ธรรมโอวาทหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขอนไม้แห้ง, 20 กรกฎาคม 2013.

  1. ขอนไม้แห้ง

    ขอนไม้แห้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    228
    ค่าพลัง:
    +1,618
    บันทึกโดยหลวงปู่หลุย จันสาโร

    " ธรรมมะ ธัมโม เรียนมาจากธรรมชาติ เห็นความเกิด ความแปรปรวนของสังขาร ประกอบด้วยไตรลักษณ์"

    "อย่าเชื่อหมอมากนัก ให้เชื่อธรรมมากจึงดี เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม"

    "อรหันต์ก็เป็นคุณอนันต์ นับหาประมาณมิได้ พระอรหันต์ ตรัสรู้ในตัว เห็นในตัว มีญาณแจ่มแจ้งดี ล้วนแต่เล่าเรียนธรรมชาติทั้งนั้นฯ"

    "ธรรมะชี้เข้ากายกับจิตเป็นคัมภีร์เดิม"

    "ภูเขาสูงที่กลิ้งมาบดสัตว์ให้เป็นจุรณไปนั้น อายุ 70 ปีแล้วไม่เคยเห็นภูเขา เห็นแต่ชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ เท่านั้นแล ทิฐิมานะเป็นภูเขาสูงหาที่ประมาณมิได้"

    "ธรรมะเป็นต้น เอโกมีอันเดียว แต่แสดงอาการโดยนัย 84,000 ธาตุ 4 ธาตุ 6 ธาตุ18 ให้เห็นด้วยจักษุด้วย ให้เห็นด้วยญาณ คือปัญญาด้วย "นโม" ดิน น้ำ บิดา มารดา ปั้นขึ้นมา"

    "84,000 เป็นอุบายที่ให้พระองค์ทรมานสัตว์ สัตว์ย่อมรู้แต่ 84,000 เท่านั้น จะรู้ยิ่งไปกว่านั้นเป็นไม่มี เว้นแต่นิสัยพุทธภูมิฯ รู้อนันตนัย หาประมาณมิได้ พ้นจากนิสัยของสาวก สาวกรู้แต่ 84,000 เท่านั้น จะรู้ยิ่งไปกว่านั้นมิได้"

    "ให้รู้ ..นโม.. *นะ* น้ำ *โม* ดิน (อิ อะ) อิติปิโสฯ อรหัง เมื่อรู้แล้ว ความรู้หาประมาณมิได้ อะ อิ สำคัญนัก เป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์ฯ"

    "ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ นี้เอง ทำให้บุคคลเป็นพระอรหันต์"

    "..ญาณ.. ของพระพุทธเจ้า ท่านหมายเอา สกนธ์กาย เช่น นิมิตธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุน้ำ ธาตุดิน และอาการ 32 เป็นนิมิต ท่านบอกว่า รู้เห็นเช่นนี้ บรรดาท่านเจ้าคุณทั้งหลายไม่คิดค้านเลยฯ

    "สัตว์เกิดในท้องมารดาทุกข์แสน กามเป็นของต่ำช้า เป็นของที่นำทุกข์เดือดร้อนฯ"

    "โลกสันนิวาส มีความแปรปรวนตั้งเที่ยงอยู่เช่นนั้น แต่จิตของเรารักษาไว้ให้ดี อย่าให้ติด ถ้าไม่ติดก็ได้ชื่อว่าเป็นสุข ในตอนนี้ ท่านแสดงทบไปทบมาเพื่อให้ศิษย์รู้"

    "พิจารณาค้นกาย ตรวจกายถูกดีแล้ว ไม่เป็นปัญหาขึ้นมาได้ ถ้าไม่ถูกย่อมเป็นปัญหาขึ้นมา"

    "ค้นดูกายถึงหลัก แลเห็นอริยสัจของจริงแล้ว เดินตามมรรค เห็นตัวสมุทัย เห็นทุกขสัจ"

    "ต้องทำจิตให้เป็นเอก ต้องสงเคราะห์ธรรมให้เป็นเอกเสมอฯ"

    "อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคคือ กาย วาจา ใจเป็นมรรค เข้าไปดับทุกข์ ดับสมุทัย ดับนิโรธ นิโรธดับไม่เอา เอาที่ไม่ดับ คือดับนั้น ยังเป็นตัวมรรค เอาสิ่งที่ไม่ดับ สิ่งที่ตั้งอยู่นั้นแหละเป็นตัวให้สิ้นทุกข์"

