ท่านปู่พระยายมราช ท่านผู้เป็นใหญ่ในนรกโลก พระกระแสดำรัสของสมเด็จพุทธองค์ทรงประทานแด่พ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย lotte, 1 กรกฎาคม 2007.

  1. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    725
    ค่าพลัง:
    +4,545
    ท่านปู่พระยายมราช ท่านผู้เป็นใหญ่ในนรกโลก พระกระแสดำรัสของสมเด็จพุทธองค์ทรงประทานแด่

    ท่านปู่พระยายมราช ท่านผู้เป็นใหญ่ในนรกโลก (รวบรวมโดย เกษร สุทธจิต จันทร์ประภาพ) ทุกคนให้ตัดความสงสัยในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสีย ผู้ใดลังเลในพระรัตนตรัยไม่ถึงธรรมนะลูกทุกคน เร่งสร้างกุศลทำให้ดีให้จริงจัง นิวรณ์ทั้ง 5 จงตัดทิ้งออกไปจากจิต (นิวรณ์ 5 คือ 1. ความรักในรูป รส กลิ่น เสียง 2. ความหงุดหงิดไม่พอใจ 3. ความง่วงเหงาหาวนอนขี้เกียจในการปฏิบัติธรรม 4. ความฟุ้งซ่านคิดไร้สาระคิดแต่ในทางโลกไม่คิดทางออกจากขันธ์ 5 5. ความลังเล สงสัยในผลของการปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน คิดว่าไม่มีผลจริง)
    ข้างล่างคือ นรกโลก มีผีนรกมากมาย พวกผีนรกนี้ก็มาจากคนที่ทำผิดศีล 5 ฆ่าสัตว์ฆ่าคน ลักขโมย มีชู้ พูดปด คดโกง พูดให้คนเป็นทุกข์ ดื่มสุรายาฝิ่น เล่นการพนัน เป็นต้น ไม่กตัญญูต่อคุณพ่อ คุณแม่ผู้มีพระคุณ ปรามาสพระอริยเจ้า ก็ลงนรกได้ ทำไมคนไม่เลือกเดินทางไปสวรรค์กันเล่า ทำไมคนจึงเลือกเดินทางไปนรกกัน ตอบได้ไหม ? เพราะความไม่รู้คิดว่านรก สวรรค์ไม่มีจริง คิดว่าตายแล้วสูญ ชาตินี้มีชีวิตอยู่ชาติเดียวจบกัน ถ้าเข้าใจผิดมีอวิชชาแบบนี้ ปัญญาย่อมไม่เกิด แล้วจะเดินขึ้นสวรรค์ได้อย่างไรเล่า คอยถามพวกผีหรือวิญญาณของคนที่ตายแล้วทุกวันถึงบุญกุศลความดีที่เคยทำไว้ในสมัยเป็นคน ถ้านึกได้ข้าก็ให้ไปเสวยสุขที่สวรรค์ก่อน มันก็ระลึกถึงบุญกุศลกันไม่ออกสักคนสักตัว
    พวกผีนรกพวกนี้คือ คนที่ตลอดชีวิต ไม่เคยสร้างบุญกุศลเขาก็ระลึกนึกถึงความดีไม่ได้ ถ้าเขาใส่ใจบุญกุศลสักนิดเช่น ตักบาตร ไหว้พระ สวดมนต์ ทำบุญให้ทาน ตอบแทนพระคุณพ่อแม่เขาก็จะนึกออก สร้างพระพุทธรูป ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน วิหารทานดีทั้งนั้นไปสวรรค์ได้ง่าย เพราะเขาไม่ทราบว่ากฎของกรรมดี กรรมชั่ว มีจริง เขาจึงต้องเวียนกลับไปสู่แดน อบายภูมิ มีนรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉานเป็นต้น
    อย่านึกว่าปู่ดีใจนะที่ได้เห็นพวกเจ้าลงนรกกัน นึกหรือว่าทรมานวิญญาณผีนรกแล้วมันสุขใจ ท่านปู่พระยายมราชเป็นทุกข์ใจมาก สวรรค์มีทางกว้างขวางไปก็ง่ายมาก ทำไมไม่ไปทางสวรรค์ นรกไม่มีประตูปิดกั้นหมดแล้ว คนก็ยังจะดันแส่หาเรื่องผิดศีลเข้าไปจนได้
    หากเจ้าจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ แล้ว ในบรรดาคนในโลกที่ตายไปนั้นมีเพียง 1 % เท่านั้นที่เดินขึ้นสวรรค์ หายากนะลูก 99 % ไปนรก เพราะความไม่เข้าใจในชีวิตจิตเศร้าหมองติดอยู่ในคนรัก ในทรัพย์สินเงินทองก่อนตาย ไม่ได้นึกถึงพระในศาสนาของตน นึกถึงพระศาสดาองค์ใดก็ดี ทั้งนั้น จิตจะสะอาด พวกที่เขาตายโดยอุบัติเหตุก็ให้ญาติรีบทำสังฆทาน ถวายอาหาร พระพุทธรูป (ขนาดไหนก็ได้ ) ผ้าไตรจีวร และปัจจัยสร้างวิหาร วัดไหนก็ได้ เป็นสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน ทำสมาธิภาวนา อุทิศส่วนกุศลเจาะจงให้แก่ผู้ตายแล้วโดยตรง ก่อนที่เขาจะลงนรกเขารับรู้และอนุโมทนา ก็จะพ้นขุมนรก
