ฉบับที่ ๔๑ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 11 กรกฎาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    ช่วงแรกของเล่ม " กรรมฐาน ๔๐"สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ถาม: .........................................
    ตอบ : อุเบกขาในการงานก็เหมือนกัน จบลงแล้วตรงที่ตรงนั้นก็ให้มันจบลง หมายความว่าหมดวันปุ๊บกองงานเอาไว้ที่ทำงาน ตัวเราก็กลับเป็นของเรา อีกวาระหนึ่ง ตั้งแต่พ้นจากที่ทำงานกลับคืนบ้าน ก็เป็นเวลาที่เราจะกอบโกยผลบุญของทาน ศีล ภาวนา ของเราให้มันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะว่าบางคนต้องใช้คำว่าความจำเป็นในหน้าที่การงาน ทำให้รักษาศีลได้ไม่ครบข้อ อาจจะต้องพูดในลักษณะโกหกเขาบ้าง อาจจะต้องมีการสังคมเอนเตอร์เทนกับลูกค้าบ้างอะไรบ้าง ก็เผลอไปกรึ๊บไวน์เข้าไปบ้าง เบียร์บ้าง สุราบ้าง ช่วงนั้นถ้ามันขาดให้มันขาดไป ถือว่าเราไม่ยอมขาดทุนตลอด ๒๔ ชั่วโมง อย่างน้อย ๆ ๒๔ ชั่วโมงให้มีวาระมีเวลาที่เรียกว่าให้เราได้ทำความดีบ้าง ถึงเวลาเราก็รักษาให้แน่นแฟ้นไป ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงที่ทำงานระยะเวลาอาจจะ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ให้เราอยู่กับศีลอยู่กับทานของเราอยู่กับธรรมะของเรา พอถึงเวลาเริ่มต้นการงานปุ๊บรักษาเท่าที่รักษาได้

    ถ้าสามารถประคับประคองได้ตลอดก็ดี แต่ถ้าไม่สามารถประคับประคองได้ก็ตั้งใจไว้เลยว่าผลบุญตั้งแต่เช้าขึ้นมาจนถึงที่ทำงานที่เรารักษามา ก็ขอให้มันส่งผลให้เรามีความคล่องตัวใหน้าที่การงาน ท้ายสุดขอให้เข้าพระนิพพานได้ พอถึงเวลาเลิกจากงานไปตอนนี้ปล่อยวางทุกอย่างแล้ว ปล่อยวางอารมณ์ให้เป็นอุเบกขา งานทั้งหมดกองอยู่ตรงนั้นแหละไม่ต้องเอาตามเรากลับบ้านมา ถึงเวลาเดินทางกลับบ้านจนกระทั่งถึงบ้าน จนกระทั่งก่อนจะนอน ตลอดระยะเวลานั้นให้ใจของเราอยู่กับศีลธรรมก็ให้มันมีระยะเวลาที่ทำของมันอย่างจริง ๆ จังบ้าง กำลังใจก็จะทรงตัวได้ง่าย ทรงตัวได้เร็ว ก้าวไปข้างหน้าแล้วต้องไม่ลืมที่หลวงพ่อสอน ท่านบอกว่าถ้าได้กรรมฐานกองหนึ่งแล้ว ก่อนจะทำกรรมฐานกองอื่น ให้ทวนกองเก่าให้มีความคล่องตัวชำนาญ อารมณ์ได้เต็มที่ของมันก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนกองใหม่ ถ้าหากว่าได้ ๒ แล้วจะทำกองที่ ๓ ก็ทวน ๑,๒ ให้มันขึ้นใจก่อนแล้วค่อยไป ๓ ต่อ

    วิมังสา การไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ถ้าเป็นเรื่องของหน้าที่การงานก็คือ ต้องสรุปและประเมินผล เมื่อวานนี้สอนพวกเขาให้หัดสรุปประเมินผล นอกจากสรุปประเมินผลแล้ว ยังต้องวิเคราะห์ด้วยว่าสิ่งที่เราทำนั้น ตอนนี้เป็นที่พอใจไม่พอใจอย่างไร ตัวเราตอนนี้ยืนอยู่ตรงจุดไหน จุดหมายปลายทางที่เราตั้งใจไปอยู่ตรงจุดไหน เราจะได้รู้ว่าเราใกล้ไกลแค่ไหน ต้องขวนขวายเร่งรีบหรือว่าทำสบาย ๆ แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ถ้าหากว่าในเรื่องของทางพระ เขาไม่ให้ประมาท เพราะฉะนั้นทุกวันต้องเต็มที่ ในเมื่อทุกวันต้องเต็มที่ ทำเหมือนกับวันนี้เป็นวันสุดท้าย พ้นจากวันนี้ไม่มีอีกแล้วสำหรับเรา เราก็จะทำหน้าที่ประจำวันของเราให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงดีได้ ถึงเวลาจะไปก็ไปอย่างสง่างามที่สุด เริดเชิดเป็นนางเอกไปเลย ไม่ต้องง้อใคร...


    ค่อย ๆ ไป ถอยอย่าให้คนรู้เขาเรียกว่า รุกอำพรางถอย ลักษณะเหมือนอย่างกับบุกไปข้างหน้าตลอดนั่นแหละ นั่นเป็นเพียงเปลือกที่ให้คนอื่นรู้ แต่ตัวเราเองค่อย ๆ ถอยมาตามจังหวะ ตามวาระของมัน ต้องเตรียมการยังไง ค่อยๆ ทำไปไม่ต้องไปกระโตกกระตากให้ใครรู้ อยู่ ๆ ก็เซอร์ไพรส์หายวับไปกับตา สมัยที่บวชก็ทำอย่างนี้แหละคนอื่นเขาก็ยังคิด ของเราเองไม่รอดแน่เลย ไหน ๆ ก็มีน้องมีนุ่งตามไปเป็นกระตั้ก ๘ คน ๑๐ คน อย่างนี้ จะบวชกันได้ยังไงแต่เราทำได้

