ทำบุญเสริมดวงชะตาและโชคลาภให้ชีวิต ในเทศกาลตรุษจีน..

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ลุงไชย, 22 มกราคม 2012.

  1. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    [​IMG]


    สถานที่ทำบุญช่วงตรุษจีน..

    ..."ตรุษจีน" เป็นเทศกาลสิริมงคลของคนไทยเชื้อสายจีนและบุคคลทั่วไป ที่มีความเชื่อในสิ่งศรัทธา ซึ่งชาวจีนสืบทอดเป็นประเพณีมายาวนาน โดยในแต่ละปี แต่ละคน แต่ละครอบครัวอาจประสบอุปสรรคชีวิตไม่เหมือนกัน เมื่อมาถึงปีใหม่ก็ต้องการขจัดปัดเป่าอุปสรรค และให้ชีวิตในปีใหม่มีความสมปรารถนา ด้วยเหตุนี้จึงมีการไหว้เทพเจ้า ไหว้สิ่งสิริมงคล เพื่อเสริมดวงชะตาและโชคลาภให้กับชีวิต . . . ว่าแล้วตรุษจีนปีนี้ขอแนะนำและขอพาไปรู้จักวัดจีนสถานที่น่าไปทำบุญ น่าไปไหว้เทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์กัน

    1. วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่)

    วัดมังกรกมลาวาส หรือ วัดเล่งเน่ยยี่ เป็นวัดสังกัดจีนนิกาย ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง ระหว่างซอยเจริญกรุง 19 และ 21 ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร เป็นที่คุ้นเคยในหมู่ชาวไทยเชื้อสายจีน และชาวจีนจากต่างประเทศ หลายคนรู้จักวัดแห่งนี้ในนาม "วัดมังกร" เพราะคำว่า "เล่ง" หรือ "เล้ง" ในภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่ามังกร ส่วนคำว่า "เน่ย" แปลว่า ดอกบัว และคำว่า "ยี่" แปลว่า วัด แต่ชื่อวัดอย่างเป็นทางการคือ "วัดมังกรกมลาวาส" ได้รับพระราชทานจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

    วัดนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2414 (ประมาณ 130 ปี ล่วงมาแล้ว) ใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปีกว่า มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบทางจีนตอนใต้ของสกุลช่างแต้จิ๋ว โดยวางแปลนตามแบบวังหลวง คือ มีวิหารท้าวจตุโลกบาลเป็นวิหารแรก ตรงกลางเป็นพระอุโบสถ ข้างหลังพระอุโบสถเป็นวิหารเทพเจ้า การสร้างใช้ไม้และอิฐเป็นวัสดุสำคัญ

    จากประตูทางเข้า เข้าไปจะถึงวิหารท้าวจตุโลกบาล จะเห็นเทพเจ้า 4 องค์ (ข้างละ 2 องค์) ในชุดนักรบจีน และถืออาวุธและสิ่งของต่างๆ กัน เช่นเครื่องดนตรี ดาบ พิณ เจดีย์ทรงสูง คนจีนเรียกว่า "ซี้ไต๋เทียงอ้วง" หมายถึง เทพเจ้าที่ปกปักษ์รักษาคุ้มครองทิศต่างๆ ทั้ง 4 ทิศ

    ถัดจากวิหารท้าวจตุโลกบาล คือ อุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานของพระประธานของวัด คือ พระศากยมุนีพุทธเจ้า คนจีนเรียก "ทีหุกโจ้ว" มีทั้งหมด 3 องค์ พร้อมพระอรหันต์อีก 18 องค์ เรียกว่า "ตึ่งนั้ง" หรือคนจีนว่า "จับโป่ยหล่อหั่ง"

    ทางด้านขวามีเทพเจ้าต่างๆ หลายองค์ เช่น เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา คนจีนเรียกว่า "ไท้ส่วยเอี๊ย" เทพเจ้าแห่งยาหรือหมอเทวดา "หั่วท้อเซียงซือกง" และที่นิยมไหว้ขอพรมากคือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ "ไฉ่ซิ้งเอี๊ยะ" เทพเจ้าเฮ่งเจีย คนจีนเรียกว่า "ไต่เสี่ยหุกโจ้ว" พระสังขจาย หรือ "ปู๊กุ่ยหุกโจ้ว" "กวนอิมเนี้ย" หรือ เจ้าแม่กวนอิม "แป๊ะกง" และ "แป๊ะม่า" รวมเทพเจ้าในวัด จะมีทั้งหมด 58 องค์ กลิ่นธูปและควันเทียนยังไม่เคยจางหายไป ตราบเท่าความศรัทธาของมนุษย์ยังอยู่คู่โลก

    ทั้งนี้ วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) เปิดให้สะเดาะเคราะห์ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00น. - 18.00 น. สถานที่ตั้ง 423 ถนนเจริญกรุง เขตป้อมปราบ กรุงเทพฯ 10100 โทร. 0-2222-3975, 0-2226-6553

    2. วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ คณะสงฆ์จีนนิกายรังสรรค์

    วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ คณะสงฆ์จีนนิกายรังสรรค์ ตั้งอยู่ที่ตำบลโสนน้อย อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พื้นที่เดิมก่อนเคยเป็นโรงเจขนาดเล็ก มีพื้นที่ประมาณ 2 ไร่เศษ เป็นโรงเจที่ชาวบ้านบางบัวทองให้ความศรัทธามาช้านาน ต่อมาคณะสงฆ์จีนนิกายมีปณิธานจะพัฒนาที่ส่วนนี้ให้เป็นวัดที่สมบูรณ์ เพื่อสร้างเป็นวัดเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เนื่องในวโรกาสเถลิงถวัลย์ครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี วัดนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 12 ไร่ โดยคณะสงฆ์จีนนิกายมอบให้

    ทั้งนี้ พระคณาจารย์จีนธรรมปัญญาจริยาภรณ์ (พระอาจารย์เย็นเชี้ยว) เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและมีพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร เป็นประธานที่ปรึกษา พร้อมทั้งพุทธบริษัทไทย - จีน ร่วมกันสร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสอันเป็นมหามงคลสมัยปีกาญจนาภิเษก

    อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชานุญาตให้สร้างวัด และพระราชทานนามว่า "วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ คณะสงฆ์จีนนิกายรังสรรค์" ท่านแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการสำนักพระราชวัง เป็นผู้ดำเนินการขออนุญาตสร้างวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ฯ จึงนำมาซึ่งความปิติยินดีของชนชาวไทยเชื้อสายจีน และความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อคณะสงฆ์จีนมาโดยตลอด

    วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ระหว่างเวลา 08.00 - 18.00 น.

    3. วัดกัมโล่วยี่

    วัดกัมโล่วยี่ หรือ วัดทิพยวารีวิหาร สร้างในสมัยกรุงธนบุรีในปี พ.ศ. 2319 รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงพระราชทานที่ดินฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นที่อาศัย ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ องค์เชียงสือนัดดาเจ้าเมืองเว้ ได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารและได้ลักลอบหนีกลับเมือง กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงแคลงพระทัยชาวญวนจึงได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กลุ่มชนชาวญวนซึ่งมีอยู่มากในบริเวณนั้น ย้ายออกไปอาศัยอยู่ที่อื่น เพื่อให้ห่างจากพระนคร ชุมชนบริเวณนี้ซึ่งเคยเป็นที่อาศัยของคนไทย คนจีน และคนญวน เชื้อสายพุทธจึงอยู่ในความเงียบสงบ วัดทิพยวารีวิหาร (กัมโล่วยี่) ในขณะนั้นจึงมีสภาพคล้ายรกร้าง ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาเลยอีกนานหลายปี จน ถึงประมาณปี พ.ศ.2439 พระอาจารย์ไหซัน พระภิกษุจีนชาวมณฑลหูหนาน ได้จาริกมาจำพรรษาที่วัดทิพยวารีวิหารแห่งนี้ ท่านจึงได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ และได้ชักนำคนไทย - คนจีนในเขตนั้น อันมีนายเช็งเต็ก แซ่เจี่ย และนางซิ่วออม แซ่ตัน สองสามีภรรยาคหบดีผู้กว้างขวางในกลุ่มชาวจีน ในย่านตลาดมิ่งเมืองเป็นแกนนำ ต่อมาทายาทของครอบครัวท่านทั้งสองนี้ ได้รับพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่6 ว่า "เศวตมาลย์"

    พระอาจารย์และประชาชนในครั้งนั้น ได้ร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดใหม่ทั้งวัด จนวัดอยู่ในสภาพสมบูรณ์สวยงาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) จึงได้ทรงพระราชทานสมณศักดิ์ให้อาจารย์ไหซัน เป็นหลวงจีนธรรมรสจีนศาสน์ ปลัดซ้ายจีนนิกายดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส และได้ทรงพระราชทานนามวัดกัมโล่วยี่ให้ใหม่ว่า "วัดทิพยวารีวิหาร" ตรงกับ พ.ศ.2452 เหตุที่ให้ชื่อวัดเป็นเช่นนี้ เพราะที่วัดนี้มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ หรือบ่อน้ำทิพย์อยู่นั่นเอง ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงเรียกวัดกัมโล่วยี่ หรือวัดน้ำทิพย์นี้เป็น "วัดทิพยวารีวิหาร" อันเป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์จีนนิกายจนถึงปัจจุบัน

    สำหรับท่านที่สนใจจะไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดทิพยวารีวิหารหรือวัดกัมโล่วยี่ ไปได้ที่ สถานที่ตั้ง 119 ซอยทิพยวารี ถนนตรีเพชร เขตพระนคร (บ้านหม้อ) กรุงเทพฯ 10200 โทร. 0-222-5988

    4. ศาลเจ้าพ่อเสือ

    ศาลเจ้าพ่อเสือ ตั้งอยู่เลขที่ 468 ถนนตะนาว ใกล้เสาชิงช้า เป็นศาลเจ้าชาวจีนที่เก่าแก่ และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย เป็นศาลเจ้าที่ประดิษฐานเฮี้ยงเทียนเซียงตี่ และรูปเจ้าพ่อเสือ หรือที่คนจีนเรียกว่า "ตั่วเล่าเอี้ย" (บ้างก็เรียกเฮี๊ยงเทียนเสี่ยงตี) เป็นศาลที่ทั้งคนจีนและคนไทยให้ความเคารพ และมากราบไหว้กันนานเป็นร้อยปี ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างโดยชาวจีนแต้จิ๋ว เดิมตั้งอยู่บริเวรถนนบำรุงเมือง เมื่อมีการขยายถนนในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงย้ายมาสร้างใหม่ ที่บริเวณทางสามแพร่ง ถนนตะนาว เขตพระนคร

