ชีวิตหลังความตายตอนที่ 4: นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ คุยกับวิญญาณ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย com16, 14 กุมภาพันธ์ 2005.

  1. com16

    com16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2005
    โพสต์:
    451
    ค่าพลัง:
    +1,182
    คำนำ

    การเวียนว่ายตายเกิดและกฎแห่งกรรม แม้จะมีจริง
    เป็นจริงโดยปราศจากข้อสงสัยและเป็นที่รับรองของพระพุทธองค์
    ดังปรากฏในหลักปฏิจจสมุปบาทแล้วก็ตาม แต่พุทธศาสนานิกชนอีกจำนวนมาก
    ก็ยังเคลือบแคลงว่าจะมีจริงเป็นจริงหรือไม่ บางคนถึงกับไม่เชื่อโดยอ้างว่า
    เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ เข้าทำนองว่ากุ้ง หอย ปู
    ปลา ซึ่งเป็นสัตว์น้ำ อาศัยอยู่ในน้ำไม่มีโอกาสขึ้นมาบนบก
    ย่อมคิดว่าโลกทั้งโลกมีแต่สรรพสิ่งที่เห็นอยู่ในน้ำเท่านั้น
    จึงไม่ยอมรับว่าแท้จริงยังมีสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายที่อยู่บนบกและในอากาศ
    หากมีกุ้งตัวใดตัวหนึ่งไปบอกพรรคพวกของมันว่า โลกนี้มีเครื่องบิน มีโทรทัศน์ ฯลฯ
    บรรดากุ้งทั้งหลายก็คงไม่เชื่อ

    เพราะมันไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้และไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยกระบวนการทางความรู
    ้ที่มันมีอยู่
    ดังนั้น ความจริงกับความเชื่อของมนุษย์ก็เช่นกัน อาจเป็นคนละเรื่อง
    สิ่งที่มนุษย์เชื่ออาจจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ได้ และสิ่งที่มีอยู่จริง
    มนุษย์อาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้

    การอาศัยเครื่องมีทางวิทยาศาสตร์มาเป็นเครื่องตัดสินความจริงที่มีอยู่เป็นอยู
    ่ทั้งหมด จึงมิใช่เรื่องที่น่าจะถูกต้องนัก
    เพราะวิทยาศาสตร์อยู่ในกระบวนการที่จะต้องพัฒนาอีกมาก
    สิ่งที่วิทยาศาสตร์ค้นพบและพิสูจน์ได้ในปัจจุบัน
    เป็นเพียงส่วนน้อยนิดของสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ในสากลจักรวาล

    โดยเฉพาะเรื่องจิตวิญยาณเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์และวิทยาการทางแพทย์ยังเข้าไ
    ม่ถึงแก่น
    ดังนั้นปรากฏการณ์ทางจิตวิญญาณจึงเป็นเรื่องเร้นลับสำหรับมนุษย์
    และเป็นเรื่องที่คนบางส่วนยอมรับได้ แต่คนอีกบางส่วนไม่ยอมรับ
    ซึ่งขึ้นอยู่กับทิฏฐิของแต่ละคน
    เรื่องหมออาจินต์ บุณยเกตุ คุยกับวิญญาณ
    เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งในหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
    เป็นเรื่องท้าทายต่อความเชื่อของมนุษย์
    ในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและกฏแห่งกรรม
    อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ดูจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
    เพราะผู้เล่าไม่เพียงแต่จะเป็นผู้มีความรู้สูงศึกษามาทางแพทย์
    ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์
    และมีตำแหน่งหน้าที่เป็นที่ยอมรับกันในสังคมเท่านั้น
    แม้ประจักษ์พยานหรือบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
    ก็เป็นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นที่รู้จักกันดีในวงสังคม
    ยากที่จะปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อหวังผลทางใดทางหนึ่ง
    ซึ่งก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำเช่นนั้น

    การพิมพ์เรื่องหมออาจินต์ บุณยเกตุ คุยกับวิญญาณครั้งนี้
    มีจุดประสงค์ที่จะนำเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและกฏแห่งกรรมออกมาเผยแพร่
    เพื่อให้ผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณตัดสินเอาเองว่า จะเชื่อถือหรือไม่
    ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของเรื่องคือ คุณหมออาจินต์ บุณยเกตุ
    ที่ได้อนุญาตให้ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมป์
    นำเรื่องดังกล่าวออกไปเผยแพร่ได้ และยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ
    ก็ได้มอบเรื่องนี้ให้กลุ่มแพนเป็นผู้จัดพิมพ์
    ซึ่งทางกลุ่มแพนพิมพ์ขึ้นโดยไม่หวังผลทางธุรกิจ
    ส่วนหนึ่งจะแจกให้กับพนักงาน
    อีกส่วนหนึ่งจะมอบให้ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ
    นำไปจำหน่ายเพื่อเป็นทุนสร้างศูนย์วิปัสสนากรรมฐานของสมาคม