    ภาระทางโลกรังแต่จะดึงเราให้จมอยู่กับมัน ภาระทางใจมันก็เลยไม่รู้จักจบสิ้นสักที เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าไปถึงจุด ๆ หนึ่ง รู้สึกว่าพอก็โอเคไปได้ละ ตอนช่วงที่อาตมาเป็นฆราวาสอยู่อาจจะเป็นไปได้ว่าสิ่งที่ทำมันถือว่าประสบความสำเร็จ จังหวะทุกอย่างมันลงตัว มันให้พอดี พ่อก็ได้ดูแล แม่ก็ได้ดูแล น้องก็ได้ส่งให้เรียน หลานก็ได้ส่งให้เรียน หน้าที่การงานก็ถือว่าประสบความสำเร็จสูงสุดแล้ว ขณะที่คนอื่นเขาตะเกียกตะกายแทบตาย เขายังทำตรงจุดนั้นไม่ได้ แต่เราได้มาแล้ว เอ้า พอ...เข้าวัดดีกว่า

    แต่คราวนี้ว่าถ้าหากอยู่ ๆ เลี้ยวเข้าไปเฉย ๆ มันก็อาจจะอยู่ลักษณะโลกช้ำธรรมเสีย ในเมื่ออยู่ลักษณะนั้นเราก็ต้องรอระยะ รอจังหวะเวลาเหมือนกัน จิตใจมุ่งมั่นต่อเป้าหมายอย่าพยายามเบี่ยงเบนไป อย่าให้มันเบี่ยงเบนไปโดยเราไม่รู้ตัว เพราะว่ากระแสโลกมันแรง บางทีมันก็ดึงเราอยู่ตรงเราอยู่ยังไม่พอ ยังดึงเราลอยตามมันไปอีก งั้นต้องหาจังหวะ หาเวลาที่ดีที่สุด ช่วงนั้นจังหวะและเวลาที่ดีที่สุดก็คือหลวงพ่อท่านถามว่าจะบวชให้ฉันได้ไหม ? ก็พอเหมาะพอดีโป๊ะเชะเลย ทีนี้อ้างกับเขาได้เต็มปากเต็มคำแล้วนี่ ไปดีกว่า ไหน ๆ หลวงพ่อก็ชวนแล้ว โอกาสอย่างนี้ทั้งชาติไม่รู้ว่าจะมีอีกรึเปล่า ? รอจังหวะ รอเวลา รอเหมือนอย่างกับนกที่รอจังหวะจะบินออกจากกรง เมื่อไหร่มันจะได้ช่องนะ ทนได้เมื่อไหร่ก็สบายเมื่อนั้น

    สงสารผู้ชรา เวทนาผู้อ่อนวัย ทำได้ไหมอย่างนี้ ? เขาเรียก อัปมัญญาพรหมวิหาร สงสารผู้ชรา สภาพร่างกายย่ำแย่ลงไปทุกวัน แต่ว่าความทุกข์ยังเหมือนเดิมก็เลยดูเหมือนทุกข์มากขึ้น เป็นสิ่งที่น่าสงสาร เมื่อไหร่เขาจะพ้นทุกข์ได้ เวทนาผู้อ่อนวัย เกิดมาก็ทุกข์ยากลำบากจนขนาดนี้แล้ว มีอะไรที่เราพอจะแบ่งเบา พอจะช่วยเหลือเขาได้ก็ทำไปเถอะ

    นึกว่าเราได้เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ เพื่อศักดิ์ศรี เพื่อไทย ไม่หมองหม่น
    ไม่น้อยใจโชคชะตากล้าผจญ แม้บางคนไม่เคยทุกข์ทุกยุคกาล
    เคยได้ยินรึเปล่า? ในหลวงพระราชนิพนธ์เพลงความฝันอันสูงสุดนะ
    ขอฝันใฝ่ ในฝันอันเหลือเชื่อ ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่ไม่หวั่นไหว
    ขอทนทุกข์รุกโลมโหมกายใจ ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง
    จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
    จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
    ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
    ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป
    นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง หมายผดุงยุติธรรมอันสดใส
    ถึงทุนทุกข์ทรมานนานเท่าใด ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน
    โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่ เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน
    ยังยืนหยุดสู้ไปใฝ่ประจัญ ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย
    สมเด็จพระเทพท่านขยายความ... ท่านขยายว่า
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ศีลข้อมุสาเป็นอย่างไรคะ ?
    ตอบ : ศีลข้อ “มุสา” ถ้าเราหลอกลวงเขา แล้วผลประโยชน์ที่ได้จากการหลอกลวงมาอยู่กับตัวเรานี่ผิด ๑๐๐% แต่ว่าบางทีบางสิ่งบางอย่างมันจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น เช่นถ้าหากเพื่อนกำลังทำงานอยู่ กำลังมีความเจริญก้าวหน้าในการงานอยู่ แล้วเกิดเรื่องร้ายไม่ดีขึ้นกับทางครอบครัว สมมุติว่าพ่อแม่ป่วยอยู่แล้วเกิดตาย แต่โทรศัพท์มาบอกเรา กลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ ถ้าเพื่อนถามก็บอกว่า เขามาบอกว่าแม่ป่วยอยู่นะตอนนี้อาการดีขึ้นมาหน่อยแล้ว แต่ยังไม่พ้นขีดอันตรายให้ทำใจเผื่อไว้บ้างนะ ถ้าเป็นลักษณะนี้เขาไม่ถือว่าโกหก การโกหกที่ผิดจริง ๆ ก็คือ หลอกลวงเขาและผลประโยชน์การหลอกลวงเกิดขึ้นกับเรา ต่อไปหาทอฟฟี่หรือฮอลล์เม็ดโต ๆ มาอมไว้แล้วให้ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่โกหก พอถึงเวลาขยับลิ้นมันกระทบเมื่อไหร่ อ๋อ! เราตั้งใจจะไม่โกหกมันจะได้หยุดทัน คงเปลืองทอฟฟี่น่าดูเลย