    ลักษณะอาคารสร้างตามรูปแบบศาลเจ้าที่นิยมทางภาคใต้ของจีน เทพเจ้าประจำศาลคือ "เสียนเทียนซั่งตี้" หรือที่คนไทยเรียกว่า "เจ้าพ่อเสือ" นั่นเอง เรื่องราวตำนานของเจ้าพ่อเสือที่ชาวบ้านย่านนี้เล่าขานนั้น เชื่อมโยงกับหลวงพ่อพระร่วง วัดมหรรณพ์ สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องชาวไทย และชาวจีนในละแวกนี้ที่มีมาช้านาน

    วิธีสักการะ ไหว้ด้วยธูป 18 ดอก ปัก 6 กระถาง เทียนแดง 1 คู่ และพวงมาลัย 1 พวง การสักการะเจ้าพ่อเสือ จะต้องซื้อเครื่องเซ่น ซึ่งประกอบด้วย หมูสามชั้น ไข่ดิบ และข้าวเหนียวหวาน ชุดเล็กราคา 20 บาท และชุดใหญ่ ราคา 50 บาท

    สำหรับเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางไปสักการะ คือ ช่วงเวลา 06.00 - 17.00 น. ทุกวัน ควรเดินทางด้วยรถประจำทางหรือรถแท็กซี่จะสะดวกกว่า เนื่องจากสถานที่จอดรถมีจำนวนจำกัด

    5. เจ้าพ่อเห้งเจีย

    เจ้าพ่อเห้งเจีย หรือซุนหงอคง เป็นเทพผู้ประทานความสุขและเป็นผู้กำจัดเหล่าปีศาจร้าย ชนชาวจีนจึงนิยมกราบไหว้และบูชามาก ปัจจุบันศาลเจ้าหลายแห่งจะมีรูปเคารพของเทพวานร หรือเจ้าพ่อเห้งเจีย เพื่อไว้ให้คนที่เลื่อมใสศรัทธามีโอกาสเข้าไปสักการะขอพร

    ตำนานเจ้าพ่อเห้งเจียกล่าวกันว่า กำเนิดจากหินชนิดหนึ่งที่ถูกแสงสุริยันจันทราอาบมานานกว่าพันปี และแล้ววันหนึ่งก็แตกออก และมีลิงตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากหินก้อนนั้น เจ้าลิงตัวนั้นได้บุกขึ้นไปเขาฮัวกั่วซาน (เขาผลไม้) ซึ่งมีลิงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และตั้งตัวเป็นใหญ่มีฉายานามว่า "มุ้ยเกาอ๋อง"

    วันหนึ่งมุ้ยเกาอ๋องเห็นลิงในฝูงตัวหนึ่งตายลงด้วยความแก่ชรา จึงเกิดความวิตกและคิดจะหาทางแก้ไขที่จะทำให้ตนเองไม่ต้องเจ็บหรือตาย จึงออกจากฝูงเดินทางเสาะแสวงหาไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็พบกับเซียน "โผเถโจ๊ซือ" (สุภูติ) และได้ฝึกวิชาคาถาอาคมต่างๆ จนมีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงกายได้ 72 ร่าง กระโดดตีลังกาคราหนึ่งได้ไกลกว่า 300 ลี้ พร้อมกับได้ชื่อใหม่ว่า "ซุนหงอคง" เมื่อฝึกวิชาสำเร็จแล้วก็เกิดลำพองใจ เกิดร้อนวิชาออกอาละวาดไปทั่วไม่เว้นแม้กระทั่งสวรรค์หรือบาดาล ทำให้ 3 โลกปั่นป่วนไปหมด

    ร้อนถึงเง็กเซียนฮ่องเต้ต้องส่งทหารสวรรค์และเทพต่างๆ ไปจับซุนหงอคง นอกจากจะจับไม่ได้แล้ว กลับถูกซุนหงอคงเล่นงานจนแตกกระจายไปหมด ในที่สุดเง็กเซียนฮ่องเต้ต้องยอมแพ้ให้ยกซุนหงอคงขึ้นเป็นใหญ่ พร้อมแต่งตั้งให้เป็น "มหาเทพฉีเทียนต้าเซิ้น"

    แต่ซุนหงอคงก็ยังเหิมเกริมไม่เลิก ในที่สุดองค์ยูไลต้องเสด็จมากำราบด้วยตัวเอง โดยจับซุนหงอคงไว้ให้ภูเขาหินทับขังไว้นานถึง 500 ปี และกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะช่วยออกมาได้คือพระถัมซังจั๋ง และซุนหงอคงต้องยอมบวชเป็นลูกศิษย์รับใช้พระถังซัมจั๋งไปชมภูทวีป (อินเดีย) และต้องคุ้มครองพระถังซัมจั๋งไปตลอดทางด้วยจึงจะเป็นอิสระ