    อนึ่ง ขอขอบคุณ คุณเสรี โหสกุล พี่ชายของ ด.ญ.พิมพวดี
    ที่ได้กรุณาตรวจแก้ต้นฉบับให้
    เนื่องจากมีข้อมูลบางอย่างในต้นฉบับเดิมคลาดเคลื่อนไป เช่น ด.ญ.พิมพวดี
    มีพี่น้องห้าคนมิใช่สามคน บิดาในชาติปัจจุบันของ ด.ญ.พิมพวดี ชื่อคุณเสียง
    โหสกุล มิใช่คุณเสรี โหสกุล คุณเสียงเป็นเจ้าของร้านเสรีวัฒนามิใช่เสรียนต์
    ศพของด.ญ.พิมพวดี ยังมิได้เผา บรรจุอยู่ในหินอ่อนภายในพลับพลาพิมพวดี
    มิใช่ศาลาพิมพวดี เป็นต้น นอกจากนี้คุณเสรี โหสกุล
    ยังได้อนุญาตให้นำเรื่องนี้ออกเผยแพร่ได้โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
    ทั้งๆที่ทางครอบครัวไม่อยากจะให้ทำเรื่องนี้เป็นที่เอิกเกริก
    และทุกครั้งที่มีการกล่าวขวัญถึงเรื่อง ด.ญ.พิมพวดี ทางบิดา
    มารดาและพี่น้อง
    ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจ แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงมานานแล้ว
    แต่ความรักความผูกพันที่ครอบครัวมีต่อ ด.ญ.พิมพวดี ยังไม่เสื่อมคลาย
    ดังจะเห็นว่าเมื่อถึงวันเกิดและวันมรณะของด.ญ.พิมพวดี
    ทางครอบครัวก็ยังทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เป็นประจำมิได้ขาด ตลอดระยะเวลา 31
    ปีที่ผ่านมา

    ผู้ที่อ่านเรื่องนี้แล้วมีความเชื่อในเรื่อง
    การเวียนว่ายตายเกิดและกฏแห่งกรรมก็นับว่าเป็นกุศล
    เพราะผู้ที่มีความเชื่อเป็นสัมมาทิฎ,แล้ว คงจะระมัดระวังการใช้ชีวิตของตน
    โดยลดในสิ่งที่เป็นบาป และสร้างเสริมที่เป็นบุญ
    เพื่อความสุขความเจริญงอกงามของชีวิต ทั้งในปัจจุบัน และอนาคตอันยาวไกล
    ผู้ที่อ่านแล้วไม่ค่อยจะเชื่อหรือไม่เชื่อเลย
    ก็ขอให้ลองคิดในแง่ของประโยชน์เฉพาะตัวว่า ถ้าเชื่อจะได้ประโยชน์อะไร
    และเสียประโยชน์อะไร แต่ถ้าไม่เชื่อจะได้ประโยชน์อะไร และเสียประโยชน์อะไร
    นอกจากนี้ลองคิดเผื่ออีกนิดว่า ความเชื่อกับความจริง บางทีก็คนละเรื่องกัน
    ถึงแม้ตนจะไม่เชื่อ แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นจริง เมื่อตายไปตนจะต้องเกิดอีก
    โดยมีกระแสกรรมที่ทำไว้ เป้นตัวที่กำหนด เมื่อถึงเวลานั้น
    ตนจะเปลี่ยนแปลงกรรมที่ทำไว้ไม่ได้เลย
    หากต้องรับกรรมหนักจะเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวสักเท่าใด

    =======================================

    บทพิสูจน์การเวียนว่ายตายเกิดและกฎแห่งกรรม
    นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ คุยกับวิญญาณ

    -------------------------------------------

    "ลูก แล้วพ่อต้องถูกผ่าสมองอีกไหมนี่ แล้วเมื่อไรจะหายจากโรคนี้"
    เป็นคำถามที่ผมถามออกมาดังๆ จากปากต่อหน้าภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เผ้าพยาบาลผม
    ในห้องผู้ป่วยที่ตึกวิบูลลักษณ์ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อกลางปี พ.ศ. 2504
    โดยมีคุณใบ กล้าหาญ แห่งโรงพยาบาลสงฆ์ ไปนอนเป็นเพื่อนด้วย

