ่มใส ใจของพวกปุถุชนคนธรรมดา พวกบัวใต้น้ำก็กำเริบในความเมตตา ถามโน่นถามนี่จุกจิก ถ้าเป็นคำถามเชย ๆ น่าขัน บางทีท่านจะหวัว จนองค์งอหรือสำลัก เรื่องเกี่ยวกับองค์ท่านบ้าง ประวัติที่เลื่องลือเล่าต่อ ๆ กันมาบ้าง...เริ่มจากวงพระนักปฏิบัติกรรมฐาน จากปากเพื่อนสหธรรมิกของท่าน จากปากพระเณรผู้เป็นศิษย์เคยปฏิบัติท่าน พวกบัวใต้น้ำ ได้ยินกระเส็นกระหายได้โอกาสเหมาะ ก็ทำหน้าเอี้ยมเฟี้ยม กราบเรียนถามท่าน

    บางวัน บางเวลาท่านก็นิ่งเฉย หรือกราบเรียนสามคำจะตอบสักคำ บางวันบางเวลาท่านจะเมตตาตอบให้...แต่เช้ายันเพล...แต่บ่ายยันเย็น...แต่หัวค่ำ จนตีหนึ่ง คนถามเองเหนื่อยจนต้องร้องยอมแพ้

    และ...ข้อความเหล่านั้นเอง ได้มากลายเป็นรายละเอียดส่วนหนึ่งในหนังสือเล่มนี้...ไม่ว่าจะเป็นชีวิตตอนช่วงเยาว์วัยของท่าน ตอนเริ่มบวช...บวชที่ใด จำพรรษาที่ไหน เหตุอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่ท่านประสบ ในที่นี้จะขอยกบางตอนของคำถาม คำตอบ มาให้เห็นเป็นประจักษ์พยานว่า การเขียนประวัตินั้นต้องใช้ความวิริยะพยายามเพียงไร และต้องรบกวนท่านเจ้าของประวัติเพียงไร

    คำถาม หลวงปู่เคยอดอาหารนานที่สุดได้กี่วันเจ้าคะ

    หลวงปู่ ได้ ๑๕ วัน

    คำถาม หลวงปู่เคยอดนอนนานที่สุดได้กี่วัน

    หลวงปู่ ได้ ๑๐ วัน

    คำถาม ตอนที่หลวงปู่ไปจำพรรษาที่หล่มสัก อดข้าวกี่วันครับ

    หลวงปู่ ๘ วัน

    คำถาม ไปอยู่ที่หล่มสัก ฟังภาษาเมืองหล่มสักพอได้หรือคะ

    หลวงปู่ ได้

    คำถาม หล่มสักนี่ชาวบ้านเขาพูดแบบเมืองเลยหรือคะ

    หลวงปู่ อือ...แต่ก่อนเมืองเลยก็ขึ้นกับหล่มสัก

    คำถาม หลวงปู่เดินจากเมืองเลยไปเชียงใหม่กี่วันเจ้าคะ

    หลวงปู่ เดือนหนึ่ง

    คำถาม หลวงปู่ไปทางไหน ที่ว่าเจอเสือ

    หลวงปู่ ไปทางห้วยลาด บ้านสานตม ภูเรือ

    คำถาม แต่ก่อนมีทางรถไหมเจ้าคะ

    หลวงปู่ บ่ มีแต่ทางคนแคบ ๆ

    คำถาม หลวงปู่มีรองเท้าไหมแต่ก่อน

    หลวงปู่ บ่มี เดินเท้าเปล่า

    คำถาม แต่ก่อนภูเรือยังไม่เป็นอำเภอใช่ไหมเจ้าคะ

    หลวงปู่ อือ สานตมมีบ้านเก้าหลังคาเรือน ม่วงไข่ยังไม่ทันมีบ้าน

    คำถาม หลวงปู่พบเสือระหว่างไหน

    หลวงปู่ พบที่ม่วงไข่

    คำถาม เสือมันทำอะไรอยู่

    หลวงปู่ มันออกมาที่วัด

    คำถาม แล้วที่ไหนที่หลวงปู่พบเสือ มันมาลัดหน้า ลัดหลัง ข้างหน้าก็เข้ามา ข้างหลังก็เข้ามา

    หลวงปู่ อยู่ที่พม่า

    คำถาม มันมาดักหลวงปู่หรือเจ้าคะ

    หลวงปู่ ก็เดินไปเรื่อย ๆ มันก็ไปของมัน

    คำถาม ห่างกันประมาณเท่าไรเจ้าคะ

    หลวงปู่ สามวา สี่วา
     

แชร์หน้านี้

Loading...