    ทั้งนี้ ศาลเจ้าเง็กฮกตึ๊ง (เจ้าพ่อเห้งเจีย) ตั้งอยู่ที่สวนผัก ตลิ่งชัน ซอย 19 กรุงเทพฯ โทร. 02 435-1143, 02 8842522-3

    5. ศาลเจ้าพ่อกวนอู

    ท่านกวนอู หยุน ฉาง (ภาษาจีนกลางเรียกนามท่านว่า กวนอี่ว์) เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเล่าปี่ และเตียวหุย ตามพงศาวดารเรื่องสามก๊ก หน้าท่านแดงตลอดเวลาเหมือนพุทราสุก มีหนวดเครางดงาม มีง้าวเป็นอาวุธคู่กาย ท่านมีความรอบรู้ด้านการทหารมาก มีพาหนะสุดยอด คือ ม้าเซ็กเทา ท่านร่วมชีวิตในการศึกร่วมกับเล่าปี่ด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดีและกล้าหาญ หลังจากท่านสิ้นชีวิตลง ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าแห่งคุณธรรม และมีความซื่อสัตย์สูงส่ง

    ภายในศาลเจ้าพ่อกวนอู ประดิษฐานรูปปั้นของท่าน และด้านข้างมีรูปปั้นเทพเจ้าม้า (เบ๊เอี๊ย) เซ่นไหว้รูปม้าพร้อมกับเขย่าลูกกระพรวน ซื้อผักให้เทพเจ้าม้า และถวายของไหว้ได้ ณ ศาลแห่งนี้ ศาลเจ้าพ่อกวนอู (บางคนเรียกศาลเจ้าพ่อม้า) ผู้หลักผู้ใหญ่เก่าๆ มักแนะนำให้ลูกหลานมาไหว้ท่านทุกปี

    การไหว้เจ้าพ่อกวนอู สำหรับบุคคลเกิดดวงชะตาธาตุต่างๆ

    เจ้าพ่อกวนอูเป็นธาตุไฟ คนที่เกิดธาตุน้ำมาไหว้แล้วจะดี
    เจ้าพ่อกวนอูเป็นธาตุไฟ คนที่เกิดธาตุทองหากเป็นข้าราชการมาไหว้จะดี
    เจ้าพ่อกวนอูเป็นธาตุไฟ คนที่เกิดธาตุดินมาไหว้แล้วจะเกิดอำนาจบารมี
    เจ้าพ่อกวนอูเป็นธาตุไฟ คนที่เกิดธาตุไฟมาไหว้แล้วจะทำให้มีความเชื่อมั่นดีขึ้น
    เจ้าพ่อกวนอูเป็นธาตุไฟ คนที่เกิดธาตุไม้มาไหว้แล้วจะทำให้ใจเย็นขึ้นรอบคอบมากขึ้น

    สถานที่ตั้งศาลเจ้าพ่อกวนอู : ตรอกโรงโดม ซอยอิสรานุภาพ เดินตรงจากศาลเจ้าเล่งบ๊วยเอี๊ยมาเล็กน้อย ถนนเยาวราช กรุงเทพฯ

    6. วัดจีนประชาสโมสร

    วัดจีนประชาสโมสร จังหวัดฉะเชิงเทรา หรือวัดเล่งฮกยี่ ที่ ขยายมาจากวัดมังกรกมลาวาสในจังหวัดกรุงเทพมหานคร เริ่มสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2449 เป็นวัดจีนเก่าแก่แห่งศาสนาพุทธนิกายมหายาน ภายในวัดจีนมี พระพุทธรูป เทพเจ้า เจ้าแม่กวนอิม และเทพอื่นๆ ภายในวัด ถือเป็นวัดจีนเพียงแห่งเดียวในจังหวัดฉะเชิงเทรา มีระฆังใบใหญ่หล่อจากชาวจีนแต้จิ๋ว มีน้ำหนักกว่า 1 ตัน ที่รอบระฆังมีอักษรมหาปรัชญาปารมิตราสูตร ถ้าผู้ใดตีระฆังก็ฟังเหมือนกับการสวดมนต์ธรรมะ ในวัดมีพระประธาน ซึ่งได้นำมาจากประเทศจีน เมื่อครั้ง 100 กว่าปีมาแล้ว

    ทั้งนี้ วัดจีนประชาสโมสร ตั้งอยู่ที่ ถนนศุภกิจ ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา

    นี่เป็นวัดจีนที่แนะนำมาบางส่วนเท่านั้น ความจริงแล้วยังมีสถานที่ และวัดอีกจำนวนมากที่สามารถไปทำบุญ และไหว้เพื่อเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตได้ …
    ……………………………………………………………………………………………………………………
    <O:p</O:p
    ที่มา มาทำบุญช่วงตรุษจีนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มกราคม 2012
  2. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    วันตรุษจีน ..

