ต้นแบบแห่งความงดงาม

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 18 ธันวาคม 2008.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    ต้นแบบแห่งความงดงาม

    โดย วรากรณ์ สามโกเศศ



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>รูปภาพประวัติศาสตร์ที่สุดคลาสสิครูปหนึ่งคือภาพหญิงในวัย 40 ปี กำลังก้าวเดินอย่างองอาจ ไม่มีทีท่าสะทกสะท้านหรือหวาดหวั่น โดยมีตำรวจกลุ่มหนึ่งประกบอยู่ข้างหลังด้วยท่าเดินที่ต่างกับผู้ถูกจับในข้อหากบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักรราวฟ้ากับดิน

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน พ.ศ.2495 และหญิงในภาพนี้คือ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภรรยาของรัฐบุรุษอาวุโส อดีตผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และอดีตนายกรัฐมนตรี นายปรีดี พนมยงค์

    หนังสือแจกในงานปลงศพของท่านเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2551 ชื่อ "หวนอาลัย" (ในส่วนของประวัติชีวิตเขียนโดยคุณสันติสุข โสภณสิริ) ได้บันทึกสิ่งที่ท่านได้กระทำในชีวิตเพื่อให้ลูกหลานไทยได้จดจำไว้เป็นเยี่ยงอย่าง อย่างน่าประทับใจยิ่ง

    "

    .......ท่านเป็นบุตรคนที่ 5 ของมหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) กับคุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิตฯ (สกุลเดิม สุวรรณศร) เกิดวันที่ 2 มกราคม พ.ศ.2455 ณ จวนผู้ว่าราชการ (จังหวัด) สมุทรปราการ ริมปากแม่น้ำเจ้าพระยาเยื้องพระสมุทรเจดีย์ ขณะนั้นพระยาชัยวิชิตฯ ยังมีบรรดาศักดิ์เป็นพระสมุทบุรานุรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองสมุทรปราการ ได้พาบุตรีผู้นี้ขณะมีอายุเพียงไม่กี่เดือน เข้าเฝ้าฯสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขณะประทับแรมที่พลับพลาในบริเวณจวนผู้ว่าฯ เพื่อขอรับพระราชทานชื่อ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชนามว่า "พูนศุข"

    .......ในวัยเยาว์ได้ติดตามรับใช้บิดามารดาใกล้ชิดจึงได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระบรม วงศานุวงศ์และได้พบขุนนางผู้ใหญ่ ทำให้ท่านผู้หญิงรับรู้จดจำเรื่องราวที่เป็นเกร็ดประวัติศาสตร์หลายแผ่นดิน ทั้งยังสามารถสาธยายความเป็นมาของสกุลใหญ่ๆ ในอดีตได้อย่างแม่นยำ จนนายปรีดี พนมยงค์ ยกให้เป็นเอ็นไซโคลปีเดีย (Encyclopedia) หรือสารานุกรมประวัติบุคคลประจำครอบครัว??.

    บิดามารดาของท่านผู้หญิงพูนศุข สอนให้บุตรธิดารู้หน้าที่ ทำงานเป็น และห่างไกลอบายมุขโดยห้ามการพนันทุกชนิดเข้าบ้าน ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ให้ถือคติว่า "ถ้าไม่จน อยู่อย่างจนจะไม่จน ถ้าไม่รวย อยู่อย่างรวย จะไม่รวย"

    ??.นายปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง "ชีวิตและการงาน ปรีดี-พูนศุข" ว่า.......ชะตากรรม (destiny) ของพูนศุขภายหลังสมรสแล้วนั้น จึงพลอยเป็นไปตามชะตากรรมของปรีดี ส่วนชะตากรรมของปรีดีนั้นก็ขึ้นอยู่กับผลกรรมแห่งการงานทาง "อภิวัฒน์" ที่รับใช้ชาติและราษฎรไทยเพื่อที่จะก้าวหน้าไปตามทางแห่งการกู้อิสรภาพของมนุษย์ให้พ้นจากการถูกเบียดเบียน และเพื่อให้ชาติไทยมีเอกราชและประชาธิปไตยสมบูรณ์"

    ".....ผู้หญิงคนหนึ่งผู้กำเนิดในตระกูลขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ยิ่งได้แต่งงานกับดุษฎีบัณฑิตหนุ่มนักเรียนนอกด้วยแล้ว ก็น่าจะคาดหมายได้ว่าเธอผู้นั้นจะมีชีวิตครอบครัวที่ราบรื่นโรยด้วยกลีบกุหลาบ ลาภ ยศ สรรเสริญสุข แต่ในความเป็นจริง เธอมีชีวิตคู่กับผู้ชายคนหนึ่งผู้เป็น "นักอภิวัฒน์" ใต้ดิน กว่าจะมารู้ในอีก 4 ปีต่อมาว่า เขาเป็น "มันสมอง" ของกลุ่มผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ชะตากรรมของเธอก็ได้หล่อหลอมเป็นชะตากรรมเดียวกับสามีนักอภิวัฒน์ของเธอไปแล้วอย่างแยกออกจากกันไม่ได้จนตราบชั่วชีวิต....."

