ตามดูจิต...เห็นจิต...รู้จิต พ้นทุกข์ได้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย benyapa, 2 มีนาคม 2010.

  1. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ตามดูจิต...เห็นจิต...รู้จิต พ้นทุกข์ได้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ขณะที่ท่านทั้งหลายกำลังอ่านธรรมะ ๕ นาทีอยู่นี้ เชื่อว่าผู้เขียนกับคุณทมยันตีและคณะศรัทธากว่าหกสิบชีวิตกำลังอยู่ในช่วงการเดินทางแสวงบุญ นมัสการสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ตำบลอยู่ที่อินเดีย<o:p></o:p>
    การเดินทางในครั้งนี้เราได้นิมนต์หลวงปู่เฉลียว ปัญญาธโร ซึ่งถือเป็นครูบาอาจารย์อีกองค์หนึ่งของภูเตศวรและทมยันตีเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ด้วย กับอีกเรื่องที่ผู้เขียนอุบไต๋มานานโดยไม่ยอมบอกข่าวก็คือการเดินทางไปแสวงบุญครั้งนี้เรามี คุณพนิดา ชอบวณิชชา หัวเรือใหญ่ของนิตยสารขวัญเรือน ให้เกียรติร่วมเดินทางไปกับคณะด้วย<o:p></o:p>
    และแน่นอนครับ สิบสองวันแห่งการเดินทางสู่ดินแดน... พุทธภูมิ รวมทั้งการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างหริทวารกับฤษีเกศ จะถูกนำมาเผยแพร่อย่างเต็มอิ่มในคอลัมน์นี้แน่นอน!<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    วันนี้ขอเริ่มต้นกับเรื่องราวของการปฏิบัติธรรมที่คนส่วนมากมักรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก หากแท้จริงเป็นเรื่องไม่ยากกันเลยดีกว่าครับ<o:p></o:p>
    เมื่อพูดถึงคำว่า... ปฏิบัติธรรม เราท่านทั้งหลายจะคิดถึงการนั่งขัดสมาธิหลับตาแล้วก็บริกรรมพุทโธ หรือสัมมาอรหัง จนจิตรวมเป็นเอกัคตารมณ์ และมากมายกับการปฏิบัติลงท้ายด้วยความท้อถอย...เพราะน้อยคนจะพบเห็นความสงบสันติสุขจากจิตที่รวมตัวปราศจากการปรุงแต่งได้โดยง่าย<o:p></o:p>
    ท้ายสุดจิตฝ่ายกิเลสก็จะเข้าครอบงำด้วยความเกียจคร้าน จนละวางการปฏิบัติไปอย่างน่าเสียดาย<o:p></o:p>
    อีกประการที่เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งของผู้ปฏิบัติธรรมโดยทั่วไปก็คือ...การปฏิบัติธรรมสมาธิอย่างเคร่งเครียด...เพราะเข้าใจว่าการทำจิตให้สู่ความสงบเป็นภาระใหญ่ เป็นภาระหนักที่ต้องทำอย่างเอาเป็นเอาตาย ท้ายสุดได้แค่ความเคร่งเครียด ได้แค่ความอยากรู้อยากเห็นตามที่คนอื่น ๆ เล่าให้ฟัง<o:p></o:p>
    ทำสมาธิมาตั้งนานไม่เคยเห็นอะไรเลย บางรายกล่าวด้วยความรู้สึกท้อแท้<o:p></o:p>
    เห็นอะไรหรือ?” ผู้เขียนเคยย้อนถาม และคำตอบร้อยละเก้าสิบคือ...<o:p></o:p>
    ก็เห็นคนนั้นคนนี้เขาพูดกัน เห็นนิมิตนั่นเห็นนิมิตนี่...”<o:p></o:p>
    ทำสมาธิภาวนาไม่ได้มีเพื่อเห็นนิมิต ผู้เขียนเคยเอ็ดลูกศิษย์ที่ตามไปปฏิบัติด้วยบางวาระ เห็นแล้วได้อะไร...ไม่เห็นได้อะไร เห็นเราก็ตาย...ไม่เห็นเราก็ตาย”<o:p></o:p>
    จากนั้นคือคำอธิบายโดยสรุป กล่าวคือการปฏิบัติธรรม คือการทำให้ตนเองมีความรู้สึกตัวอยู่เนือง ความรู้สึกนั้นคือตัวสติ ตามรู้กาย ตามรู้ใจไปอย่างธรรมดา ๆ คำว่า ตามรู้ ตัวนี้หมายถึงความรู้ตามความเป็นจริง คือกายมีอาการอย่างไรก็รู้ จิตมีอาการอย่างไรก็รู้ การตามรู้นี้ตรงกับคำว่า อนุปัสสนา ในมหาสติปัฏฐานสูตร รู้อย่างเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่ถลำไปตามสิ่งที่ถูกรู้ ยกตัวอย่างเช่น เวลาได้ยินเขาด่าว่าติเตียน...รู้สึกโกรธ...ให้รู้ตามว่าโกรธ...พร้อมคำถามที่ตามด้วยสติ<o:p></o:p>
    โกรธ...ได้อะไร...? คำตอบคือได้ความทุกข์ร้อนใจ<o:p></o:p>
    ไม่โกรธได้อะไร? คำตอบคือความสบายไม่ทุกข์ร้อน<o:p></o:p>
    ในจิตใจ...ลงท้ายคือ...ไม่รู้จะไปโกรธไปทำไม<o:p></o:p>
