ฉบับที่ ๔๐ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 4 มิถุนายน 2007.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    ช่วงแรกของเล่ม "อดีตที่ผ่านพ้น กรรมฐาน" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ตอบ: สมัยก่อนให้สังเกตว่าบรรดาพวกขุนศึก แม่ทัพ นายกองต่าง ๆ วาระสุดท้ายจะเข้าวัดบวชกันหมด อยู่ในลักษณะบวชล้างบาป ถวายดาบเป็นราวเทียนพุทธบูชา เลิกกันที แต่วิชาความรู้ยังอยู่ ในเมื่อวิชาความรู้ยังอยู่พวกลูกหลานชาวบ้านถึงเวลาเข้าวัดบวชบ้างหรือไปฝากตัวเป็นศิษย์ วัดบ้างก็ศึกษาวิชาการทางในวัด มาระยะหลัง ๆ นี่เขารังเกียจวัด โรงเรียน ดัง ๆ ที่ชื่อวัด ตอนนี้มันถอดคำว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2007
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : .........................................
    ตอบ : นั่นล่ะ ท่านพระครูพิทักษ์สุวรรณบรรพต คณะ ๑ วัดสระเกศ มาตอนหลังรู้สึกท่านขึ้นเป็นได้ถึงเจ้าคุณธรรม สุดยอดเลย วัดสระเกศวัดหนึ่ง วัดเทพศิรินทร์วัดหนึ่ง ต้องบอกว่าซ่อนเสือซ่อนมังกร คนดีอยู่มาก จนเรานึกไม่ถึง อย่างของวัดเทพศิรินทร์นี่ตั้งแต่ตั้งวัดมาสมัยรัชกาลที่ ๕ ถึงปัจจุบัน มีพระอริยเจ้าต่อเนื่องกันมาไม่ขาดสายเลย แต่ต้องงมให้เจอว่าองค์ไหน ที่ดีก็แสนดี ที่เละไม่เอาไหนเลยก็เยอะ เพราะฉะนั้นต้องคลำให้เจอ

    อย่างของวัดสระเกศปัจจุบันนี้ก็รู้ ๆ อยู่สุดยอดเลย คนไม่รู้ก็พยายามดิสเครดิตท่าน อยู่ในลักษณะกล่าวโจมตีบ้างอะไรบ้าง แต่ถ้าเราดูวัตรปฏิบัติของหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศแล้วจะรู้ เหน็ดเหนื่อยจากข้างนอกมาขนาดไหนก็ตาม คนอายุ ๗๐ กว่าแล้วนะท่านไม่เคยทิ้งพูดง่าย ๆ ก็คือว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ท่านไม่ทิ้ง กลับมา ๓ ทุ่มทุกคืน จะต้องลงมาสวดมนต์ทำวัตรร่วมกับพระ พระลูกวัดก่อน แล้วเสร็จแล้วก็รับสังฆทานที่โยมรอกันเป็นแถวยาวเหยียดเลย เมื่อจบจากตรงนั้นเสร็จยังต้องเดินไปเยี่ยมลูกวัดทีละคณะ ทีละคณะ ไปดูเสร็จ ไอ้เราแค่ ๔๐ กว่ายังไม่ทันจะ ๕๐ เลย เราก็หมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว ของท่าน ๗๐ กว่าแล้วยังทำได้ขนาดนี้ ลองดู ตายให้มันตายไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันไม่ใช่มายา เป็นสิ่งที่ท่านทำออกมาจากใจจริง ๆ ถ้าหากว่าเป็นมายา ไม่ได้ทำออกมาด้วยความตั้งใจจริง ไม่ได้ทำออกจากน้ำใสใจจริง นี่จะทำไม่ทนทำไม่นาน แต่ของท่านปีแล้วปีเล่าก็อยู่อย่างนั้น

    สมัยก่อนท่านยังไม่เป็นสมเด็จ เป็นเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ ไปวัดท่าซุงประจำ หลวงพ่อจะนิมนต์ทุกงาน เสร็จแล้วของพวกเราถ้าพระผู้ใหญ่ไป ก็จะจัดพวกชุดจะเป็นพวกชามฝา ฝาปิด ชุดแก้ว ๆ อย่างนั้น มันดูดีแล้วก็สวย จัดอาหารเพื่อไปถวายท่านจนถึงที่พัก ปรากฏว่าขึ้นไปถึงหายจ้อยไปแล้วไม่รู้อยู่ที่ไหน ไปตามเจออีกที โน่น...นั่งฉันก๋วยเตี๋ยวในสวนไผ่กับพวกเรานั่นแหละ ไปปนอยู่กลางกลุ่มนั่นเลย คือพระท่านท่านดีจริงท่านจะไม่ถือตัว ดูตรงนี้ น่ากลัวมาก ปัจจุบันนี้อาตมาเจออยู่ ๒-๓ องค์ อยู่ในลักษณะนี้ ใหญ่แค่ไหนก็ตามไม่เคยถือเนื้อถือตัวอะไรเลย