    "พรุ่งนี้ สองโมงเช้า พ่อจะต้องถูกผ่าอีกครั้ง คราวนี้จะทารุณที่สุด"
    เป็นคำตอบของเด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2503
    และบิดาของหนูพิมพวดี ได้สร้างพลับพลาไว้เป็นอนุสรณ์แก่แม่หนู
    ที่วัดมกุฎกษัตริยาราม พลับพลาแรกทางขวามือ
    ซึ่งเมื่อก้าวเข้าไปในวัดบริเวณฌาปนสถาน คุณจะแลเห็นพลับพลานี้
    พร้อมทั้งรูปในกรอบหินอ่อน จารึกไว้ว่า เด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล

    ไม่มีใครในห้องผู้ป่วยที่ผมนอนอยู่ได้ยิน นอกจากผมคนเดียว
    ผมจึงทวนคำพูดของแม่หนูออกมาดัง ๆ ว่า พรุ่งนี้ แปดโมงเช้าต้องผ่าอีก
    คราวนี้จะทารุณที่สุด ผมสนใจคำพูดของพิมพวดี
    ที่ไม่มีใครแลเห็นนอกจากผม
    ทั้งสองคนคอยฟังและคอยจดจำคำพูดด้วยความหวาดกลัวและงุนงง

    เรื่องเป็นอย่างไร เท็จจริงแค่ไหน ผมกำลังจะเล่าให้คุณฟัง ณ บัดนี้

    ผมเริ่มเรื่องว่า ผมได้ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า
    (ประสาทสมองมีสิบสองคู่) ทางด้านขวา เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่น อายุราว ๆ 16-17 ปี
    ตอนนั้นพอดีเกิดสงครามอินโดจีน และก็เป็นเรื่องมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นๆหายๆ
    โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวา ตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม
    ปวดอยู่ซีกเดียว ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่นอายุยังน้อย
    อาการก็ไม่ทรมานรุนแรงมากนัก กินยาแก้ปวดแรงๆ หน่อยก็บรรเทาไปได้
    ได้ขอให้อาจารญ์ที่ศิริราชตรวจ
    ท่านก็บอกว่าสายตามีส่วนช่วยให้ปวดประสาทได้เพราะสายตาไม่ดี
    ผมก็เลยส่วมแว่นตามาตั้งแต่อายุยี่สิบปีจนบัดนี้

    สรุปว่าผมป่วยด้วยโรคนี้มานานเป็นสิบๆ ปี
    ตอนที่เป็นนายแพทย์ผู้อำนวยการที่จังหวัดภูเก็ตก็เป็น
    ตอนที่ไปศึกษาต่อที่อเมริกาสามปีก็เป็นทั้งสามปี
    แพทย์ที่อเมริกาสามปีก็เป็นทั้งสามปี แพทย์ที่อเมริกาชวนผ่าตัด ผมก็ยอม
    พอจะผ่าตัดมันก็เกิดหายปวดเพราะมันเป็นๆหายๆ หมอที่นั่นเลยไม่กล้าผ่า
    ผมเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ อยู่ฝ่ายวิชาการ
    เกิดปวดมากอีกหนทนไม่ไหว
    ต้องเข้ารับการรักษาที่ศิริราชตอนนี้เอง

    โรคนี้ไม่รู้สาเหตุ แต่เดี๋ยวนี้ คุรหมอศิระ บุญยรัตเวฃ หัวหน้าศัลยกรรม
    โรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยกรรมสมองและประสาท
    (ท่านผู้นี้เองที่รักษาผมหายขาด ด้วยการฉีดน้ำยาเข้าไปในสมอง
    ไปทำลายต้นตอของประสาทเส้นนี้ ให้หมดสภาพไปเลย)
    ท่านบอกว่าหนึ่งในสาเหตุของโรคนี้
    ก็คือเส้นโลหิตในสมองเส้นหนึ่งไปเบียดเส้นประสาทสมองเส้นที่ห้านี้
    เมื่อเส้นโลหิตขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ
    มันก็จะเบียดกระตุ้นเส้นประสาทนี้ทุกที หนักๆเข้าก็ระบมปวดอย่างนี้
    คนโบราณเรียกว่า ลมตะกัง หมอปัจจุบันเรียก ไมเกรน หรือ ติ๊ค เดอลารู
    หรือไทรเจมินัลนิวราลเจีย ซึ่งมันก็ชื่อเดียวกัน การรักษายากมาก

