ทำไมต้องพิจารณากาย สงสัย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ชมทรัพย์, 14 ตุลาคม 2015.

  1. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +248
    ทำไมต้องพิจารณากาย เกล้าสงสัย ?

    ช่วยคิดหน่อย คิดซิคิด ศาสนาของปัญญา
    ไม่ต้องเช็ดกระจก เกี่ยวกันป่ะ


    _Hi__
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ข้อสังเกต การพิจารณากาย พระป่า จะเน้นให้ น้อมนึกเข้ามา นมสิการเข้ามา
    หลังจากจิตได้เข้าถึง อัปปนาสมาธิ มาแล้ว

    หลายคนไปพอใจ อัปปนาสมาธิ เห็นว่า จิตไปเสพคุ้นความว่างชนิดต่างๆ ก็ จบแล้ว
    สิ่งที่ควรทำมีเท่านี้ สิ่งที่เหนือกว่านี้ " นึกแทบไม่ออก " ( อัปปนาสมาธิ จะทำให้
    จิตไปติด อุเบกขาเป็นวิบาก อย่างมาก 7วัน อย่างมาก 7เดือน อย่างมาก 7ปี อย่าง
    มาก 7ชาติ อย่างมากคือ กู่ไม่กลับ )

    พระป่า ท่านจะเน้นแล้วเน้นอีกว่า อัปปนาแล้ว ให้ นมสิการ " พิจารณากาย " ซึ่ง
    ทำไมท่านเน้นกันอย่างนั้น ก็ไม่ได้แปลกอะไร ท่านจะเน้นเป็น ร่องรอยเอาไว้ เพื่อ
    ให้ เอะใจกันเอง ตั้งแต่ เริ่มบวช จน กระทั่งครูบาอาจารย์ อุปปัชฌาลับล่วงไปแล้ว
    ก็จะให้ พร่ำสอนหลักเกณฑ์ เอาไว้

    "กาย" ที่มี ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯ มันคือ " อัพพยากตาธรรม " ที่เป็น วิบาก ที่ต้อง
    รับไปจนกว่า จะหมดวาระ คือ ไปเจอ " จุติจิต " การเคลื่อนของจิตตัวสุดท้ายในชาติ
    ภพมนุษย์ ก่อนจะ เหลวเป้ว ไม่ได้ฮาอะไร อย่างที่คิด

    " จุติจิต " การเคลื่อนของจิต ที่จะต้องมีแน่ๆ ห้ามสิ่งนี้ไม่ให้เกิดไม่ได้

    " จุตจิต " จึงเป็น เส้นยาแดงผ่าแปด วาระสุดท้าย โอกาสสุดท้าย ของนักภาวนา
    ถ้าไม่เห็น "จิตเปลี่ยนแปลงได้ เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน ของตน" ก็ โหลยโถ้ย เรือหายแน่นอน

    แต่ถ้าเห็น ( จิตรวมใหญ่ย้อนมาเห็นจิต ) ก็จะเป็น ปรินิพพายีบุคคลในเคสต่างๆ ได้ตาม พุทธวัจนะ



    ปล. กรณีเป็นเสขะบุคคล เป็นโสดาบันขึ้นไป จะเปลี่ยนการ พิจารณา จุติจิต เป็น ปฏิสนธิจิต แทน
    ถ้า นมสิการการเห็น ปฏิสนธิจิตไม่ได้ "อุปปาธิ" ย่อมมีอยู่ ชาติไม่จบ การภาวนายังมีต่ออีกบานตะไท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2015
  3. Taksagron

    Taksagron Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +36
    พิจารณากายให้เห็นจิตกับกายว่ามันไม่ใช่สิ่งเดียวกันหรือตัวเราของเรา ผมดำสักวันมันก็หงอก ฟันที่เคยสวยงามก็ยังหลอ ตาที่เคยแจ่มใสก็กลับพล่ามัว หนังที่เต่งตึงก็เหี่ยวย่น เมื่อไม่ยึดติด ในกาย จึงหลุดพ้นจาก วัฏสังสาร ได้ง่ายขึ้น แต่ ก็ยังมีอีกอย่างที่ควรหลุดพ้นคือความสุขในปิติ เวลาเจอพวกนี้ ต้องภาวนา กฏไตรรัตน รัวๆ เกิดขึ้นๆตั้งอยู่ดับไป ให้ชิน
     