    สมัยก่อนจะบวชก็หลวงพ่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม หลวงพ่อสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา แต่ละองค์ใหญ่เป้งคับบ้าน คับเมืองเลย เข้าไปเหอะ เมื่อไหร่ก็ได้ เข้าไปท่านก็คือหลวงปู่ หลวงตาของเรา ไม่เคยประเภทที่เรียกว่าจะออกปากขับไล่หรือว่าอะไร มีการสงเคราะห์เสมอหน้ากันหมด เราทำบุญ ๒๐ บาท พวกสังฆการีที่ทางด้าน กระทรวงเขาส่งไปประจำอยู่ช่วย ๆ งานพระผู้ใหญ่ก็วิ่งเอาพานทองมารับบอก แหม..ให้ตายเถอะวะ ทำอย่างนี้เราเองก็แทบจะไม่กล้าถวาย แต่ว่าจริง ๆ ท่านไม่มีปัญหาอะไร จะมากจะน้อยยังไงก็ได้ บางทีเวลามีกิจนิมนต์ งานหลวงงานราษฎร์พระผู้ใหญ่ท่านไปก็ต้องไปนั่งเรียงแถวอยู่ เราเข้าไปกราบท่านก็ชวนคุยไปเรื่อย ซักพักหนึ่งก็เจ้าหน้าที่นี่แหละ ก็จะมาดึงออก ท่านบอกไม่ต้องไปหรอก มันเห็นพวกข้าไม่มีปากว่ะ จะให้ท่านนั่งเงียบอยู่อย่างเดียว มันเป็นไปได้มั้ยล่ะ ?

    มีพุทธาภิเษกที่วัดท่าซุงครั้งหนึ่ง ปกติเวลาพระท่านสงเคราะห์ มันจะเหมือนกับเป็นม่านแก้วบาง ๆ ลงมาอย่างกับฝนตกอย่างนั้น คราวนี้มันจะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดท่าซุง พอหลับตาลงปั๊บมันรู้สึกเหมือนจะหงายหลัง เพราะว่ากระแสมาแรงมากเป็นพายุเลย เราก็แปลกใจมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้ผิดปกติขนาดนี้ ตอนนั้นหลวงพ่อพุทธาภิเษกสมเด็จหางหมาก เราก็แปลกใจว่าทำไมถึงขนาดนั้น ปรากฏว่าพอมาอีกสักครู่หนึ่งก็สว่างขึ้น ๆ ๆ สว่างจนบอกไม่ถูกนะว่าสว่างกันขนาดไหน แล้วอยู่ ๆ ไฟฟ้าก็ดับปึ๊บไปพร้อม ๆ กัน เล่นเอาพวกเจ้าหน้าที่ดูแลเครื่องไฟวิ่งกันตับแลบเลย ปกติงานอย่างงี้มันไม่เคยเสีย อยู่ดี ๆ ก็ดับพร้อม ๆ กัน ปรากฏว่าไม่ทราบเหมือนกั้นว่าเบรกเกอร์ตีกลับอีท่าไหน อยู่ ๆ มันดีดมาเฉยเลย เหมือนอย่างกับว่ามีไฟช็อต กำลังไฟเกินแล้วมันก็ดับอย่างนั้น ก็แค่ยกกลับขึ้นไปมันก็ติดตามเดิม พอพุทธาภิเษกเสร็จหลวงพ่อท่านก็บอกกว่าวันนี้พระท่านทำสมเด็จหางหมากรุ่นนี้ให้เป็นพิเศษ ท่านบอกว่าทำเพื่อกันพวกรังสีนิวเคลียร์ ท่านบอกว่าภายในรัศมี ๔ เมตรนิวเคลียร์เข้าไม่ได้ ใครมีพระรุ่นนั้นสบายเลย เราก็ไม่นึก เพราะว่ากระแสไม่เคยมาแรงขนาดนั้น ท่านบอกว่ามันจำเป็นนะท่านทำให้

    เรื่องของพระหรือเทวดาพุทธาภิเษกแต่ละครั้ง ถ้าท่านเคยสงเคราะห์เท่าไหร่ครั้งต่อไปจะไม่ต่ำกว่านั้น มีแต่ว่าถ้าท่านเพิ่มอะไรให้เป็นพิเศษท่านก็จะบอกให้ อย่างเมื่อครู่นี้ก็เหมือนกัน พอตั้งใจเชิญท่านปุ๊บก็มากัน แล้วก็รัศมีที่ครอบลงมามันเป็นสีม่วงน้ำเงิน ม่วงน้ำเงินอ่อนสวยมากเลย ท่านบอกว่าเน้นหนักไปทางป้องกัน เพราะว่าโดยเฉพาะวัตถุมงคลรุ่นนี้รับรองได้ว่าไปทั่วประเทศไทย เจตนาของคุณเป็นยังไงไม่รู้ แต่ท่านรับรองว่าไปทั่ว เสร็จแล้วก็มีของพระยามยมราชท่านบอกว่าของท่าน ถ้าหากว่าใครโดนผีเข้าเจ้าสิงหรือเจ็บไข้ได้ป่วยยังไงก็ตาม ให้นึกขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดาทั้งหมด โดยมีพระยายมราชเป็นที่สุด ตั้งใจเอาวัตถุมงคลแช่น้ำทำน้ำมนต์ให้คนป่วยกินหรือพรมให้ก็ได้ ให้ว่านะโมพุทธายะ