    ตอนปี พ.ศ. 2504 นั้น คุณหมอศิระยังไม่กลับจากการศึกษาต่อจากอังกฤษ
    ท่านกลับมาตอน พ.ศ. 2507 หรือราวๆ นั้น ท่านศาสตราจารญ์ น.พ.อุดม โปษกฤษณะ
    เป็นผู้รักษาผม , ศ.จ.น.พ. วิชัย บำรุงผล แห่งภาควิชาศัลยกรรม และ
    ศ.จ.น.พ.สมบัติ สุคนธพันธ์ ฝ่ายโรคทางยามาร่วมด้วย
    ทั้งสองท่านหลังนี้เป็นเพื่อนกัน ก็เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษ แต่มันไม่หาย

    ผมได้ถูกรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียด และรักษาที่ตึกวิบูลลักษณ์ชั้นล่าง
    ห้องที่เท่าไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว
    ได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดีจากครูบาอาจารย์และเพื่อนฝูง
    แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะผูกคอตายไปหลายหน คืนหนึ่ง
    ราวๆสองทุ่มเศษๆ
    โรคปวดประสาทมาเอาผมอีก ทีนี้ปวดดิ้นเลย
    พยาบาลให้กินยาฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ก็ไม่สงบ เมื่อเป็นเช่นนั้น
    ผมก็นอนหลับตาเอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วภาวนาบริกรรมพุทโธๆๆ
    ทำอานาปาณสติไปเรื่อง ๆ ที่ผมทำแบบนี้ได้ก็เพราะเมื่อปี พ.ศ. 2500
    ผมบวชพระที่วัดราชาธิวาสหนึ่งพรรษา วัดนี้เป็นวัดวิปัสสนากรรมฐาน
    ผมก็ได้รับการอบรมเรื่องนี้มาด้วย พอทำสมาธิวิปัสสนาสักครู่อาการปวดก็สงบลง
    มันก็เป็นเช่นนี้ คือปวดสักพักแล้วก็บรรเทา พอสงบผมก็เลยสงบจิตทำสมาธิต่อ

    ประมาณ 3 ทุ่มเศษ ผมมองเห็นอะไรรางๆ
    ก็ลืมตาขึ้นมาพลางถามภรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่สองคนนี้ว่า "ใครมา"
    ได้รับคำตอบว่า "ดึกแล้ว ไม่มีใครมาหรอก"

    ผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ก็เห็นชัด ขนาดลืมตามองก็เห็นชัด
    ว่ามีเด็กผู้หญิงรูปร่างอ้วนเหลือกำลัง อ้วนอย่างกับเป็นโรคชนิดหนึ่ง
    แต่หน้าตายังเด็กมายืนอยู่ข้างเตียง เธอแต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล

    เมื่อเห็นเช่นนี้ ผมก็เอ่ยปากออกถามว่า "หนู เป็นใคร มาทำไมที่นี่"
    ผมพูดออกมาดังๆ เพื่อให้สองคนนั้นได้ยิน..
    รวมทั้งคุณใบ กล้าหาญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์จนทุกวันนี้
    และไปเฝ้าผมอยู่ด้วย..

    ภรรยาจึงมาเขย่าแขนแล้วพูดว่า..
    "เธอๆ นี่อยู่นี่ๆๆ" ก็คงนึกว่าผมปวดมากจนเพ้อ..
    ผมก็บอกว่า "ไม่ได้เพ้อ หรือเสียสติอะไรหรอก แต่มีใครเห็นไหม หนูอ้วนมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่"
    สองคนนั้นตอบว่า "ไม่มีใคร ดึกแล้ว.."

    ผมสังเกตว่าสองคนนั่นเขยิบเข้ามาชิดๆ กัน ภรรยาผมก็ทำท่าจะสวดมนต์
    เห็นพนมมือไหวพระปลกๆ แต่ผมก็ยังข้องใจ
    เพราะหนูคนนั้นก็ยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม
    ผมก็เลยพูดออกมาดังๆ กับภรรยาและพยาบาลในห้องว่า "จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจดๆ จำๆ ไว้ด้วย.."
    แล้วผมก็ถามด้วยเสียงออกจะดังๆ ว่า "หนูเป็นใคร มาทำไมในห้องนี้.."
    แม่หนูตอบว่า "..หนูเคยป่วยในห้องนี้และตายในห้องนี้ เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว.."

    ภรรยาผมคอยฟังและคอยจด..