    ".......เมื่อหัวหน้าครอบครัวเป็นคนทำงานการเมืองเพื่อประเทศชาติ จนแทบไม่มีเวลาส่วนตัวให้แก่ครอบครัวมากนัก แน่นอนภาระการดูแลความเป็นไปในครอบครัวและลูกๆ ทั้ง 6 คน จึงตกอยู่บนบ่าของแม่บ้าน ซึ่งเดิมเคยมีฐานะเป็นภรรยาข้าราชการประจำและอาจารย์สอนหนังสือ แล้วต่อมาได้กลายสถานะเป็นภรรยาของนักการเมืองหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ซึ่งมีชีวิตผันผวนมากจนถึงกับบ้านแตกแต่สาแหรกไม่ขาดเพราะผู้หญิงมีความทรหดอดทนและกล้าแกร่งที่ชื่อ "พูนศุข พนมยงค์"

    .......คนทั่วไปมักตั้งข้อรังเกียจว่า นักการเมืองที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้นมักเกิดความโลภของสตรีหลังบ้านนักการเมืองที่ได้ฉายาว่า คุณนายชัก 10% แต่สำหรับสตรีหลังบ้านของนายปรีดี พนมยงค์ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับหน้าที่การงานของสามี และไม่ยอมให้สินบนหรือผลประโยชน์อันมิชอบใดๆ ผ่านเข้ามาทางหลังบ้านโดยเด็ดขาด ครอบครัวของปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ ดำรงอยู่ด้วยเงินเดือนของหัวหน้าครอบครัว ซึ่งไม่สนใจเรื่องเงินทองแม้เมื่อรับเงินเดือนแล้วก็มักลืมทิ้งไว้ที่โต๊ะทำงาน จนเจ้าหน้าที่ต้องนำมาให้ที่บ้าน.......

    นางฉลบชลัยย์ พลางกูร ภริยานายจำกัด พลางกูร เสรีไทยคนสำคัญและเป็นมิตรสนิทของครอบครัว เขียนไว้ในหนังสือ "วันปรีดี 2535" มีความตอนหนึ่งว่า

    "ท่านปรีดีไม่เคยสนใจในทรัพย์สินเงินทองเลย ท่านรำคาญคนที่พูดเรื่องมรดก ท่านไม่เคยใช้เงิน ไม่เคยแตะต้องเงิน"

    .......โชคดีสำหรับรัฐบุรุษอาวุโสที่สามารถรักษาความสมถะและความซื่อสัตย์สุจริตไว้ได้อย่างขาวสะอาด เพราะมีสตรีหลังบ้านผู้มีความมักน้อยและความสุจริตทั้งไตรทวารเช่นเดียวกัน แม้นายปรีดีไม่เคยให้ของขวัญมีค่าแก่ภรรยาเช่นสามีทั้งหลายกระทำกัน แต่ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจแต่ประการใด ตรงกันข้ามท่านกลับปลาบปลื้มใจที่ได้รับความรักความไว้วางใจอันบริสุทธิ์ของสามี เหนืออื่นใดคุณูปการและความดีที่รัฐบุรุษอาวุโสมอบแก่มวลราษฎรนั้นคือ รางวัลและความภูมิใจสูงสุดที่ท่านผู้หญิงพูนศุขได้รับมอบจากสามีอันเป็นที่รัก ดังข้อเขียนของท่านเรื่อง "รำลึกถึงความหลัง" ในหนังสือ "วันปรีดี 2536" ความตอนหนึ่งว่า

    "เมื่อข้าพเจ้ารำลึกถึงความหลังคราใด ก็รู้สึกซาบซึ้งที่นายปรีดีได้เสียสละและไม่เห็นแก่ตัว ให้ความไว้วางใจข้าพเจ้าอย่างเต็มที่และอดภูมิใจไม่ได้ว่าเป็นภริยานักการเมืองที่มุ่งบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรโดยมิเคยฉ้อราษฎร์บังหลวงและกอบโกยประโยชน์เพื่อตัวเองและครอบครัวเลย"

    .......ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นได้กรีฑาทัพบุกรุกประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ในวันเดียวกันนั้นเอง นายปรีดี พนมยงค์ กับมิตรสหายผู้รักชาติได้ร่วมกันก่อตั้งองค์การต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งต่อมาได้ขยายเป็นขบวนการเสรีไทย ซึ่งมีเครือข่ายปฏิบัติการทั้งภายในประเทศ สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรอังกฤษ มีจุดประสงค์กอบกู้เอกราชอธิปไตยของชาติ ดำเนินการต่อต้านผู้รุกรานทุกรูปแบบ เพื่อให้ฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับสถานะเดิมของประเทศไทย ก่อนสงครามจะอุบัติขึ้น

    นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทย มีชื่อรหัสว่า "รู้ธ" (Ruth) เมื่อญี่ปุ่นขอให้รัฐบาลไทยเชิญนายปรีดีออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลังไปดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 ก็เป็นโอกาสที่ "รู้ธ" จะสามารถทำงานขบวนการใต้ดินรับใช้ชาติได้เต็มที่ โดยประสานสามัคคีกับคนไทยทุกหมู่เหล่าอย่างกว้างขวาง ทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ประชาชน ทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน เพื่อทำงานให้บรรลุเป้าหมายของขบวนการเสรีไทย

    ตามปกตินายปรีดีไม่เคยปรึกษาราชการบ้านเมืองกับภรรยา ส่วนใหญ่จะคุยกันเรื่องข่าวสารความเป็นมาของเหตุการณ์ ทั้งในและต่างประเทศ แต่เมื่อการต่อสู้เพื่อคัดค้านผู้รุกรานเป็นหน้าที่ของราษฎรไทยทุกคน ท่านผู้หญิงพูนศุขในฐานะผู้ใกล้ชิดที่สุดจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ช่วย "รู้ธ" รับฟังวิทยุต่างประเทศเพื่อทราบความเคลื่อนไหวของสัมพันธมิตรและข่าวสารสู้รบในสมรภูมิต่างๆ ทั่วโลก เพื่อ "รู้ธ" จะได้นำมาเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ และกำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีของพลพรรคเสรีไทยในการต่อต้านผู้รุกราน

    .......บางครั้งท่านผู้หญิงแห่งทำเนียบท่าช้างก็ช่วยงานเขียนรหัสลับวิทยุด้วยลายมือบรรจงโดยไม่ใช้พิมพ์ดีด ทั้งยังเป็นแม่บ้านคอยอำนวยความสะดวกแก่เสรีไทยที่มาปรึกษางานกับ "รู้ธ" ณ ศาลาริมน้ำ ที่ทำเนียบท่าช้าง ซึ่งเป็นเสมือนสถานที่ทำงานของบรรดาเสรีไทย ใต้จมูกของกองกำลังทหารญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ นั้นเอง

    ภารกิจสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งในช่วงมหาสงครามคือ ท่านผู้หญิงพูนศุขได้ช่วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในการถวายความอารักขาแด่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ โดยอัญเชิญเสด็จประทับ ณ พระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ปลอดพ้นจากภัยทางอากาศ จนกระทั่งสงครามสงบในปี พ.ศ.2488 และเพื่อให้เกิดความปรองดองระหว่างชนในชาติ นายปรีดีได้ขอให้รัฐบาลปลดปล่อย พร้อมทั้งคืนฐานันดรศักดิ์และบรรดาศักดิ์แก่บรรดาเจ้านายและขุนนางที่ถูกจับกุมคุมขังในสมัยรัฐบาลก่อน

    ด้วยคุณงามความดีที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และด้วยความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ ทั้งได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในความปรีชาสามารถบำเพ็ญคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติเป็นอเนกประการ นายปรีดี พนมยงค์ จึงได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโสและให้มีหน้าที่รับปรึกษากิจการราชการแผ่นดิน

    .......เมื่อเกิดรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 คณะรัฐประหารมุ่งจับเป็นหรือจับตายนายปรีดี พนมยงค์ ชีวิตของรัฐบุรุษอาวุโสก็ประสบเคราะห์กรรมจากคู่ต่อสู้ทางการเมือง และไปอยู่ต่างประเทศ จวบจนวาระสุดท้ายในปี พ.ศ.2529

    ท่านผู้หญิงพูนศุข และนายปาล พนมยงค์ บุตรชายคนโตในวัย 20 ปี ถูกจับคุมขัง ท่านผู้หญิงพูนศุขอยู่ในห้องขัง 84 วัน อย่างองอาจ ไม่คุกเข่าให้แก่ผู้ใด และต้องปล่อยตัวเพราะไม่มีหลักฐาน ส่วนบุตรชายนั้นถูกคุมขังเป็นเวลา 5 ปี

    ท่านผู้หญิงพูนศุขพลัดพรากจากสามีเป็นเวลา 5 ปี ต้องดูแลลูกที่ยังเล็ก 4 คน และกังวลใจกับลูกที่ถูกคุมขังอีก 1 คน แต่ท่านไม่เคยย่อท้อกับมรสุมชีวิต

