"ตอบปัญหานักภาวนา ตอนที่ ๒ (จบ)" : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Nana nora, 25 มิถุนายน 2023.

  1. Nana nora

    Nana nora สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +68
    17652861174515.jpg

    #ตอบปัญหานักภาวนา ตอนที่ ๒ (จบ)

    โยม : เดิมจริง ๆ ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ แต่ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นคือจิตพระอรหันต์

    องค์หลวงปู่น้อย : ใช่ก็เป็นจิตเดิมที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น เข้าใจไหม หลวงปู่จะพูดถึงจิตเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง นี่ก้อนหินก้อนนี้คือก้อนหินเดิม แต่เมื่อเราจับดูแล้วก้อนหินก้อนนี้เราไม่เอาอีกแล้วเราโยนทิ้งมันก็เป็นก้อนหินก้อนเดิมก้อนนั้นเหมือนกัน หลวงปู่ทิ้งธาตุตัวนี้ได้เพราะว่าหลวงปู่สละตาย นั่งภาวนาจนร่างแตกก็ธาตุทั้งสี่มันไม่ใช่เป็นของเรา นั่งภาวนาใช้วิปัสสนาญาณหยั่งเข้าไปเลยเป็นเพียงธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประชุมกันตั้งเป็นก้อน ช่วงที่หลวงปู่นั่งภาวนาสละตายแล้วนะหลวงปู่เขียนไว้ในนี้อยู่ (หนังสือชีวประวัติ)
    ที่หลวงปู่เข้าใจเรื่องความร้อน ความเย็นที่เราพูดกันเมื่อกี้ ต้องเข้าใจว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เราจึงเป็นวิปัสสนาญาณที่แท้

    เวลานั่งภาวนาก็ร่างกายนี้ไม่ใช่เราปวดมันก็ไม่ใช่เรา ถ้าตัวปวดเป็นของเราเราต้องบังคับได้ไม่ให้มันปวด ถ้าตัวร้อนเป็นของเราเราต้องบังคับได้ถ้ามันเป็นของเรา มึงห้ามร้อน แสดงว่าทุกสิ่งอย่างเป็นสภาวะเข้าใจไหมนี่คือวิปัสสนาญาณที่แท้ เอ้า..เมื่อมันเป็นสภาวะของมัน มันเป็นธาตุทั้งสี่ ทิ้งขันธ์ ปวดก็คือปวด ตายก็คือตาย ไม่หลับตา ลืมตาตัวสั่นหมดสั่นจนมันชาสุด ๆ คือมันปวดสุด ๆ เนี่ย ร้อนนี่ร้อนเหมือนไฟเผาเลยนะหลวงปู่นะ ปวดๆๆๆเหมือนไฟเผา เวลามันเจ็บปวดนี่เหมือนกับเอาเข็มมาทิ่ม ภาวนาเอาชีวิตแลกเลยมันทนได้ไหมทนได้ก็คือเอาชีวิตแลกเลย เวลาร้อนนี่มันร้อนที่จุดเดียวก่อนมันร้อนที่จุดเดียวมันร้อนขึ้น ๆ ๆ ร้อนจนทั่วขันธ์ เอ้า..ร้อนก็คือร้อน พังก็คือพัง ก็ถ้าเป็นของเราเราต้องบังคับได้ว่ามึงอย่าร้อน

    โยม : อย่างนั้นวิธีการที่จะตัดสิ่งที่มันเกิดขึ้นทั้งหลาย

    องค์หลวงปู่น้อย : วิธีการมันง่ายคือวาง แต่วิธีทำวิธีการกับวิธีทำไม่เหมือนกันนะ วิธีการมันง่ายคือวางไม่เอาอะไร แต่วิธีทำมันยากคือต้องสละ สละร่างกาย

    โยม : จิตเราไปจี้ไปตามรู้ หรือเข้าบ้าน

    องค์หลวงปู่น้อย : จะว่าตามรู้หรือไปไหนคือไม่เอาแม้กระทั่งจิต เพราะที่จริงแล้วสัพเพธัมมาอนัตตา จิตก็ไม่ใช่เราอีกละ ถ้าจิตเป็นเราเราต้องบังคับได้ ความคิดเป็นเราเราต้องบังคับได้ สภาวะอย่างเดียวก็คือรู้ที่มันเกิดรู้ที่มันปรุงรู้ที่มันแต่ง...ทิ้ง ที่หลวงปู่ได้เห็นเป็นธรรมตัวนี้ ลูกเข้าใจไหมธรรมที่พ่อสอนถึงความบริสุทธิ์เพราะว่าอย่างไรมันก็บังคับไม่ได้ เพราะความคิดตัวนี้เราก็บังคับไม่ได้ก็แสดงว่าความคิดไม่ใช่เรา ใจตัวนี้เราก็บังคับไม่ได้เพราะมันไม่ใช่เราอีก เราไม่อยากจะรักคนนี้แต่เราเกิดรักเขา หรือเราไม่อยากจะชังคนนี้เราเกิดชังเขามันก็เป็นสภาวะที่เราบังคับมันไม่ได้ก็แสดงว่าสภาวะนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าของเราเราต้องบังคับได้ วิธีเดียวทิ้งมันเลย สละตายสำหรับหลวงปู่นะ