    "อ้อ หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้ และตายที่ห้องนี้..หนูป่วยเป็นอะไรตาย"

    "ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ" ภรรยาและพยาบาลช่วยกันจดใหญ่
    "หนูเป็นลูกใครหลานใครจ๊ะ"
    "คุณตาหนูเป็นพระยาค่ะ ชื่อของท่านขึ้นต้นด้วย อ ลงท้ายด้วย สิริ"
    ผมทวนคำพูดของเธอดังๆ ให้ได้ยินทุกคน
    "งั้นหนูก็เป็นหลาน" ผมพยายามนึก สักครู่ก็นึกออกแล้วพูดออกมาว่า "หลานเจ้าคุณอัชราทรงสิริ ใช่ไหมล่ะ"
    หนูคนนั้นก็ตอบว่า "ใช่ค่ะ คุณอาเก่งมาก.."
    "แล้วพ่อหนูล่ะ"
    "คุณอา ไม่รู้จักหรอกค่ะ"
    ผมถามต่อไปว่า "หนูมีพี่น้องกี่คน"
    "มีสามคนค่ะ หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว" ผมทวนคำพูดดังๆ ทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย
    "หนูมานี่มีความประสงค์อะไรจ๊ะ"
    "หนูมีเพี่อนหนึ่งคน เขาเสียชีวิตเมื่อกลางปีกลายที่ตึกเด็ก เขาบอกว่า เขาเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติก่อน
    เขาอยากจะมาหาและมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เขาให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ.."
    จากนั้น แม่หนูคนนั้นก็หายไป หายวับไปเลย
    ผมก็ลุกขึ้นนั่ง เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยาและพยาบาลที่นั่งอยู่ด้วยฟัง
    พยาบาลคนนั้นเธอตื่นเต้นมาก พลางบอกกับผมว่า พรุ่งนี้เขาจะไปถามหัวหน้าตึก
    ขอค้นประวัติและขอทราบว่า ตึกนี้ห้องนี้ เมื่อประมาณปี 2502
    มีเด็กหญิงถึงแก่กรรมที่ตึกนี้ห้องนี้หรือเปล่า
    เพราะเธอแปลกใจและสนใจที่ผมพูดกับแม่หนูคนนั้น เป็นเรื่องเป็นราวตั้งนาน

    จากนั้นผมก็เข้านอนไป โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรมพุทโธๆๆ ไปด้วย

    ประมาณห้าทุ่มคืนเดียวกันนี้เอง ด้วยอาการปวดประสาทอย่างแรงได้ปลุกผมตื่นขึ้นมาอีก
    แต่สองคนที่อยู่ในห้องหลับไปแล้ว

    ตอนนี้เงียบสงัด แต่ผมนอนกุมขมับ กุมศีรษะด้านขวาอยู่คนเดียวด้วยความปวดที่ออกจะรุนแรงเอาการอยู่
    ผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ที่หูว่า "เธอ พ่อเธอนอนอยู่นี่ยังไง.. เข้ามาสิ.."

    ผมลืมตาขึ้นมอง ก็ไม่เห็นอะไร แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงพูดอีกว่า เข้ามาสิ มาเถอะ

    ผมลืมตาอีกที ทีนี้เห็นเด็กสองคนมายืนที่ข้างเตียงผม คนหนึ่งอ้วนปี๋ก็คนเก่า
    อีกคนหนึ่งอยู่ในวัยสิบสองขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู
    เธอเดินมายืนข้างเตียงผมแล้วพูดว่า "พ่อ หนูมาช่วยพ่อ.."

    ผมจึงเรียกภรรยาผมและพยาบาลให้ตื่น แล้วถามว่า
    "เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม.. เด็กๆ มายืนอยู่ที่นี่แน่ะ.."

    พยาบาลเปิดไฟในห้องนอนสว่างพรึ่บแล้วบอกว่า ไม่เห็นมีใครมาสักคนนี่คะ
    ผมก็ยืนยัน (ความจริงนอนยันเพราะตอนนั้นนอนอยู่บนเตียงไม่ได้ยืนสักที) ว่า
    "มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วมายืนอยู่ตรงนี้ นี่ยังไง.."
    พลางผมก็ยื่นมือออกชี้ที่ตัวเด็ก
    คุณใบ ยกเก้าอี้มา 2 ตัว ให้แขกที่เขามองไม่เห็นนั่งข้างเตียงทันที..

