ชอบภาพนี้มากเลยครับ

<TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>
<SCRIPT type=text/javascript>var gaJsHost = (("https:" == document.location.protocol) ? "https://ssl." : "http://www.");document.write(unescape("%3Cscript src='" + gaJsHost + "google-analytics.com/ga.js' type='text/javascript'%3E%3C/script%3E"));</SCRIPT><SCRIPT src="http://www.google-analytics.com/ga.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://www.google-analytics.com/ga.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript>try {var pageTracker = _gat._getTracker("UA-10478864-1");pageTracker._setDomainName(".bloggang.com");pageTracker._trackPageview();} catch(err) {}</SCRIPT>

ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้​

ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า​

ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยกับเศษอีก 100,000 มหากัปป์นับแต่นี้ ​

<HR align=center width=496>
<!--BEGIN WEB STAT CODE--><SCRIPT language=javascript1.1> page="oddy.freebird";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.1 src="http://hits.truehits.in.th/data/o0026428.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://lvs.truehits.in.th/func/th_donate_1.8.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://lvs.truehits.in.th/func/th_common_1.4.js"></SCRIPT><!-- END WEBSTAT CODE -->

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top>
<SCRIPT type=text/javascript>var gaJsHost = (("https:" == document.location.protocol) ? "https://ssl." : "http://www.");document.write(unescape("%3Cscript src='" + gaJsHost + "google-analytics.com/ga.js' type='text/javascript'%3E%3C/script%3E"));</SCRIPT><SCRIPT src="http://www.google-analytics.com/ga.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://www.google-analytics.com/ga.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://www.google-analytics.com/ga.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript>try {var pageTracker = _gat._getTracker("UA-10478864-1");pageTracker._setDomainName(".bloggang.com");pageTracker._trackPageview();} catch(err) {}</SCRIPT>


</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
<SCRIPT src="http://lvs.truehits.in.th/func/th_donate_1.8.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://lvs.truehits.in.th/func/th_common_1.4.js"></SCRIPT>
<SCRIPT src="http://lvs.truehits.in.th/func/th_donate_1.8.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://lvs.truehits.in.th/func/th_common_1.4.js"></SCRIPT>

 

ไม่มีภาพตอนเหาะมาเห็นฝูงชน กับตอนขนดินมาถม ด้วยหรอครับ
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ

 

ไม่เข้าใจความหมายของภาพครับ รบกวนช่วยอธิบาย

 

สาธุครับ

-มหาโมทนากับกุศลจิตทุกท่านครับ

-ประวัติของสุเมธดาบส ครับ

พระสุเมธดาบส - Windows Live

สาธุ

 

สาธุครับ

-มหาโมทนากับกุศลจิตทุกท่านครับ

-ประวัติของสุเมธดาบส ครับ

พระสุเมธดาบส - Windows Live

สาธุ

 

คุณ peerayuth
ความหมายของภาพก็คือ พุทธพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้า สำหรับผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตนั่นเอง
หวังว่าคุณคงเข้าใจนะ
โมทนา

 

เป็นภาพนี้เป็นภาพที่สุเมธดาบสที่มีศรัทธาสูงสุดที่ฉับพลันได้เห็นพระพุทธเจ้าในสมัยนั้น ชาวบ้านสร้างทางทางเดินให้พระพุทธเจ้าเสด็จแต๋ยังไม่เสร็จเหลือวาเศษ ท่านสุเมธดาบสจึงตัดสินใจทอดตัวลงกับเปือกตมให้ตัวเองเป็นทางเดินให้พระพุทธเจ้าทีปังกรและพระสาวกอีกหลายร้อยองค์เดินเสด็จผ่านไปโดยสะดวก

ในเวลานั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงเปล่งวาจา เป็นพุทธพยากรณ์ ตามข้อความข้างต้น

นับเป็นการสร้างบารมีในสมัยหนึ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
และเป็นขั้นตอนที่สำคัญของการเป็นพระพุทธเจ้า คือต้องได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนแล้วเท่านั้น
จึงจะมีความแน่นอนว่าจะได้มาตรัสรู้ในภายภาคหน้า
ซึ่งเรียกว่าเป็นพระนิยตโพธิสัตว์

 

เป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เป็นระยะเวลา ๔ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปป์
ท่านดาบสที่ถือดอกบัว ๕ ดอกองค์นั้นชื่อว่า ท่านสุเมธดาบส
เป็นพระชาติหนึ่งช่วงบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า ครับ

ผู้หญิงที่ถือดอก ๓ ดอกคนนั้นชื่อว่า ท่านสุมิตตา ( พระนางยโสธรา พิมพา )