    "ปฏิภาค.. นั้นอาศัยผู้ที่มีวาสนา จึงจะบังเกิดขึ้น ..อุคหนิมิต.. นั้นเป็นของที่ไม่ถาวร พิจารณาให้ชำนาญแล้วเป็น ..ปฏิภาคนิมิต.. ชำนาญทาง.. ปฏิภาค.. แล้วทวนเข้ามาเป็นตน ปฏิภาคนั้นเป็นส่วนวิปัสสนาฯ"

    "ท่านพิจารณาร่างกระดูกได้ 500 ชาติมาแล้ว ตั้งแต่เกิด เป็นเสนาบดีเมืองกุรุราช เป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัย"

    "เจริญทางจิตอย่างเดียว ตั้งแต่ ..อุปจารสมาธิ.. รู้วาระจิตของผู้อื่นได้ แก้นิวรณ์ได้ แต่โมหะคุมจิต ถ้าเจริญวิปัสสนา ถึง..อัปปนาสมาธิ.. ท่านอาจารย์บอกเช่นนั้น และบอกว่าทำความรู้ให้พอเสียก่อนจึงไม่หวั่นไหว"

    "ให้รู้ที่จะแก้จิตของตน ให้รู้จักภพของตนที่จะไปเกิดฯ ท่านอาจารย์ได้พิจารณาวัฏฏะ 500 ชาติ"

    "ต้องผ่านความผิดมาเสียก่อน จึงปฏิบัติถูก ความผิดเป็นเหตุความถูกเป็นผลของความดีทั้งหลาย ต้องเดินมรรค 8 ให้ถูกจึงจะแก้ได้ เดินตามสายหนทางของพระอริยเจ้า ใช้ตบะอย่างยิ่งคือความเพียร จึงจะสอนตนได้โลกีย์ โลกุตระ 2 อย่างประจำอยู่ในโลก 3 ภพ"

    "ปัญญามีสัมปยุตทุกๆภูมิ กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตระ เหล่านี้ ล้วนแต่มีปัญญาประกอบ ควรที่เป็นเสียมก็เป็น ควรที่เป็นขวานก็เป็น ส่วนที่เฉยๆ เรื่อยๆนั้น เช่นเหล็กเป็นแท่งกลม จะเอามาใช้อะไรก็ไม่ได้ นี้ฉันใด"

    "จะบอกการดำเนิน วิปัสสนา และ สมถะ โดยเฉพาะนั้นมิได้ เพราะมันไปหน้าเดียว จริตของคนต่างๆกัน แล้วแต่ความฉลาด ไหวพริบของใคร เพราะดำเนินจิตหลายแง่แล้วแต่ความสะดวก"

    "อย่าให้จิตเพ่งนอก ให้รู้ในตัว เห็นในตัว เมื่อรู้ในตัวแล้ว รู้ทั่วไป เพราะตัวเป็นต้นเหตุ"

    "เทศน์เรื่องมงคลวิเสส ที่มนุษย์ เทวดามีความสงสัย มิได้แก้อัตถะแปลได้เหมือนพระพุทธองค์ มนุษย์เป็นสถานกลาง อะไรดี หรือชั่วก็ต้องกลั่นออกไปจากมนุษย์นี้ทั้งนั้น ทำให้เป็นดีก็มนุษย์ ทำให้ชั่วก็มนุษย์ จะเป็นบุถุชนก็มนุษย์ จะเป็นพระพุทธเจ้าก็มนุษย์"

    "ท่านเทศน์ให้สงเคราะห์เข้าตนทั้งนั้น สุภะ เป็นธาตุบูดเน่า เป็นธรรมชาติของเขา ร้ายแต่มนุษย์ จิตติดสุภะ ดื่มสุรา ท่านยกพระโพธิสัตว์ ยศเป็นกษัตริย์ มีเมีย 6 หมื่น บุตรราหุล ท่านก็ไม่เมา ไหนเรามีเมียตาเปียกคนเดียว ติดกันจนตาย ธาตุเมาอันนี้เป็นธรรมชาติไม่ให้คนสิ้นทุกข์ไปได้"

    "บุคคลรักษาจิต ได้แล้วทั้งศีล แม้รักษาทางปัญญา ได้แล้ว ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ดุจข้าวสุกที่สำเร็จแล้ว เราจะตวงกิน ไม่ต้องไปกังวล ทำนาเก็บเกี่ยว และข้าวเปลือก ข้าวสารเลย กินข้าวสุกแล้วก็เป็นพอนี้ก็ฉันนั้น เป็นสถานที่สำรวม"
     

แชร์หน้านี้

Loading...