  4. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ทำไมต้องพิจารณากาย. สัตว์มันมี กิน นอน สืบพันธ์และระแวงภัย นี่คือสัณชาตญาณของสัตว์ ส่วนคนมีเพิ่มมา2อย่างคือ สติและปัญญา สติเอาไว้เบรคจิตที่จะไหลไปสู่ที่ต่ำ ไว้ยับยั้งชั่งใจ ส่วนปัญญามีไว้พิจารณา
    ถ้าไม่ใช้ทั้ง2อย่างที่มีเหนือกว่าสัตว์ แล้วมันจะต่างกับสัตว์ตรงไหน
    ที่นี้รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมต้องพิจารณา55555
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    <center>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์</center></pre> <table align="center" background="" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="90%"> <tbody><tr><td>[​IMG]</td> </tr><tr><td vspace="0" hspace="0" bgcolor="darkblue" width="100%">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
    <center>๑๐. สติปัฏฐานสูตร </center><center>ว่าด้วยการเจริญสติปัฏฐาน </center> [๑๓๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในแคว้นกุรุ มีนิคมหนึ่งของแคว้นกุรุ ชื่อว่า กัมมาสธรรม ณ ที่นั่น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่า นั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว. [๑๓๒] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไป อันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่ง ทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง. หนทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ. ๔ ประการเป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายใน กายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณา เห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก เสียได้ ๑ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัส ในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ ๑.

     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไป อันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่ง ทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง
     
  7. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    สัตว์ทั้งหลายย่อมมีกรรมต้องเสวย มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2015
  8. Jsus Christ

    Jsus Christ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +82
    อยู่บนหอ กับ อยู่ตีนหอ ตรงไหนมองได้ดีกว่ากัน

    ตอนเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ในวัง กับ ตอนที่อยู่ติดดิน มองเห็นตอนไหน

    อุปมาเปรียบเทียบ ฉันใด ฉันนั้น ...

    <font style="background:yellow">ด้วยเนื่อง แล่นได้แล้ว ด้วยศรัทธา แล่นได้แล้วด้วยปัญญา เข้าถึงแล้วด้วยศรัทธา เข้าถึงแล้วด้วยทิฏฐิ จึงดำเนินต่อไปด้วยปัญญาใน กายสักขี ให้ถึงพร้อมด้วย ปัญญาวิมุตติ และ เจโตวิมุตติ เป็นลำดับไป</font>
     
  9. ซามารากาเต

    ซามารากาเต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +1
    ก็ลงตรงที่ ธาตุ
     
  10. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +248
    มีปฏิสนธิจิต ก็มีกาย
    มีกายก็มีอายตนะ, อารมณ์

    มีกระจก ก็มีฝุ่น ก็ต้องเช็ดฝุ่น

    แอร๊ยย งง

    สรุปว่า ถ้าพิจารณากาย นี่เป็นวิชชา
    กายไม่ใช่ตน แล้วอารมณ์เป็นกลาง นี่ดับเหตุ
    พอไปได้รึป่าว แอร๊ยย งง
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เถรส่องบาตร จิฮับ พอบอกว่า ให้ไปพิจารณากาย ไปเห็นกาย ก่อ เกิด ดับ สลาย
    ล้วนแต่เป็นไปตาม " โลกธาตุเขาทวงคืน ตลอดเวลา " แล้วไป เถรส่องบาตรทำ
    การระลึกหมายๆไปว่า กายไม่ใช่ตน มันก็เถรส่องบาตร โง่ อย่างเดิม ไม่เกิด
    วิชชา ฮาอะไร

    มันจะต้อง มีการเข้าไปเห็น สภาวะธรรม ที่เป็น " ตัวกิเลส " ที่เอามา "สร้างกาย"