    ถาม : บางทีสมมุติเรารับโทรศัพท์ที่ทำงาน เขายังไม่เข้ามาเขาอาจจะติดธุระก็ได้ ?
    ตอบ : ได้จ้ะ เวลาเขามาแล้วรีบบอกเขา อย่างเช่นเจ้านายโทรศัพท์มาก็บอกว่าตอนนี้เขาอยู่ห้องน้ำ มีอะไรสั่งไว้ได้เลยเดี๋ยวออกมาแล้วจะบอกให้ ถึงเวลาแล้วรีบบอกเพื่อนไป เรื่องการโกหกนี้มันมีเรื่องของกาย วาจา ใจ

    ถาม : .................................
    ตอบ : จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าขณะเดียวกันถ้ามองอีกอย่างหนึ่งว่า ในเมื่อเขาทำเขาก็ต้องได้รับผลอันนั้น ผลกรรมที่เขากระทำ บุคคลรอบข้างเขาต้องเคยสร้างกรรมร่วมกันมา ถึงได้เกิดอยู่ใกล้ชิดกัน ในเมื่อเคยสร้างกรรมร่วมกันมา ถึงเวลากรรมนั้นก็จะส่งผลกระทบถึงเขาได้เช่นกัน

    ถ้าเรามองในจุดนี้ตั้งใจอยู่อย่างว่า ถ้าหากว่าเราไม่ทำในจุดนี้ต่อไป เขาอาจหลอกลวงหรืออาจจะคดโกงคนอื่นต่อไป เราจะจัดการเพื่อให้ทุกอย่างมันดีขึ้นก็ทำไป แต่ขณะเดียวกันถ้าหากว่าเราสงสารกลัวว่าคนที่อยู่รอบข้างจะได้รับการกระทบไปตาม ๆ กัน ก็คิดเสียว่าเราเคยทำเขามาก่อนแล้วชาตินี้เขาเลยมาทำอย่างนี้กับเรา ๆ ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งไปเกี่ยวอะไรกับเขาหรอก เพื่อจะได้ไม่ต้องสร้างกรรมต่อเนื่องกันไป คนประเภทนี้ไปทำใครเข้าเดี๋ยวไปเจอคู่ปรับของเขา ๆ ก็เฉ่งกันเองแหละ ถ้าทำใจอย่างนั้นได้ก็ถือว่าประเสริฐแล้ว

    ถาม : ถ้าเราไปทำเขา เราจะบาปไหมคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากเป็นการตรงไปตรงมา ตามศีลตามธรรมหรือตามกฏหมายก็ไม่เป็นไร คือในลักษณะที่ว่าจัดการเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น แต่ว่าขณะเดียวกันถ้าหากเราเมตตาสงสารจริง ๆ ก็เออ! เรื่องของมันเหอะ! เดี๋ยวคนอื่นเขาเล่นมันเองแหละ ถ้าเป็นอาตมาก็โชะร่วงไปเลย นิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ของเรามันชอบทำอะไรตรง ๆ เล่นไม้สั้นตีกันตรง ๆ ไม้สั้นมันตีโค้งไม่ได้หรอกไม่ทันเขา มันต้องไม้ยาว ๆ มันเกิดอีกนานเราไม่ชอบ เพราะฉะนั้นก็เอาไม้สั้นนี่แหละตีกันตรง ๆ จบแล้วจบเลย คุณจะตามทวงคุณก็ไปตามทวงให้ได้แล้วกัน เราก็ตั้งหน้าตั้งตาไปนิพพานของเรา


    ถาม : รู้สึกเขาเอาเปรียบเรามากเกินไป เห็นว่าเราเป็นอะไร สิ่งที่ได้ตัวเขาเองก็ไม่สำนึก
    ตอบ : คนประเภทนี้มีเยอะจ้ะ มันแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คนเรามันไม่กลัวความดี มันกลัวแต่คนที่ชั่วกว่า อันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวทั้ง ๆ ที่เป็นพระนี่แหละ บางทีต้องออกอาละวาดไล่ลุยกับชาวบ้านจนกระทั่งเขาเห็นว่า ของเรารับรองว่าสามารถเล่นงานเขาสาหัสได้แน่ ๆ เขาถึงยอม มันกลายเป็นคนไม่กลัวความดี แต่กลัวคนที่ชั่วกว่า


    จริง ๆ แล้วก็ไม่ควร ตอนที่ไปทำนั้นเป็นการรักษาของสงฆ์ที่เขาขโมยของเราจำเป็นต้องจัดการ ถ้าเขาไม่เกรงกลัวเราเขาก็จะทำไปเรื่อย ๆ ทุกคนบอกว่าตัวเองทำดี ปล้นเขากินก็ดีสบายง่ายด้วย แต่ว่าทุกคนที่มันดีเพราะกำลังใจของตัวเองมันดีแค่นั้น ที่ดีกว่านี้ก็ยังมี ปล้นเขากินดีไหมล่ะ มันบอกดีสบายไม่ต้องเสียเวลาทำมาหากิน ดีแค่นั้นจำตัวนี้ไว้ให้ดี มันดีแค่นั้นมันถูกแค่นั้น ส่วนที่ดีกว่านั้น ถูกกว่านั้นยังมี พอเราก้าวพ้นมองข้ามมาก็ อ้าว! ที่แท้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ส่วนที่ดีกว่ายังมีทำไมเราก้าวข้ามไปได้ก็ไม่รู้