    โยม : คือธาตุทั้งสี่มันมาประชุมรวมกันเป็นขันธ์ถูกไหม แล้ว..จะทิ้ง

    องค์หลวงปู่น้อย : เอาอย่างนี้ง่าย ๆ เราอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ไปเรื่อย ๆ ว่าเราต้องทิ้งสุดท้าย คือความคิดนี่ก็ไม่ใช่เรา ความสุขก็ไม่ใช่เรา ความทุกข์ก็ไม่ใช่เรา ตัวรู้ก็ไม่ใช่เรา ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา ช่วงบั้นปลาย โอยกูป่วยกูไม่ไหวแล้ว..วาง วางตอนนั้นก็เป็นพระอรหันต์ช่วงสุดท้าย

    โยม : พิจารณาว่าไม่ใช่เรา

    องค์หลวงปู่น้อย : ใช้วางเลยอย่าไปคิดถึงลูก อย่าไปคิดถึงผัว อย่าไปคิดถึงเมีย อย่าไปคิดถึงทรัพย์สิน อย่าไปคิดถึงตัวรู้ตัวอะไร เพราะว่าสัพเพธัมมาอนัตตาขั้นสูงสุดจะไม่มีตัวรู้จะไม่มีอะไรทั้งสิ้น ทิ้งจิตเลย จึงจะทำลายภพชาติได้ เรียกว่าสัพเพธัมมาอนัตตา ถ้ายึดจิตอยู่ก็ยังไม่ใช่สัพเพธัมมาอนัตตายังเกิดอีก

    พระพุทธเจ้าว่าพวกเธอเป็นพระอรหันต์ สมมติว่าเจ้านี้เป็นพระอรหันต์มา 100 ปี กับคนนี้เป็นพระอรหันต์ช่วงสุดท้ายขณะจิตเกิดดับเนี่ย พระพุทธเจ้าก็ยกย่องว่าเสมอกันไม่มีก่อนไม่มีหลัง เธอจะเป็นพระอรหันต์มา 100 ปีก็ตามกับเป็นพระอรหันต์เดี๋ยวนี้ขณะจิตเดียวก่อนที่จะตายจิตสุดท้ายเนี่ยก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเป็นพระอรหันต์มา 100 ปี เรารู้สภาวะที่เกิดเรียกว่าวิปัสสนามันต้องมีเจ็บ มีปวด มีสุข มีทุกข์ เราไม่สามารถบังคับมันได้ทิ้งสุดท้ายก็คือแล้วเลย ทิ้งได้ไหมละ ถ้าไม่ต้อการก็ทิ้งคือวาง

    เพราะว่ามันเป็นเรื่องของสัตว์โลกที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ถ้าสัตว์โลกฉลาด สัตว์โลกก็เป็นพระอรหันต์หมด ลูกเข้าใจนะสัตว์โลกจะอยู่อย่างนี้แม้พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เป็นล้าน ๆ พระองค์ก็ตามก็ได้ไปเพียงส่วนหนึ่งอีกสามส่วนยังอยู่อย่างนี้ต่อไป จะบอกว่าโง่ไหมไม่ได้บ่งบอกว่าโง่ มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น แต่หลวงปู่จะทราบสิ่งหนึ่งคือถ้าบารมีมันสร้างมาเต็มแล้วการแนะนำพร่ำสอนก็คือไม่มากเกินมันจะไปของมันเอง หลวงปู่ไม่มีใครสอนเลยเพราะหลวงปู่ระลึกชาติถอยไประลึกชาติว่าเราสร้างบารมีคนเดียวตั้งแต่เป็นเด็กสร้างสะพานเขียนไว้ในชีวประวัติอ่านดูซิ เฮาเขียนให้ละเอียดเลยเพราะยังมีชีวิตอยู่

    โยม : เอาเป็นว่าถ้าหากว่าเราสงสัยจะทำอย่างไรถึงจะรู้ พยายามจะทิ้งแต่ว่าหนทางที่จะไปทิ้งนี่มันมีอุปสรรคในช่วงมีอุปสรรคเนี่ยต้องการที่จะมีครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ แล้วถ้าจะถามครูบาอาจารย์แล้วให้ท่านมาถามหลวงปู่ได้ไหม

    องค์หลวงปู่น้อย : หลวงปู่จะพูดให้ฟังนะ ธรรมชั้นนั้นมันเป็นสันทิฏฐิโก ลูกจะถามมันก็เพียงดับเวทนาชั่วครู่ชั่วคราวแต่ถ้าลูกผ่านจุดนั้นได้ด้วยลูกเองลูกจะเป็นผู้ชนะได้เลย เข้าใจไหมเพียรพยายามอย่าถามถ้าศึกษาความรู้จากครูบาอาจารย์คือถามเข้าใจแล้ว ลูกก็ปฏิบัติ ลูกเพียรพยายามออกจากจุดนั้นของลูกเองให้ได้ ถ้าลูกเพียรพยายามถามอยู่ ถามอยู่ล้านปีลูกก็จะอยู่ที่เก่ามันไม่ไปนะ ให้รู้ด้วยตัวเองมันเป็นสันทิฏฐิโกรู้เองเห็นเองเพราะหลวงปู่ไม่เคยถามใครแต่ถ้าลูกบอกว่าไม่เข้าใจจริง ๆ งงจริง ๆ จุดนั้น ลูกก็ลองถามดู ลูกถามลูกก็เข้าใจลูกเข้าใจแค่นั้นแต่ว่าลูกไม่เข้าใจตัวเอง

