ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย na_krub, 12 ตุลาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    วันพระเค้าให้ไปรักษาศีล ให้รู้จักว่า"ศีล"นี้คืออะไร คุณของศีลมันเป็นอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร เมื่อรักษาแล้วเราจะได้อะไรตอบแทน คนที่รักษาศีล..บอกไว้ก่อนว่าโยมจักได้ประโยชน์คือได้สิ่งตอบแทน ตอบแทนอย่างไร..โยมรักษาศีล..ศีลก็รักษาโยม ใช่มั้ยจ๊ะ นี่เค้าเรียกว่าตอบแทนมั้ยจ๊ะ โยมทำลายศีล..แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นจ๊ะ โยมทำลายศีลเท่ากับว่าโยมนั้นทำลายสิ่งที่ปกป้องคุ้มครองโยม หรือเรียกว่าเอาของดีออกจากตัว ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์เอาเสื้อเกราะออก คิดว่าตัวเองมีดีแล้ว เค้าเรียกอวดดีทั้งนั้น ใช่มั้ยจ๊ะ คนมีเสื้อเกราะถ้ามีภัยพาลมาเราจะรู้ได้ยังไงว่าจะมีภัยมา อ้าว..ศีลเค้ายังเป็นเกราะป้องกันภัยเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแล้วเมื่ออยู่ในโลกใบนี้เป็นโลกของมาร โอกาสที่จะเกิดเวรหรือภัยนั้นเป็นของที่เกิดได้ง่าย เพราะว่าภัยยังมีภัยภายในที่เรานั้นยังกำจัดไม่ได้ ก็เรียกว่าเรายังหาต้นตอมันไม่ได้ มันก็คอยทิ่มตำอยู่ตลอดเวลา ไอ้คำว่าทิ่มตำนี่..บางทีใครพูดกระทบกระทั่งเราก็รู้สึกเจ็บคันแล้ว เห็นมั้ยจ๊ะ เพราะว่าไฟภายในแห่งโทสะของเรานั้นไม่ได้ละลงไป..มันมีมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อมันมีมากแล้วพื้นของศีลของบุญกุศลมันก็เหลือน้อย ที่มันจะมาปิดกั้นรองรับในบุญเรา มันก็ทำให้จิตใจเราร้อนรนได้ง่าย ใช่มั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าน้ำมันเริ่มน้อยหรือบุญเราเริ่มน้อย กุศลเราเริ่มน้อย

    เราจะทำยังไงบุญกุศลให้มันเพิ่มขึ้นมา นั้นการเจริญทานให้เกิดขึ้น การสละ เอาอาหารซักหม้อหนึ่ง ปิ่นโตหนึ่งก็ดี ไข่ต้มซักฟองก็ดี หรือปลาที่ยังไม่เค็มก็ดีซักตัวหนึ่งถวายพระ นี่คือการสละทานเพื่อให้เกิดสำรวมเข้าเป็นศีล เพื่อให้ใจมันสงบอิ่มในบุญกุศลที่เรายังพอใจ เพียงแค่โยมมีใจให้ ไม่ว่าทานอันนั้นจะเล็ก..มากหรือน้อยก็มีอานิสงส์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วอย่าเห็นว่าบุญกุศลนั้นเพียงเล็กน้อยไม่มีผล เพียงแค่โยมมีใจน่ะมีกำลังเท่าไหร่ ถ้าโยมทำกำลังจิตของโยมกำลังใจของโยมนั้นให้มันเบิกบาน บุญกุศลโยมก็จะมาก

    เฉกเช่นเดียวกับจิตในวาระสุดท้ายที่โยมจะดับจิตลงไป จิตที่เป็นกุศลและเบิกบาน อิ่มเอม ปล่อยวางนั่นแล เค้าเรียกว่า"จิตหลุดพ้น" จิตที่ยังมีภาวะยังมีห่วง นี่เค้าเรียกว่าสภาวะจิตนั้นถูกดึงรั้งแห่งอกุศลกรรม ไม่ต่างอะไรบุคคลผู้นั้นจะหลุดออกจากนรกอเวจีก็ยังถูกดึงลงมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะสภาวะกรรมที่ทำไว้มันหนักจนเกินไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ จะกระโดดจะเหาะจะลอยก็ไปไม่ได้ เพราะว่าไม่มีฤทธิ์ทางใจ ดังนั้นโยมอยากจะมีฤทธิ์ทางใจ โยมต้องฝึกอิทธิบาท ๔ ให้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆเนืองๆ จนว่าที่โยมมีความพอใจ

    อิทธิบาท ๔ เป็นอย่างไร มีความพอใจในสิ่งที่ทำในความเพียรในกุศลก็ดี รู้จักอิทธิบาท ๔ มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) โยมรู้จักรึเปล่า ไม่ใช่สักแต่ว่าท่องแต่ไม่เข้าใจในความหาย โยมต้องรู้จักก่อนว่าฉันทะคือความพอใจ เรามีความพอใจหรือไม่ เช่นว่าเราพอใจจะให้ทาน เรียกว่าเป็นการเจริญอิทธิบาท ๔ อย่างหนึ่ง แล้วคนที่เจริญอิทธิบาท ๔ น่ะ มันจะให้มันก็ให้โดยง่าย ก็เรียกเป็นการอบรมบ่มจิต รู้จักการสละ..จะไม่เสียดาย มีความฉันทะมีความพอใจเป็นที่ตั้งแล้ว ก็ย่อมต้องมีความเพียร มีความเพียรแล้วก็ต้องมีอะไร อ้าว..โยมทำความเพียรอะไรอยู่ โยมก็ต้องจดจ่อในสิ่งนั้น จิตที่ตั้งมั่นและจดจ่อนั้นแล..เค้าเรียกว่าสมาธิมันก็บังเกิด ฌานมันก็บังเกิด

    บุคคลใดกำหนดสมาธิได้ก็เรียกว่าฌานก็บังเกิดขึ้นมาพร้อมกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ อ้าว..ถ้าสมาธิเกิดขึ้นไม่ได้ฌานก็เกิดขึ้นไม่ได้ นั้นผู้ใดมีสมาธิผู้นั้นผู้มีฌาน และผู้ใดผู้ทรงสมาธิเจริญสมาธิเป็นผู้ว่าผู้นั้นทรงฌานหรือทรงความดี เมื่อบุคคลทรงความดีจะตกนรกหมกไหม้ก็ทำได้ยาก แล้วบุคคลใดที่เจริญทรงฌานทรงกุศลอยู่ใดก็ตาม ถ้ามีใครไปปรามาสก็ดี..บุคคลนั้นก็อาจจะร่วงอเวจีได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นโยมไม่ควรไปปรามาสผู้ใดเลยที่เขาเจริญความเพียรอยู่ เขาจะมีความเพียรมากน้อยเพียงใดก็ตาม เรียกว่าเขามีความเพียรในทางฝ่ายดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ เขาถึงบอกว่าไอ้พวกที่ทำบาป..แต่มาโมทนากับคนที่ทำบุญก็ไปกุศลไปสวรรค์ ไอ้คนทำความดีแต่จิตนั้นไปคิดถึงคนไม่ดี..จิตก็เป็นอกุศล ดังนั้นแลมันอยู่ที่จิตของโยมเป็นกุศลหรืออกุศล เรียกว่ามีความพอใจจดจ่อตั้งมั่นหรือไม่ ไม่ให้อกุศลมาข้องแวะหรือมารบกวนในกุศลที่เราทำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าอกุศลที่มารบกวนจิต ให้โยมรู้ได้เลยว่าในขณะนั้นเจ้ากรรมนายเวรที่เราเคยพยาบาทมาดร้ายไว้ เขาได้มาขอส่วนบุญ ให้สำรวมจิตตั้งมั่นแผ่เมตตาออกไปหนึ่งครั้ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าจะได้ไม่กวนเรา พอเค้าอิ่มแล้วเค้าก็ไปของเค้า นั้นการที่จะเข้าถึงศีลได้เราต้องเจริญทาน ทาน..ไม่ใช่บอกว่าไม่มีเวลาไปให้เลย ทานสละด้วยการให้อภัยทาน อโหสิกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
    (ภาพประกอบจาก google)
     