    เพื่อความแน่ใจว่าผู้ตายจะได้รับบุญที่ญาติส่งไปให้ ก็กล่าวขอมอบฝากกับท่านปู่พระยายามราช ขอให้ท่านบอกกับผู้ตายชื่อนั้นชื่อนี้ ให้เขาได้โมทนา ความเป็นทิพย์ของท่านปู่พระยายมราชมี ท่านรับทราบท่านเต็มใจที่จะบอก เพราะท่านไม่ต้องการให้ใครลงนรก เพราะบางครั้งคนตาย ทำบุญกุศลมามากตอนมีชีวิต แต่ก่อนตายตกใจจิตว้าวุ่น วิตกกังวลกลัวเป็นห่วงญาติห่วงทรัพย์สมบัติจิตเศร้าหมองจิตวิญญาณก็ไปทางต่ำคือ อบายภูมิ ผู้รับอนุตตรธรรม รับธรรมไว้ในจิตใจไม่ผิดศีล 5 อีกต่อไป ย่อมได้รับการโปรด หลุดพ้นจาการควบคุมของยมฑูต มีการไหว้พระสวดมนต์ มีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์อยู่ในใจก็มีเทพเทวดาคอยรักษาคุ้มครองป้องกันภัย
    ทุกคนมีบาป ทุกคนจึงต้องรีบเร่งทำบุญหนีบาป บาปเก่าอดีตชาติยังคอยจ้องติดตามเราอยู่ตลอดเวลา รีบเตรียมรับกรรม อย่ากลัวตาย จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับบาปกรรม บาปกรรมที่หนักที่สุดก็คือ เจ้าจะได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวก่อนที่ร่างกายจะแยกแตกสลายตายไปนะแหละ จำไว้เถิดลูกเอ๊ย จงรีบเร่งใช้สติปัญญาที่เรามี พิจารณาขันธ์ 5 ให้ได้มากที่สุด คือ สักกายทิฎฐิ นะแหละให้พิจารณาว่าร่างกายขันธ์ 5 เป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นของสกปรก ไม่ใช่ของเรา จิตเป็นของเรา จะบังคับร่างกายก็ไม่ได้ ต้องปล่อยทำเฉย ๆ ทิ้งร่างกายขันธ์ 5 เป็นเรื่องของโลกของธาตุ 4 ดินน้ำลมไฟเสีย นั่นแหละเจ้าจะปลดกรรมเก่าได้
    พอปลดปล่อยขันธ์ 5 ออกจากจิตเจ้าได้แล้วมันก็จะทุกข์น้อยลง เมื่อบาปกรรมเก่าของเจ้ามาถึง เจ้าก็จะคิดว่า กรรมเก่าทำเจ้าได้เฉพาะร่างกายเท่านั้น จิตเจ้าชนะร่างกายไม่เป็นทาสของร่างกายแล้ว และร่างกายก็ไม่ใช่ของเจ้าแล้วจะเจ็บจะปวดทรมานอย่างไรก้เป็นเรื่องของขันธ์ 5 จิตของเจ้าก็จะนอนยิ้ม เพราะเห็นว่าร่างกายมันไม่ใช่ของเจ้านี่ มันจะตายเพราะใช้บาปกรรมก็ดี ยอมตายดีกว่าใช่ไหม มันจะได้ไม่เจ็บปวดทรมานต่อไป เจ้ากรรมนายเวรจะน้อยลง รีบหนีไปนิพพานเสียให้หมดทุกคน หากใช้มโนมยิทธิจะรู้ว่าทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวร คือ บาปเก่ารออยู่ข้างหลังพวกเจ้าทุกคน
    สิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดคือ ร่างกายของคน อย่าหลงรักของชั่วร้าย คือ กายเรา กายเขา คือขันธ์ 5 เราขันธ์ 5 เขาต้องไล่ ขันธ์ 5 ร่างกายนี้ออกจากจิต ถ้าไม่ไล่ร่างกายของเจ้าออกจากจิตเจ้า เจ้าก็จะทุกข์กายทุกข์จิตใจแน่นอน ที่บอกมาก็เพราะต้องการให้เจ้าใช้กรรมด้วยปัญญา ไม่ให้หลงฤทธิ์ ถอดจิตหนีขึ้นนิพพานอย่านึกว่าพ้นนะ การทำบุญ เปรต สัมภเวสี เทวดา เขารอโมทนาเยอะ ถ้าผีวิญญาณที่เขาได้รับบุญกุศลที่เราอุทิศแผ่ไปเขาก็จะได้รับอภัยโทษ ให้ไปเกิดเป็นคนบ้าง ไปเกิดเป็นเทวดาบ้าง จงใช้มโนมยิทธิของเจ้าดู บ้างก็ไปเสวยบุญชั่วขณะตามกำลังของบุญ เมื่อหมดก็มาขอบุญอีกก็มีเยอะ ดังนั้นเจ้าควรจะทำสมาธิภาวนาแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลกตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกยิ่งดี