    ถาม : แรก ๆ คิดว่าทำไมแต่ก่อนเราคุยกันรู้เรื่อง แต่เดี๋ยวนี้ทำไมคุยกันไม่รู้เรื่อง ?
    ตอบ : ประเภทคุยกันคนละเรื่อง ของเราพยายามจะอิงไปทางด้านศีลธรรม แต่ของเขาเองพยายามจะเลี้ยวเข้าไปหาในเรื่องของประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงศีลถึงธรรม มันก็เลยคุยกันไม่รู้เรื่อง


    ถาม : มันทำให้เรามองว่า เอ๊ะ! การที่เราพยามปฏิบัติธรรมแต่มันทำให้เราแยกตัวเองออกมาต่างหากหรือเปล่า ?
    ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ เรายังอยู่กับโลกแต่ว่าเรามีศีลเป็นกรอบ เคยเห็นน้ำที่มันอยู่บนใบบัวใบบอนไหมล่ะ! มันกลิ้งไปกลิ้งมาแต่มันไม่ติดบนใบบัวใบบอนอะไรเลย ลักษณะของการอยู่กับโลกของเราก็ให้อยู่ในลักษณะอย่างนั้น ยังกลิ้งอยู่ในโลกแต่ไม่ติดในโลก แต่เมื่อไปสุดขอบของศีลเมื่อไหร่เราเลี้ยวกลับปล่อยให้ที่เหลือเป็นเรื่องของกฎของกรรมเข้ามาจัดการก็แล้วกัน เราไม่มีหน้าที่ไปยุ่งด้วย


    ถาม : แต่มันดีที่หนูได้พิจารณาหลาย ๆ อย่าง
    ตอบ : จ้ะ ทำไปเถอะ อยากรู้อะไรก็ต้องเข้าไปอยู่วงการนั้น ๆ
    ถาม : .................................... ?
    ตอบ : ไม่เป็นไร อนุญาตให้บวชชีได้


    ถาม : บวชชีก็เคยไปลองบวชชีพราหมณ์ รู้สึกว่าต้องสู้กับตัวเองเรามามันก็ยังมีเรื่องโลกเข้ามาเกี่ยว
    ตอบ : เป็นปกติจ้ะ จะเป็นพระเป็นชีก็ตามก็คือลูกชาวบ้านนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเปลี่ยนเครื่องแบบการแต่งตัว เปลี่ยนกติกาการดำเนินชีวิต แต่รัก โลภ โกรธ หลง ในใจมันยังไม่เปลี่ยนนี่ ในเมื่อมันยังไม่เปลี่ยนถ้ายอมเดินตามกติกาของตน พระก็ถือศีล ๒๒๗ ข้อ ชีก็ถือศีล ๘ ถ้าหากว่ายังเดินอยู่ในกติกาของตัวเองมันก็ยังไม่น่าเกลียดมาก แต่ถ้าหลุดออกนอกกรอบนอกกติกาเมื่อไหร่มันสร้างความเสียหายกับศาสนาอย่างใหญ่หลวงเหมือนกัน
    การบวชชีก็คือถือศีล ๘ เป็นการเอารูปแบบบังคับตัวเอง คนอื่นเขาเห็น เออ! คนนี้ตั้งใจบวชชีนะ ถ้าหากขึ้นรถเมล์ไปเบียดผู้ชายเข้าหน่อย คนก็มองตาเขียวปั้ดแล้ว ยายชีนี่ทำไมไม่รู้เลยว่าตัวเองจะต้องถือศีล ๘ ห้ามถูกเนื้อต้องตัวผู้ชาย แต่ถ้าเราถือศีล ๘ ขึ้นรถแมล์มันจำเป็นต้องเบียดอยู่แล้ว เจตนาของเราในทางเพศมันไม่มี เราเบียดลุยเข้าไปเถอะ ๓ คัน ๘ คันก็ไม่มีใครว่าทั้ง ๆ ที่เราก็ถือศีล ๘ เหมือนกับแม่ชี
    เพราะฉะนั้นการที่ถือศีลในลักษณะของการโกนหัว นุ่งขาวห่มขาวเป็นการเอารูปแบบบังคับตัวเอง เอาคนรอบข้างบีบตัวเองให้อยู่ในกรอบของความดี แต่ถ้ากำลังใจของเราสามารถถือศีล ๘ ได้ในลักษณะของฆราวาสหัวดำ อันนี้เก่งกว่า เก่งกว่าตรงที่เรามีโอกาสจะนอกคอกได้ตลอดเวลา แต่เราไม่ทำเราอยู่ในคอกของเราได้ แต่อันโน้นต้องบังคับให้คนอื่นเขามาช่วยล้อมกรอบให้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นฆราวาสถือศีล ๘ ได้ดีกว่าเยอะเลย


    สมัยอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อท่านบอกว่า ชุดขาวไม่ต้องหรอกเสียสตางค์ซื้อ ผ้าลายก็ได้แต่ให้ตั้งใจทำให้ดีก็แล้วกัน
    ถาม : ................................... ?
    ตอบ : ก็บอกแล้วว่าถ้าหากว่าเรารู้ในสิ่งนั้น ๆ บางทีอาจจะมี ๒ อย่าง อันแรกคือ ขาดความศรัทธา หมดอยากไปเลย อันที่สองคือ เกิดฮึดขึ้นมาว่าในเมื่อเขาทำดีไม่ได้เราจะทำให้ได้ ควรจะฮึดมากกว่า อย่างน้อย ๆ ศาสนาฝากความหวังไว้กับคุณไม่ได้ฝากไว้กับฉันก็ได้