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ทุกอย่างโยมต้องเรียนรู้กรรม ไม่มีอะไรเกินอำนาจแห่งกรรมไปได้ สิ่งไหนที่โยมเคยกระทำแล้ว มันก็ต้องให้ผลในปัจจุบันชาติที่โยมต้องเสวย อะไรที่โยมไม่เคยทำมา จะให้เกิดให้มีมันก็เป็นไปได้ยาก ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้กรรมนั้นมันบรรเทา เราไปลบล้างกรรมไม่ได้ แต่ให้กรรมนั้นบรรเทาและรู้เท่าทันกรรมนั้นได้ และเพื่อไม่ให้เกิดกรรมนั้นซ้ำขึ้นมาอีก เพื่อไม่ไปเพิ่มผลกรรม หรือแรงวิบากนั้นให้เพิ่มขึ้นมาอีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าถึงได้บอกว่าให้มีการเข้ากรรมฐาน คือการ"เพียรละ"

    อันที่จริงกรรมฐานก็คือการพิจารณา..พิจารณาให้เกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญาแล้วจะรู้เท่าทันในกรรมได้ คือพฤติกรรมของเรานั้นในกาย วาจา ใจนี้มันจะควบคุมด้วยศีล มีความเป็นปรกติของจิตของอารมณ์ ดังนั้นกรรมทั้งหลายนั้นให้โยมได้เรียนรู้ ไม่ใช่ว่าโยมไม่มีปัญญา ใครก็รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไร ใครก็อยากได้สุข ใครก็เกลียดทุกข์ แต่ยังไม่มีใครที่มีปัญญาอย่างแท้จริง ก็คือการไป"ละสุข" เข้าใจมั้ยจ๊ะ ตัวนี้แหล่ะจ้ะคือตัววิมุติญาณ เค้าเรียก"ปัญญาเหนือปัญญา" ก็คือเป็น"มหาสติ"

    อันว่าสุขนี้เมื่อใครได้ครอบครองแล้วก็จะมีความเพลิดเพลินใจ..คือความหลงเกิดขึ้น พอไม่ได้ดั่งใจ ไม่ได้ดั่งที่หวัง ก็ทุกข์ใจเสียใจ แต่ถ้าได้อย่างหวังแล้วก็อยากจะยึดความสุขนั้นไว้ให้ยาวนาน เช่นมนุษย์นั้นเกิดมาแล้วไม่อยากตาย อยากเป็นอมตะ นี่ก็เรียกว่ายึดในสุขนั้นไว้..แต่ไม่ได้ละสุข เมื่อโยมไม่ละสุข..โยมก็ต้องทุกข์อยู่ร่ำไป

    ดังนั้นความเพลิดเพลินพอใจความอะไรทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ขอให้โยมวางใจให้เป็นกลาง การวางใจให้เป็นกลางนั้นก็เรียกว่าวางใจให้เป็นธรรม วางใจให้เป็นธรรมเป็นอย่างไร..วางใจให้มันเป็นสภาวะความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ที่เราเห็นที่สัมผัส เมื่อเรา..ถ้าได้อะไรมาแล้วอีกไม่นานก็ต้องเสียไป นั่นก็เรียกเป็น"กฎแห่งไตรลักษณ์"แห่งธรรมชาติ ว่ามีเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และดับไป นั่นหมายถึงว่าเมื่อมีพบย่อมมีจาก เมื่อมีเกิดย่อมมีตาย นี่เป็นของธรรมชาติ

    ดังนั้นขอให้โยมได้พิจารณาอย่างนี้ ว่าร่างกายสังขารของเรานี้มันมีแต่เสื่อมลงไป เสื่อมลงไปทุกวี่วันทุกขณะจิต ไม่ว่าเราจะบำรุงบำเรอมันเพียงใดก็ตามที มันก็ยังทรยศหักหลังเราอยู่ เพราะอะไรเล่าจ๊ะที่มันยังทรยศหักหลัง ที่เราไม่สามารถบังคับบีฑาให้เป็นไปตามใจของเราที่ปรารถนาได้ เหตุก็เพราะว่ากายสังขารของเรานี้..มันไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง อะไรเล่าที่เป็นของเราอย่างแท้จริงที่เราจะเอาไปได้ นั่นก็คือ"กุศลและอกุศล"นั่นเอง..นี่ของเราแท้จริง ข้าวทัพพีหนึ่งก็ยังติดตามไปทุกภพทุกชาติได้ ทางที่เราสละไปแล้ว ยังไม่ถึงที่ภพภูมิดวงจิตในปลายพรหมโลก..ที่เขายังทนทุกข์ทรมานอยู่ สิ่งเหล่านี้เรียกเอาไปได้

    ดังนั้นสิ่งที่เรานั้นที่จะตามติดส่งผลเรา ก็คือต้นทุนบุญกุศล เพราะว่าบุญนี้มันมีอำนาจเหมือนกัน แล้วมันเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแห่งความสุขทั้งปวง ถ้าโยมอยากรู้ว่าบุญโยมมีมากเพียงใด..ไม่ต้องไปหาหมอดู ถ้าจิตโยมนั้นมีสุข ไม่กระวนกระวาย สิ่งที่โยมยังมีอยู่มันก็ยังไม่เสื่อมไปไหน แม้มันเสื่อมไปก็มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนที่ให้มันดีขึ้น นั่นเรียกว่าบุญโยมยังมีอยู่ แต่ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปตามนั้น ทรัพย์สินก็ดี ชื่อเสียงก็ดี ความเชื่อถือก็ดีในทางโลก การงานก็ดีมันเสื่อมลง ด้วยการสรรเสริญนินทาว่าร้าย เหล่านี้คือโลกธรรม ๘ นี่เรียกว่าบุญโยมเริ่มเสื่อมลง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แสดงว่าโยมกอบโกยมากจนเกินไป โดยที่ไม่ได้คิดจะละหรือให้ การให้ทานก็เป็นการสละเป็นการละอย่างหนึ่ง การให้อโหสิกรรมไม่มีพยาบาทให้เกิดการจองเวรกันขึ้น..ก็เรียกเป็นการละอย่างหนึ่ง การเจริญอบรมบ่มจิตให้เกิดปัญญา..นี่เรียกว่าเป็นการละความหลงอย่างหนึ่ง สิ่งเหล่านี้จะทำให้ตัดวิบากกรรมได้โดยแท้ แต่ถามว่าวิบากกรรมจะหมดไปหรือไม่..มันไม่หมดไป แต่อำนาจแห่งกรรมนั้นมันจะน้อย คำว่า"น้อย"แล้ว เมื่อมันน้อยเราก็สามารถควบคุมมันได้นั่นเอง เหมือนไฟที่มันไม่ลุกโชนมากจนเกินไป เราก็ยังควบคุมวิถีของมัน ดังนั้นสติตัวนี้คือผู้กำหนดกรรม หรือเป็นผู้คุมบังเหียนที่จะชี้ชะตาของตัวเราว่าจะไปในทิศทางใด ไม่ได้มีเทพเทวดาองค์ไหนที่จะมาชี้ชะตาโยม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑
    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    อย่าไปยึดมั่นในศีล อย่าไปถือศีล เค้าให้เอาศีลไปรักษา ไม่ได้ให้โยมเอาศีลไปยึด เอาไปถือไม่ได้..ศีลน่ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะคนถือศีลมากก็จะถือสามาก เค้าให้รักษา"ใจ"ข้อเดียวพอ โยมรับศีล ๘ ไปแล้ว..ศีลก็คงอยู่กับโยม โยมรักษาใจให้ตั้งมั่น..ศีลก็อยู่กับโยมตลอดเวลา ศีลเป็นร้อยเป็นพัน ๒๒๗ ข้อก็อยู่ตลอดเวลา สมณะชีพราหมณ์ก็อยู่ตลอด ขอให้รักษาใจไม่ให้โลภ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้หลง