    ถามได้แต่หลวงปู่ไม่เคยถามใคร เวลาหลวงปู่ปฏิบัติมาหลวงปู่ลองถามครูบาอาจารย์ว่าจิตผมเวลารวมแล้วมันทะลุลงไปในดินแล้วก็ทะลุขึ้นบนอากาศเคว้งคว้างอยู่กลางอวกาศและก็ทะลุไปในภูเขา เพิ่นไม่ทราบ จิตผมจะดับครั้งแรกเนี่ยมันจะเป็นเหมือนหนีจากบ้านมาเพราะความคิดถึงพ่อแม่ พ่อเขียนในนี้อยู่ ลูกเคยเห็นคนตรอมใจไหมคือไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการมันตรอมใจ ข้าวว่าจะกินอยู่เนี่ยจะกินไม่ลงเนี่ยเขาเรียกว่าคนตรอมใจมันจะอ้วกออกมือไม้สั่น สัจจะตัวนี้ได้ตั้งแล้วว่าเราจะไม่กลับบ้านอีกตลอดอนันตกาลทั้งที่รักพ่อรักแม่รักพี่รักน้องไม่เคยทะเลาะกันเพราะว่าครอบครัวบ้านหลวงปู่จะไม่ทะเลาะกันเลยจนเป็นที่ยกย่องในหมู่บ้านว่าเป็นบ้านตัวอย่างพี่น้องไม่เคยทะเลาะกันเลย ไม่เคยด่ากันเลยแม้แต่คำเดียว เพราะฉะนั้นเวลาที่เราออกมาเราจึงเหมือนกับเอาชีวิตแลก เวลาที่มันตรอมใจหลายวันมันไม่ได้กินข้าวร่างกายมันจะป่วยเวลาเดินมันจะเป็นกระเสาะกระแสะคือหายใจไม่ทั่วท้องคือพระโงกพระงาบ ก็เลยตัดสินใจสละตายพอตัดสินใจสละตาย ร่างมันเป็นร่างเขาเรียกมันทุกข์มากจนร่างกายแทบจะไม่มี มีแต่ความทุกข์รวมเป็นจุดใหญ่เรียกมันทุกข์มากทุกข์ที่สุดก็เหมือนเราปวดจุดนี้จุดเดียวร่างกายมันไม่มีนะ มันปวดจุดนี้ ปวดๆๆ อยู่อย่างนี้นั่นนะ เขาเรียกว่าเวทนาสุด ๆ ปวดสุด ๆ ทุกข์สุด ๆ มันจะไม่มีร่างกาย แต่หลวงปู่จะทุกข์ที่ใจมันจะเห็นใจเป็นความทุกข์ที่หนักสาหัสสากรรจ์แล้วจะเห็นสิ่งหนึ่งเป็นสีดำ ๆ กับสีขาว ๆ ปะปนกัน แต่ว่าเหนียวเหมือนกับยางมะตอย แต่นี้เวลาที่มันใจจะขาดจะเห็นเลยมันจะดึง เวทนาตัวนี้มันจะกล้าความทุกข์มันจะกล้ามันจะไม่มีความสุขเข้าไปเจือปนเลยเพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรงทุกข์ สงฆ์สาวกตรัสรู้ตรงทุกข์ แม้แต่เราทุกคนเนี่ยจะตรัสรู้ตรงทุกข์คือรู้ธรรมตรงทุกข์ถ้ามีความสุขอยู่จะตรัสรู้ไม่ได้ ใช่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าไม่รู้ทุกข์จะตรัสรู้ไม่ได้บรรลุธรรมไม่ได้ ที่พูดเมื่อกี้ว่าดีแล้วที่เห็นมันนั่นแหละคือตัวทุกข์จึงจะสามารถตรัสรู้ได้บรรลุธรรมได้ เวลาที่มันเป็นหลวงปู่มันจะแยกออกเหมือนกับมีมือมาขย้ำหัวใจเลยแล้วกระชากออกไป เวทนาตัวนั้นจะไม่มีตัวตนเลย คือมันมีความทุกข์แบบสุด ๆ มีแต่รู้ รู้แล้วก็สลัดตาย รู้แล้วก็สลัด ไม่เอาไง รู้ว่ามันทุกข์แต่ไม่คิดที่จะหนีจากทุกข์คือสลัดไงที่มันเห็นธรรม ที่หลวงปู่เห็นธรรมรู้ว่ามันทุกข์จะตายแล้วเนี่ยใจจะขาดแล้วเนี่ยสละไม่เอา นี่เรียกว่าวิปัสสนาญาณขั้นสูงสุด

    โยม : ถ้าอย่างของแม่ถ้าร้อนอย่างนี้แล้วทำไปเรื่อย ๆ ๆ จนมันถึงที่สุดแล้วมันเลิกร้อนไปแล้วตูมไปเลยหลังจากนั้นคืออะไรครับ