    ถาม : นั่งสมาธิแล้วมีอาการปิติ มารมาแทรกพยายามจะสู้กับมัน จะทำอย่างไรดีครับ ?
    ตอบ : ถ้ากำลังใจอยู่กับลมหายใจเข้า – ออกอย่างแท้จริง มันเข้ามาไม่ได้ ที่มันเข้ามาได้ เพราะเราเผลอไปเปิดช่องให้มัน มี ๒ วิธี อันดับแรก ย้อนกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกของเราอย่างจริง ๆ จัง ๆ อันดับสองเมื่ออยู่กับลมเข้า-ออกอย่างจริง ๆ จัง พอสมาธิทรงตัวสิ่งนี้ก็จะถอยไป อีกอย่างหนึ่งกำลังมันสูงมากเราต่อต้านไม่ไหว ให้เอาสติคอยดูมันไว้ว่ามันอยากจะคิดอย่างไรให้มันคิด พวกนี้ถ้าเราปล่อยให้มันคิดบ้าไปจริง ๆ คิดไม่เกินชั่วโมงหรอกมันเหนื่อยเหมือนกัน มันก็จะหยุด อย่างเก่งมันก็สร้างโลกไปเรื่อย ๆ จะมีเมียกี่คน จะมีผัวกี่คน จะมีลูกกี่คน จะมีบ้านกี่หลัง จะมีรถกี่คัน แล้วสุดท้ายก็สรุปกลับมาว่าเราทำอะไรหว่า


    เมื่อเราได้สติ เราก็รีบกลับมาภาวนาต่อ เพราะมันเหนื่อยแล้ว เหมือนกับม้าพยศ กำลังมันยังดีอยู่ เราเอามันไม่อยู่ก็กอดคอมันไว้ปล่อยมันวิ่งไป มันเหนื่อยเมื่อไหร่เราค่อยลากมันกลับมาเข้าคอกใหม่

    เพราะฉะนั้นอันดับแรก ถ้ากำลังเราสูงพอสติคืนมาเร็ว ก็รีบกลับไปภาวนาไล่มันออกไป แต่ถ้าไล่มันไม่ไหวเพราะกำลังมันสูงกว่า ก็กอดคอมันไว้ แล้วคอยดูมันแล้วกันว่าจะได้สักเท่าใด ไปได้ไม่นานหรอก เท่าที่ดู ๆ มาอย่างเก่งสักครึ่งชั่วโมงกว่าก็เจ๊งแล้ว บางที ๕ นาที ๑๐ นาทีเท่านั้นเอง

    ถาม : ว่าจะไม่ติดกลับติด จะได้แต่เหมือนกับไม่ได้ บางวันเหมือนจะได้เรื่องของฌานสมาบัติอะไรอย่างนี้
    ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่าง สาเหตุอย่างแรกคือ ทำไม่พอ อย่างที่สองคือทำเกิน ฟังให้ดี ๆ ที่ทำไม่พอก็คือว่าเรื่องของสติ สมาธิ ถ้าเราสามารถรักษาทรงตัวต่อเนื่อง ความแจ่มใสของอารมณ์ถึงจะเกิด ถ้าหากว่ารักษาต่อเนื่องกิเลสจะถอยไป ตอนนั้นเรื่องของฌานสมาบัติก็ดี ความเป็นทิพย์ก็ดีจะเริ่มเกิดขึ้น แต่ถ้าหากว่าเราไม่สามารถรักษาต่อเนื่องได้ ก็จะไม่เกิด

    ส่วนอีกอย่างก็คือ ทำเกินเนื่องจากเราอยากได้จนเกินไป แล้วไปตั้งใจทุ่มเทให้กับมัน ตัวทำเกินนี้จะเป็นตัวฟุ้งซ่านเขาเรียกว่า “อุธัจจะ” การปฏิบัติก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ เรามีหน้าที่รดน้ำพรวนดินดูแลหนอนแมลงของมันไป แต่เราไม่มีหน้าที่บังคับให้ออกดอกออกผล เราทำหน้าที่ของเราให้ดีพอ ถึงเวลาดอกผลจะเกิดเอง จะต้องรอการสะสมสักระยะหนึ่งเหมือนกัน พอกำลังมันพอมันก็จะได้ ถ้าเราลองไปดึงยอดมันบอกโตเร็ว ๆ หน่อยเถอะพ่อคุณ จะได้ออกดอกออกผลเร็ว ๆ มันจะตายเสียก่อน
    ถาม : ต้องเป็นเพราะบารมีเก่าด้วยหรือเปล่าที่ไม่ได้สั่งสมมา ?
    ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ ไม่ต้อง คนเราถ้าตั้งใจจะทำ มีบารมีเก่าพอแล้วทุกคน ถึงได้บอกว่าสาเหตุเกิดจากทำเกินกับทำขาดเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก วิเคราะห์ตัวเองได้เลย ถ้าไม่เกินก็ขาดมีอยู่ ๒ อย่าง แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป ถ้าเกินก็ลดความตั้งใจลงมานิดหนึ่ง เรามีหน้าที่ภาวนาจะเกิดอะไรขึ้นช่างมัน ถ้าสามารถทำอย่างนี้จะเป็นสมาธิได้เร็ว แต่ขณะเดียวกันถ้าทำขาดก็เพิ่มความตั้งใจขึ้นอีกนิดหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องของศีลสำคัญมาก ถ้าหากว่ารักษาศีลได้ทรงตัวสมาธิจะตั้งมั่นได้เร็ว ถ้าศีลไม่ทรงตัวยังขาด ๆ หลุด ๆ อยู่ โอกาสสมาธิทรงตัวก็น้อยไปด้วย


    ถาม : ขอคำชี้แนะหน่อยค่ะ ในสภาพเช่นนี้ดวงเกี่ยวไหมคะ ?
    ตอบ : ดวงไม่เกี่ยวจ้ะ ดวงจริง ๆ คือกรรมเก่าที่เราทำมา คำว่า “กรรม” มีทั้งกรรมดี-กรรมชั่ว กรรมดีเรียก “กุศลกรรม” กรรมชั่วเรียก “อกุศลกรรม” มันส่งผลให้เราอยู่ตลอดเวลา