    ถ้ามันโลภให้มีสติ..ละอารมณ์นั้นออกไป ถ้าหลงก็ให้ภาวนา ถ้าโกรธก็แผ่เมตตาออกไป ทำอย่างนี้เรียกว่ารักษาศีลคือรักษาใจ ศีลมันต้องคุมใจ แต่สติเอาไว้คุมจิต สติคือตัวระลึกได้ว่าตอนนี้ขณะนี้เรามารักษาศีลนี่ จะกวาดพื้น จะทำอะไรเราก็รักษาได้ตลอดเวลา มันเป็นอกาลิโก (ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ อกาลิโกแปลว่าอะไรคะ) อ้าว..อกาลิโกคือเรียกว่าไม่มีจำกัดกาล ไม่ว่าโยมจะประพฤติปฏิบัติตอนไหน..โยมทำได้หมด ไม่มีข้ออ้าง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    การจะเจริญความดีในส้วมโยมก็ทำได้ ภาวนาได้ สวดได้ ไม่ใช่พอเข้าไปในส้วม..หยุด..ไม่ได้..บาป จะเดินจงกรมพุทโธ พุท..ก้าวขวาไป..ไม่ได้ๆเหยียบหัวพุทโธอีก อันนี้ไม่ได้ ไอ้พวกนี้ยึดทั้งนั้น เอาใจสิจ๊ะ เอาตัวรู้เป็นตัวกำหนด เข้าใจมั้ยจ๊ะ อันว่าการเจริญกรรมฐาน อารมณ์ใดที่โยมเกิดความสละปลงสังเวชให้เห็นความเบื่อหน่ายในทุกข์ ในภัย ในวัฏฏะนี่แหล่ะจ้ะ นั่นผู้นั้นได้"หัวใจกรรมฐาน"

    ดังนั้นรักษาใจให้ตั้งมั่น..ชื่อว่าศีล ชื่อว่าโยมไปรับศีลมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ข้อศีล ๘ ศีลอุโบสถน่ะเค้ามีว่าเวลาเท่านั้นเท่านี้ล่วงไปแล้ว จะไม่ไปบริโภคอาหาร อันนั้นเค้าเรียกว่าสัจจะบารมี เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่พวกคนมีศีลเขาก็จะมีการสำรวมระวังของเขาอยู่..ไม่กินมาก แต่คนที่ถือศีล ๘ เขาเรียกว่าใจมันมั่นกว่าอีก ดังนั้นโยมจงรู้ว่าศีลเค้ามีไว้ให้รักษา..ไม่ได้มีไว้ยึด โยมยึดมากโยมก็ทุกข์มาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะยึดมากจนเกินไปจะทำอะไรมันก็ไม่ค่อยสะดวก หรือเรียกว่าบีบคั้นมากเกินไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาให้ดี เค้าเรียกว่าเดินทางสายกลางมันเป็นอย่างไร..คือความพอดี ไม่ตึงจนเกินไป ไม่หย่อนจนเกินไป..มันเป็นอย่างไร ถ้าใจโยมเป็นทุกข์เค้าเรียกว่าตึงเกินไป ใจโยมเป็นสุขนั้นแลเค้าเรียกว่าความพอดี เพราะถ้าโยมไม่มีสุขโยมจะไม่มีกำลังใจทำอะไรเลยแม้ขณะเดียว เข้าใจมั้ยจ๊ะ พอเป็นทุกข์เสียแล้วโยมไปทำเป็นการฝืนทั้งหมด..ไม่มีดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทำต้องให้มีสุข ปฏิบัติไปต้องให้พบสุข แต่จะพบสุขได้มันต้องเจอทุกข์ก่อน ถ้าไม่เจอทุกข์เอาสุขนั้นแลเป็นกำลังใจไป ดังนั้นขอให้โยมเข้าใจตามนี้ว่าโยมมาเจริญกรรมฐาน มารักษาศีลเพื่อให้โยมมีศีล เข้าใจมั้ยจ๊ะ..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑
    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    เมื่อเราพุทโธ ธัมโม สังโฆ ถ้าไม่มีเวลาสวดมนต์ไหว้พระอะไรก็ตามก็ให้ภาวนาพุทโธไว้ เมื่อจิตมันอิ่มเอม มันเกิดบุญกุศลบ่อยๆแล้ว เดี๋ยวมันจะอยากหมั่นสวดมนต์ รักษาศีล ให้ทานเอง ทีนี้บ้านมันก็ร่มเย็นเป็นสุข แต่บุคคลใดบ้านใดเรือนใดจิตใจที่ไม่มีหลักแล้วไซร้ นอนก็ผวา ตื่นก็ผวา เพราะขาดหลัก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นก่อนตื่นก่อนนอนให้เจริญเมตตาจิต สวดมนต์ไหว้พระก็ยังดี ถ้าไม่สวดก็พุทโธ ธัมโม สังโฆก็ยังดี เมื่อจะนอนก็พุทโธตาย ธัมโมตาย สังโฆตาย การตายนั้น..การระลึกถึงความตายนั้นเป็นมงคลอย่างยิ่ง ไม่ใช่อัปมงคล วันหนึ่งให้ระลึกถึงความตายอย่างน้อยหนึ่งครั้งก็ยังดี..เป็นมงคล เมื่อระลึกถึงความตายแล้วจิตใจนั้นมันก็เรียกว่าตื่น เมื่อตื่นนั้นแลบุญกุศลมันก็จะบังเกิด ทำให้เรานั้นไม่ประมาท คิดทำอะไรก็จะได้รีบทำ ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง นี้โยมทั้งหลายบางทีก็ผลัด จะทำบุญ บอกเค้าแล้วว่าจะทำบุญไปให้ แต่ก็ไม่ทำ เค้าก็รออยู่อย่างนั้น เมื่อรออยู่อย่างนั้นเป็นการติดสัจจะวาจากัน เมื่อทำอะไรนั้นย่อมติดขัด เพราะว่าเราไปพูดบอกเค้าไว้ เค้าก็มาบดมาบัง

    จริงๆแล้วเป็นการที่ไม่ใช่ว่ากลั่นแกล้งกัน แต่เพราะเรานั้นทำขึ้นมาโดยไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ไปหาทางโน้นแก้ทางนี้แก้ ทั้งๆที่จริงแล้วมันเกิดจากเราทั้งนั้น เพราะกรรมมันเกิด ๓ ทาง ทางกาย ทางวาจา และใจของเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นเมื่อเราติดอะไร..ทำอะไรก็ไปทำซะ ยิ่งเข้าพรรษานี้พระท่านไม่ได้ไปไหน เหมาะแล้วแก่การไปทำบุญกุศลอุทิศให้บรรพบุรุษ วิญญาณทั้งหลายที่เราติด ที่เราเคยล่วงเกินกายวาจาใจไว้นั่นเอง สังฆทานก็ดี..ไปทำซะ บุญนั้นเมื่อเราเห็นที่ตรงใด ภพใดเคยเห็นอุทิศระลึกถึงด้วยจิตแล้ว..มันก็กระทบก็เกิดแล้วบุญกุศล ย่อมถึงกันได้ เพราะจิตต่อจิตย่อมถึงกันได้ ขนาดเวรต่อเวรมันยังพยาบาทกันได้เลย ใช่มั้ยจ๊ะ

    เพราะในขณะที่เราอยากจะให้ใคร บุญกุศลย่อมบังเกิด เพราะในขณะที่เราจะให้ใคร เวรพยาบาทเราไม่มีกับใครแล้ว นั่นแลเหมาะแล้วจะประกอบคุณงามความดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ นึกได้ตอนไหนก็ให้ตอนนั้นก็ได้ แต่ให้อ้างบุญกุศลที่เราเคยทำมา ถ้าไม่เคยทำมาให้อ้างอำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัย ขอบุญกุศลนี้แห่งข้าพเจ้าระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัย คุณบิดามารดา เหล่าเทพพรหม พระแม่ธรณีอ้างเป็นพยาน ขอบุญกุศลนี้ขออุทิศสำเร็จประโยชน์ให้กับผู้นั้นผู้นั้น บุญเขาก็ได้รับ บริสุทธิ์ยิ่งกว่าศีลที่เรามีอยู่ เพราะศีลเรายังรักษาไม่ถึง ก็ต้องเอาผู้ที่มีอำนาจบารมีมาคุ้มป้องกันภัยให้เราเกิดรัศมีบุญ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เรียกส่งต่อออกไป..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๘
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    8086E219-87D7-4167-8A3A-DFE22935275F.jpeg เมื่อโยมสวดมนต์เจริญภาวนา สาธยายมนต์น่ะ จิตมันมีกำลังไปในตัว เป็นสมาธิตั้งมั่นไปในตัว ฉันถึงบอกให้กินอาหารให้ครบ ๕ หมู่ ไม่ใช่สวดมนต์เสร็จ อธิษฐานอะไรเสร็จ แผ่เมตตาเสร็จ..เปิดแน่บไปแล้ว อ้าว..เราต้องมาพิจารณาก่อน นั่งสงบสำรวมกาย วาจา ใจก่อน เค้าเรียกว่าเจริญฌาน บ่มอินทรีย์ก่อน เจริญพิจารณาก่อน แบบนี้มันจะได้ครบในทาน ศีล ภาวนา