    หากยัง ดอกอสระแอ อยู่ โดยที่ไม่มีการอาศัยระลึกเพื่อ ชำระกิเลส มันก็ ฉ้อฉล
    เฮียรับทาน อยู่วันยันค่ำ


    อย่าพยายามทำความเข้าใจ ด้วยการ กล่าวออกมาเป็น บัญญัติ ความรู้

    ความรู้ทางธรรม หากยังพูดได้แจ้วๆ ใช่อย่างนี้ไหม ใช่อย่างนั้นไหม นี่มัน ฉ้อฉล
    เป็น เนติบริกร ติดตรรกศาสตร์ มีความรู้เท่าหางอึ่ง แต่ เขียน 5 ติดกันได้เป็นพรวน

    นะ


    ทำไมต้องพิจารณากาย เวลาไปเห็น ทางที่ใช่ มันไม่ถ้า แล้ว มันไม่มาพูดแล้ว
    ว่า รู้อย่างนี้ถูกไหม รู้อย่างนั้นถูกไหม พูดยังไงก็ผิด

    แต่คนภาวนาที่เข้าไปรู้คนนั้น ถูกอยู่คนเดียว ไม่สามารถบอกคนอื่นได้ถูกได้
    หากเขาคนนั้น ไม่ภาวนาเข้ามา
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ความรู้ ในพุทธศาสนา ไม่ใช่ ศีล5 หากมี ศีล5 แล้วเป็นทางสายกลาง ก็ไม่ต้อง รอ พระ
    พุทธเจ้ามาหาหนทางใหม่ เพราะ ศีล5 โลกเขามีของเขาอยู่แล้ว

    ทุกศาสนามีศีล5 เป็นปรกติ เพราะ ศีล5 คือ ปัจจัยการพื้นๆ ของบ้านๆ ที่ทำให้มาเกิดเป็น มนุษย์

    หาก ชนคนใด จะปรารภเรื่องความเป็น มนุษย์ ชนคนนั้นย่อม พูดถึง ศีล5 ด้วยลีลา วาทะ
    โวหาร หลอกรับประทานเป็น ศาสดาพยากรณ์หน้าสันตี กันไป

    ศีลที่มากกว่า5 ก็เป็นศีลเกิดภายหลัง เกิดจากการเป็นหมู่ใหญ่ มีโน้น มีนี่ อันเกิดจากการ
    คลุกคลี หรือ โลกธรรม8 เขาอาศัย ก่อขึ้น .......


    พระพุทธศาสนา มี อธิ-ศีล คือ ยิ่งกว่าศีล ไม่ใช่ศีล

    พระพุทธศาสนา มี อธิ-จิต คือ ยิ่งกว่าจิต ไม่ใช่จิต ไม่ใช่ฌาณ ไม่ใช่แฌณ แต่ ยิ่งกว่าฌาณ

    พระพุทธศาสนา มี อธิ-ปัญญา คือ ยิ่งกว่าปัญญา ไม่ใช่ปัญญาพูดได้ เขียนได้ สื่อออกมา
    ด้วยขันธ์5 ถ้าสื่อด้วยขันธ์5 นั่นเป็นเพียง อุบาย ในการชี้ทาง ไม่ใช่การ บัญญติตรงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2015
  13. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +248
    [ame]www.youtube.com/watch?v=hlbZ0DrFwTU[/ame]
     
  14. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +248

    นู่น เค้าให้เอาศีลเป็นเครื่องกั้นเพื่อให้เกิดการภาวนาเมื่ออยู่กับโลก เมื่อถูกกระทบทางอายตนะ มีสติไว้ ให้กลางที่จิต
    กระบทโลกทาง ตา หู จมูก ปาก กาย ใจ เข้าใจบ๋ ตาเถรส่องบาตร :cool:
     
  15. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +248
    อยู่กับโลกไว้แต่ไม่ให้หลงโลก อายตนะ เป็นเหตุให้เกิด สติสมาธิปัญญา ในพุทธนี้แหละ
    สติมาปัญญาเกิด

    ทุกข์ก็เกิดจากประตูนี้แหละ
    กิเลสก็เกิดช่องนี้แหละ
    สังโยชน์ที่ร้อยรัดจิตไว้ก็แลเห็นได้ที่นี้แหละ
    จะหนีโลกไปไหนเล่า แยกโลก ก็เหลือ ธรรม