    องค์หลวงปู่น้อย : หลังจากนั้นคือจิตที่มันไม่รับรู้เวทนา จิตมันไม่รับรู้เวทนาตัวนี้ มันก็เลยเป็นจิตขี้เกียจ จิตมันไม่รับรู้เวทนาเป็นขี้เกียจ มันเลยไม่สนใจกับเวทนามันเลยดับไป มันเลยพักผ่อนของมันกูไม่สนใจละ

    โยม : พอเลยตรงนั้นไปตรงที่ไม่รับรู้อะไร

    องค์หลวงปู่น้อย : เลยที่ไม่รับรู้อะไรมันก็จะดับอยู่อย่างนั้นแล้วมันจะค่อยคืนมารับรู้ใหม่มารับรู้เจ็บปวดใหม่ ถ้าไม่มีการเจ็บปวดและมันจะตายได้อย่างไรร่างกาย แต่ว่าเมื่อเข้าใจเรื่องเวทนาตัวนี้ฟังนะลูกตอนนี้สติมันมากขึ้นจิตมันแกร่งขึ้น ๆ เวทนาตัวเก่าที่ว่ามันมาก ๆ มันกลับเบาบางไปพอเข้าใจไหมเพราะว่าตัวสติมันแกร่งขึ้นตัวจิตมันแกร่งขึ้น แต่เวทนามันก็เท่าเก่ามันนั่นละ แต่ว่ามันแกร่งขึ้นเมื่อมันแกร่งขึ้นแล้วเหมือนกับสมัยก่อนเนี่ยมันนุ่มแต่ตอนนี้มันเหมือนกับเหล็กเลยมันสามารถยืนหยัดได้แต่เวทนานั้นเราก็คิดว่าเวทนามาก ๆ เมื่อกี้มันหายไปไหนที่จริงมันอยู่อย่างเก่า แต่ว่าตัวรู้ตัวจิตมันแกร่งขึ้นแค่นั้นเอง ก็เหมือนกับนักรบเราจะเห็นนักรบเขายิงกันจนไส้ทะลุเราถามว่าทำไมเขายืนได้ แต่ของพวกเรามีดบาดนิดเดียวโอย..ตายละๆ เหมือนกันเลย มันอยู่ที่ฝึกจิตนะลูก แต่ว่าไอ้ตัวนั้นมันตัวเก่ามันนั่นแหละมันไม่ได้ไปไหนนะลูก กล้าหรือไม่กล้ามันอยู่ที่ฝึกจิตมันอยู่ตรงนั้น ที่จริงมันก็ปวดเท่ากันนะลูกไม่ใช่ว่ามันปวดกว่ากัน แต่ว่าความรู้สึกว่ากูปวดมากแค่นั้นเองแต่ถ้าความรู้สึกตัวนั้นมันไม่สนใจมันมีความอดทนอดกลั้นสูง ทำไมที่พระพุทธเจ้าบอกว่าหรือครูบาอาจารย์บอกว่าให้ภาวนาข้ามเวทนา เอ...มันข้ามเวทนาแบบไหน ถ้ามันข้ามได้จริงมันต้องไม่ตายร่างกายข้ามที่ไหน ข้ามคือจิตมันข้ามมันมีความแกร่งของมันแค่นั้นเองลูก คือรู้จุดเวทนามันแตกคือร่างกาย ฝึกจิตให้ข้ามเวทนาครูบาอาจารย์เคยสอน เมื่อเราเอาคำสอนมาคิด เอ...มันฝึกจิตข้ามเวทนาได้อย่างไร ก็เวลาปวดขี้มันก็เป็นเวทนาก็ต้องไปขี้เท่าเก่ามันนั่นแหละ ปวดเยี่ยวก็เป็นเวทนาอยู่ก็ต้องไปเยี่ยมเท่าเก่ามันใช่ไหมละลูก เว้นว่าอยู่ในฌานในญาณก็อยู่ได้เพียง 7 วันร่างกายมันก็จะหายใจตามอณูขุมขนนี่มันออกมาอย่างงี้พวกเหงื่อพวกขี้พวกเยี่ยวมันก็จะออกมาตามนี้ 7 วัน เข้านิโรธสมาบัติแต่ว่าเวลาออกจากนิโรธสาบัติก็ปวดขี้ปวดเยี่ยวเหมือนเดิม มันก็ไปห้องน้ำห้องส้วมเหมือนเดิมมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมามันก็เท่าเก่ามัน เพราะฉะนั้นการที่จะข้ามตรงนี้ไปได้ก็ตามความเป็นจริงเพราะมันมีแค่นี้ เหมือนเรานอนหลับช่วงที่เรานอนหลับเราไม่มีความรู้สึกว่าเราไม่หิวอะไรเราไม่ปวดขี้ปวดเยี่ยวแต่เมื่อมันปวดจริงๆมันเกิดความรู้สึก รู้สึกตัวว่ากูปวดเยี่ยว แล้วตอนที่มันดับมันไม่เป็นไรนี่คือความเป็นจริง เพราะฉะนั้นการที่เราจะเห็นความสุขเลยเป็นไปไม่ได้ การที่จะมีความทุกข์เลยเป็นไปไม่ได้มันต้องอยู่ในสภาวะเป็นปกติ พระพุทธเจ้าก็เลยให้รู้สภาวะธรรมความเป็นจริงว่ามันต้องขี้ต้องเยี่ยว ต้องเจ็บต้องปวดและมันต้องแตกสลายตายไป ทนได้ไหม ทนไม่ได้ก็ต้องทน