    การตามรู้อันเป็นอนุปัสสนานี้เมื่อทำไปเรื่อย ๆ ในที่สุดจะเห็นตามความจริงว่า กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา แล้วจิตจะค่อย ๆ คลายความยึดถือกายและจิตไปตามลำดับ จนเข้าถึงความว่างด้วยการปล่อยวาง จิตผ่องใสไร้ขอบเขตพ้นจากการปรุงแต่งจนสามารถพ้นทุกข์ได้ในที่สุด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ในมุมกลับกัน ถ้าการปฏิบัติที่ไม่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ไม่ตามรู้กาย ไม่ตามรู้ใจ ค้นคิดหาแต่วิธีการปฏิบัติ หรือพยายามแต่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ วนอยู่กับการหาหนทางก็จะเหน็ดเหนื่อย ท้ายสุดคือความรู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมเพื่อแสวงหาความพ้นทุกข์เป็นเรื่องยากเข็ญอย่างที่กล่าวมาข้างต้น<o:p></o:p>
    เคยเขียนในคอลัมน์นี้มาหลายครั้งว่า จิตของอริยบุคคลบังเกิดได้ด้วยการเจริญสติ...สติเป็นบาทแรกและบาทสุดท้ายของมรรคผลและนิพพาน ฉะนั้นผู้แสวงหาความพ้นทุกข์ต้องรู้จักการเจริญสติ<o:p></o:p>
    การเจริญสติมิได้มีเฉพาะเวลานั่งขัดสมาธิภาวนาเท่านั้น หากเราท่านทั้งหลายสามารถเจริญสติได้ตลอดเวลา ด้วยการใช้สติกำกับกายใจอย่าให้ไหลไปตามอารมณ์...ตามสิ่งเร้าภายนอกที่เข้ามากระทบอายตนะทั้งหก...ทำไปเรื่อย ๆ ทำให้เคยชินก็จะเห็นผลในไม่ช้า<o:p></o:p>
    ผลที่ตามมาก็ไม่ต้องถามใคร...ไม่ต้องมีนิมิตบอก แต่เราจะรู้ได้ด้วยตนเองอย่างชัดเจน...กายจะเบาจิตจะเบา เพราะความโกรธจะค่อยจางหาย ความโลภก็จะบางเบาลง<o:p></o:p>
    ทั้งปวงก็เพราะจิตแนบแน่นอยู่กับสติที่ประกอบด้วย...เหตุผลแห่งความจริงที่เรียกว่า ธรรม อยู่ทุกเมื่อ อยู่ทุกขณะ<o:p></o:p>
    จิตเบา...กายก็เบา จิตสงบกายก็สงบ ฉะนั้นอย่าประหลาดใจที่เราจะเห็นว่า ผู้ปฏิบัติธรรมจะมีวรรณะผ่องใส น่าเคารพนับถืออย่างที่เห็นอยู่โดยทั่วไป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลักของการดูจิต...ตามรู้จิต มีเคล็ดลับอย่างนี้ครับ หนึ่ง...อย่าดูด้วยความอยาก ไม่ต้องตั้งท่า ไม่ต้องแสวงหา เพียงให้มีความรู้สึกตัว (สติ) แล้วตามรู้ไปธรรมดา...รู้แล้ววาง รู้แล้ววางไปเรื่อย ๆ ดูเฉพาะที่เป็นเรื่องปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นในจิต<o:p></o:p>
    สุดท้ายคือต้องดูบ่อย ๆ หรือตามรู้อยู่เสมอ ๆ ยิ่งรู้ได้ถี่มากขึ้นโดยไม่ตั้งใจมากเท่าไหร่ยิ่งดีเรียกว่าสติรู้ทันเร็วขึ้นก้าวหน้าขึ้น<o:p></o:p>
    เหตุผลที่การตามดูจิตดูกายควรงดเว้นความอยาก...การตั้งท่าเพ่งเล็งก็เพราะนัยเดียวกับการนั่งบริกรรมภาวนาทำสมาธิ ถ้าทำอย่างตั้งอกตั้งใจมากเกินไปก็จะกลายเป็นการปรุงแต่ง เป็นการก้าวสู่ความเคร่งเครียด จนยากจะเห็นธรรมชาติจริง ๆ ของจิต<o:p></o:p>
    ซึ่งจะทำให้บรรลุผลช้า!<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    บทสรุปเกี่ยวกับการตามดู...ตามรู้จิตที่กล่าวมาทั้งหมด ก็เพื่อการเห็นว่าตัวความรู้สึกทั้งหลายนั้นเป็น นามธรรม ไม่ใช่ตัวเรา นามธรรมจะแสดงธรรมให้ดู แสดงให้เห็นความจริงที่ว่า เมื่อเกิดขึ้นจะตั้งอยู่ท้ายสุดก็ดับไปเสมอ...เมื่อเห็นมากขึ้นเห็นบ่อยครั้ง ความรู้ที่ได้จะซึมซับจนจิตเริ่มปล่อยวางความรู้สึกต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ตัวเราลงได้ คือเมื่อสุขก็ไม่หลงยินดี เมื่อทุกข์ก็ไม่ยินร้าย...อยู่กับภาวะกลาง ๆ อันเป็นภาวะแห่งความพ้นทุกข์ในที่สุด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    วันนี้ที่ยกเรื่องนี้มากล่าวมิใช่เป็นการนำมาหักล้างการปฏิบัติธรรมสมาธิในรูปแบบอื่น ๆ นะครับ หากเป็นเพียงอีกวิธีที่น่าจะทำได้โดยง่าย ยิ่งนำไปผสานกับการปฏิบัติภาวนาตามหลักกรรมฐานอื่น ๆ อย่างสม่ำเสมอ ความก้าวหน้าก็จะบังเกิดรวดเร็วขึ้นอีกหลายเท่า<o:p></o:p>
    ไม่เชื่อก็ลองปฏิบัติดูสิครับ!
    ที่มา:http://www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=51&wpid=0019
     

แชร์หน้านี้

Loading...