ตน คือ ที่พึ่งแห่งตน ไม่มี "พรหม" ที่ไหนจะมาบันดาลชีวิตเราได้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 20 พฤษภาคม 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD background=variety09/btrue05.gif></TD><TD vAlign=top><TABLE class=border_dot cellSpacing=8 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=bold_black>ตน คือ ที่พึ่งแห่งตน ไม่มี "พรหม" ที่ไหนจะมาบันดาลชีวิตเราได้</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD height=8></TD></TR><TR><TD>พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) วัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม กล่าวว่า สถาบันสงฆ์ เป็นสถาบันเดียวที่ชาวต่างชาติยอมรับว่าเป็นสถาบันที่ยั่งยืนที่สุดในโลก เพราะมีมากว่า ๒๕๐๐ ปี จนถึงปัจจุบัน

    การเป็นสถาบันที่ยั่งยืนที่สุดนั้น ไม่ใช่เรื่องสถานที่ก่อสร้างที่แข็งแรงมั่นคงใหญ่โต เพราะวัตถุต่อให้แข็งแรงเพียงใด ก็ย่อมถูกทำลายได้เสมอ
    [​IMG]
    หากแต่ความยั่งยืนของสถาบันสงฆ์นั้น มาจากจิตที่บริสุทธิ์ของพระสงฆ์สุปฏิปันโน ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามรอยพระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปจนสุดทางทุกข์ แล้วนำหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์นั้น มาเผยแผ่ให้ผู้คนได้ปลดล็อกความทุกข์ได้เช่นเดียวกัน จึงทำให้สถาบันพระสงฆ์ อันเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย ยังคงมีผู้สืบทอดการบวชเรียน เพื่อดับทุกข์ มาจนถึงทุกวันนี้ เฉกเช่นเดียวกับที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบเป็นคนแรก

    ท่านชยสาโร ชาวอังกฤษ ลูกศิษย์ หลวงปู่ชา สุภัทโท กล่าวว่า ด้วยความที่พระรัตนตรัยยังมั่นคง ในประวัติศาสตร์ของโลก พุทธศาสนาจึงไม่เคยเป็นเหตุให้เกิดการเบียดเบียนกัน

    "พุทธศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่นที่สำคัญ คือ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เอาปัญญาเป็นคุณธรรมสูงสุด ไม่ได้เอาศรัทธา ศาสนาพุทธไม่เคยเป็นเหตุให้เกิดสงคราม พระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ไม่มีเลยที่จะให้พวกหัวรุนแรงนำไปเป็นข้ออ้าง ให้คนฆ่ากัน รบราฆ่าฟันกัน ในนามของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขานับถือ ไม่มีใครที่จะไปสวรรค์ได้เพราะความเชื่อ แต่จะไปสวรรค์ได้เพราะการกระทำ และไม่ใช่การกระทำที่เบียดเบียนผู้อื่น พุทธศาสนาจึงไม่มีพวกหัวรุนแรงที่จะทำลายคนอื่นในนามพุทธศาสนา ไม่เคยให้คนอื่นเชื่อแล้วเลิกนับถือศาสนาอื่นมานับถือศาสนาเรา ศาสนาพุทธถือว่า ถ้ายังยินดีที่จะเบียดเบียนผู้อื่นเป็นคนพาล ไม่ใช่นักปราชญ์" ท่านชยสาโร กล่าว

    ท่านชยสาโร ยังกล่าวด้วยว่า "พุทธศาสนาคือ ศาสนาสากลที่แก้ปัญหาของโลก ศรัทธาเป็นเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจ ไม่ใช่พุทธศาสนาไม่เอาศรัทธา ความเชื่อต้องมีอยู่เหมือนกัน แต่ความเชื่อและศรัทธาจะต้องประกอบด้วยปัญญาอยู่เสมอ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ศรัทธาของเรามีแล้ว เป็นศรัทธาที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา เอาต้องความเพียรเป็นเครื่องตัดสิน เพราะความเชื่อของชาวพุทธ คือ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง คือ เชื่อว่ามนุษย์คนคนหนึ่ง เมื่อ ๒๐๐๐ กว่าปีก่อนตรัสรู้จริง สามารถทำความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ดับสิ้นไป แล้วทำให้ปัญญา ความบริสุทธิ์เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์"

    ตรงนี้เอง ที่สถาบันสงฆ์จึงอยู่คู่กับโลกมากว่า ๒๕๐๐ กว่าปี เพื่อยังประโยชน์ให้กับมนุษย์ได้พบกับหนทางอันประเสริฐนี้ต่อไป เพื่อการก้าวล่วงซึ่งทุกข์ ไปสู่การอยู่เหนือทุกข์

    พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ อธิบายถึงหนทางที่จะนำเราไปสู่การอยู่เหนือความทุกข์ว่า พระองค์ท่านแนะให้เราปฏิบัติธรรมจนเกิดปัญญา เห็นแจ้งในสัจธรรมเชิงประจักษ์ว่า ไม่มีอะไรเป็นตัวตน ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเราของเรา รู้จักปล่อยวาง ก็ถือว่าเข้าถึงธรรม

    "สำหรับหลักปฏิบัติในการเข้าถึงธรรมนั้น พระพุทธองค์มุ่งไปที่สติปัฏฐาน เป็นหลักในการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าหากว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้มรสสักแต่ว่าลิ้มรส สัมผัสต้องกายสักแต่ว่าสัมผัส เมื่อนั้น ตัวเธอจะไม่มี นี่คือสติปัฏฐาน คือมีสติรู้ในทุกขณะ มองเห็นโลกเป็นของว่างเปล่า ไม่มีตัวตนอะไรที่จะไปยึดได้ มัจจุราชจะมองไม่เห็นเธอ ก็คือการมีปัญญาจนกระทั่งเห็นสุญตา เมื่อนั้นความตายก็ทำอะไรไม่ได้ ตรงนี้ต้องอาศัยการปฏิบัติเจริญสติปัฏฐานสี่ตลอดเวลา คือ เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต จนเห็นแจ้งในธรรมทั้งหลาย ว่าไม่มีสิ่งใดน่ายึดมั่นถือมั่น จากสมถะคือความสงบภายใน สู่วิปัสสนาคือมีปัญญาที่ตัดวงจรปฏิจจสมุปบาทได้ ถึงที่สุดจะเห็นธรรมได้เช่นเดียวกับพระพุทธองค์" พระไพศาล วิสาโล กล่าว

    พระราชรัตนรังษี รองประธานพระธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล ที่มาร่วมการภาวนาในวันวิสาขบูชาโลก ที่สนามหลวง กรุงเทพฯ ในปีนี้ อธิบายว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้มาทั้งหมด จนถึงปรินิพพาน ไม่มีการสงวนลิขสิทธิ์แม้แต่บรรทัดเดียว ความรู้ของพระพุทธองค์ไม่มีใครรู้เรื่องบุพเพนิวาสานุสติญาณ (ญาณในการระลึกชาติได้) จูตูปปาตญาณ (ญาณในการรู้เห็นการเกิด การตายของสัตว์ทั้งหลาย) และอาสวขยญาณ (ญาณในการกำจัดกิเลสให้สิ้นไป) ๓ อย่างนี้ไม่มีใครรู้เลย ยิ่งเรื่องของอริสัจ ๔ มรรคมีองค์ ๘ พระองค์ทรงแสดงธรรมให้กับเราฟัง พระองค์มีพระเมตตาต่อเราเหลือเกิน

    "คำว่า เมตตาของพระพุทธเจ้า คือเมตตาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาคุณ ดังตอนที่พระองค์ทรงกล่าวในวันประสูติว่า ทรงเป็นผู้เลิศที่สุด นั้น ก็เป็นเพราะพระองค์กล้าประกาศว่า ตนนี่แหละเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่ใช่พรหมที่ไหนจะมาบันดาลชีวิตเราได้ มากไปกว่านั้น เรายังเป็นที่พึ่งให้กับผู้อื่นได้ด้วย นี่จึงทำให้คนไทยและคนทั่วโลกเห็นว่า พระองค์ไม่ใช่ใครอื่น พระองค์เสมือนพระบิดาของเราผู้ชี้ทางสว่างแก่เรา" พระราชรัตนรังษี กล่าว









    ข้อมูลจาก : [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. Premsuda (May)

    Premsuda (May) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +646
    อนุโมทนาอย่างแรงค่ะ
    อนุโมทนาอย่างแรงค่ะ
    อนุโมทนาอย่างแรงค่ะ
    อนุโมทนาอย่างแรงค่ะ
    อนุโมทนาอย่างแรงค่ะ
    อนุโมทนาอย่างแรงค่ะ
    อนุโมทนาอย่างแรงค่ะ

    [​IMG]

    .
    .
    .
     
  3. nanodent

    nanodent เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,730
    ค่าพลัง:
    +943
    เข้าใจขันธ์ ๕ หยั่งลงไตรลักษณ์ก้าวข้ามวัฏสงสาร...ใครทำได้ยิ่งใหญ่กว่าพรหม
     

แชร์หน้านี้

Loading...