    โยม : ที่ครูบาอาจารย์สอนให้ฝึกจิตข้ามเวทนา พอข้ามไปเวทนาก็อยู่ตรงนี้

    องค์หลวงปู่น้อย : ฝึกจิตให้ข้ามเวทนา พอข้ามไปแล้วมันก็อยู่ที่เก่ามัน มันจะอยู่อย่างนั้นจนมันตาย ข้ามก็คือข้ามด้วยการใช้ปัญญาในทางนั้น รู้ตามความเป็นจริง จะข้ามไปได้อย่างไงตอนแรกไปถามครูบาอาจารย์ว่า ฝึกจิตให้ข้ามเวทนา เอ...มันจะข้ามได้อย่างไง เพราะว่าถ้ามีเวทนามันจะตายได้อย่างไงความคิดเราก็ไปอย่างนั้น พอมาเข้าสภาวะที่หลวงปู่ว่าพูดถึงว่าเมื้อกี้ที่มาจากบ้านที่เอาชีวิตแลกพอมันนั่งสุดๆ นี่ร่างกายมันจะระเบิดเลยคือรู้เวทนาสุด ๆ ไง จนร่างกายแตกตูมไปเลยไม่มี แต่ว่าตัวรู้มันเด่นนะตัวรู้เฉย ๆ เนี่ยไม่มีหญิงไม่มีชายแต่เวลาร่างกายระเบิดตูมไอ้ตัวรู้มันแกร่งเลยนะ เห็นแต่ตัวรู้แต่ตัวรู้ตัวนั้นไม่มีการยึดมั่นถือมั่นไม่มีหญิงไม่มีชายไม่มีอะไรเพราะตอนที่จะสละร่างกายนั้นมันไม่ได้ไปยึดร่างกายแล้วใช่ไหมแล้วก็ไม่ยึดอะไรแล้วถ้าหลวงปู่ตายตอนนั้นหลวงปู่ก็สิ้นภพชาติตอนนั้นเหมือนกันตั้งแต่เป็นฆาราวาสโน่น ก็ไม่ทราบแต่เมื่อมันไม่ตายมันขึ้นมาใหม่มันก็เป็นความรู้สึกเหมือนเดิม หลวงปู่เดินไม่ได้อยู่เป็นอาทิตย์ ลุกเดี่ยงเดี้ยงเดินเป็นขาไม่เท่ากัน จึงมาทราบขันธ์นี้ไม่ใช่พระอรหันต์เริ่มเลยนี่ ขันธ์นี้ก็คือขันธ์สภาวะความเป็นจริงของมันมันต้องมีเจ็บไข้ได้ป่วยมีปวดและมีไม่ปวด คือมีสุขมีทุกข์ ตัวที่ไม่ปวดนั้นช่วงที่เราว่าไม่ปวดนั้น

    ตัวปวดไปไหนมันก็อยู่อย่างเก่าแต่ว่าจิตเราไม่ได้ยึดตัวนั้น เพราะจิตจะให้มันยึดปวดอย่างเดียวมันไม่ยึดนะจะให้มันยึดตัวไม่ปวดอย่างเดียวมันก็ไม่ยึดนะ แต่เราไม่เข้าไปรู้ถึงสภาวะของมันว่ามันยึดอะไรเราก็คิดว่ามันไม่ปวดแล้วแค่นั้นเอง ถ้ามันไม่ปวดแล้วทำไมเวลาวันใหม่หรือช่วงใหม่มันมาปวดอีกละ ก็แสดงว่าตัวปวดมันอยู่ที่นั่นมันไม่ได้ไปไหนแต่จิตเรามันไม่ยึด เราลองอย่างนี้ดูพ่อจะพูดให้ฟังเอาง่าย ๆ ลองยึดพุทโธ พุทโธ พุทโธ ได้สักกี่ครั้งมันก็ไปอยู่อย่างนั้น แล้วมันจะไปยึดปวดอยู่ตลอดได้อย่างไรละนั่น นี่ง่าย ๆ เลย สภาวะของลูกมันเป็นสภาวะที่ยังไม่รวมกันจะให้พ่อไปบอกว่าตัวนี้คืออะไร ๆ พ่อไม่บอกอยากจะให้ลูกรู้และเข้าใจของลูกเองลูกจะเข้าใจอ๋อมันเป็นตัวนี้เอง ถ้าลูกเรียนถามครูบาอาจารย์เดี๋ยวถามโน่นถามนี่ลูกก็อ๋อที่ครูบาอาจารย์แต่ลูกไม่ได้อ๋อที่ตรงนั้น พอลูกรู้ของลูก ลูกก็ไม่สนใจอะไร

    เหมือนกับพระองค์หนึ่งที่จะไปถามพระพุทธเจ้าธรรมสุดยอดติดอยู่พระอนาคา พอไปถึงใต้พระคันธกุฎี ฝนตกพอดีน้ำไหลลงจากชายคาเป็นฟองเกิดดับ ๆ ๆ มองดูฟองน้ำเกิดดับ อ๋อพอไม่ไปถามพระตถาคตเจ้ากลับกุฏิเลยอันเดียวกัน แต่ถ้าไปถามก็ต้องมาพินิจ พิจารณาใหม่หลายวันกว่าที่จะลงกันได้ แต่ถ้าอ๋อตัวนั้นก็คืออ๋อตรงนั้น หลวงปู่ไม่เคยถามใครจนถึงขั้นสุดยอดของหลวงปู่ที่สุดจนถึงที่หลวงปู่บรรลุถึงสิ่งที่ไม่เคยเห็น