    วันตรุษจีน 2555 ประวัติวันตรุษจีน
    <O:p</O:p
    ตรุษจีน เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เพราะชาวจีนถือว่า วันตรุษจีน คือวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน เช่นเดียวกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย ดังนั้นชาวจีนจึงให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้เป็นอย่างยิ่ง และมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยเฉพาะชุมชนขนาดใหญ่ของคนเชื้อสายจีน ซึ่งในแต่ละพื้นที่ก็จะมีพิธีเฉลิมฉลองแตกต่างกันไป สำหรับปี 2555 นี้ วันตรุษจีนตรงกับวันที่ 23 มกราคม

    สำหรับที่มาของ วันตรุษจีน นั้น เชื่อกันว่าประเพณีนี้มีมานานกว่าสี่พันปีแล้ว จัดขึ้นเพื่อฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เดิมที่ไม่ได้เรียกว่าเทศกาลตรุษจีน แต่มีชื่อเรียกต่างกันตามยุคสมัย นั่นคือเมื่อ 2100 ปีก่อนคริสตศักราชจะเรียกว่า "ซุ่ย" ซึ่งมีความหมายถึงการโคจรครบหนึ่งรอบของดาวจูปิเตอร์ จนกระทั่งต่อมาในยุค 1000 กว่าปีก่อนคริสตศักราช เทศกาลตรุษจีนจะถูกเรียกว่า "เหนียน" หมายถึงการเก็บเกี่ยวได้ผลอุดมสมบูรณ์นั่นเอง

    นอกจากนี้ วันตรุษจีน ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันชุงเจ๋" ซึ่งหมายถึงเทศกาลดูใบไม้ผลิ หรือขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ เพราะช่วงก่อนตรุษจีนนั้นตรงกับฤดูหนาว ไม่สามารถทำการเกษตรได้ ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่มีอากาศเหมาะสมแก่การเพาะปลูก ชาวจีนจึงสามารถทำนา ทำสวน ได้อีกครั้งหลังจากผ่านพ้นฤดูหนาวมานั่นเอง

    ส่วนการกำหนด วันตรุษจีน นั้น ตามประเพณีเทศกาลตรุษจีนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือนอ้ายตามปฏิทินจันทรคติของจีน และถือว่าคืนวันที่ 30 เดือน 12 เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ส่วนวันที่ 1 เดือน 1 คือวันชิวอิก หมายถึงวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ

    การเตรียมงานเพื่อการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนนั้น จะเริ่มขึ้นตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อน วันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) โดยผู้คนจะเริ่มซื้อข้าวของต่างๆ เพื่อประดับตกแต่งบ้านเรือน และเตรียมทำความสะอาดครั้งใหญ่ ตั้งแต่ชั้นบนลงชั้นล่าง เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะเป็นการปัดกวาดสิ่งที่ไม่ดีออกไป ภายในบ้านทั้งประตู หน้าต่าง จะประดับประดาไปด้วยสีแดง และกระดาษสีแดงที่มีคำอวยพรให้อายุยืน ร่ำรวย อยู่ดีมีสุข ฯลฯ

    จากนั้นครอบครัวจะร่วมรับประทานอาหารที่ล้วนแต่มีความหมายมงคลทั้งสิ้น เช่น กุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรืองและความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งความโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาหร่าย จะนำความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร หลังจากทานอาหารค่ำแล้ว ทุกคนในครอบครัวจะนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับ วันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง..

    ประเพณีตรุษจีนในประเทศไทย

    วันตรุษจีน นับได้ว่าเป็นวันที่มีความสำคัญมากวันหนึ่งของชาวจีน เนื่องจากวันตรุษจีนเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีของชาวจีนในจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก โดยเทศกาลนี้เริ่มต้นในวันที่ 1 เดือน 1 ของปีตามจันทรคติ ซึ่งในปีนี้วันตรุษจีนตรงกับวันที่ 23 มกราคม 2555

    สำหรับปีใหม่จีนนี้ ก็เช่นเดียวกับปีใหม่ของตะวันตก เนื่องจากถือว่าเป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นการเตรียมความพร้อมสู่การเริ่มต้นสิ่งดี ๆ ในปีต่อไป ซึ่งก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวจีนทั่วไปที่จะมีการทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่เพื่อปัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากบ้าน และต้อนรับสิ่งดี ๆ เข้ามา นอกจากนี้ วันตรุษจีนยังถือได้ว่าเป็นวันที่ชาวจีนได้แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษและสรรพสิ่ง รวมทั้งเป็นวันที่ทุกคนจะได้รวมญาติ ได้พบปะญาติพี่น้องมากมายอีกด้วย ดังนั้น วันตรุษจีนจึงถือเป็นวันหยุดที่สำคัญมาก และจะมีการเฉลิมฉลองของชาวจีนและชาวจีนโพ้นทะเลไปทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี มองโกเลีย เวียดนาม ทิเบต เนปาล ภูฐาน รวมถึงในประเทศไทย ซึ่งมีชาวไทยเชื้อสายจีนอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน

    สำหรับในประเทศไทย จะถือปฏิบัติกันอยู่ 3 วันสำคัญ คือ วันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว

    1. วันจ่าย คือวันก่อนวันสิ้นปี ซึ่งเป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหาร ผลไม้ และเครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้านหยุดพักผ่อนยาว ในตอนค่ำจะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ (ตี่จู้เอี๊ย) ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการะบูชาของเจ้าบ้าน