    การสาธยายมนต์เป็น"ทาน"อย่างหนึ่ง ทำไมถึงเรียกเป็นทาน..เป็นทานแห่งเสียงไงจ๊ะ เทพยดาเจ้าเขาจะได้มาโมทนา เสียงนี้ในการสวดมนต์ โยมสวดเสียงดังมากมันก็ดังไปไกลถึงเทพเทวดาอินทร์พรหม ใช่มั้ยจ๊ะ แว่วเสียงของสาธยายมนต์ที่โยมสวดอยู่ในขณะนั้น ถ้าดวงจิตของพวกบิดามารดาตาทวด หรือญาติพี่น้องบรรพชนของโยมนั้นยังตกทุกข์ทรมานอยู่ เขาก็ยังได้ประโยชน์ ยังได้สุขอยู่ในขณะนั้น นี่เค้าเรียกเป็นทาน

    เมื่อทานแล้ว โยมก็ต้องสำรวมกาย วาจา ใจ แล้วกำหนดภาวนาจิต มาอบรมบ่มจิต มาพิจารณาธรรม ธรรมนี้เราจะพิจารณาอย่างไรก็ได้ โยมพิจารณาอารมณ์โทสะ โมหะ โลภะเหล่านี้ มันก็เป็นการพิจารณาธรรมอยู่แล้ว นี้ว่าเป็นเหตุใหญ่ของทุกข์ทั้งปวงก็ว่าได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่เรียกเป็นการละ..นั่นเรียกว่าอารมณ์กรรมฐานก็บังเกิด

    คนที่พิจารณาธรรมไม่ได้ เพราะว่ายังไม่เข้าถึงกรรมฐาน ใครเมื่อถึงกรรมฐานแล้วจะพิจารณาธรรมได้ ละอารมณ์ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วให้มีคติว่าค่อยๆทำไป เราเพิ่งจะว่าเข้าถึงในศีล เข้าถึงในธรรม มันก็เหมือนว่าเราเพิ่งหายป่วย เราก็ทานอาหารอ่อนๆไปก่อน ฝึกวิตกวิจาร..เค้าเรียกปฐมฌานไปก่อน

    อันว่าวิตกคือ เราวิตกเรื่องอะไรในกรรมอะไรทุกข์อันใด..เราไปหยิบยกขึ้นมา การวิจารคือการละอารมณ์นั้นลงไป สิ่งไหนที่มันเป็นอดีตมาแล้วที่เราแก้ไขไม่ได้..ให้กำหนดรู้แล้วก็พิจารณาโทษภัยมัน แล้วก็ละวางอารมณ์นั้นซะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ หากเราเคยไปกระทบกระทั่งหรือมีกรรมมีเวรพยาบาทกับใคร..ให้เราอโหสิกรรม ขอขมากรรม แผ่เมตตาไมตรีจิตไปในบุญกุศลที่เราได้เจริญแล้ว ขอบุญนี้จงสำเร็จเป็นประโยชน์กับบุคคลทั้งหลายที่เราได้เคยล่วงเกินไว้ในกรรมทางใดก็ตาม จงอย่าได้มีเวรภัย มีความอาฆาตพยาบาทกันอีกต่อไป ด้วยผลานิสงส์แห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้ประพฤติปฏิบัติแล้ว เราก็อธิษฐานไป

    การอธิษฐานจิตนี้เป็นการอบรมบ่มจิตให้จิตเราเกิดเมตตา เมื่อเรามีจิตเมตตาแล้ว สภาวะจิตก็จะเป็นธรรม สภาวะจิตที่เป็นธรรมอย่างนี้เค้าเรียกว่าปัญญามันก็บังเกิดไปในตัว มันจะคอยสอนเรา คอยห้ามเรา สรุปแล้วเค้าเรียกว่าจิตเริ่มเลื่อนขั้นเป็นภพภูมิของเทวดา เลื่อนเป็นอย่างไร เลื่อนบอกว่าเมื่อจะทำอะไรที่เป็นความชั่วก็ดี เค้าบอกว่าจิตเราจะมีหิริโอตัปปะเกิดขึ้น มีความยับยั้ง..นั่นเรียกกำลังสติมีมากขึ้นนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เมื่อเราเลื่อนภพเป็นเทวดา ต่อไปเราก็จะเป็นพรหม เข้าใจมั้ยจ๊ะ คราวนี้เราเลือกเอาสิ..ในกายเรามีอะไรตั้งมากมาย อยากจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น ถ้าอยากจะไปลงนรกก็ไม่ยาก..ง่าย แต่คนที่เจริญพรหมวิหาร ๔ มาแล้วก็ดี เจริญอิทธิบาท ๔ มาแล้วก็ดี มันจะไปตกสู่นรกอเวจีได้ยาก นั่นก็หมายถึงว่าคนดีทำความชั่วได้ยากแล้วทีนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ว่าเมื่อความดีเราทำแล้ว..เราก็ต้องละดี เพราะถ้าเราไม่ละดีซักวันหนึ่งเราก็จะเผลอไปถือดี ก็กลับไปชั่วเหมือนเดิมนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นี่เรียกว่าเมื่อจิตเราเลื่อนภพเลื่อนภูมิแล้ว เรามีหิริโอตัปปะ..จะมีมากมีน้อยเพียงใด ขอให้เราค่อยๆละมัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้ายังละไม่ได้ แม้รู้ก็ยังไปกระทำอยู่..นั่นเรียกว่าอำนาจแห่งกรรมเรายังมีหรือวิบากกรรม เราก็ต้องยอมเสวยให้กิเลสตัณหามันไป ใช่มั้ยจ๊ะ โยมจะไม่เสียอะไรเลยไม่ได้ จะเอาแต่ฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะต้นทุนเรายังไม่มากพอที่จะไปสลัดทีเดียว หรือตัดทีเดียว

    ถ้าโยมตัดแล้วโยมเสียใจ โยมจะทำมั้ยจ๊ะ..ไม่มีใครทำแน่นอน เพราะว่าโยมยังทำไม่ได้ แล้วเรื่องสำคัญ..โลกนี้มันกำหนดด้วยเวลาแห่งกรรม..คือเวลาโยมยังไม่ถึง แล้วจะทำยังไงให้เวลามันถึงเร็วๆ โยมก็กำหนดเวลาสิจ๊ะ กำหนดว่าวันนี้จะนั่งเท่านี้ นั่งไปแล้วอ้าว..ต่ออีกสักหน่อย เห็นมั้ยจ๊ะ เมื่อโยมกำหนดเวลามันก็เรียกว่าเป็นขันติบารมี เป็นสัจจะบารมีขึ้นมา แล้วเมื่อโยมทำได้อย่างนี้บ่อยๆ อันว่าสัจจะบารมีมันเต็มขั้นแล้วน่ะจ้ะ โยมอธิษฐานอะไรมันก็จะเป็นไปตามนั้น คิดอะไรก็จะเป็นไปตามนั้น

    แต่ถ้าโยมยังไม่มีสัจจะ..บารมีไม่เกิดแล้ว โยมจะทำอะไรคิดอะไรให้เป็นไปตามที่โยมต้องการ..เป็นไปไม่ได้ เพราะโยมยังไม่เคยสร้างมันขึ้นมา บารมีเมื่อถึงเวลามันก็จะเป็นไปตามที่โยมคิด นั่นเรียกว่าบารมีสิ่งที่โยมทำมาแล้ว ถ้าอันไหนที่มันไม่เกิดเป็นไปตามที่โยมหวัง สิ่งนั้นโยมยังไม่ได้สร้างมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ บารมีมันสร้างกันได้ ขอให้โยมมีความเชื่อความศรัทธา โยมศรัทธาในทางใดบารมีโยมก็เกิดในทางนั้น ใช่มั้ยจ๊ะ อยู่ที่โยมเลือก ถ้าโยมเชื่อในทางนี้ โยมก็ต้องฝึกเดินในทางมรรคมีองค์ ๘ ให้มาก