    โยม : เวลาเจ็บปวดนี่ไม่จำเป็นจะต้องไปกำหนดเจ็บปวดหรือเปล่า

    องค์หลวงปู่น้อย : ไม่จำเป็นต้องไปกำหนดหรอก ไม่กำหนด กำหนด มันก็เจ็บปวดเท่าเก่ามันนั่นแหละ แต่ให้รู้ว่ามันปวดก็พอ รู้ว่าปวดคิดอย่างนี้ ๆ เวทนามันก็เบาลงก็พอแล้ว เอาอย่างนี้ง่าย ๆ ลูก ลูกกำหนดอย่างนี้ง่าย ลูกรู้ว่าลูกเดิน ลูกยืน ลูกนั่ง ลูกนอน ลูกคิด ลูกกิน ลูกขี้ ลูกเยี่ยว รู้อย่างเดียวรู้ไว้ ขณะนี้กำลังนั่งคุยอยู่กับพ่อหลวงปู่รู้ไว้รู้ตัวไว้นี่ก็คือพอ เวลาลุกก็รู้ตัวว่าลุก รู้ตัวว่าเดิน ตัวรู้ตัวนี้มันจะมากขึ้น ๆ ๆ ตัวนี้ละเอาตัวนี้

    โยม : ผมขอถามนิดหนึ่งครับ การบรรลุพระโสดาบันขึ้นไป พระอริยบุคคล 4 ประเภทจำเป็นต้องกายระเบิดทุกคนไหม

    องค์หลวงปู่น้อย : ไม่ แล้วลูกทุกคนฟังให้ดีนะอย่าไปคิดว่าเราเป็นโสดาบัน เราเป็นพระอนาคา พระสกิทาคา หรือเราเป็นพระอรหันต์ ธรรมชั้นจากโสดาบันขึ้นไปจะไม่มีตัวสมมติเพราะเป็นธรรมในโลกุตระเป็นธรรมที่สิ้นสมมติ พอเข้าใจไหม ถ้าพระบอกว่ากูปฏิบัติเดี๋ยวนี้กูเป็นโสดาบันแล้วแสดงว่าผิด กูปฏิบัติเดี๋ยวนี้กูเป็นพระอนาคาแล้วแสดงว่าผิด กูปฏิบัติเดี๋ยวนี้กูเป็นพระอรหันต์แล้วยิ่งผิดใหญ่

    พูดเมื่อกี้พูดถึงโสดาบัน คือคำว่าโสดาบัน สกิทาคา อนาคา พระอรหันต์ เป็นเพียงสมมติที่พระพุทธเจ้าวางไว้ ในสมัยที่พระองค์ยังอยู่เวลาคนนี้สมมติว่าตานะปฏิบัติเดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้าทรงทราบอ๋อนี่คือภูมิโสดาบันนะแค่นั้น แต่เจ้าตัวอย่าให้คะแนนตัวเองถ้าเจ้าตัวให้คะแนนตัวเองแสดงว่ายังไกลอักโข แม้แต่พระอรหันต์ยิ่งไม่มีเลย เพราะสัพเพธัมมาอนัตตาแล้วไงทำลายตัวตนแล้วไง กูเป็นพระอรหันต์แล้ว..บ้า พ่อเป็นมาก่อนไง มีตัวกู ตัวเขา ตัวเรา รู้จักกูไหมกูคือพระอรหันต์ บ้าไหมละ แต่ก็พูดเป็นสมมติตามหลักคำสอนนะพูดได้ จะไปเมืองนิพพานหลวงปู่จะไปเมืองพระนิพพานพูดได้แต่ถ้าพูดว่ากูจะไปพระนิพพานมันก็ยังมีกูมีมึงอยู่มันก็ไปไม่ได้

    โยม : แล้วหลวงปู่คะถ้าเราปรารถนาเราไม่ไปนิพพานหรอกแต่เราไม่ได้ปรารถนาไปนิพพาน แต่เราปรารถนาให้หมดสิ้นไปซึ่งอาสาวะกิเลสทั้งหลายทั้งปวง

    องค์หลวงปู่น้อย : มันก็อันเดียวกันเพราะทำไมจึงว่ามีสมมติพระนิพพาน ระลึกไม่ผิด 10 อย่าง
    ระลึกถึงเมืองพระนิพพานก็เป็นที่ดับแห่งกองกิเลส เหมือนพูดเมื้อกี้