    2. วันไหว้ คือ วันสิ้นปี โดยในวันไหว้จะมีการไหว้ 3 ครั้ง คือ

    ตอนเช้ามืด ไหว้ "ไป่เล่าเอี๊ย" เป็นการไหว้เทพเจ้าต่าง ๆ โดยมีเครื่องไหว้ คือเนื้อสัตว์สามอย่าง (ซาแซ) ได้แก่ หมู เป็ด ไก่ หรือเพิ่ม ตับ ปลา เป็นเนื้อสัตว์ห้าอย่าง (โหงวแซ) ก็ได้ และที่ขาดไม่ได้คือ เหล้า, น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง

    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1026 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>ตอนสาย จะไหว้ "ไป่แป๋บ้อ" คือ การไหว้บรรพบุรุษ หรือญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน โดยการไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยงวัน เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ จากนั้นญาติพี่น้องจะมาร่วมกันทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเป็นสิริมงคล และถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด โดยจะมีการแจกอั่งเปาหลังจากทานอาหารร่วมกันแล้ว

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1027 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>ตอนบ่าย จะไหว้ "ไป่ฮ่อเฮียตี๋" เป็นการไหว้ผีพี่น้องและผีไร้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว เครื่องไหว้จะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทัด เพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเพื่อความเป็นสิริมงคลนั่นเอง
    <O:p</O:p
    3. วันเที่ยว หรือ วันถือ ซึ่งก็คือวันขึ้นปีใหม่ หรือเรียกว่า วันชิวอิก วันนี้ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมา คือ "ไป่เจีย" เป็นการไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยการมอบส้มสีทองให้ 4 ผล ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าของผู้ชาย โดยเหตุที่ให้ส้มก็เพราะ คำว่า ส้ม นั้น ออกเสียงภาษาจีนแต้จิ๋วว่า "กิก" () ซึ่งไปพ้องกับคำว่า ความสุขหรือโชคลาภ () เพราะฉะนั้นการให้ส้มจึงเหมือนนำความสุขหรือโชคลาภไปให้ เหตุที่เรียกวันนี้ว่าวันถือ คือเป็นวันที่ชาวจีนถือว่าเป็นสิริมงคล งดการทำบาป จะมีคติถือบางอย่าง เช่น งดพูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่ทวงหนี้กัน ไม่จับไม้กวาด และจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่แล้วออกเยี่ยมอวยพรและพักผ่อนนอกบ้าน เป็นต้น


    การไหว้เจ้าที่ และ ไหว้บรรพบุรุษ<v:shape style="WIDTH: 9.75pt; HEIGHT: 9.75pt" id=_x0000_i1029 alt="" type="#_x0000_t75"> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image002.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/ann-154.gif"></v:imagedata></v:shape>

    <O:p</O:p
    ของไหว้เจ้าที่ประกอบด้วย

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1030 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>ของคาว ประกอบไปด้วย หมู เป็ด ไก่ ตับ ปลา แล้วแต่ว่าจะไหว้มากหรือน้อย หากไหว้ 3 อย่างเรียกว่า ชุดซาแซ ซึ่งมี หมู เป็ด ไก่ ส่วนการไหว้ 5 อย่างเรียกว่า ชุดโหงวแซ ซึ่งมี หมู เป็ด ไก่ ตับ ปลา

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1031 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>ขนมไหว้ ประกอบไปด้วย ฮวกก้วยหรือขนมถ้วยฟู, คักท้อก้วยหรือขนมกุยช่าย (เป็นไส้ชนิดใดก็ได้), ขนมจันอับ, ซาลาเปา ซึ่งขนมไหว้นี้ต้องมีสีชมพูหรือมีแต้มจุดแดง

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1032 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>ขนมไหว้พิเศษ ขนมเข่ง ขนมเทียน ต้องมียืนเป็นหลัก

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1033 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>ผลไม้ ส้ม, กล้วยทั้งหวีเลือกเขียว ๆ , องุ่น, แอ๊ปเปิ้ล, ชมพู่, ลูกพลับ

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1034 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>เครื่องดื่ม น้ำชา 5 ที่ หากมีไหว้ของคาวจะไหว้เหล้าด้วยก็ได้ จัด 5 ที่เช่นกัน

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1035 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>กระดาษเงิน กระดาษทอง ชุดไหว้เจ้าที่

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1036 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>จำนวนธูปไหว้ คนละ 5 ดอก

    หมายเหตุ จำนวนชนิดของขนมไหว้ นิยมให้สอดคล้องกับของคาว เช่น ไหว้ของคาว 3 อย่าง ขนม 3 อย่าง และผลไม้ 3 อย่าง
    <O:p</O:p
    ของไหว้บรรพบุรุษประกอบด้วย

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1037 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>ของคาว ประกอบไปด้วย หมู เป็ด ไก่ ตับ ปลา แล้วแต่ว่าจะไหว้มากหรือน้อย หากไหว้ 3 อย่างเรียกว่า ชุดซาแซ ซึ่งมี หมู เป็ด ไก่ ส่วนการไหว้ 5 อย่างเรียกว่า ชุดโหงวแซ ซึ่งมี หมู เป็ด ไก่ ตับ ปลา