    คนเราเกิดมาถ้าเป็นคนได้ถือว่าดวงดีแล้ว คำว่าดวงดีก็คือ ต้นทุนบุญเก่าต้องมีพอถึงได้เกิดเป็นคน ไม่อย่างนั้นเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานไปแล้ว ในเมื่อต้นทุนมีเพียงพอก็ถือว่าดวงดีแล้ว ถ้าเราตั้งใจจะปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนาด้วย ก็แสดงว่าบารมีเก่าสร้างสมมาพอแล้ว ก็ดูการทำในปัจจุบันก็แล้วกันว่าทำอย่างไร เอาจริงเอาจังแค่ไหน ตั้งใจมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ย่อหย่อนเกินไปก็ไม่ได้ แข็งเกินไปตึงเกินไปก็ไม่ดี ต้องพอดี ๆ แล้วตัวพอดีนี่ลำบากที่สุดมันไม่มีมาตรฐานเฉพาะขึ้นอยู่กับกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังบุญบารมีที่สร้างสมมา บางคนนั่งสมาธิ ๓ วัน ๓ คืนสบาย เรานั่ง ๓ นาทีจะตายให้ได้ นั่นพอดีของเขา ส่วนพอดีของเราก็คือ ๒ นาที

    เพราะฉะนั้นในเมื่อตัวมัชฌิมาปฏิปทาก็คือ ตัวพอเหมาะพอดีของแต่ละคนมันไม่มีมาตรฐาน เราก็ลองดูถ้าหากว่าทำ ๆ ไปแล้วรู้สึกว่าไม่ไหวให้ลองฝืนดูนิดหนึ่ง ถ้าฝืนนิดหนึ่งแล้วมันไปต่อได้แสดงว่าเมื่อกี้กิเลสมันบอกว่าไม่ไหว ไม่ใช่ความดีบอกว่าไม่ไหว แต่ถึงฝืนแล้วไปต่อได้อย่าให้เกิน ๒ ชั่วโมง

    อาตมาไปลองทำดูกำลังใจสู้เขาไม่ได้ จิตใจมีคุณภาพอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ที่เหลือด่ามันไปเรื่อย มันจะนั่งหาพ่อหาแม่อะไรของมันนานขนาดนี้ เมื่อยก็เมื่อย เหนื่อยก็เหนื่อย เพราะฉะนั้นทำแค่กำลังใจของเราดี เรื่องของการปฏิบัตินี้เอาแค่เสมอตัวกับกำไรอย่าให้ขาดทุน รู้สึกว่าไม่ไหวกำลังใจชักจะเป๋ออกนอกทางให้เปลี่ยนใหม่เอาใหม่ การที่เราอยู่ในโลกนี้มันอยู่กับความทุกข์อยู่กับกิเลสตัณหาอุปาทาน อกุศลกรรมมีแต่จะชักพาเราลงต่ำ ต้นทุนของเราคือการเกิดเป็นมนุษย์อย่างน้อยมีศีล ๕ พอแล้ว เรารีบต่อทุนแล้วหนีมันให้ไกล สภาพร่างกายมันเหมือนบ้านที่ไฟกำลังไหม้อยู่ ถ้าเราอยู่ต่อไปรังแต่จะโดนไฟเผาตายเสียเปล่า ๆ ถ้าเราคิดได้ตรงนี้ว่าไฟกำลังไหม้มาถึงหัวแล้ว ยังไม่รู้จักรีบหนีอีก บอกไม่มีกำลังใจ ก็สมควรตาย

    ถาม : อันนี้ใช้อย่างไรคะ ?
    ตอบ : แปะหน้าผากจ้ะ ผ้ายันต์เกราะเพชรจ้ะ คาถายันต์เกราะเพชรก็อิติปิโสทั้งหมด ติดรถก็ได้ ติดบ้านก็ได้ ติดตัวก็ได้ ยันต์เกราะเพชรคือบารมีพระพุทธเจ้าท่าน ตั้งใจนึกถึงพระได้เป็นดี


    ถาม : ก่อนหน้านี้ก็ไปหาอาจารย์หลายสำนักค่ะ ที่โน่นก็ดีที่นี่ก็ท่าจะดี ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ทีนี้ก็มาพิจารณาตัวเองเสียมากกว่า
    ตอบ : จริง ๆ ก็คือว่าทุกสำนักเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนแล้วมาสอนต่อ เพียงแต่ว่าท่านชำนาญตรงจุดไหนเหมือนกับร้านอาหาร ร้านโน้นทำก๋วยเตี๋ยวเก่งก็ขายก๋วยเตี๋ยว ร้านนี้ทำข้าวแกงเก่งก็ขายข้าวแกง โน่นเก่งโจ๊กก็ขายโจ๊ก นี่ได้แค่น้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ก็ขายไป เราชอบอาหารรสไหน ถูกใจในรูปแบบของการปฏิบัติสำนักไหนก็ทำไป คำว่าผิดไม่มีหรอก เพียงแต่ถูกมากถูกน้อยเท่านั้นเอง เหมือนกับคนกินอาหารพอเข้าไปร้านนี้ก็กิน ๆ ไปตอนแรกมันหิว มันรู้สึกว่าดี กินไปกินมา รสชาติยังไม่ถูกใจจริง เดี๋ยวเราก็ไปหาร้านอื่นที่เราคิดว่าเราถูกใจของเราต่อไป ทั้งหมดนั้นก็คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นธรรมกายก็ดี มโนมยิทธิก็ดี ยุบหนอพองหนอก็ดี หรือว่าสมาธิหมุน หรือว่าการตัดกรรม หรือว่าอะไรก็ตามล้วนแล้วแต่อยู่ในหลัก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ทั้งนั้น เราชอบอันไหนเราทำอันนั้น ตั้งหน้าตั้งตาทำให้จริงเท่านั้น ถ้าทำจริงก็จะเกิดผลดีกับเราทั้งนั้น ไปลองสมาธิหมุนมาหรือยังจะได้หมุนกันให้หัวปั่นไปเลย