    ดังนั้นร่างกายสังขารของเราต้องกินต้องใช้เป็นของธรรมดา ถ้าโยมอยากจะสมบูรณ์ ฉันก็บอกแล้ว"ศีล"นี้เป็นโภคทรัพย์สมบัติ คำว่าโภคทรัพย์มันแปรเป็นทรัพย์ได้ แต่โยมศรัทธาในศีลมากเพียงใด ถ้าโยมจะรักษาแล้ว..โยมต้องเชื่อมั่น แต่ถ้าศีลเรายังบกพร่องอยู่ อันนั้นเป็นเพราะอำนาจแห่งกรรมเรา..ต้องชดใช้ ดังนั้นมันก็ต้องมีอิ่มบ้างไม่อิ่มบ้างเป็นธรรมดา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2018
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2018
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2018
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี

    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  10. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี

    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  11. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๑๒ ส.ค.๖๑ โทร 095 5695199 , 084 8936961 และ 081 9293222
     
  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๒๓ ส.ค.๖๑ โทร 095 5695199 , 084 8936961 และ 081 9293222
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917

    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๒๔ ส.ค.๖๑ โทร 095 5695199 , 084 8936961 และ 081 9293222
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917

    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๒๕ ส.ค.๖๑ โทร 095 5695199 , 084 8936961 และ 081 9293222
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ผู้ที่เจริญสติอยู่ รักษาศีลก็ดี ภาวนาจิตก็ดีนี้..เรียกว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ผู้ไม่ประมาทมันย่อมยังตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้ ดังนั้นเมื่อโยมมีโอกาส จงเห็นโอกาสนี้ยิ่งกว่าเงินทอง ยิ่งกว่าของมีค่าทั้งปวง ทองเท่าภูเขาเลากาสูงเทียมฟ้าก็ดี ก็ยังไม่มีค่าเท่ากับโยมได้มาเจริญภาวนาจิตแม้ครั้งเดียว ขอให้โยมเห็นค่าอย่างนี้

    จึงบอกว่าทรัพย์ทั้งปวงในภายนอก..สู้ทรัพย์ภายในไม่ได้เลยแม้ซักนิดเดียว นั้นโยมจึงไม่ต้องไปตามหาของวิเศษของดีที่ไหน จงตามหา"ใจ"ตนให้เจอ เมื่อใจตนตามหาเจอแล้ว เมื่อเราหยุดตามหา หยุดคิดก็ดี หยุดฟุ้งซ่านก็ดี หยุดหวลถึงอดีต ไม่เพ้อฝันในอนาคตก็ดี อยู่แต่ปัจจุบันจิตก็ดี..ว่าเราในขณะนี้ กายนี้เป็นอย่างไร จิตเรานั้นเป็นอย่างไร เราตื่นรู้บ้างหรือยัง

    ทุกข์ในกายเรานั้นมันเกิดขึ้นแล้ว..จิตเราเป็นอย่างไร เกิดขึ้นแล้วเราต้องยอมรับมันได้ว่า ทุกข์มันมีอยู่จริง พระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรานั้นได้เห็นทุกข์ เมื่อเห็นแล้วจึงไปรู้ทุกข์ เมื่อรู้แล้วจึงไปพิจารณาตัวรู้นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า..ให้เกิด"ปัญญา" อันว่าเกิดปัญญาจึงรู้เท่าทันในกองทุกข์ที่เห็น และยอมรับความเป็นจริง นั้นแลจะได้รู้โทษภัย หรือการเพ่งโทษในกายนี้ เรียกว่า"ภัยในวัฏฏะ"

    เมื่อเราเพ่งโทษเห็นภัยในวัฏฏะอย่างแท้จริง ถ้ารู้ว่ากายนี้ เรือนี้ เรือนนี้มันกำลังจะถูกไฟคลอก หรือเรือนี้กำลังจะจม มนุษย์ผู้มีปัญญาจะไม่หลงอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมนี้อีก ก็ต้องเสาะหาทางแสวงหาทางออกจากเรือนนี้กายนี้ จะไม่สิงสู่อยู่นาน แต่จะเอากายนี้เรือนนี้เป็นที่แสวงหาประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่..คือธรรมอันวิเศษ

    ดังนั้นเมื่อโยมมีกายแล้ว เท่ากับว่าโยมมีของวิเศษ มีค่ามากมายมหาศาล มากมายกว่าทรัพย์สมบัติภายนอกอีก นั้นเมื่อเรามีกายแล้วจงใช้กายนี้ให้เป็นประโยชน์ให้มาก ยิ่งเรานั้น..กายเรานั้นเสื่อมลงทุกวันๆ เราต้องรีบเร่ง เพราะเราไม่รู้ได้ว่า เมื่อกายเรานั้นมันหมดกำลังวังชาไปแล้ว หรือมันเสื่อมถึงที่สุดแล้ว มันใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว เมื่อมันใช้ประโยชน์ไม่ได้..เราก็จะหมดประโยชน์ไปด้วย

    ดังนั้นยิ่งมันเสื่อม..เราต้องเร่งตื่นรู้ให้มาก หาโอกาสให้มาก ให้เวลาให้มากในกายนี้ พิจารณาให้มาก ดูมันให้มาก ศึกษามันให้มาก อ่านมันให้มาก เท่ากับว่าเรารู้ใจ..ได้เปิดพระไตรปิฎกอ่านหัวใจของศาสนา เราต้องทำความดีให้ถึงพร้อม ถึงด้วยศีลด้วยธรรม การไม่ทำบาปทั้งปวงเป็นอย่างไร การทำจิตให้ขาวรอบเป็นอย่างไร

    นั้นสิ่งที่ผ่านมาแล้วไม่ว่าจะเป็นกรรมในอดีตที่เรานั้นไม่รู้เท่าทันในโทษภัยของอกุศล หรือในบาปบุญคุณโทษอันใด ก็ขอให้วางไว้เสีย แต่ให้จงหยิบยกมาพิจารณาสิ่งที่เราล่วงเกินนั้น เพราะเหตุใดที่เรานั้นไม่ได้ระวังสำรวมอินทรีย์ ที่เราไปละเมิดล่วงเกินในอกุศลบาปให้เกิดขึ้น

    นั้นเมื่อจิตเราสำนึกแล้ว ละได้แล้วในอารมณ์นั้น ก็ให้แผ่เมตตาอโหสิกรรมไป แล้วก็วางอารมณ์นั้นเสีย ให้จิตเรานั้นเป็นปรกติ คือไม่ยึดไม่ถืออารมณ์ในอดีตอีกต่อไป นั้นจึงเรียกว่าตัดกรรมต้องตัดที่ใจ แต่ก่อนที่เราจะตัดกรรมตัดใจ..เราต้องรู้ใจเสียก่อนว่ากรรมที่เราทำนั้น เราทำด้วยเหตุประการใด เจตนาอันใด เมื่อเรามีปัญญามีสติเท่าทัน เราก็ไปสำรวมระวังในการกระทำกรรมครั้งต่อไปได้..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    กายนี้เป็นที่ตั้งแห่งนิพพาน ไม่ใช่เขาลูกใดลูกหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่อยู่ในกายสังขารนี้ เมื่อโยมอ่านในกายนั้นออก..เท่ากับว่าโยมเจนจบในพระไตรปิฎก จะได้รู้ว่าพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าอะไร ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ให้เข้าถึงในกฎไตรลักษณ์ ทุกอย่างเมื่อรู้ก็ควรวาง แม้ธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น การใดสภาวะใดที่โยมไปยึดนั่นแล..แม้เพียงแค่ขณะจิตเดียว..โยมก็เกิดทุกข์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นไม่ควรยึดเลย แต่ควรอาศัยเอามาเป็นประโยชน์ให้เข้าถึงในกิจที่ควรทำ