    โยม : คือคิดว่าคำว่านิพพานมันสูงเกินไป

    องค์หลวงปู่น้อย : อนุสสติ ระลึกไม่ผิด 10 อย่าง ถ้าระลึกอย่างอื่นมันจะเป็นกิเลสไงลูก กิเลสที่ต้องย้ายหนีไปทางด้านอื่น แต่ถ้าระลึกถึงเมืองพระนิพพานมันจะเป็นกิเลสอีกแบบหนึ่งที่จะทำให้การเดินไปจุดนี้ เอากิเลสตัวนี้เป็นตัวขยัน ถ้าว่าจุดหมายมันก็พูดอยากมันเป็นภาษาที่อยู่จุดตรงนั้นเอาเป็นตัวขยันซะเดี๋ยวนี้อย่าขี้เกียจอยู่เอาเป็นตัวขยัน จะไปนิพพานเพราะเป็นที่ดับแห่งความทุกข์ทั้งหลายจะไปที่นั่น เอาตัวนี้เป็นสมมติไว้ก่อน ตัวขยันมันจะเกิดมันจะมีความมุมานะบากบั่น

    โยม : คำอธิษฐานเนี่ยมันสูงเกินไปไหม

    องค์หลวงปู่น้อย : ไม่สูง ขอให้ข้าพเจ้าถึงเมืองพระนิพพานในปัจจุบันนี้เทอญสวดมนต์อยู่เดี๋ยวนี้ก็ว่า
    เพราะว่าเป็นที่อื่นเขาจะว่า ขอให้ข้าพเจ้าถึงพระนิพพานในอนาคตกาลนั้นเทอญ อันนี้ไกล

    โยม : แล้วคำอธิษฐานทุกครั้งจะพูดอย่างงี้ ขอให้หมดไปซึ่งอาสาวะกิเลสทั้งหลายทั้งปวงในเร็วๆวันนี้

    องค์หลวงปู่น้อย : อธิษฐานได้แต่ตัวขี้เกียจมันไม่ยอม

    โยม : หลวงปู่เพิ่งขี้เกียจเมื่อเข้าวิปัสสนานะ มันขี้เกียจสุด ๆ ปกติก็ขี้เกียจปกติ

    องค์หลวงปู่น้อย : ขอให้ข้าพเจ้าถึงเมืองพระนิพพานในอนาคตกาลนั้นด้วยเทอญเจ้าข้า แล้วก็นอนกรนครอก ๆ อยู่ ขี้เกียจ

    โยม : ตอนทำสมถะนั่นขี้เกียจเหมือนกันที่ว่านะ

    องค์หลวงปู่น้อย : เพราะว่าสติยังไม่แก่กล้าพอ เมื่อเข้าสู่วิปัสสนาญาณคือหยั่งทราบตามความเป็นจริงแล้วจิตมันรับไม่ได้ เพราะว่ายังไม่แกร่งยังไม่แก่กล้าพอที่จะใช้จิตข้ามเวทนาที่พูดเมื่อกี้ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่แกร่งพอที่จะเอาจิตข้ามเวทนา ตัวขี้เกียจตัวเมื่อกี้คือตัวเวทนา ตัวเวทนาไงความขี้เกียจลูกต้องเข้าใจนะความขี้เกียจก็คือเวทนาตามหลักคำสอน แล้วจะเรียกว่าอย่างไงตัวขี้เกียจ ลูกเจอตัวขี้เกียจไหม

    โยม : ก็เจอนะครับไม่เยอะ พอผมนั่งสมาธิแล้วผมก็จะดิ่งอย่างเดียวไม่เอาแล้ววิปัสสนาดิ่งอย่างเดียว

    องค์หลวงปู่น้อย : ตัวนี้พ่อจะพูดให้ฟังเดี๋ยวนี้ปิติลูกครองอยู่ เมื่อปิติลูกครองอยู่ตัวนั้นความกระตือรือร้นในการทำคุณงามความดีย่อมมีมาก จะวิปัสสนาหรือสมถะมันก็เป็นเพียงการแยกออกมาเพื่อเรียนเข้าใจง่าย แต่ว่าธรรมชั้นนั้นไม่มีคำว่าสมถะและวิปัสสนาที่แยก ศีล สมาธิ ปัญญา คือสมถะและวิปัสสนาอยู่ในตัว หลวงปู่นี้จะไม่ได้ไปทำสมถะและไม่ได้ทำวิปัสสนา หลวงปู่นะหลวงปู่จะพูดให้ฟังนะหลวงปู่ทำสิ่งเดียวก็คือว่าจะทำอย่างไรจะละกิเลสได้ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ทิฐิมานะ ได้หลวงปู่ก็เอาอย่างนี้ไม่มีคำว่าเดี๋ยวนี้ทำสมถะเดี๋ยวนี้ทำวิปัสสนาเพราะฉะนั้นเวลาที่ครูบาอาจารย์นั้นพูดถึงทำวิปัสสนาหลวงปู่จึงเป็นเฉย ๆ ทำสมถะหลวงปู่จึงเป็นเฉย ๆ เพราะหลวงปู่ทำเพื่อละกิเลส

    โยม : ใช่ผมก็ทำแบบนั้นเวลาทำเนี่ยครับอยากทำก็ทำ ที่นี่พอทำไปพอทำ ๆ ไปแล้ว เออ..มันเพลิดเพลินดีก็ทำไปเรื่อย ๆ มันจะชั่วโมง สองชั่วโมงก็ทำเรื่อย ๆ