    ผู้ที่ขยันแผ่เมตตาจิตไปทั้ง 3 โลก คือ 1. นรกโลก 2. มนุษย์โลก 3. เทวโลก พรหมโลก จึงเป็นที่รักใคร่ของมวลเทพเทวดา และมนุษย์ผีวิญญาณเร่ร่อนทั่วไป ปรทัตตูปชีวเปรตจะคอยโมทนา จงท่องคำอุทิศส่วนกุศลให้ทุกท่านได้โมทนาอยู่เป็นประจำก็จะดีมาก จะผ่านท่านปู่พระยายมราชได้ยิ่งดี ท่านจะจำนำเป็นพยานที่เจ้าได้ทำบุญกุศลไว้ตอนเป็นคนให้ จงพูดถึงข้า คือท่านปู่พระยายมราชทุกครั้งเมื่อกระทำบุญ
    เมื่อเจ้าลงนรกไปด้วยความประมาทไม่ได้นึกถึงบุญความดีหรือพระพุทธเจ้าก่อนตาย ข้าหรือท่าปู่พระยายมราชจะได้บอกว่า เจ้าเคยฝากบุญไว้กับข้า คือท่านปู่พระยายมราชมาก่อน ข้าก็จะบอกให้เจ้าที่ผ่านสำนักพระยายมราชว่า จงโมทนาสาธุยินดีในบุญความดีเสีย บาปจะได้ตามไม่ทันจะได้พ้นนรก ถ้าเจ้ามีกำลังจิตจะฝากบุญกุศลให้แก่จิตวิญญาณของ คนทั้งโลกก็ได้ ข้าก็จะได้บอกเขาว่ามีคนฝากบุญกุศลให้เขาโมทนา ถ้าเขารับได้เขาก็จะพ้นทุกข์ตามกำลังของจิตของเขาที่ทำบุญกุศลได้
    ถ้าหากเจ้าคิดจะแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ทั้ง 3 โลกให้ทำดังนี้จะสะเทือนไปถึงทั้ง 3 โลก แต่เจ้าต้องมีศีล5บริสุทธิ์ เป็นอย่างต่ำ และมีบุญทานภาวนาเป็นอย่างสูง ให้ว่าดังนี้
    พระคาถาแผ่เมตตาทั่วไตรภพ
    สวดในนามพระพุทธเจ้าแล้ว แผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก(นรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก) สวดอย่างน้อย 9 จบ อย่างมากตลอดเวลา
    นโมพระพุทธสิกขีพระพุทธเจ้า
    ขอได้โปรดดลบันตาลให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก
    ได้หลุดพ้นจากภัยพิบัติวัฏฏสงสารโดยสิ้นเชิง
    ด้วยพระบารมีมิอาจประมาณ
    ลูกขอนอบน้อมนมัสการด้วยจิตใจ
    ขอให้ลูกมีจิตสะอาดสว่างใส
    หลุดพ้นไซร้สู่บ้านนิพพานเทอญ
    สัมปะจิตฉามิ
    คุณประโยชน์ของการอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาจิตให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลกไปกับฉัพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์แรกเริ่มมีดังนี้
    1. โปรดช่วยสรรพสัตว์ได้ แดนเปรต อสุรกาย มนุษย์โลก สัตว์ทั้งที่มีชีวิตและเป็นภูมิผีวิญญาณเร่ร่อน แผ่ไปทั่วเทวโลก พรหมโลก ได้รับโมทนาบุญกับเรา
    การแผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก รวมถึงเจ้ากรรมนายเวร จงทำทุกวัน จงตัดเวรตัดกรรม ให้อโหสิกรรมต่อกัน ยกเป็นอภัยทาน ถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเราโกรธตอบจะเพิ่มภพชาติให้เกิดมาใช้หนี้เวรกรรมกันอีก
    2. สวดด้วยจิตศรัทธาแท้ เทพ พรหมรักใคร่ สรรเสริญ เมตตาติดตามรักษาเราให้อยู่เย็นเป็นสุข
    3. สวดตลอดเวลา คิดปรารถนาสิ่งใดก็สมหวัง
    4. สวดตลอดเวลาจิตเป็นสมาธิ ภาวนาจิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตสะอาดปราศจากนิวรณ์
    5. จิตสะอาดสว่างไสว จิตหลุดพ้นจากการหลงยึดติดในขันธ์ 5 จิตเป็นจิตประภัสสร เป็น
    จิตพระอริยบุคคลได้ง่าย เพราะเป็นจิตที่มีเมตตา เคารพบูชา พระรัตนตรัยมองเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นจิตฉลาดไม่มีอวิชชา เป็นจิตที่มีพระนิพพานเป็นกรรมฐานได้ 8 กรรมฐาน คือ