    นั้นถ้าโยมมีกายสังขาร อันใดก็ตามถ้าเป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณ ต่อส่วนรวม ต่อประเทศชาติ ต่อบ้านเมือง ต่อผู้มีคุณ..จึงควรทำ เพราะกายสังขารนี้แล เรียกว่าถูกหล่อหลอมขึ้นมา เค้าให้เรามาได้อาศัย แสดงว่าเราที่ได้มาหล่อหลอมนี้..คำว่ายืมเค้ามาคือเช่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ คำว่าเช่า..โยมต้องจ่ายค่าเช่า ยืมมาจากบิดามารดา บิดายืมมาจากใคร (ลูกศิษย์ : บรรพบุรุษ) ก็เช่ามา มาเนิ่นนานจนเป็นกรรมสิทธิ์ตกทอดให้โยม นั้นโยมต้องรักษาไว้ ใช่มั้ยจ๊ะ

    แล้วกายนี้มันมีกายซ้ำกายซ้อน กายทิพย์ กายพรหม กายเทวดา กายมาร กายอสุรกาย มีตั้งหลายกายซ้อนกันอยู่อย่างนี้ ใช่มั้ยจ๊ะ เราต้องแยกให้ออกว่าเรานั้นจะไปอาศัยกายไหน กายจริงเราอยู่ไหน เราจะไปไหน โยมต้องเลือกเอา ใช่มั้ยจ๊ะ ถ้าโยมอยากจะไปนิพพานนั้นต้องไม่มีกาย เพราะเอากายไปไม่ได้นิพพาน..คือตัวตนถ้ายังมีอยู่ไปนิพพานไม่ได้..คับประตูนิพพาน

    ประตูนิพพาน..ประตูน่ะเล็กมาก แต่ถ้าเข้าไปได้..ไม่มีอาณาเขต ไม่มีประมาณ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ต้องไปด้วยจิตวิญญาณ แต่ถ้ามีจิตวิญญาณอยู่แล้วไม่ดับจิตวิญญาณ..ก็ไปไม่ได้ คือไม่ต้องยึดอะไรเลยเมื่อถึง เข้าใจมั้ยจ๊ะ คงสภาวะรู้ก็ให้รู้อย่างนั้น คือถ้าโยมรู้หมดแล้วโยมจะสิ้นสงสัย ตัวรู้จะเป็นตัวรู้เรียกว่าธรรมบริสุทธิ์..นั่นแหล่ะจ้ะนิพพานก็บังเกิดที่นั่น

    เมื่อโยมละอารมณ์ ดับโมหะ โทสะ โลภะได้..นิพพานมันเกิดที่นั่นทันที..ดับที่ใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นแหล่ะจ้ะนั่นคือนิพพาน แต่ถามว่ารสชาติของนิพพานเป็นอย่างไร โยมมีสุขอะไรเล่าที่ว่าเป็นสุขที่สุด รสนิพพานก็มีรสชาติเป็นอย่างนั้น อยู่ที่เรานั้นพอใจจะให้เป็นอย่างไร

    นั้นฉันถึงได้ถามว่าโยมจะเอาอะไรไปวัดได้บ้าง คือปรอทวัดไข้ โยมมีความร้อนเพียงใด..โยมก็มีไข้สูง โยมก็ต้องกินยาที่เค้ามีปฏิกิริยา คือต้องมียาที่แรงพอสมควร ดังนั้นก็ขอให้โยมมีความเชื่อมั่นศรัทธาในพระรัตนตรัย ศรัทธาอย่างเดียวไม่ได้ เชื่ออย่างเดียวเลยก็ไม่ได้ โยมต้องลงมือปฏิบัติด้วย ใช่มั้ยจ๊ะ

    ครูให้การบ้าน ครูเค้าสอนแล้ว โยมไม่น้อมนำเอาไปปฏิบัติ โยมจะรู้ได้ยังไงสิ่งที่เค้าสอนมา โยมเข้าใจที่แท้จริง ใช่มั้ยจ๊ะ ดังนั้นเค้าเรียกว่าโยมยังไม่ได้เรียนจริง จบมาก็ทำอะไรไม่ได้ ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะโยมทำอะไรไม่ได้..เพราะไม่ได้ทำด้วยตนเองเลย ลอกเค้าอย่างเดียว หันไปข้างๆเห็นเค้านั่งสมาธิก็นั่งมั่ง ไม่รู้ว่านั่งแล้วภายในมันทำอะไรบ้าง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั่งสมาธิไม่ได้นังหลับตาอย่างเดียวนะจ๊ะ นั่งสมาธิแล้วในจิตในใจมันสับสนวุ่นวาย ก็ลืมตาออกมาให้เห็นความเป็นจริง ให้เห็นว่าเรานั่งจริงๆ แล้วก็เพ่งดูวิตกดูอารมณ์นั้นน่ะ เดี๋ยวมันก็ดับ เมื่อมันสงบเราก็ค่อยน้อมจิตเข้าไปใหม่ เข้าออกอยู่บ่อยๆ นี้เค้าเรียกว่าเข้าออกฌาน แต่ถ้าเรานั่งแล้วมันสงบ แล้วมันสงบได้ไม่นาน ก็หาอุบายให้จิตนั้นแลมันมีหลักยึด ไม่ให้อารมณ์ของจิตนั้นมันส่ายเซไปไหน คือมีองค์ภาวนาว่าพุทโธก็ดี ธัมโมก็ดี สังโฆก็ดี พุทธัง สรณัง คัจฉามิก็ดี หรือภาวนาคาถาบทใดก็ดี ให้จิตมันยึดเป็นอารมณ์

    จิตที่ตั้งมั่นยึดเหนี่ยวเป็นอารมณ์ วิตกเป็นอารมณ์ เค้าเรียกว่าการเจริญฌาน เพ่งฌานให้บังเกิด เมื่อจิตมีกำลังยกจิตขึ้นมากลางหน้าผาก โดยธรรมชาติของจิตสภาวะจิตของธรรมนี้ นี่เค้าเรียกประตูปัญญาจะบังเกิด..รู้อยู่ตรงนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่แหล่ะจ้ะที่เค้าเรียกประตูมิติ ประตูที่สามเค้าจะเปิด

    บางคนบอกว่าถ้าไปเพ่งตรงนี้แล้วจะทำให้เกิดมโนยิทธิอย่างนั้นอย่างนี้..อันนี้ไม่จริง เพราะอยู่ที่ว่าโยมนั้นจะน้อมนำสิ่งนี้ไปทำอะไร..คือตัวปัญญา เมื่อเกิดปัญญาแล้วก็น้อมนำเอาย้อนกลับมาดูในกายตนต่างหาก ไม่ใช่ว่าเอาจิตตนไปภายนอกว่าอยากรู้อยากเห็นอันใด ถ้ามันอยากรู้อยากเห็นอันใดก็รู้ได้ แต่ก็ต้องวางรู้นั้น

    ที่ควรรู้จริงคือในกายสังขาร..เรารู้จริงเพียงใด เรา"ละอารมณ์"ได้มากเพียงใด นิพพานโยม..ระยะทางที่โยมจะไปก็สั้นเพียงนั้น นั่นคือจงทำนิโรธให้บังเกิดมากๆ นิโรธคืออะไร นิโรธคือการดับทุกข์ ดับทุกข์คือยังไง เรียกว่าจิตเห็นจิต เห็นอารมณ์ความไม่เที่ยง นั่นแหล่ะจ้ะ เห็นอยู่บ่อยๆนิโรธมันก็บังเกิด หากว่าจิตเห็นความเบื่อหน่าย เห็นโทษภัยในวัฏฏะ นั่นแหล่ะจ้ะ..มรรคคือทางออกที่ต้องทำให้แจ้ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ถ้าใจเรายังไม่ยึดมั่นยังไม่เชื่อมั่นในศีล คุณงามความดีอันใดในโลกนี้ หรือคุณวิเศษอันใดจะบังเกิดขึ้นไม่ได้เลย อันว่าศีลนั้น เรามีศีล ๕ เป็นเบื้องบาทแห่งการเป็นมนุษย์ เราก็ต้องตั้งมั่นในศีล คือไม่ละเมิดล่วงเกินในขณะเรานั้นรักษา..รักษาศีลเราก็ต้องรู้ข้อบัญญัติของศีล แม้เราจะล่วงเกินมาแล้วก็ตาม แต่ในขณะปัจจุบันแห่งจิตให้เรานั้นสำรวมพิจารณาดู เรานั้นได้ละเมิดศีลประการใด เราจะได้ขอขมาต่อพระรัตนตรัยได้ และสำรวมระวังในขณะที่เรานั้นได้เจริญภาวนาจิตอยู่ ให้ศีลนั้นมันยังคงตั้งมั่น