ตอนนั้น องค์พระทศพลทีปังกรพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเสด็จมาเมืองนี้ แล้วชาวบ้านเมืองนั้นก็พากันถางทางเพื่อรับเสด็จพระทีปังกรพระพุทธเจ้า พอดีว่าท่านสุเมธดาบสเหาะมาเจอชาวบ้านกำลังถางทาง ก็เลยลงมาถามว่าทำอะไรกัน ชาวบ้านบอกว่าถางทางเพื่อรับเสด็จพระพุทธเจ้า ท่านสุเมธท่านดีใจมากที่ได้ยินคำว่า พระพุทธเจ้า ท่านสุเมธดาบสก็เลยของร่วมถางทาง ท่านสุเมธดาบสได้ทำทางช่วงที่เป็นเลนตม พอดีพระพุทธเจ้าเสด็จมาทางก็ยังไม่เสร็จ ช่วงเลนตมเหลือประมาณ ๑ ช่วงตัวพอดี ท่านสุเมธดาบส เลยเอาตัวของท่านนอนเป็นสะพาน แล้วอาราธนาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ รูป ให้เสด็จบนหลังท่านอย่าได้เหยียบเลนตมเลย แล้วพระพุทธเจ้าทีปังกรก็เสร็จตามด้วยพระหรหันต์ทั้ง ๑๐๐,๐๐๐ รูป แล้วพระพุทธเจ้าทีปังกรพระองค์ทรงพยากรณ์ ว่าอีก ๔ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปป์ข้างหน้า ท่านดาบสท่านนี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดมพระพุทธเจ้า แล้วท่านสุมิตตาท่านได้เอาดอกบัวมา ๘ ดอกแบ่งให้ท่านสุเมธ ๕ ดอก ตัวท่านสุมิตตาเอง ๓ ดอก แล้วท่านทั้ง ๒ ก็บูชาพระพุทธเจ้าทีปังกร ร่วมกัน
พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์อีกว่า น้องหญิงสุมิตตาท่านนี้จะเป็น คู่บารมีกับท่านสุเมธตลอด ๔ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปป์


ปล.....เป็น ความรักที่บริสุทธิ์ เป็นความรักที่ยาวนานมาก

 

ไม่มีครับ ให้ท่านนึกภาพในมโนเอานะครับ
อิอิ ล้อเล่นนะครับ
จะพยายามหามานะครับ

 

สาธุ อนุโมทนาด้วยครับ

 

สาธุ อนุโมทนาด้วยครับ

 

สาธุ อนุโมทนาด้วยครับ

 

เชื่อไหมว่าผมไม่ต้องนึก แค่ระลึกก็เห็นภาพชัดเจนมันเป็นเหมือนภาพเคลื่อนไหวด้วย ผมดีใจนะที่ผมเป็นเเบบนี้ เรื่องล้อเล่นผมไม่ว่าครับเพราะ อันมนุษย์นี้นิสัยโดยธรรมชาติชอบสุข(ไม่ว่าจะสุขอิงอามิสหรือสุขไม่อิงอามิส รบกวนท่านตันละอธิบายด้วยนะครับ"สุขอิงอามิสหรือสุขไม่อิงอามิส"แล้วถ้าท่านไม่มีความเมตตาให้แก่ผมท่านคงไม่ล้อผมเล่นใช่ไหมครับ
ขอเสริมอีกนิดนะครับสำหรับอดีตเมื่อประมาณ ๔ อสงไขยกับแสนมหาัักัปป์
ผลจากการโดนเหยียบทำให้ มหาบุรุษสุเมธดาบส เสียชีวิตครับ ถึงกับสละชีวิตนะครับ สำหรับท่่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ
อีกนิด"อ่านให้ดีนะครับทุกๆ ท่านอย่าพึ่่งด่าผมล่ะ ข้อความของผมแต่ละข้อความอาจมีอะไรมากกว่าแค่ตัวหนังสือ"ถ้าผมผิดประการใดก็ขอน้อมรับ แต่ไม่เอา

 

ไม่มีอะไรทำก็อ้างอิงตัวเองนี่แระ พอได้อ่านข้อความของตัวเองบทนี้ อยู่ๆ ก็นึกคำนี้ขึ้นมา "ตาดีได้ตาร้ายเสีย" ช่างมีความสุขเสียยิ่งกระไรหนอข้าพเจ้าเอ๋ย

 