    1) พุทธานุสสติกรรมฐาน
    2) ธรรมนุสสติกรรมฐาน
    3) สังฆานุสสติกรรมฐาน
    4) พรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    5) อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดียิ่งของพระนิพพาน
    6. เป็นการอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ตัดเวรตัดกรรม ยกเป็นอภัยทาน ถวายพระพุทธเจ้า
    ถ้าเจ้าโกรธก็เป็นการเพิ่มภพเพิ่มชาติ
    7. การอุทิศแผ่กุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก จงทำทุก ๆวันละอย่างน้อยสวด 9 จบ ช่วยทั้งคนทั้งผี ทั้งสัตว์โลก สัตว์นรก ช่วยเทพเทวดา มีโอกาสโมทนากับพวกเราด้วย
    8. พระคาถาสวดพระนามพระพุทธเจ้านี้ พระท่านให้ไว้แก่มวลมนุษย์มาจากเบื้องบนพระนิพพาน ให้สวดทุกวัน เพื่อช่วยมวลเวไนยสัตว์ และตนเองก็หลุดพ้นจากนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องได้เกิดในแหล่งอบายภูมิ 4 อย่างนี้ เป็นการเสริมบารมีให้แก่ตนและผู้อื่น
    9. การแผ่พลังจิตให้เป็นพลังไปรอบทิศจักรวาลทั้ง 3 โลกนั้น ทำจิตให้ว่างจากขันธ์ 5 ว่างจากกิเลสตัณหา ทำบุญกุศลทุกอย่าง ขอถวายทางจิตให้องค์สมเด็จพระบรมครูพระพุทธเจ้าโปรดโมทนาบุญกุศลทุก ๆพระองค์ เพื่อประโยชน์สูงสุดแด่มวลสรรพสัตว์ทุกจิตดวงธรรมญาณได้รับผลบุญที่ลูกแผ่ไปให้ทุกดวงจิตธรรมญาณเทอญ
    การขอแรงพลังจิตขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการขอแรงคลื่นวิทยุของท่านผู้เป็นใหญ่บุญบารมีใหญ่ ช่วยอีกแรงหนึ่งเพื่อให้สรรพสัตว์ 3 โลก ได้ยินคลื่นวิทยุได้ดียิ่งขึ้น
    จิตของสัตว์อบายภูมิน้อยนักที่จะได้รับได้ยินเหมือนคนตาบอด แต่ถ้าเขาโมทนายินดีรับกับการอุทิศบุญกุศลแผ่เมตตาไปให้กับเขา ก็ทำให้เขาเป็นสุข พ้นทุกข์จากอบายภูมิได้ทุกคน เราต้องทำจิตให้สะอาดทำจิตว่างจากขันธ์ 5 ปล่อยพลังจิตไปทั่วรอบทิศจักรวาล
    10. สวดพระคาถาพระนามองค์สมเด็จพระปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝากบุญกุศลไว้กับท่านท้าวยมราชได้แน่นอน โปรดสัตว์ได้ทั่วทั้ง 3 ไตรภพ แล้วแต่จะกำหนดจิตโปรดได้หมดทุกประเภท ทั้งชาติกำเนิด 4 คือ(เกิดในไข่ เกิดในคูต เกิดเป็นตัว เกิดขึ้นเอง เช่น ผี เทพ พรหม ) ภูมิวิถี 6 คือ 1.สัตว์นรก 2. เปรต 3.อสุรกาย 4. สัตว์เดรัจฉาน 5. คน 6. เทวดา พรหม
    โปรดสัตว์ได้ตามวาระจิตของวิญญาณใด ถึงพร้อมย่อมสามารถเข้าถึงสุขติภูมิ คือ สวรรค์ และคนชั้นสูงมีความสุขตามฐานะ
    กฎของกรรมต่าง ๆ ที่คอยกีดกั้นขวางงาน เป็นเมตตาบารมี กฎของกรรมก็ตามไม่ทัน เพราะบุญใหญ่
    เวลาการบำเพ็ญบารมีของแต่ละท่านก็แตกต่างกันคือ
    พระสาวกภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 1 อสงไขยกับแสนกัป
    พระอัครสาวก ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 2 อสงไขยกับแสนกัป
    พระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 2 อสงไขยกับแสนกัป
    พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 4 อสงไขยกับแสนกัป
    พระพุทธเจ้าศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 8 อสงไขยกับแสนกัป
    พระพุทธเจ้าวิริยะธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน 16 อสงไขยกับแสนกัป