    ถาม : ยังไม่ลองค่ะ มีสามีกับพ่อทำสมาธิหมุน
    ตอบ : สมาธิหมุน จริง ๆ ก็คือ มหาสติ


    ถาม : ที่บ้าน ๒ คนได้ พ่อเห่เป็นภาษาต่าง ๆ ได้ ซึ่งปกติเขาจะไม่เคยเป็น แต่พอนั่งสมาธิ เข้าสมาธิได้ปุ๊บจะเห่แบบโบราณ ก็คุ้น ๆ ว่าเป็นคนทางไหน พอดีมีอาจารย์เขาดูให้ว่าเป็นพราหมณ์สมัยโบราณติดตัวมา

    ตอบ : รับรู้ไว้จ้ะ รู้ไว้ด้วยความเคารพแล้วก็กองไว้ตรงนั้น สำคัญแต่ปัจจุบันเราเป็นอะไร แล้วเราทำอะไร ทำปัจจุบันให้ดีอนาคตเราดีแน่


    ถาม : เคร่งมาก ดิฉันเองก็ยังห่วงเขาอยู่ เขาทำสมาธิ ๔ – ๕ ชั่วโมง
    ตอบ : ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ ถ้าเขาทำไหวนั่นมันพอดีของเขา


    ถาม : พอดีเขาบอกก็นั่งได้เหมือนกับฌานลงมา จะไปเองเพราะฌานถอยหลังก็ได้ เลื่อนหน้าก็ได้ แล้วก็หมุนตัว คือว่าจังหวะนั้นจะเกิดเองตามธรรมชาติหมุนตัวได้ ถอยได้อะไรอย่างนี้ บริเวณจะเป็นกว้าง ๆ เสร็จแล้วเขาบอกว่าเขาไม่รู้สึกจนกว่าสมาธิลดเอง

    ตอบ : บอกท่านว่าโปรดระวังจะเจออย่างอาตมานะจ๊ะ ของเราตอนนั้นมันไม่นึกกำลังสมาธิอยู่ เอ๊ะ! อะไรพรึบ ๆ อยู่ข้างเอวก็ลืมตาดูเป็นพัดลม เกือบจะโดนพัดลมเพดานฟันตายแล้ว มันขึ้นไปตอนไหนก็ไม่รู้อยู่ห่างพัดลมนิดเดียว ตกใจมันก็เลยสมาธิคลายตัวเร็วไปหน่อย ร่วงตุ๊บ! วันนั้นเกิดแผ่นดินไหว


    ถาม : บางทีพอนั่งสมาธิเห็นเป็นแสงวิ่งเข้าบ้านก็มีคือเห็นเป็นจังหวะ
    ตอบ : ลักษณะของการเห็นให้รับรู้ไว้เฉย ๆ อย่าลืมถ้ามีโอกาสบอกโยมพ่อไว้ด้วยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นปกติของนักปฏิบัติ ถึงวาระถึงเวลา ถ้าทำถึงมันจะเป็นเอง แต่อย่าเพิ่งไปเชื่อมัน รับรู้ไว้เฉย ๆ ให้จิตของเรามุ่งตรงอยู่ในทาน ศีล ภาวนา หากว่าศีล สมาธิ ปัญญาของเราพอ ให้ตั้งใจดูว่าทุกอย่างในโลกนี้ไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้


    ถาม : ก็คิดว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ แต่ในหัวก็คิดว่าเมื่อไหร่จะร่ำรวยสักที เพื่อที่จะได้มีกินมีใช้
    ตอบ : ถ้าอย่างนั้นคิดผิดแล้ว ที่ทุกอย่างเป็นทุกข์เขาให้รู้จะได้เข็ด แล้วก็ไม่อยากเกิดอีก ไม่อยากจะสร้างลูกสร้างเต้าต่อไป


    ถาม : ทุกวันก็รู้สึกว่าเป็นทุกข์หลาย ๆ เรื่อง แต่มันเหมือนกับว่าสังขารมันยังต้องอยู่ ต้องกิน ต้องใช้ ก็เลยจำเป็นต้องมีในเรื่องของลาภสักการะทั้งหลาย ก็ยังอยากได้อยู่
    ตอบ : เรื่องปกติจ้ะ เมื่อกี้บอกไปแล้ว เป็นพระโสดาบันเช่นนางวิสาขา มีเครื่องประดับชิ้นเดียวราคา ๙๐ ล้านเป็นเรื่องปกติ นั่นพระอริยเจ้านะจ๊ะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : อยากรู้ว่าเป็นคนมีลาภไหม เป็นคนมีอะไรไหม ถ้าไม่มีจะเป็นคนไม่มุ่งทางนี้ไปเลย ?
    ตอบ : อันนี้ต้องคิดให้ดี ลาภของเรามันเป็นลาภลอยหรือว่าตามปกติ


    ถาม : ลาภลอยค่ะ
    ตอบ : คนเราถ้าหากเคยทำทานบารมีมาก็จะมีลาภเป็นปกติ แต่ขณะเดียวกันเรื่องของลาภลอยในลักษณะของการพนันก็ดี จะเกิดจากการทำบุญโดยไม่เจตนาเอาไว้ เห็นเขาทำกองบุญกองกุศลอยู่ควักกระเป๋าร่วมกับเขาไปเลย พวกนี้จะมาในลักษณะของลาภการพนันไม่ว่าจะเป็นเล่นหวยก็ดี เล่นการพนันก็ดี แต่ถ้าตั้งใจไว้ว่าเราจะทำอันนั้นเกิดมาจะรวยไม่ต้องเสียเวลาไปรอลาภลอย

    ถาม : แต่ทำที่ขอมาอย่างนี้ได้ใช่ไหมคะ ปกติทำแบบนี้มีเพื่อนขอมาก็ทำ แบบนี้บางทีไม่ได้ตั้งใจเขาก็มาเรี่ยไรเรื่อยเหมือนกัน ?
    ตอบ : ได้อยู่ ทำไป ถ้าหากเผลอเกิดใหม่เมื่อไหร่คงถูกหวยบ่อยเลย


    ถาม : ชาตินี้มันจะไม่ถูกหรือคะ ?