    เอานะ พูดมาก ก็เมา ไปส่องบาตรเล่นดีกั่ว
     
  16. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    สอนไม่ดีเข้าใจผิดแล้วจะเข้าใจที่พระพุทธเจ้าสอนได้ไง
    สังสารวัฏบ่วงแห่งทุกข์ไม่มีไม่ทุกข์หรอกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ตุลาคม 2015
  17. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    พิจรณากายเพื่อให้รู้เท่าทันว่ากายเป็นอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา แบ่งเงินทำบุญ รักษาศีล5 ทำสมาธิให้ได้จิตใจที่ปรกติ ไม่สุดโต่งเวลาทำอะไรเดินทางสายกลางว่าสิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้สิ่งไหนไม่ควรทำ วางกำลังใจให้มีอารมณ์ปรกติ ไม่คิดอยากเอาชนะ เป็นมุนีผู้สงบระงับอารมณ์โกรธฟุ้งพล่าน ภาวนาก็ได้ว่าไม่มีความไม่พอใจเลยหนอๆๆๆๆๆๆ จิตจดจ่ออยู่กับสมาธิให้ได้ที่แล้วออกภาคปัญญา บทธรรมที่ประเสริฐคืออริยะสัจจ์4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เชิญท่านอื่นแสดงต่อ
     
  18. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    ผมฟังแล้วได้คำตอบคลายสงสัยนะครับ
    ปล. นาทีที่ 11.30 เป็นต้นไป น่าจะตอบได้ตรงคำถาม

    [ame]www.youtube.com/watch?v=ZEV_e6F_8GU[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 ตุลาคม 2015
  19. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    กายเป็นของอยู่บ้างใน
    ลมหายใจเป็นของอยู่ข้างนอก

    ถ้าเราโดนกระแสไฟฟ้าที่เอาไว้กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อันตโนมัติ
    เช่นการเต้นของหัวใจ ฉาบย้อมการรับรู้

    เราจะเข้าใจว่าลมหายใจคือ ข้างในกาย

    เราก็จะสงสัยว่างั้นมันอยู่ในหรือนอกกันแน่

    แปลว่าอวิชชาไม่สามารถ
    กิน วิจิกิจฉาได้

    ความคิดของคนเราไปไม่ถึง ที่หมายในโลกจริงด้านถูก
    เราต้องคิดผิด
    เราจึงจะอยู่ในโลกจริง

    คิดอย่างไรให้ผิด
    ก็แนะนำให้ถามมาสองครั้ง
    ครั้งแรก "คิดอย่างไรให้ผิด"
    ครั้งที่สอง "คิดอย่างไรให้ถูก"

    ให้เลือกว่าจะถามคำถามไหนก่อน
    เลือกมาหนึ่งคำถาม

    ถ้าคำถามที่เหลือจะต้องถาม
    มันจะ เกิดที่หลังคำถามแรก
    ใช้หรือไม่

    ตอบให้ผิดก็ ผิดแล้ว

    ลมหายใจก็เหมือนกัน

    บางที่หายใจให้ออกโลกจริง
    ต้องกหายใจผิดๆ

    เช่นมีคนถามว่าลมหายใจแรกของคนเรา
    คือลมหายใจเข้าหรือออก

    ก็มีให้เลือกสองลม
    คือหายใจเข้ากะออก

    ถ้าเราเลือกให้ลมหายใจเข้าเกิดก่อน
    ลมหายใจออกจะเกิดที่หลังลมหายใจแรกหรือไม่

    ก็ตอบให้มันผิด

    กาย คืออายตนะใน
    โพฏฏัพพะ คืออายตนะนอก

    ลมหายใจเนียะ
    มันคือกาย
    หรือคือโพฏฏัพพะ
     
  20. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ออกสู่โลกจริง

    ถือว่าส่งออกนอกหรือไม่

    อยากจะตอบให้ผิด
    หรือตอบให้ถูก
     

แชร์หน้านี้

Loading...