    คำสอนของพุทธองค์เรื่องบารมี10สำหรับพุทธภูมิ

    คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    บารมี ๑๐ ประการ

    บารมี แปลว่า "เต็ม" ซึ่งหมายถึง "การทำให้กำลังใจเต็ม ทรงอยู่ในใจให้เต็มครบถ้วนบริบูรณ์
    ไม่บกพร่องทั้ง ๑๐ ประการ"

    ทานบารมี จิตพร้อมในการให้ทานเป็นปกติ
    ศีลบารมี จิตพร้อมในการทรงศีลเป็นปกติ
    เนกขัมมะบารมี จิตพร้อมในการถือบวชเป็นปกติ ในที่นี้หมายถึงบวชใจ
    ปัญญาบารมี จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหารอุปาทานให้พังพินาศไป
    วิริยะบารมี มีความเพียรในทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
    ขันติบารมี มีความอดทน อดกลั้นต่อสิ่งอันเป็นปฏิปักษ์
    สัจจะบารมี ทรงตัวไว้ว่าเราจะทำจริงทุกอย่างในด้านของการทำความดี ไม่มีคำไม่จริงสำหรับใจเรา
    อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
    เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
    อุเบกขาบารมี การวางเฉยในกาย เมื่อมันไม่ทรงตัว



    องค์สมเด็จพระสวัสดิโสภาคย์ได้แสดงกฎของการปลดทุกข์ คือ ปลดอารมณ์แห่งความทุกข์ สร้างอารมณ์ความสุขให้เกิดขึ้นกับใจ มีอยู่ ๑๐ อย่าง ด้วยกันคือ
    ๑ ทานบารมี
    ๒ ศีลบารมี
    ๓ เนกขัมมะบารมี
    ๔ ปัญญาบารมี
    ๕ วิริยะบารมี
    ๖ ขันติบารมี
    ๗ สัจจะบารมี
    ๘ อธิษฐานบารมี
    ๙ เมตตาบารมี
    ๑๐ อุเบกขาบารมี