ท่านครับ
ในตำรากล่าวว่า ท่านสุเมธดาบส ไม่ได้เสียชีวิตครับ และยังมีตอนที่ท่านสุเมธระลึกถึงบารมีธรรมที่ท่านบำเพ็ญมา ๑๖ อสงไขย เป็นเหตุให้แผ่นดินในเมืองนั้นไหวถึง ๗ ครั้ง ชาวเมืองพากันหวาดกลัวจึงพากันไปหาพระพุทธเจ้า ทูลถามเรื่องแผ่นดินไหว พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าไม่มีเหตุอะไรเลย แค่แผ่นดินรับรู้ถึงบุญบารมีของท่านสุเมธดาบสที่บำเพ็ญมาเท่านั้นเอง

ที่ท่านถามเรื่อง อามิสทั้งอิงและไม่อิง ผมเองไม่แน่ใจนะครับ
เป็นคำเดียวกันกับคำนี้หรือเปล่าครับ สามิสสุขและ นิรามิสสุข ลองอ่านดูนะครับ



สันโดษ....เคล็ดลับของความสุข (๓)
ต้นทางแห่ง ความสุขที่แท้จริง
"คำสอนตามหลักพระพุทธศาสนากล่าวว่า
ยิ่งสันโดษต่อสามิสสุขมากเท่าไร
ก็ยิ่งได้นิรามิสสุขมากขึ้นเท่านั้น"

.........พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก..........

สามิสสุข หมายถึง ความสุขที่ต้องอาศัยวัตถุภายนอกมาตอบสนอง
ความต้องการทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
และความคิดอยากต่าง ๆ ถือเป็นความสุขขั้นหยาบ
ที่มีความทุกข์เจือปนมาตลอดเวลา เพราะต้องแสวงหา
ดิ้นรนกระวนกระวายเป็นอาการนำหน้า เมื่อได้มา
ก็ต้องระวัง รักษา ยึดติด หวงแหน ผูกพัน กลัวสูญหาย
ถ้าไม่ได้มา ถูกขัดขวางก็ขัดเคือง ไม่พอใจ


นิรามิสสุข เป็น ความสุขภายในที่ไม่ต้องอาศัยวัตถุภายนอกมาสนองความอยาก

เป็นความสุขที่เกิดจากใจที่สงบ สะอาด ไม่ดิ้นรนกระวนกระวายไปตามกิเลส
นิรามิสสุข จึงเป็นความสุขที่แท้จริง
เป็นภาวะสุขที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ ตามมา
และยังช่วยขจัดปัญหาต่าง ๆ ด้วย

ผู้ที่จะมีนิรามิสสุขได้ จะต้องมีสภาพใจที่สงบไม่ดิ้นรน
คือมีความสันโดษเสียก่อน
แล้วหมั่นฝึกหัดพัฒนาจิตใจ
ด้วยการเจริญอานาปานสติและเมตตาภาวนา
เป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อเข้าถึงความสุขที่แท้
หรืออย่างน้อยก็เพื่อความมีสุขภาพใจดี
มีความสบายใจ สุขใจ

บทความจาก พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

 

อามิส แปลว่า สิ่งของ เครื่องล่อใจ เหยื่อ แต่ในที่นี้หมายถึงกิเลส ดังนั้น ในที่บางแห่งจึงเรียกว่า สุขเวทนาที่เจือด้วยกิเลส ทุกขเวทนาที่เจือด้วยกิเลส ฯลฯ บ้างก็เรียกว่า สุขเวทนาที่เจือด้วยกามคุณ ทุกขเวทนาที่เจือด้วยกามคุณ ฯลฯ เพราะ โดยส่วนมาก กามคุณย่อมเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส

สุขเวทนาที่เกิดขึ้นด้วยสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาก็ดี ทุกขเวทนาที่เกิด ขึ้นจากสภาพแห่งสังขารก็ดี และอุเบกขาเวทนาซึ่งเกิดมีความสงบจากอารมณ์ของ สมถะหรือวิปัสสนาก็ดี จัดว่าเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา ที่ไม่เจือ ด้วยอามิส

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานทั้ง ๙ บรรพนี้ ใช้ในการเจริญวิปัสสนาภาวนา แต่ อย่างเดียว จะเพ่งเวทนาโดยความเป็นอารมณ์ของสมถภาวนา เพื่อให้เกิดฌานจิตนั้น ไม่ได้

การตามพิจารณาเวทนา ก็เพื่อให้รู้เห็นประจักษ์ชัดว่าทุกข์สุขที่กำลังเกิดอยู่นั้น เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งซึ่งไม่มีรูปร่างสัณฐานที่ให้เห็นได้ด้วยนัยตา เป็นธรรมชาติที่ ไม่ใช่รูป แต่เรียกว่า นาม คือ นามเจตสิก