    ภรรยาผมกับพยาบาลตื่นขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาชิดกัน แล้วทั้งสองคนก็พนมมือ
    ทำท่าจะสวดมนต์อีกรอบ หนูอ้วนยืนอยู่สักครู่ก็ลาไป "คุณอาคะ หนูไปก่อนนะคะ"
    ว่าแล้วก็หายวับไปอีกที.. เหลือแต่แม่หนูคนเล็กคนเดียว
    ตอนนี้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนผม ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนยันคางไว้
    แล้วถามว่า "พ่อปวดศีรษะมากหรือคะ"
    ผมตอบว่า "ตอนนี้ปวดมากจ้ะ"

    เธอก็ยื่นมือข้างหนึ่งมากุมหรือกดศีรษะด้านที่ปวดของผมไว้ แล้วบอกว่า "สักครู่จะทุเลา"
    ต่อจากนั้นสักพัก อาการปวดศีรษะก็สงบ
    ผมจึงถามเธอว่า "หนูเป็นใคร แล้วทำไมมาเรียกว่าพ่อ.."
    ตอนนี้สองคนนั้นเริ่มจดอีก
    "ชาติที่แล้วมา หนูเป็นลูกพ่อ.."

    ผมก็ทวนคำพูดของแม่หนูนั้นว่า "อ้อ ชาติที่แล้วเป็นลูกของพ่อ.."
    ต่อไปนี้เป็นคำสนทนาของผมกับเด็กหญิงผู้นั้น โดยผมถามดังๆ และทวนคำตอบดังๆ เช่นเคย

    "ชาติก่อนนี้หนูเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิง"
    "เป็นผู้หญิงค่ะ"
    "หนูเป็นอะไรถึงตาย..ในชาติก่อนนั้น"
    "หนูไปเล่นน้ำแล้วไถลลื่น เลยตกแม่น้ำตาย.."
    "หนูตายที่ไหน.."
    "ตกน้ำตายที่ท่าโรงโม่"
    จึงถามเธอว่า "โรงโม่อยู่ที่ไหน"
    "ก็อยู่แถวๆ ท่าเตียนนี่แหละ..ไม่ไกลเท่าไร"
    "ตอนที่ตกน้ำตายอายุเท่าไหร่.."
    "ก็สิบกว่าขวบค่ะ"

    "ชาติก่อนนี้พ่อเป็นอะไร"
    "ชาติก่อนนี้พ่อรับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้คุมนักโทษและราชมัล.."
    "ราชมัลเป็นอย่างไร พ่อไม่รู้จัก.."
    "ราชมัลเป็นผู้คุม เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษรวมทั้งประหารชีวิตนักโทษด้วย.."
    ผมได้ฟังแล้วตกใจมาก เพราะชาตินี้ผมไม่ชอบเบียดเบียนใคร
    ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างใดทั้งสิ้น แล้วจึงถามแม่หนูนั้นหว่า
    "ที่พ่อป่วยนี้ ป่วยมานานเป็นเพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่จะหาย"
    เธอตอบผมว่า "ป่วยเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้แต่ชาติก่อน พ่อมีหน้าที่เกี่ยวกบนักโทษ
    ควบคุมลงโทษ ทรมานเขา กรรมก็ตามสนองในชาตินี้"

    ผมแย้งว่า "ก็เราทำตามหน้าที่ ลูกบอกว่าหน้าที่คือควบคุม ลงโทษ ทรมาน ถ้าเราไม่ทำเราก็ผิด.."

    แม่หนูก็ตอบว่า "ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่ง รูปร่างอ้วนใหญ่สูงดำ
    ถูกฎีกาว่าฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณต่างๆ แก่ราษฎร ความจริงเขาไม่ได้ทำ
    แต่ชาวบ้านรวมหัวกันไปใส่ความเขา พระอัยการก็คุมตัวมาลงโทษ สอบถาม
    เขาไม่ได้ทำเขาก้ไม่รับ ราชมัลก็คือพ่อได้ลงโทษเขา
    จับเขาเข้าขื่อเข้าคาตอกเล็บเขา แล้วเอาเครื่องมาบีบขมับเขา
    บีบขมับจนเขาสลบเพราะความเจ็บปวด เขาก็ไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย
    พ่อก็ลงโทษบีบขมับเขาอีกเพื่อให้เขารับว่าเป็นสัตย์ เขาก็ไม่รับ
    ในที่สุดเขาทนทรมานไม่ไหวเขาก็ขาดใจตาย
    ก่อนตายเขาผูกใจพยาบาทอาฆาตไว้ว่าจะจองเวรไปทุกชาติจนกว่าจะหมดเวร..
    ตอนนี้กรรมมาตามทันอย่างเต็มที่แล้วจึงได้ป่วยเช่นนี้"