    เมื่อเราละเมิดศีลข้อไหนก็ให้เรานั้นได้ขอขมากรรม ขออโหสิกรรม อดโทษอาฆาตพยาบาทจากพระรัตนตรัย คือสำรวมระวังกาย วาจา ใจให้เป็นปรกติอยู่ ว่าในขณะนี้เราทำอะไรอยู่ ขณะปัจจุบันที่เราทำอะไรอยู่นี้แล เมื่อเรารู้อยู่ ทรงอยู่ พิจารณาอยู่ ตื่นอยู่ เรียกว่าเราเจริญสติ แต่ขาดจากสิ่งที่กล่าวมานี้เรียกว่าเรานั้น..กำแพงแห่งศีลเรานั้นบกพร่องชำรุด ต้องทำอย่างไร เราก็ต้องภาวนาคอยปะคอยชุนคอยอุดในรอยรั่วรอยร้าว

    ถ้าโยมไม่ตื่นให้เห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏะในกายตน เพื่อจะเจริญคุณงามความดีเสียแล้ว ก็ไม่มีใครจะฉุดช่วยโยมได้ เมื่อศีลเราเสื่อมมาก กายสังขารเราก็จะเสื่อมตามไปด้วย แต่ถ้าเราตั้งมั่นในศีล กายสังขารเรานั้นแลมันก็ยังพอเป็นประโยชน์ หรือว่าเรือที่เราจะไป..นำไปใช้ประโยชน์ในกายสังขารนี้พาไปถึงฝั่งที่เราปรารถนาได้

    เมื่อเราประพฤติปฏิบัติเป็นผู้ทรงศีลมากๆแล้ว กายอันว่าเป็นธรรมนี้มันก็ยังพอที่จะทำให้กายสังขารเรากระชุ่มกระชวยเหมือนเป็นผู้มีกำลังของวัยหนุ่มสาว ก็ยังพอที่จะเอาไปประหัตประหารกิเลสได้ ดังนั้นศีลนี้มันจึงสำคัญนัก เป็นยาอายุวัฒนะ เป็นยาวิเศษ ถ้าปราศจากศีลไม่ว่าคุณวิเศษอันใด พระอริยบุคคลอันใด หรือผู้วิเศษคนใดจะทำของให้เกิดคุณวิเศษได้มันก็เป็นไปได้ยาก

    นั้นกายเรานี้แลเป็นของที่ดีเลิศแล้ว เป็นของที่หาได้ยาก เพราะการเกิดแต่ละครั้งเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก บังเกิดได้ยาก ต้องใช้เวลามากมาย นั้นเมื่อเรานั้นจมปลักกับโคลนตมมาเนิ่นนานเป็นภพเป็นชาติ นั้นการจะตัดภพตัดชาติต้องทำอย่างไร อันว่า"ภพ"ก็คือในปัจจุบันในขณะนี้ "ชาติ"คือที่เราเสวยอารมณ์ก็ดี เป็นมนุษย์ก็ดี แต่ถ้าโยมไม่รู้ไม่เท่าทันในภพ แม้ในขณะนี้โยมก็ยังไม่แสวงหาคุณงามความดีให้บังเกิด ให้จิตมันตั้งมั่น ให้จิตมันตื่นรู้ ให้จิตมันเกิดความสลดสังเวช หรือเกิดความสำนึกว่าในวันนี้ ในขณะนี้เราเกิดมาทำอะไรแล้ว ก็ไม่มีใครไปสามารถบังคับบีฑาโยมได้

    ดังนั้นตอนนี้ยังมีเวลาที่โยมจะหัดว่าย สร้างคุณงามความดี คือสร้างเรือก็ดี ต่อแพก็ดี ถ้าไม่มีกายสังขารแล้วโยมจะมาสร้างคุณงามความดี มาต่อเรือต่อแพนั้น..เมื่อภัยมาแล้ว มันก็คงทำไม่ทัน

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ศีลจะบังเกิดได้ตอนไหนเล่าจ๊ะ (กาย วาจา ใจสงบค่ะ) ถ้ากาย วาจา ใจของโยมสงบก็เรียกจิตมันจะตั้งมั่น เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งที่มันสงบ..สติมันก็เกิดขึ้นแล้ว เมื่ออย่างใดสงบได้ มันจะทำให้อย่างอื่นสงบตามได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ศีล ๕ หรือศีล ๘ ในการเข้าถึงในธรรมนี้ มันเป็นความละเอียดของการเจริญสติเจริญปัญญา ดังนั้นศีลนี้ ถ้าโยมเจริญศีลมากๆอยู่บ่อยๆ ผู้ที่เจริญศีลจนบริสุทธิ์แล้ว เค้าเรียกว่าจะมี"ธรรมวิเศษ"เกิดขึ้นมา

    ดังนั้นโยมไม่ต้องไประลึกถึงยึดถืออะไรมากนัก ขอให้โยมเจริญศีลให้มาก รักษาใจให้ตั้งมั่นอยู่บ่อยๆ สำรวมจิตให้มันสงบในกาย วาจา และใจไม่ให้เร่าร้อนอยู่บ่อยๆ โยมจะเข้าถึงในสิ่งที่โยมอยากเข้าถึงได้

    เพราะคนที่มีศีลย่อมจะมีธรรม ศีลโยมมีความละเอียดปราณีตมาก..ธรรมโยมก็ละเอียดปราณีตมาก เห็นมั้ยจ๊ะ คนที่จะอยู่ด้วยกันโยมจะรู้เขาเป็นอย่างไร นั่นก็เรียกว่าโยมจะรู้ว่าศีลเค้าเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่การพูดก็ดี ความคิดก็ดี การกระทำก็ดี นี่แหล่ะจ้ะเค้าถึงบอกว่า ศีลนั้นมนุษย์นั้นมันเป็นตามเผ่าพันธุ์กันมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็ขอให้โยมจงพิจารณาดูให้ดี

    ดังนั้นการที่โยมจะมาอบรมบ่มจิตให้มากๆ โยมต้องสังวรศีลให้มากๆ แล้วเมื่อเราละเมิดศีลไปมากๆแล้วจะทำอย่างไร เราต้องกลับไป"เพ่งโทษ"สิ่งที่เราล่วงเกินในศีล ธรรมที่เราสูญเสียก็ดีมันจะฟื้นฟูขึ้นมาเอง แต่ถ้าเราไม่พิจารณาในศีล เราจะไปพิจารณาในธรรมนั้นก็ได้ยาก เพราะศีลก็คือธรรม..ธรรมก็คือศีล

    ทุกครั้งที่โยมประพฤติปฏิบัติ..สำรวจดูศีลรึเปล่าล่ะจ๊ะ ว่าปาณาติปาของโยมน่ะ อทินนาทานาน่ะ กาเมสุมิจฉา มุสาวาทาก็ดี สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานาก็ดีเหล่านี้ ก็ควรจะพิจารณา ไม่ใช่เอาไว้ท่องไว้บ่นว่าไปรับศีลแล้ว แต่โยมต้องพิจารณาในศีลนั้นด้วย

    แล้วศีลย่อยลงไปอีกในกรรมบท ๑๐ ก็ดี ศีล ๕ นั้นมีความละเอียดมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ การพูดเพ้อเจ้อสิ่งเหล่านี้ก็อยู่ในศีลทั้งนั้น ถ้าเราสำรวมระวังได้แล้ว จะได้รู้ว่าศีลนี้มันมีประโยชน์อย่างไร คนที่มีศีลนั้นเค้าจะมีสติตลอดเวลา จิตเค้าจะละเอียดปราณีต เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วถ้าใครมีหิริโอตัปปะแล้ว พวกนี้เค้าเรียกเป็นสมบัติแห่งเทวดา ดังนั้นก็ขอให้พิจารณาดูให้ดี เมื่อเราจะเจริญประพฤติปฏิบัติแห่งพรหมจรรย์