    ตอบ : โอกาสมีเหมือนกัน ถ้าระยะเวลามันยาวนานพอ เพราะว่า ทุกสิ่งในปัจจุบันมีผลจากอดีตทั้งนั้น แต่ว่าตอนนี้ถ้าเป็นวินาทีหน้า วินาทีที่ผ่านไปก็เป็นอดีตไปแล้ว ถ้าระยะเวลามันยาวนานพอ การส่งผลมันก็ถึงเหมือนกัน แต่ถ้ายาวไม่พอก็รอเกิดใหม่อีกที
    ถาม : ตอนนี้ก็อยู่เฉย ๆ นะคะ แล้วมีพระภิกษุสงฆ์ที่เคยทำบุญกับท่านไว้ โทรศัพท์มาบอกก็ไม่อยากเล่น แต่ก็เล่นไปนิดหน่อยก็ยังไม่รู้ว่าจะออก หรือไม่ออกก็ไม่แน่ใจ คือจะเป็นอย่างนี้ จังหวะยังไม่ได้
    ตอบ : ถ้าออกก็ของวดใหม่ด้วยนะคะ แต่ถ้าไม่ออกอย่าบอกหนูอีกเลย พาหนูเจ๊งไปเยอะแล้ว

    ถาม : ท่านโทรศัพท์มาประเภทที่จะติดต่อท่านกลับไปไม่ได้ ท่านก็จะโทรมาแบบนี้
    ตอบ : คราวหน้าถามท่านด้วยว่า หลวงพ่อเจ้าขานี่เป็นกิจของสงฆ์หรือเจ้าคะ ให้ท่านรู้ตัวบ้างเพราะว่าเรื่องพวกนี้มันแปลกเหมือนกับเป็นการลองกำลังใจเราเหมือนกัน พอปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งมันจะเกิดการรู้เห็นขึ้นมา เท่าที่เคยลองมาเพราะว่าทำได้ตั้งแต่อายุยังไม่ครบ ๒๐ ก็ยังไม่ได้บวชมีโอกาสเล่นเยอะ ปรากฎว่า ถ้ารู้แล้วไม่เล่นไม่บอกใคร มันก็จะออกตามนั้นตรง ๆ แต่ถ้าหากว่ารู้แล้วบอกคนอื่นหรือว่าเล่น บอก ๓ ตัว ออก ๒ ตัว บอก ๒ ตัวออกตัวเดียว บอกตัวเดียวไม่ออกเลย เจอมากับตัวเองจนกระทั่งเข็ดเลย


    ถาม : เจอด้วยตัวเองเลย ?
    ตอบ : อันนี้ตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้วทำได้


    ถาม : ถ้าทำ ๆ กลายเป็นเพี้ยนไปเลย
    ตอบ : มันจะไปเลย เพราะกำลังบุญมันไม่เท่ากัน ในเมื่อกำลังบุญมันไม่เท่ากัน เราไปบอกเขากำลังของเขาไม่พอเลขจะเลื่อนไปเลย


    ถาม : อย่างนี้เราบอกให้เขาหาเองได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ตานี้ถ้าเขาเล่นตามอาจจะพาเราเจ๊งไปอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าไปสนใจมันเลยดีกว่า เพราะว่าเคยเจอมาแล้วว่าเล่น ๓ ตัวมันออก ๒ ตัว เล่น ๒ ตัวมันออกตัวเดียว เล่นตัวเดียวไม่ออกเลย


    ถาม : ................................... ?
    ตอบ : เรื่องของลาภลอยเกิดจากบุญเก่าที่เราทำมาด้วย ต้องสังเกตว่าเราเคยเล่นเท่าไหร่แล้ว ต่อไปอย่าเล่นเกินนั้น ถ้าเคยเล่น ๒๐ บาท ๕๐ บาทแล้วถูก ก็อย่าไปเล่น ๑๐๐ บาท ต่อไปต่อให้รู้แน่นอนว่ามันออกแน่นอน ก็ยอมทนเล่น ๒๐ บาทต่อไปแล้วมันจะได้


    ถาม : ช่วงพฤษภาคม มิถุนายน ถูก ๕ งวดติดกัน ถูกล๊อตเตอรี่ ๓ ใบมันเป็นอย่างนี้ก็ดี แต่ว่าถูกมาไม่ได้ให้พ่อให้แม่ แล้วก็ทำบุญ
    ตอบ : พอแล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวเอาไปคืนเขาหมด วาระบุญมันส่งผล ถ้าหากมันพ้นวาระนั้นไปมันไม่สงผลอีก เดี๋ยวจะไปส่งคืนเขาหมด คนที่วาระบุญมันส่งผลจริง ๆ มันมีมาแล้ว จ่าตำรวจที่อำเภอตาคลี ไปซื้อหวยมาคู่หนึ่งแล้วเสียดายเงิน เพราะเลขมันตลกประเภทที่ไม่น่าจะออก ก็เลยไปยัดเยียดให้เพื่อน บอกมึงซื้อต่อสิวะ กูซื้อมาเท่านี้ ๆ เพื่อนไม่เอา ก็พยายามยัดให้เขาจนได้ วันรุ่งขึ้นเพื่อนได้ ๖ ล้านบาท ตัวเองจะยิงตัวตาย นั่นแหละคนวาระบุญมันมาถึง มีคนเอามายัดให้ถึงที่เหมือนกัน

    ถาม : บางทีเขาเอามาให้ บางทีก็ซื้อด้วยความสงสาร ไม่ได้ซื้อเพราะว่าอยากซื้อหวย บางทีก็เป็นอย่างนั้น
    ตอบ : ถ้าหากว่าจะเล่นการพนัน ถามว่าผิดศีลไหม
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...