    องค์หลวงปู่น้อย : เมื่อทำแล้วเราไม่ทำให้ตนและผู้อื่นเดือดร้อนมันก็สมควรทำอยู่

    โยม : แต่ถ้าทำแล้วปวดเมื่อยกระวนกระวายใจ จำเป็นต้องสู้กับมันไหม เวลานี้ไม่จำเป็นออกไปอย่างอื่นก่อนดีกว่า คือ ออกจะตามใจตัวเอง

    โยม : ในเมื่อจิตนี้มันสบายดีคะ

    องค์หลวงปู่น้อย : มันก็สบายดีแต่ออกมาแล้วมันก็ไม่สบายเท่าเก่า มันจะอยู่อย่างนั้น มันพูดอยากจิตมันไม่ชอบวิปัสสนามันก็ไม่เล่นด้วย

    โยม : บางครั้งมันชอบครับ บางครั้งมันมีความรู้สึกว่าวิปัสสนามันจะทำที่ไหนก็ได้สบายดีไม่ต้องนั่งสมาธิไม่ต้องมีวิธีการแต่บางครั้งมันก็คิดว่าวิปัสสนานี้มันตื้นจังเลยมันไม่ผ่องใสไม่ผ่องแผ้วเลยนั่งสมาธิเข้าฌานซะดีกว่า

    องค์หลวงปู่น้อย : พ่อจะพูดให้ฟังนะลูกนะเมื้อกี้พ่อพูดแล้วครั้งหนึ่งว่า จะไม่มีคำแยกว่าสมถะหรือวิปัสสนา คณาจารย์ผู้ที่เรียบเรียงเอามาเขียนแยกแค่นั้นเอง สมัยก่อนก็มีแต่ภาวนาเพื่อละกิเลส หลวงปู่จึงไม่เอาวิปัสสนาและสมถะมาใช้ตั้งแต่เป็นฆาราวาสจนถึงปัจจุบัน แต่ที่ลูกถามพ่อแยกให้ได้แต่พ่อไม่ใช้ พ่อใช้อย่างเดียวว่ากิเลสพ่อสิ้นหรือยัง ความทะเยออยากในภพในชาติ อยากโน่น อยากนี่ มันยุติหรือยัง ความโกรธ ความรัก มันอันตรธานไปไหมหรืออยู่อย่างเก่าพ่อจะเอาตัวนั้น อย่างนั้นคำว่าวิปัสสนาหรือสมถะพ่อไม่ได้สอน พ่อหลวงปู่จะไปสอนเอาตัวนั้นจุดเดียว พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนตรงนั้นไงในตำราเรียนนี่แยกมา มาเขียนกันว่าทำสมถะไม่ถูกนะต้องทำวิปัสสนา สำนักเธอทำสมถะอย่างเดียวเท่านั้นถ้าที่ถูกต้องต้องทำวิปัสสนาเถียงกันไม่รู้เลยว่าเดี๋ยวนี้ทิฐิมานะเกิดละของตัวเองทั้งสองค่าย ทำเท่าที่เราพอทำได้ ทางโลกลูกก็เลิศแล้วนั่นพ่อไม่เข้าไปก้าวก่าย ไม่ต้องไปว่าแยกออกมาอันนี้คือสมถะ แยกออกมานี้คือวิปัสสนา ช่วงไหนที่มันชอบทำสมถะก็ทำไป ช่วงไหนที่มันเอออยากจะพิจารณาก็ปล่อยมันไปซิอย่าไปบังคับจิตซิ มันก็สบายกายแค่นั้นละ มันก็สบายไป ๆ เมื่อถึงที่ของมันมันก็หาวิธีการของมันเองละ พ่อพูดตามความเป็นจริงพ่อทำอย่างนี้ไง เดี่ยวจะว่าค่ายนี้ค่ายสมถะ ค่ายนี้ค่ายวิปัสสนา ไม่รู้จะไปแยกมันทำไม

    โยม : หากปรารถนาพุทธภูมิ วิปัสสนาก็จะทะลุขึ้นไปได้ไหมครับ

    องค์หลวงปู่น้อย : ไม่นะลูกเพราะทั้งสมถะและวิปัสสนานั้นยังไงก็ตามถ้ามันยังไม่ครบวงโคจรของมัน มันก็ไม่ไป แม้หลวงปู่จะสอนลูกหลานจนถึงวันหลวงปู่ตาย หรือจนถึงวันเราตายถ้าบารมีสร้างไม่สมบูรณ์มันก็ไม่ไป รู้หมดแต่ว่าสอนที่พวกเราถามแค่นั้นเอง

    โยม : รู้เห็นแต่เป็นไปไม่ได้

    องค์หลวงปู่น้อย : ใช่เพราะบารมียังไม่ถึง อย่างนั้นก็เป็นพระพุทธเจ้าหมดซิ เป็นพระอรหันต์หมดซิ มันก็ไม่ถึงหลวงปู่สอนจนถึงวันตายวันก็เท่าเก่ามันนั่นแหละ จะเอาไงละลูก พ่อว่าอย่าเถียงกันดีกว่าลูกจะไปไหนลูกจำคำพ่อไว้เด้อลูกเด้อ พอดีก็คือพออย่าไปวุ่นวายเดี๋ยวก็เถียงกันอีกสำนักกูดีกว่าสำนักมึง สำนักมึงไม่ดีเท่าสำนักกู

    พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
    วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
    ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑
     

แชร์หน้านี้

Loading...