    อันว่าพรหมจรรย์คือความถึงที่สุดแห่งความบริสุทธิ์แห่งจิต คือไม่มีมลทินใดๆ คือไม่มีอารมณ์ใดๆที่จะเข้ามาเกาะเกี่ยวให้จิตเรานั้นเป็นอกุศลให้เกิดขึ้น..ในไฟโทสะ โมหะ โลภะเหล่านี้ มันต้องระงับได้ ระงับความโกรธได้ ระงับความหลงได้ ระงับความฟุ้งซ่านได้ ถ้าโยมยังเอาชนะข้ามนิวรณ์ทั้ง ๕ ไปไม่ได้ นี่เค้าเรียกว่าโยมยังนั้นติดอยู่ในสมมุติบัญญัติ เราจะออกจากกรงขังห้อมล้อมจากศัตรูนั้นก็ได้ยาก..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    บุญคุณต้องตอบแทน แค้น..มันต้องให้อภัย หนังจีนบอกแค้นต้องชำระ สิบปีบอกไม่สาย วันเดียว..โยมก็สายแล้ว ถ้าโยมคิดจะจองเวรใคร ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะโยมจะไม่สามารถออกจากวังวนนั้นไปได้เลย ดังนั้นแล้วหากเรามีโอกาส..ขีดอะไรเล่าที่จะลบเลือนความจำความแค้นได้ดี ถามว่าขีดลงในหิน จำหน้าขีดหน้าตาไอ้นี่ไว้ หินที่เมื่อสลักลงไปแล้วด้วยความแค้น ฝังไว้พันปีร้อยปี แม้น้ำ..เกิดภัยพิบัติไม่รู้เท่าไหร่ รอยนั้นถามว่ายังอยู่มั้ยจ๊ะ แม้มันจะลบล้างไปบ้างมันก็ยังอยู่ เพราะมันฝังไปอยู่ในหิน

    ถ้ามันฝังไปในดิน แม้มันจะกลบมันก็ค่อยๆหมดเวลาบ้าง มันก็ยังใช้เวลาน้อย ถ้าขีดไปในน้ำ..ฉับพลันแป๊บเดียวมันก็หายของอารมณ์นั้น ถามว่ามนุษย์จะไม่มีความโกรธเลยเป็นไปได้มั้ยจ๊ะ..ไม่มี ใช่มั้ยจ๊ะ แต่ผู้ที่มีศีลมีธรรม เขาจะขีดความเคียดแค้นไว้ในน้ำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เป็นอารมณ์ชั่วครู่แล้วดับหายไป คนที่มีศีลปานกลางเค้าเรียกว่าจะขีดไว้ในแผ่นดิน จารึกไว้ในดิน ไม่พอใจก็ลบออก พอใจก็เขียนใหม่ แต่ถ้าโยมฝังกลบขีดเขียนบันทึกไว้ในหินศิลาแลงแล้ว..เอาออกยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เท่ากับว่าโยมนั้นแลสลักชื่อโยมไว้ สาปแช่งตัวเองไว้ มันก็ถอดถอนคำสาปยากนัก เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหมือนโยมสร้างอะไรไว้ที่เป็นวัตถุที่เป็นสิ่งที่ดี สร้างองค์พุทธปฏิมากร สร้างเป็นหินก็ดี ถ้าปั้นเป็นดินเป็นปูนอาจจะอยู่ได้ไม่นาน ถ้าเป็นหินอยู่ได้นานมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : นานจ้ะ) แล้วถ้าเป็นโลหะเหล็กนี้ยิ่งนานมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ยิ่งนานจ้ะ) นี่แหล่ะจ้ะ..มันก็คือจารึกความดีไว้นานแสนนานเช่นเดียวกัน

    ความชั่วก็เหมือนกัน อยู่ที่โยมจะจารึกใส่อะไรลงไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วสู้เราไม่ใส่ใจมันจะดีกว่ามั้ยจ๊ะ กรรมโยมก็มากพอแล้ว การที่โยมไปใส่ใจอารมณ์คนอื่น นั่นเท่ากับรับกรรมคนอื่นเค้ามาใส่ใจตัวเอง ยานพาหนะที่โยมบรรทุกของในกายสังขารนี้ ในเรือของโยมเองก็หนักพออยู่แล้ว โยมยังจะไปแบกกรรมของคนอื่นเค้ามาอีก มันก็เลยไปไหนได้ช้า ใช่มั้ยจ๊ะ..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
    (ภาพประกอบจาก google)
     
  20. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ใจโยมมีแค่ไหน เงินซื้อสมเด็จท่านไม่ได้นะจ๊ะ..ซื้อไม่ได้ เค้าซื้อไปสิบล้าน..สิบล้านก็ยังปลอมก็มี ถ้าของจริงถูกใจเค้าให้ฟรี คนที่เป็นเจ้าของจะไม่เสียแม้อัฐเบี้ย แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียม..คือจะไม่แพง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าไม่ใช่เจ้าของอยากครอบครอง ก็ต้องแลกกันด้วยบารมี นั้นสิ่งที่โยมที่ปรารถนาอย่าได้ไปปรารถนาเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็ท่านปลุกด้วยคาถาชินบัญชร โยมก็ปลุกธาตุโยมบ่อยๆสิจ๊ะ ตั้งอธิษฐาน..สมเด็จท่านก็มาหาแล้ว

    เพราะท่านปลุกด้วยคาถา"ชินบัญชร" ของวิเศษพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ บางคนหาสมเด็จไม่เจอ น่าแปลก..ไม่ใช่อะไรหรอกจ้ะ..สวดพระคาถาชินบัญชรขึ้นใจแล้วสมเด็จเข้าไปในตัว เลยไม่รู้สมเด็จอยู่ไหน ก็มันอยู่ในตัวเองก็มี ใช่มั้ยจ๊ะ จะไปหาเจอได้ยังไง คือมั่นแล้วในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ต้องห้อยแล้ว สมเด็จอยู่ในตัวเลยหาไม่เจอ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือเค้าจะไม่ยึดติดในวัตถุอีกต่อไปเช่นนั้นแล เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าโยมยังตามหากันอยู่ก็อาจจะเจอบ้าง แต่เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อโยมได้แล้ว เข้าถึงในพระรัตนตรัยแล้ว ไม่ว่าอะไรจะวิเศษในโลกนี้..โยมจะวางทั้งหมด เพราะสิ่งที่วิเศษนั้นก็ยังไม่ได้วิเศษสุดเท่ากับได้ธรรม ได้ปัญญา ที่จะหลุดพ้นบ่วงกรรม แต่ของสิ่งที่โยมตามหานั้นแลอาจจะเป็นของคู่บารมีโยม หรือที่บอกว่าหากโยมจะรบทัพจับศึกอะไรก็ต้องมีกำลังใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่เมื่อโยมตามหาถึงที่สุดแล้ว พอโยมหยุดหา..แหม..อยู่แค่ตรงนี้เอง อยู่ที่พุทโธนี่เอง สงบ นิ่ง อ้อ..สมเด็จเป็นอย่างนี้นี่เอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะคนที่เค้ามีแม้เค้าจะได้ครอบครองแต่มันเป็นภายนอก แต่ภายในเค้าก็รับพุทธคุณไม่ได้ เพราะเค้าไม่ใช่เชื้อใช่สาย ก็เหมือนถูกขัดดอกจองจำไป ได้กายแต่ไม่ได้ใจ แต่คนได้ธรรมแล้ว โอ๊ย..อยากจะพลีกายให้หมดเลยสมเด็จน่ะ แต่ถ้าไม่ใช่เจ้าของ มันก็เรียกเป็นการจองจำ เมื่อหมดภาระกรรมก็ต้องเปลี่ยนมือ ใช่มั้ยจ๊ะ ก็เลยกลายเป็นของเล่นของชมไป จึงเรียกว่าสมเด็จหาของจริงไม่ได้เลยตอนนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ที่มันหาไม่ได้ คือมันหาคนจริงไม่ได้ ถ้ามันหาคนจริงได้สมเด็จก็อยู่กับคนนั้นแหล่ะจ้ะ คนที่เค้านั่งทำความเพียรภาวนาจิตนั่นแหล่ะจ้ะ ระลึกถึงองค์พุทโธ ถึงองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาวนาจิตอยู่บ่อยๆ สวดพระคาถา หมั่นสวดภาวนาจิตอยู่บ่อยๆ นั่นแหล่ะจ้ะโยมได้เสกสมเด็จเสกพระเข้าตัวแล้ว แม้โยมอยากจะมีไว้เชยชมประดับบารมีก็ดีแล้ว..มันก็จักมีของโยมเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...