    ผมทวนคำพูดของแม่หนูน้อยทุกอย่าง ภรรยาและพยาบาลนั่งจำและจดไว้ทุกคำพูด

    ผมจึงถามต่อไปว่า "เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที"
    แม่หนูตอบว่า "พ่อทำไว้มาก ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว กรรมก็สลับกัน
    กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาอย่างนี้ กรรมชั่วก็ตามมาสนองอย่างนี้"
    "แล้วเมื่อไหร่จะหมดบาปหมดกรรม"
    "อีกสี่ปี" แม่หนูตอบว่า "พ.ศ. 2508 พ่อถึงจะหมดกรรมนี้แล้วถึงจะหายป่วย"

    ภรรยาผมนั่งฟังอยู่ตลอด ก็ขอให้ผมถามว่า "เมื่อชาติก่อนเธอเกิดเป็นอะไร"
    แม่หนูตอบว่า "คุณแม่เมื่อชาติก่อนนี้เป็นแม่ชี ถือศีลกินเพลอยู่วัดใต้"
    ผมก็ไม่ทราบว่าวัดใต้ไหน

    แม่หนูก็บอกว่า เวลาปวดประสาทมากๆ ให้นึกถึงเธอ เธอจะมาช่วยให้เบาบางลง
    แล้วก็เอามือมากุมศีรษะข้างที่ปวดพลางก็พูดว่า "พรุ่งนี้ แปดนาฬิกา หมอจะเอาตัวไปผ่ากะโหลกศีรษะ.."
    ผมก็ย้ำว่า "พรุ่งนี้เช้าหรือ จะผ่ากะโหลกพ่อหรือ.."
    เธอก็พยักหน้ารับคำแล้วก็บอกว่า "หนูจะไปก่อนละ.."

    พยาบาลและภรรยาผมนั่งสงบอย่างบอกไม่ถูก และแล้วในที่สุดก็ม่อยหลับไปทั้งสามคน

    รุ่งขึ้นเวลาประมาณ 8.00 น อาจารย์หมออุดมมาตรวจเยี่ยม ได้รับรายงานว่า
    เมื่อคืนนี้ปวดประสาทมาก ปวดจนดิ้นถึงสองครั้ง
    ท่านยืนคิดสักครู่แล้วจึงพูดว่า
    "แปดโมงเช้านี้จะเอาตัวไปผ่าตัด ผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออก"
    แล้วหันมาสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกว่า "ให้เตรียมคนไข้รายนี้ไปผ่าตัด"

    ภรรยาและพยาบาลมองหน้ากันด้วยความงุนงงเต็มที
    เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะนำผมไปผ่าตัด ที่งงก็เพราะเมื่อคืนนี้
    ได้ยินผมพูดคนเดียว คือทวนคำพูดของแม่หนูว่า พรุ่งนี้ แปดนาฬิกา
    หมอจะเอาไปผ่าตัด ตอนนั้นก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มาตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อไม่มีข้อสงสัย

    สักครู่พยาบาลก็เข้ามาในห้องผม จัดแจงโกนผม โกนคิ้วด้านขวาขึ้นไปถึงกลางศีรษะ
    แล้วทำความสะอาด ต่อจากนั้นก็ฉีดยาให้สลึมสลือ ก็ประเภทมอร์ฟีน
    จน 8.00 น. รถเข็นคนไข้ก็มาเทียบ เอาตัวผมนอนเปลเข็นไปห้องผ่าตัด
    โดยมีภรรยาผมเดินตามไปด้วย ผมเองตอนนั้นก็จะหลับมิหลับแหล่อยู่แล้ว
    และแล้วผมก็หมดสติไป เมื่อได้รับยาสลบที่ห้องผ่าตัด

    ผมมาทราบตอนหลังว่า ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ผมได้รับการผ่าตัดนั้น
    พยาบาลในห้องได้ไปคุยกันกับหัวหน้าตึก และคุยกันต่อๆ ไป
    ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ทุกคนมีอาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็แปลกใจทุกคน ที่ประหลาดใจมากก็คือ

    ในเมื่อผมเรียนจบจากศิริราชไปตั้งกว่าสิบปี จบแล้วออกไปเลย ไม่ทำงานอยู่ในนั้น
    เหตุไฉนจึงทราบเรื่องเด็กหญิงที่เป็นโรคอ้วน
    และเด็กหญิงถึงแก่กรรมที่เตียงที่ผมนอนป่วยในตึกวิบูลลักษณ์ และเธอตายในปีนั้นๆ

    ด้วยความสนใจพยาบาลหัวหน้าตึกได้ไปค้นประวัติ สืบประวัติของผู้ป่วยที่มาป่วยตึกนี้ในปี 2502-2503
    ค้นอยู่นานเพราะไม่ทราบชื่อผู้ป่วย และในที่สุดก็ค้นมาจนได้ว่า