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1038 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>กับข้าว นิยมจัด 8 อย่าง หรือ 10 อย่าง โดยให้มีของน้ำ 1 อย่าง

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1039 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>ข้าว ข้าวสวยใส่ชามพร้อมตะเกียบ จำนวนชุดตามจำนวนบรรพบุรุษ นิยมนับถึงแค่รุ่นปู่ย่า

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1040 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>ขนมไหว้ ประกอบไปด้วย ฮวกก้วยหรือขนมถ้วยฟู, คักท้อก้วยหรือขนมกุยช่าย (เป็นไส้ชนิดใดก็ได้), ขนมจันอับ, ซาลาเปา ซึ่งขนมไหว้นี้ต้องมีสีชมพูหรือมีแต้มจุดแดง

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1041 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>ขนมไหว้พิเศษ ขนมเข่ง ขนมเทียน ต้องมียืนเป็นหลัก

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1042 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>ผลไม้ ส้ม, กล้วยทั้งหวีเลือกเขียว ๆ , องุ่น, แอ๊ปเปิ้ล, ชมพู่, ลูกพลับ

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1043 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>เครื่องดื่ม น้ำชา 5 ที่ หากมีไหว้ของคาวจะไหว้เหล้าด้วยก็ได้ จัด 5 ที่เช่นกัน

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1044 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>กระดาษเงิน กระดาษทอง ต้องมี "อ่วงแซจิ่ว" สำหรับใบเบิกทางให้บรรพบุรุษลง มารับของไหว้ ทองแท่งสำเร็จรูป แบงก์กงเต็ก ค้อซี ฯลฯ จะมากหรือน้อยแล้วแต่เรา

    <v:shape style="WIDTH: 8.25pt; HEIGHT: 6.75pt" id=_x0000_i1045 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/48be2683.gif"></v:imagedata></v:shape>จำนวนธูปไหว้ คนละ 3 ดอก

    <O:p</O:p
    9 ข้อห้ามที่ไม่ควรทำวันตรุษจีน
    <O:p</O:p
    ซินเจียยู่อี่ ซินนี่ฮวดไช้ ใกล้เทศกาลวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน คงจะตื่นเต้นกันไม่น้อย เพราะช่วงเวลานี้ เป็นช่วงที่จะได้พบกับญาติมิตรที่ไม่เจอหน้ากันมานาน และบางคนก็อาจได้รับอั่งเปาของขวัญจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือ แต่ในเมื่อนี่คือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนทั้งที หลาย ๆ บ้านก็คงจะมีธรรมเนียมปฏิบัติและข้อห้ามที่สืบทอดต่อกันมา ซึ่งในวันนี้จะพาไปดูกันว่ามีข้อห้ามอะไรบ้างไม่ควรปฏิบัติในวันตรุษจีน

    <v:shape style="WIDTH: 37.5pt; HEIGHT: 37.5pt" id=_x0000_i1046 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image003.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/ann04_1.gif"></v:imagedata></v:shape>1. ห้ามทำความสะอาดบ้านในวันตรุษจีน

    ชาวจีนมีความเชื่อว่า การทำความสะอาดบ้าน และทิ้งขยะ ในวันตรุษจีนนั้น จะเป็นการการกวาดเอาโชคลาภ เงินทอง ออกไปจากบ้าน แม้ว่าบ้านในช่วงวันตรุษจีนจะสกปรกก็ตาม บางคนที่จำเป็นจะต้องทำความสะอาดบ้าน ก็จะเพียงกวาดเศษฝุ่นไปไว้ที่มุมบ้าน แล้วค่อยเอาเศษฝุ่นนั้นไปทิ้งในวันต่อไป ดังนั้น วันตรุษจีน จึงไม่ค่อยมีคนทำความสะอาดบ้าน แต่จะไปทำความสะอาดกันหนึ่งก่อนวันตรุษจีน เพื่อที่จะให้บ้านสะอาดรับปีใหม่ และใช้บ้านในการต้อนรับแขกที่จะมาเยี่ยมเยียนอีกทางหนึ่ง

    <v:shape style="WIDTH: 37.5pt; HEIGHT: 37.5pt" id=_x0000_i1047 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image003.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/ann04_1.gif"></v:imagedata></v:shape>2. ห้ามสระผมหรือตัดผม

    ชาวจีนจะไม่นิยมสระผมหรือตัดผมกันในวันตรุษจีน หรือบางคนก็จะไม่สระผม 3 วันหลังจากวันตรุษจีน เนื่องจากคำว่า ผม เป็นคำพ้องเสียงและพ้องรูปกับคำว่า มั่งคั่ง ดังนั้น การสระหรือตัดผมในวันตรุษจีน จึงเหมือนกับการนำความมั่งคั่งออกไป

    <v:shape style="WIDTH: 37.5pt; HEIGHT: 37.5pt" id=_x0000_i1048 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image003.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/ann04_1.gif"></v:imagedata></v:shape>3. ห้ามพูดคำหยาบและทะเลาะเบาะแว้ง