    คำว่า บารมี นี่แปลว่า เต็ม เมื่อเต็มแล้วก็ต้องเต็มจริงๆ เป็นอันว่าถ้าบารมีทั้ง ๑๐ ประการนี้เต็มครบถ้วนบริบูรณ์ ที่เรียกว่า ปรมัตถบารมี สำหรับพระสาวกนะ ไม่ใช่อันดับขั้นพระพุทธเจ้า สำหรับขั้นพระสาวกนี้ใช้อารมณ์ต่ำ อารมณ์ไม่สูงนัก ไม่ใช่ขั้นพระพุทธเจ้า

    ถ้าหากว่าบารมีทั้ง ๑๐ ประการนี้เป็น ปรมัตถบารมี (คำว่า ปรมัตถบารมี หมายความว่า มีอารมณ์ทรงสูงอย่างยิ่ง คำว่า อย่างยิ่งก็หมายความว่าไม่เคลื่อนไป อารมณ์ที่มีอาการตรงกันข้ามไม่เกิดขึ้นกับจิตใจของเรา)
    ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ครบถ้วนบริบูรณ์ ทุกท่านก็เป็นพระอริยเจ้าขั้นพระอรหันตผล

    นี่เดิมทีเดียวเราก็สอนกันมา แนะนำกันมาในหลักการทั่วๆ ไป แต่จะเห็นว่ากว้างเกินไปในการปฏิบัติ และเวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัท มีทั้งภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ที่มีกำลังใจคือ บารมีแก่กล้านี้มีอยู่ หรือว่าบางท่านที่ยังอ่อนยังย่อหย่อน ก็จะได้มีความเข้าใจในการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติจริงๆ เพื่อมรรคเพื่อผล ถ้าขาดบารมีทั้ง ๑๐ ประการแล้ว ทำอย่างไรมันก็ไม่มีผล ถ้าผลที่จะมีกับกำลังใจก็ได้แค่ผลหลอกๆ คือ อุปาทาน คำว่าหลอกลวงนี่ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาไปโกหกมดเท็จใคร แต่ว่ากำลังใจมันไม่จริง

    ที่เรียกว่าหยุดได้จากความโลภ ความโกรธ ความหลง อาจจะหยุดไปเพราะอารมณ์สบายชั่วคราว แต่ทว่าข้างหน้าต่อไปคลายไปก็มีทุกข์ มีความโลภ ความโกรธ ความหลง หรืออาจจะหยุดได้ด้วยกำลังของฌาน เช่น ฌานโลกีย์ กำลังใจยังดีไม่พอ ก็เอากำลังเข้าไปกดความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่ถ้าหากว่าจะตัดกันตรงๆ ก็ต้องมาพิจารณาขันธ์ ๕ ว่ามันเป็นทุกข์ (ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

    นี่ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์เพราะอะไร เพราะว่าเราขาด ทานบารมี ขาดศีลบารมี ขาดเนกขัมมะบารมี ขาดปัญญาบารมี ขาดวิริยะบารมี ขาดขันติบารมี ขาดสัจจะบารมี ขาดอธิษฐานบารมี ขาดเมตตาบารมี ขาดอุเบกขาบารมี

    และที่พูดวันนี้อาจจะมีหลายท่านจะตอบว่า บารมีทั้งหลายเหล่านี้มีครบถ้วนแล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าบารมีนี้จัดเป็น ๓ ชั้น คือ

    บารมีต้น เรามีทานมีศีลเหมือนกัน แต่ว่าทาน ศีลมันบกพร่อง มันไม่ครบถ้วนบริบูรณ์
    ถ้าหากว่าบารมีอันดับที่ ๒ ที่เรียกว่า อุปบารมี ทาน ศีล ของเราดีครบถ้วนแต่จิตใจยังไม่สะอาดพอ ยังไม่รักพระนิพพาน
    ถ้าหากว่าเป็น ปรมัตถบารมีแล้ว ไม่มีการหวังผลใดๆ ในโลกีย์วิสัย จะเป็นชาตินี้หรือว่าชาติหน้าก็ตามที กำลังใจของเราไม่มีการเกาะ การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระนิพพานโดยเฉพาะ ทำด้วยจิตบริสุทธิ์
    โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง (จันทาราม) อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี(bb-flower (bb-flower (bb-flower (bb-flower
     

แชร์หน้านี้

Loading...