ทำสมาธิท่านอนด้วยกฐิน การเกิดนิมิตกสินในเวลาใกล้ตื่น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พระ กาญจน์, 4 พฤศจิกายน 2015.

  1. พระ กาญจน์

    พระ กาญจน์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +29
    สวัสดีทุกท่านนะ ผมพระกาญก็สนใจการทำสมาธิอยู่บ้าง
    เรียนถามท่านที่รู็จริงว่า ประสบการณ์การภาวนาก่อนนอนหรือทำสมาธิท่านอนก็ว่าได้ ก็ตั้งกสินไปแล้วหลับไป สงบไปจนหลายชั่วโมงไม่ฝันแต่อย่างใด เวลาตื่นนั้นเป็นภาพกสินไม่นานมาก แล้วก็มองภาพอยู่พักหนึ่งก็ลืมตาขึ้น ท่านอนยังเหมือนเดิม กสินที่เป็นแสงใหญ่ๆเต็มไปหมดนี้เป็นครั้งแรกของการเล่นกสินเวลานอน กสินไฟก็เป็นตื่นถึงรูปว่ามีภาพวงกลมดำๆแต่มีเปลวไปรอบๆ และกสินอากาศก็ลักษณะเหมือนกันท่านอนคงท่านอน แต่ตัวนี้อาจจะชัดเจนมากเป็นนิมิตที่เคลื่อนไปตามอาวกาศ ขอคำชี้แนะนะครับ ว่านี่คือสมาธิระดับภวังค์ใช่ไม่ พร้อมจะแก้ไขต่อไป

    ขอบคุณคำแนะนำ
    เพิ่มเติมนะครับว่า ผมเล่นกสินหลายอย่าง สาธุกับทุกท่านที่ให้คำแนะนำดีๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2015
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กสิณ นี่เอง ก็ว่า หัวข้อกระทู้อะไร ...

    เรื่องหลับ คือ ต้องถามตัวเองว่า หลับแล้ว ขาดสติ หรือไม่

    ถ้าหลับ ขาดสติ เรียกว่า ตกภวังค์ ภวังค์ คือ หลับไปแล้ว ไม่ใช่ สมาธิ ไม่ใช่กสิณ ครับ

    สมาธิ กสิณ ต้องมี สติ รู้ตัวอยู่ มีภาพนิมิตดวงกสิณ ในกรรมฐานที่ปฏิบัติ ครับ


    เวลาตื่นนั้นเป็นภาพกสิณไม่นานมากแล้วก็มองภาพอยู่พักหนึ่งก็ลืมตาขึ้น ท่านอนยังเหมือนเดิม กสิณที่เป็นแสงใหญ่ๆเต็มไปหมด

    ก็ต้องถามตัวเองว่า ฝึกกสิณกองไหนกรรมฐานไหนอยู่ นิมิตกสิณ ก็ต้องตรงกับผลของกสิณกรรมฐานกองนั้น ถ้ามี นิมิตอื่นมาที่ไม่ใช่กรรมฐานกสิณที่ฝึก เรียกว่ากสิณโทษ ให้ตัดภาพนิมิตนั้นทิ้ง แล้ว กำหนดนิมิตเรียกดวงกสิณออกมาใหม่ครับ


    และกสิณอากาศก็ลักษณะเหมือนกันท่านอนคงท่านอน แต่ตัวนี้อาจจะชัดเจนมากเป็นนิมิตที่เคลื่อนไปตามอาวกาศ
    กสิณ แปลว่า เพ่ง
    ถ้าไม่ได้เพ่งดวงกสิณ แต่ไปส่งออกไปนอกโลก ไปรับรู้ ไปอาวกาศ นี่ ไม่ใช่กสิน นะ

    ลองศึกษาดูครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2015
  3. degba4567

    degba4567 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +348
    ฝึกทีละกองไม่ดีหรือครับท่าน ทำไมฝึกปนกันมากมายขนาดนี้ครับ
     
  4. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เกิดญาณหยั่งรุ้ ท่านสอนให้รุ้และยอมรับความจริงของธรรมคือธรรมชาติธรรมดาของทุกสรรสิ่ง
    ส่วนไอ้ญาณหยั่งรุ้ใครสอน ศาสนาไหนอย่าอาศัยศาสนาพุทธเผยแพร่คำสอนชั่วๆ ในพุทธศาสนาไม่มีญาณหยั่งรุ้ มีแต่ญาณทัศนะที่รุ้แจ้งเห็นจริง ไม่ต้องหยังรุ้หยังเชิงจะรุ้ดีไม่รุ้ดีมันไม่มี ไอ้นั้นน่าจะเป็นยานอวกาศละมั่ง
    เมื่อไม่หยุดก็จะตามไปแก้มันทุกกระทุ้ต่อไป
     