เวทนานี้ไม่ใช่เรา และเราก็ไม่ใช่เวทนา ต่อเมื่อมีเหตุ มีปัจจัย เวทนาก็เกิดขึ้น ก็ปรากฏขึ้น จะห้ามไม่ให้เกิด ก็ห้ามไม่ได้ ครั้นหมดเหตุ หมดปัจจัยแล้ว เวทนา ก็ดับไปเอง ไม่ดำรงคงอยู่ตลอดไป

ความรู้ในเวทนาดังกล่าวนี้แหละที่เรียกว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน อัน เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาภาวนา ซึ่งมีความสามารถประหารสักกายทิฏฐิได้

ความจริงเวทนานี้ก็เกิดอยู่เสมอทุกขณะ ไม่มีว่างเว้นเลย ชนทั้งหลายก็รู้สึก ทุกข์หรือสุขอยู่ แต่ว่าไปยึดถือว่าเราทุกข์เราสุข จึงไม่อาจที่จะละสักกายทิฏฐิได้เลย ดังนี้ไม่เรียกว่า เวทนานั้นเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน หรือเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ภาวนา

เวทนา กล่าวตามนัยแห่งเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็จัดเป็น ๙ บรรพ ดังที่ ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น

แต่เมื่อกล่าวโดยองค์ธรรม ก็ได้แก่ เจตสิกดวงเดียวที่ชื่อว่า เวทนาเจตสิก

ดังนั้น เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่ว่ามี ๙ บรรพนั้น จึงนับว่ามีบรรพ เดียวก็ได้ โดยอาศัยนับตามนัยแห่งองค์ธรรม ซึ่งมีเพียง ๑

อนึ่ง ในเรื่องเวทนาในเวทนาก็ดี เวทนาในเวทนาอันเป็นภายใน เวทนาใน เวทนาอันเป็นภายนอกก็ดี ก็มีนัยทำนองเดียวกับกายในกายที่กล่าวมาแล้ว คือ

เมื่อกำหนดพิจารณาอยู่เนือง ๆ ย่อมทราบว่า ขณะที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ ขณะ นั้นก็ไม่มีสุขและไม่ใช่อุเบกขา

เวลาที่กำลังมีสุขเวทนาอยู่ เวลานั้นก็ไม่มีทุกข์ และไม่ใช่อุเบกขาด้วย

ครั้นเมื่อใดเป็นอุเบกขาอยู่ เมื่อนั้นก็ไม่ทุกข์และไม่สุขด้วย

ดังนี้ก็ปรากฏชัดว่า เวทนานี้เวลาเกิดขึ้นก็เกิดแต่อย่างเดียว เกิดทีละอย่างใน เวทนาที่มีหลายอย่าง นี่แหละเป็นการพิจารณาเวทนาหนึ่งซึ่งกำลังเกิดมีอยู่ อันเป็น เวทนาเดียวในเวทนาทั้งหลาย

เวทนาที่เกิดแก่สังขารร่างกายนี้ ก็เป็นภายใน เวทนาที่เกิดแก่สังขารร่างกาย อื่น ก็เป็นภายนอก

เวทนาเกิดแก่รูปกายนี้เป็นฉันใด เวทนาที่เกิดแก่รูปกายอื่น ก็เป็นฉันนั้น


ลองอ่านความหมายดูนะครับ แล้วประสมเอาเองว่าแปลว่าอะไร ผมเองก็หมดปัญญาครับ

 

ขอกราบอนุโมทนากับข้อความข้างต้นและอนุโมทนากับท่านตันละด้วยนะครับ ข้อความที่ท่านได้แสดงนั้นเป็นธรรมทั้งเบื้องต้นและทำให้พ้นจากทุกข์ได้เลยนะครับนี่ แต่กระผมผู้มีปัญญาน้อยแต่กิเลสมาก อ่านแล้วรู้แต่ จิตยังไม่ยอมรับยังไม่เข้าใจ ช่างไม่มีปัญญาจริงๆ เลยเรา

 

ครับไม่ว่าจะเป็นยังไงมันก็เป็นอดีตไปแล้วครับ "อดีตก็ละไปแล้ว อนาคตก็ยังไม่มา ปัจจุบันคือลมหายใจเข้าออก"
เป็นอันเดียวกันครับความหมายของ "อามิสทั้งอิงและไม่อิง กับ สามิสสุขและ นิรามิสสุข

 

ครับไม่ว่าจะเป็นยังไงมันก็เป็นอดีตไปแล้วครับ "อดีตก็ละไปแล้ว อนาคตก็ยังไม่มา ปัจจุบันคือลมหายใจเข้าออก"
เป็นอันเดียวกันครับความหมายของ "อามิสทั้งอิงและไม่อิง กับ สามิสสุขและ นิรามิสสุข ต่างกันแค่ชื่อโดยสมมุติครับ

 

ภาพสวยมาก ใครเป็นคนวาดครับ