    ได้มีเด็กหญิงหนึ่งคนป่วย และถึงแก่กรรมที่ห้องนี้ด้วยโรคอ้วนจริง
    ความประหลาดใจในหมู่คนที่รู้เรื่อง ก็ชักจะกลายเป็นความเชื่อขึ้นมาทีละน้อย ๆ
    แต่พอพยาบาลที่เฝ้าเธอบอกว่า เด็กมาหาคุณหมอ ที่บอกว่าเป็นลูกในชาติก่อน
    เมื่อคืนนี้มาบอกว่าจะถูกผ่าที่ศีรษะเช้าวันนี้ พอวันรุ่งขึ้นเช้า อาจารย์หมออุดมก็มาเอาตัวไปจริงๆ
    "แปลกนะเธอ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.." พยาบาลสาวพึมพำกันทั้งตึก
    และจากตึกนี้ก็ไปตึกโน้น ไปจนทั่วโรงพยาบาลภายในไม่กี่วัน

    อาจารย์หมออุดม ท่านเคยรักษาโรคนี้ให้ผมมาสองสามครั้งแล้ว
    โดยฉีดยาเข้าไปในกะโหลกศีรษะ หมายจะให้ยาไปทำลายประสาทที่ปวดแต่ไม่ได้ผล
    มันเหมือนกับตีงูให้หลังหัก โรคนี้อาละวาดใหญ่ ที่ฉีดยาเข้าไปในศีรษะนี้ ประมาณสี่ครั้งในสองปี
    เมื่อฉีดยาไม่ได้ผล ท่านก็เลยผ่าลงไปในสมองตัดปมประสาทเสียเลย
    โดยเจาะกะโหลกศีรษะด้านขวาเหนือหูขึ้นมาหน่อย
    คงจะเหมือนกับชาติก่อนที่ไปบีบขมับเขาตามที่แม่หนูเธอว่า..
    เจาะแล้วเอากระดูกกะโหลกออกมา ขนาดราวๆ เหรียญสองสลึง ทำให้มีรูเกิดขึ้น
    จากนั้นก็เอามีด เอากรรไกร เข้าไปตัดเส้นประสาทเส้นที่ 5 แต่อาจารย์ท่านว่า
    การผ่าตัดทำด้วยความยากลำบากมาก เพราะเรื้อรังมานาน
    ประกอบกับการได้รับการฉีดแอลกอฮอลล์เข้าไปหลายหน มันก็เกิดพังผืดขึ้น
    ผลการผ่าตัดไม่น่าพอใจเท่าไร แต่เชื่อว่าคงให้ผลไม่น้อย
    การผ่าตัดประสาทสมองนี้กินเวลาราว ๆ สี่ชั่วโมง เพราะความยากลำบากดังกล่าว
    พอราวๆ เที่ยง เขาก็เข็นรถกลับมาที่เดิม ในห้องมีแม่ผม ภรรยา พ่อตา แม่ยาย
    ซึ่งทั้งสองท่านนี้ มีศักดิ์เป็นลุงและเป็นป้าของผมด้วย
    ทุกคนก็คิดว่าผมคงตายไปแล้ว เพราะนานเหลือทนระหว่างที่คอยรับผมในห้องพยาบาล
    และภรรยาก็เล่าเรื่องทั้งหมดเมื่อคืนให้ทุกคนได้ฟัง
    ต่างก็รับฟังโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ค่ำนั้นก็เกิดอาการปวดขึ้นมาอีก
    ทีนี้ปวดสองอย่างคือ ปวดเจ็บในสมองที่ผ่าตัด ปวดแผล
    มิหนำซ้ำโรคปวดเดิมก็ไม่ทุเลา ทำให้เกิดทุกข์ทรมานกว่าเก่า
    มือทั้งสองก็กุมที่แผล กุมศีรษะร้องปวด ดิ้นไป และแล้วก็นึกได้..
    "หนู ช่วยพ่อด้วย" ผมตะโกนออกมาดังๆ
    ในห้องนั้นมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมกันมากมาย
    ต่างก็ได้รับฟังเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ทุกคนสงบ มีแต่ผมผู้เดียว
    ทุรนทุรายอยู่บนเตียง..

    ชั่วอึดใจเดียวก็ปรากฏร่างของเด็กหญิงที่บอกว่าเคยเป็นลูกผมเมื่อชาติก่อนมานั่งอยู่ข้างเตียง
    ผมจึงถามว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...