  5. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ใครอยากเกิด ทุกสรรสิ่งมีกรรมเป็นแดนเกิด. เกิด-ดับมันยังเป็นกฏของไตรลักษ์ ยังไม่พ้นโลก ผมเหนื่อยกับทิฏฐิมานะเหลือเกิน ลดมันลงแล้วลืมตามายอมรับความจริง เกิด-ดับมันคืออนัตตา รุ้ทันไม่ทันมันก็มีค่าเท่ากัน ไม่ต้องดับมันก็ดับมันเอง แต่จะไม่ให้เกิดมันเป็นไปไม่ได้มันมีขันธ์ 5อยุ่ มันเป็นธรรมชาติ ไม่รุ้ไม่เข้าใจแต่หลงผิด ไปดุปฏิจสมุบาทฟากเกิด แล้วดูฟากดับ. ไม่ใช่ดับตามตำรา รุ้ทันมันก็ไม่ดับ มันแค่รุ้มันดับตรงไหน ธรรมมันอยู่ฟากตายรุ้จักไหม ไม่ได้อยุ่ฟากเป็น อยากรุ้ต้องเอาชีวิตเข้าไปแลก บางทีก็ตายแบบโง่ๆ บางทีก็ตายฟรี บางทีก็สำเร็จจบกิจ บางทีก็สติแตกก็มี มีอีกมากมายที่ยังไม่ได้สาวลึกลงไปแล้วหลงว่าสำเร็จเที่ยวสั่งสอนคนอื่นๆ ศึกษามามากก็ใช่ว่าจะเก่ง ไม่มีพ่อแม่ครูบาอาจารณ์ชี้แนะก็สำเร็จในมโนนั้นแหละยึดตำราทำตามตำราแต่ในตำรามีนัยยะซ่อนอยุ่ ยังไม่รุ้แล้วจะสำเร็จได้ไง? อย่าได้พาคนหลงตามด้วยความมีทิฏฐิมานะแห่งตน นั้นมันยึดมั่นถือมั่น ศึกษามานานมากจนยึดในสิ่งที่ศึกษามาว่าต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ นั้นมันยึดมั่น ยึดว่าต้องรุ้ทันเกิด-ดับแล้วจะสุข เฮอะ ผมไม่สนใจทิฏฐิมานะในตัวหรอก แค่ไม่ต้องการให้คนไม่รุ้หลงเชื่อในสิ่งที่มิใช่ทางหลุดพ้นเท่านั้น55555
    ป.ล. พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่าความคิดเห็นเป็นโทษที่ร้ายแรง อย่ากล่าวตู่พระองค์ ความคิดคืออากาศมันมีคุณมีโทษตรงไหน มิทราบ ท่านกล่าวว่าความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ อย่าเติมคำแห่งพุทธวจนะ ตั๋วรถด่วนนรกมันแจกฟรีสำหรับคนที่เติมคำที่พระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2015
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    พัฒนาได้เร็วดี

    เข้าใกล้ มุมการปฏิบัติมากขึ้นแล้ว หลังจาก ให้พิจารณา กุศล

    สติ เป็นธรรมฝ่ายกุศล ตัวมันเองเป็น กุศลธรรม เป็นสัญญา เป็น
    การลั่นของตัวความคิด ความคิดจะมีได้ สัญญาต้องหมายรู้ก่อน

    สัญญาจะเกิดได้ จิตต้องเข้ากระทบด้วย "ความไม่รู้" ก่อน

    ความไม่รู้จะดับได้ยังไงนั้น ..... " ความพร่ำพิไรรำพัน " หรือ อุปปายาส
    จะต้องถูก จำแนก แยกแยะ ให้เห็นว่า นั่น ทุกขสัจจ ก่อน

    ดังนั้น การที่ปรับจาก คิด เปลี่ยนจากความคิด มา เพ่ง "พิร่ำรำพัน"
    นี่มันเฉียด ญาณ การกำหนดรู้ ทุกขสัจจ

    ซึ่ง มันจะละเอียดกว่านี้อีก หาก ตรึกอย่างถูกวิธี

    พระพุทธองค์ไม่ได้ห้ามคิด แต่ ให้คิดในธรรม คิดเพื่อหาอุบายนำออก
    จากทุกข์ แม้นจะเป็นการ ฝุ้ง แต่เป็น ฝุ้ง ที่พ้นตรรกศาสตร์ ไม่ใช่
    สัญญาความจำ