    นายปรีดี พนมยงค์ เคยเขียนจดหมายอวยพรภรรยา เนื่องในวาระครบรอบการสมรสครั้งหนึ่งว่า "ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น น้องได้ปฏิบัติเป็นภรรยาที่ดียิ่งพร้อมด้วยความอุทิศตน เสียสละทุกอย่างเพื่อพี่และเพื่อราษฎรไทย แม้ว่าขณะนี้น้องได้รับความลำบาก เนื่องจากความอยุติธรรมของศัตรูที่ปองร้าย แต่วันใดวันหนึ่งในภายหน้า คุณความดีของน้องจะต้องปรากฏขึ้นแก่มวลราษฎรไทย"

    ท่านผู้หญิงได้กล่าวไว้ก่อนถึงอนิจกรรมว่า "กว่า 90 ปีของชีวิตฉันที่ผ่านมา เหตุการณ์มากมายหลายอย่างได้เข้ามาสู่ชีวิตของฉัน ล้วนสอนให้ฉันได้เข้าใจใน "สัจจะ" ของโลกอย่างแจ่มชัด แม้ในอดีตจะมีความแปรผันที่ทำให้ชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไปและต้องผจญกับความไม่เป็นธรรมทั้งหลายที่โหมกระหน่ำเข้ามา

    ฉันตั้งอยู่ในเจตนารมณ์ที่บริสุทธิ์ ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ สุจริต อโหสิกรรมกับทุกสิ่งทุกอย่างไม่ถือโกรธเคืองแค้นใดๆ อีก ตลอดเวลาฉันไม่เคยลืมตัวหรือรู้สึกว่าต้องสวมหัวโขน จึงไม่เคยคิดว่าชีวิตได้มีความแปรเปลี่ยนแต่อย่างใด......."

    ชีวิตของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เป็นบทเรียนแห่งความดี ความงาม และความจริง ที่ลูกหลานไทยสมควรศึกษา ปลูกบ้านให้แข็งแรงต้องมีจุดระบุระดับความสูงเป็นจุดอ้างอิงฉันใด คนจะเติบโตต่อไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีก็ต้องมีตัวอย่างให้เลียนแบบฉันนั้น

    ถ้าใครคิดจะเอาชีวิตลี้ภัยของตนเองและภรรยาไปเทียบเคียงกับวิบากกรรมในชีวิตของท่านอาจารย์ปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ แล้ว กรุณาย้อนกลับไปอ่านความงดงามแห่งคุณธรรมและจริยธรรมของชีวิตท่านทั้งสองอีกครั้ง

    ท่านอาจารย์ปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุข ไม่เคยมีคดีอาญาติดตัว สาเหตุสำคัญที่ทำให้ท่านอาจารย์ไม่กลับประเทศไทยก็เพราะไม่มีสิ่งใดที่ท่านรักเท่าประเทศชาติ ท่านไม่ต้องการให้บ้านเมืองวุ่นวาย เกิดปัญหาขึ้นเพราะตัวท่านเป็นสาเหตุ จึงยอมเสียสละที่จะอยู่ในต่างประเทศจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

    ---------
    [​IMG]
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act02181251&sectionid=0130&day=2008-12-18
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. โป๊ยเซียนสาว

    โป๊ยเซียนสาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,543
    ค่าพลัง:
    +2,279
    นรชาติ สิวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
    สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา

    คนดี อยู่ที่ไหน แม้กลาเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ความดีย่อมมีผู้ระลึกถึงอยู่มิรู้ลืม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2008
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ท่านอาจารย์ปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุข ไม่เคยมีคดีอาญาติดตัว สาเหตุสำคัญที่ทำให้ท่านอาจารย์ไม่กลับประเทศไทยก็เพราะไม่มีสิ่งใดที่ท่านรักเท่าประเทศชาติ ท่านไม่ต้องการให้บ้านเมืองวุ่นวาย เกิดปัญหาขึ้นเพราะตัวท่านเป็นสาเหตุ จึงยอมเสียสละที่จะอยู่ในต่างประเทศจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

    อนุโมทนา สาธุ
    เสียสละ อดทน จริงใจ รักประเทศชาติ พิสูจน์ได้จากการกระทำ ด้วยจิตใจ ที่เข้มแข็ง
    สิ่งที่เหลืออยู่คือคุณความดี ต่อประเทศชาติ สถิตย์ในใจลูกหลานไทย ที่รักธรรม
    ต้นแบบแห่งความงดงาม (ของการเมืองไทย)
     
  4. humanbeing

    humanbeing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +214
    สาธุ ท่านเป็นตัวอย่างที่ดี ที่น่ายกย่องคนหนึ่งจริงๆค่ะ
     
  5. แมงปอแก้ว

    แมงปอแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +139
    ขอบคุณสำหรับ ความงดงามที่นำมาฝาก สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...