    ในวันตรุษจีน คนจีนจะงดพูดคำหยาบและสิ่งที่ไม่ดี รวมไปถึงการพูดถึงความตายหรือผี เนื่องจากเชื่อว่า การพูดสิ่งที่ไม่ดีในวันนี้ จะนำความโชคร้ายมาให้ตลอดทั้งปี รวมไปถึงการที่ไม่พูดถึงเลข 4 เนื่องจากเลข 4 ในภาษาจีน ออกเสียงคล้ายกับคำว่า ตาย ดังนั้น หลาย ๆ คนจึงพยายามไม่ใช้หรือไม่พูดอะไรที่เกี่้ยวข้องกับเลข 4

    <v:shape style="WIDTH: 37.5pt; HEIGHT: 37.5pt" id=_x0000_i1049 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image003.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/ann04_1.gif"></v:imagedata></v:shape>4. ห้ามกินโจ๊กและเนื้อสัตว์

    คนจีนมักจะไม่กินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีน เนื่องจากเชื่อว่า คนจนคือคนที่มักจะกินโจ๊กในตอนเช้า ดังนั้น การกินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีนจึงเหมือนกับการขัดขวางไม่ให้ตัวเองร่ำรวย และทำตัวเหมือนคนจน ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงการไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย เนื่องจากเชื่อว่า เทพเจ้าที่ลงมาในตอนเช้าของวันตรุษจีนนั้นเป็นมังสวิรัติ

    <v:shape style="WIDTH: 37.5pt; HEIGHT: 37.5pt" id=_x0000_i1050 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image003.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/ann04_1.gif"></v:imagedata></v:shape>5. ห้ามซักผ้าในวันตรุษจีน

    คนจีนเชื่อว่า เทพเจ้าแห่งน้ำเกิดในวันตรุษจีน ดังนั้น การซักผ้าในวันตรุษจีนจึงเปรียบเสมือนการลบหลู่ท่าน

    <v:shape style="WIDTH: 37.5pt; HEIGHT: 37.5pt" id=_x0000_i1051 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image003.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/ann04_1.gif"></v:imagedata></v:shape>6. ห้ามใส่ชุดขาวดำ

    เสื้อผ้าที่เป็นสีขาวดำ เป็นสัญลักษณ์ของความตาย ดังนั้น การสวมเสื้อผ้าสีขาวดำในวันนี้จึงหมายถึงลางร้าย คนจีนจึงมักสวมเสื้อผ้าสีแดงกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเชื่อว่า สีแดงคือสีที่จะนำความโชคดีมาให้

    <v:shape style="WIDTH: 37.5pt; HEIGHT: 37.5pt" id=_x0000_i1052 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image003.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/ann04_1.gif"></v:imagedata></v:shape>7. ห้ามให้ยืมเงิน

    คนจีนบางคนอาจจะหมายรวมการที่ไม่ให้ยืมสิ่งของต่าง ๆ นอกเหนือไปจากเงินแล้ว ซึ่งมีความเชื่อที่ว่า การให้ยืมเงินในวันนี้จะทำให้ทั้งปีมีคนเข้ามาขอยืมเงินตลอด รวมไปถึง หากใครที่ติดเงินใครไว้ ก็ควรที่จะคืนเงินก่อนวันตรุษจีน เพราะเชื่อกันว่า หากติดเงินใครในวันตรุษจีนแล้ว คน ๆ นั้นก็จะมีหนี้สินตลอดปีไม่จบไม่สิ้น

    <v:shape style="WIDTH: 37.5pt; HEIGHT: 37.5pt" id=_x0000_i1053 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image003.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/ann04_1.gif"></v:imagedata></v:shape>8. ห้ามทำของแตก

    คนจีนเชื่อกันว่า การทำสิ่งของแตก เช่น ทำแก้วแตก ทำจานแตก หรือทำกระจกแตก ในวันตรุษจีนนั้น จะหมายถึงลางร้ายที่บอกว่าครอบครัวจะแตกแยก หรือมีคนเสียชีวิตในครอบครัว ดังนั้นในวันนี้ จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษไม่ให้สิ่งของในบ้านแตกหรือชำรุดเสียหาย แต่หากทำของแตกโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็มีวิธีการแก้เคล็ดโดยการพูดว่า "luo di ka hua" ที่แปลว่า ดอกไม้จะเบ่งบานเมื่อตกลงสู่พื้น

    <v:shape style="WIDTH: 37.5pt; HEIGHT: 37.5pt" id=_x0000_i1054 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image003.gif" o:href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/ann04_1.gif"></v:imagedata></v:shape>9. ห้ามซื้อรองเท้าใหม่

    คนจีนจะถือคติที่ว่า จะไม่ซื้อรองเท้าใหม่ในเดือนแรกของวันตรุษจีน เนื่องจากคำว่า รองเท้า ในภาษาจีนออกเสียงว่า Hai ซึ่งคำว่า Hai นี้ มีเสียงคล้ายกับการถอนหายใจ ซึ่งชาวจีนเชื่อว่า นั่นเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นปีที่ไม่ดี

    อ่านแล้วอย่าลืมนำไปปฏิบัติ เพื่อจะได้รับเอาโชคลาภ เงินทอง เข้ามาตั้งแต่วันตรุษจีนตลอดจนทั้งปีนี้เลย..

    <O:p</O:p……………………………………………………………………………………………<O:p</O:p

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มกราคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...