    ทำไมถึงไม่ใช่

    คนตรึกไม่ถูกวิธี รู้ไม่ได้

    แต่ถ้า ตรึกถูกวิธี พระพุทธองค์ตรัสรับรองว่า หากไม่ได้อริยบุคคล
    ในระหว่างมีชีวิตอยู่ ก็จะ สามารถเป็น ปรินิพพายีบุคคลได้
    ในลมหายใจสุดท้าย

    อนึงพึงทราบว่า " หนอ คือ ความคิด " " หนอ คือ การหมายรู้ "
    " หนอ คือ พวกภาวนาด้วยอาการไม่รู้ อวิชชาล้วนๆ "

    ข้าม "หนอ" ให้ได้ แล้วจะเห็น ธรรมที่พ้นการปรุงแต่ง ธาตุที่พ้นการปรุงแต่ง
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อนึ่ง พึงทราบอีกว่า

    สัมมาอาชีวะ ที่พระพุทธองค์ เป็นผู้รู้จริง รู้อุบายอันยอดเยี่ยม

    ระหว่าง "รวย(หาเองได้)" กับ "จน(ต้อง ขอ เขากิน)"

    คุณ muisun พิจารณาเอาเองว่า พระพุทธองค์ ทรงเลือก อุบายอย่างไหน
    เป็นหนทาง โฆษณา ธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2015
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อุบายอย่างหนึ่ง ที่พระพุทธองค์ ประทาน อนุเคราะห์ไว้ สำหรับคนที่ใช้
    "การตรึกอย่างถูกวิธี" เป็นการปฏิบัติธรรม

    เวลาใช้ตรึกถูกวิธี ต่อให้ ไม่มีคนอื่น มาย้อนแย้ง ถามหาว่า " สัญญาล้วนๆ "
    " คิดเอาลอยๆ " " ขี้ลอยน้ำ" " เอ็งไม่รู้จักสัมมาสมาธิ "

    พระพุทธองค์ ตรัสบอกว่าว่า มันไม่ได้ยาก ที่เราจะ สอบสวน ทบทวน
    การตรึกของเราว่า เป็นสัญญายึดจับ หรือว่า อาศัยระลึกเพื่อเป็นปฏิปทาทางสายกลาง

    วิธีการทบทวน สอบสวน ก็แค่ให้ " ตรึกธรรมคู่ "

    เช่น " หากตรึกว่านี้คือทาง นี่ใช่ " ก็แค่ให้ตรึกทวน สวนกลับเข้าไปว่า
    " ทางนี้ไม่ใช่ ทางอื่นก็มีเยอะแยะ "

    เช่น " เห็นขี้แล้วตรึกได้ว่านั่นไม่ปฏิกูล " ล่วงส่วนได้ ก็แค่ สวนกลับ
    เข้าไปว่า " นั่นมันก็ ขี้ ของโสโครก "

    เช่น " เห็นโลกแห่งสรรพสัตว์ ว่าไม่งาม ควรพ้นไปเสีย" ก็แค่ ตรึกสวนกลับ
    เข้าไปว่า " โลกนั้นงดงาม ไมตรีเท่าที่สรรพสัตว์จะให้กันได้ นั้นงาม "

    ตรึกกลับไป กลับมา ในหนทางการ ตรึกที่ตนกำลังใช้ แล้ว สงบ ล่วงส่วน พ้นโลก
    ก็แค่ ตรึกลับมาทางตรงกันข้าม


    ทำแล้วได้อะไร

    หากเป็น สัญญาจดจำ ย้ำคิดย้ำทำ ไม่ใช่อาศัยระลึก เวลาตรึกไปทางตรง
    กันข้าม มันจะเงียบ แล้วมี " เสียงหัวเราะเบาๆ ตรึกกลับไปก็โง่สิ " อะไร
    ทำนองนี้ ทำให้ ตรึกกลับไป กลับมา ไม่ได้

    หากตรึกกลับไป กลับมาได้ พึง กำหนดรู้ อีกทอดหนึ่งว่า
    " ธรรมชาติที่ งาม และ ไม่งาม นั้นงาม "
    " ธรรมชาติที่ไม่ปฏฺกูล และ ปฏิกูล นั้นไม่ปฏิกูล "

    มันกลับมางาม กลับมาไม่ปฏิกูล ก็เพราะ เราอาสัยมัน พบหนทางพ้นสังสารวัฏ
    อาศัยระลึกเห็นปฏิปทาอุบายนำออก คนอกตัญญูต่อโลก ตรึกอย่างนี้ไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...