    ถาม : ........................................
    ตอบ : ดี ท่านบอกว่าคนทำมีเจตนาดี ท่านก็เต็มใจสงเคราะห์อยู่แล้ว ถ้าหากว่าทำเพื่อประโยชน์ตัวเองบางทีเชิญไม่มาหรอก เอายันต์เกราะเพชรรุ่นี้คนเขียนมันห่วย เราเขียนแบบไปให้ดี ๆ นะ มันบอกใหญ่ไป มันไปเขียนเอง มันขีดเส้นขาดไปเส้นนึง ถ้าพระท่านไม่บอกอาตมาก็ไม่ได้สังเกตเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรหรอกถ้าท่านเสกให้

    ถาม : แล้วท้าวมหาราช กับพระสยามฯ ล่ะครับ ?
    ตอบ : อันนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ก็บอกแล้วว่าท่านสงเคราะห์ให้เป็นส่วนรวม ท่านบอกว่าจะหนักไปทางป้องกัน เรื่องของพระสยามเทวาธิราช ท่านต้องดูแลทั่วประเทศจริง ๆ พระสยามเทวาธิราชขอให้ทุกคนรู้ไว้ ไม่ได้มีองค์เดียว มีเป็นพันเลย ทุกคนทำหน้าที่อย่างเดียวกัน ก็คือดูแลความสงบเรียบร้อยภายในประเทศนี้ ส่วนใหญ่ท่านก็คือบูรพมหากษัตริย์ แล้วก็เชื้อพระวงศ์ที่สร้างคุณความดีให้กับประเทศชาติเอาไว้ เมื่อถึงเวลาตายแล้วก็ยังต้องไปทำหน้าที่นี้ต่อ เป็นพรหมบ้างเป็นเทวดาบ้าง

    เพราะงั้นถ้าหากว่าบอกว่าพระสยามเทวาธิราชองค์ไหน อาตมาชี้ไม่ถูกเหมือนกัน...เยอะ กระทั่งอย่างเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ก็รับทำหน้าที่นี้ด้วย ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ท่านเป็นท้าวมหาราชด้วย

    ถาม : .............................................
    ตอบ : ถ้าหากว่ามันไปถึงระดับนั้นแล้วจะเป็นจิตคุมกาย ไม่ใช่กายคุมจิต ถือว่าเขาจะสามารถควบคุมร่างกายได้ อย่างเช่นเจ็บไข้ได้ป่วยไปไม่ไหว ก็บอกมัน ตอนนี้เลิกมารยาชั่วคราว แล้วไปทำงานก่อน พอทำงานเสร็จแล้วค่อยนอนแผ่หราใหม่ ถ้าหากว่าถึงระดับนั้นแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ความรับรู้ของจิตที่ชัดเจน ก็จะกลายเป็นว่าร่างกายก็พลอยรับรู้ไปด้วย แต่ขณะเดียวกันว่าถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะที่ว่า จิตกับกายแยกออกไปคนละส่วนกัน จิตจะดำเนินหน้าที่ไปตามวิถีของมัน กายก็เป็นเรื่องของกายไป ถ้าอย่างนั้นกายจะไม่รับรู้ อย่างเช่นว่า ถ้าหากว่ากำลังจิตเข้าถึงฌาน ๔ เต็มระดับ จิตกับกายแยกออกเป็นคนละส่วนกัน ฟ้าผ่าข้างหูไม่ได้ยิน เพราะว่ามันไม่เนื่องกับประสาทร่างกาย

    ถาม : ตัวฌานสมถะใช่ไหม ?
    ตอบ : การพิจารณารู้แจ้งเห็นจริงตามปัญญาและสามารถตัดได้เป็นกำลังของฌานอยู่แล้ว การพิจารณาวิปัสนาญาน พิจารณาไปเรื่อย ๆ ๆ มันจะดิ่งลึกไปเรื่อย จะเป็นฌานโดยอัตโนมัติ แต่ว่า ตัวสมถะคือการทำใจให้สงบ จะเป็นกำลังของฌานล้วน ๆ ถ้าเราไม่ถอยจิตออกมา เพื่อคิดพิจารณา ถึงเวลามันไปตันของมันเสร็จ มันถอยอกมาเอง จะพาฟุ้งซ่านไปเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง เพราะฉะนั้นถามว่าเป็นเรื่องข121องฌานใช่ไหม ? ไม่ว่าจะวิปัสนาหรือว่าสมถะก็ตามมันเป็นเรื่องของฌานด้วยกัน แต่วิปัสนาเป็นวงฃฌานที่แฝงอยู่ ถ้าหากว่าไม่ใช่คนที่ตั้งใจไปไล่จับจริง ๆ บางทีจับอาการของมันไม่ออก แต่ว่ากำลังของปัญญาทุกระดับ ต้องมีกำลังของฌานช่วยเหลืออยู่

    อย่างปัญญาของพระโสดาบันก็ต้องมีปฐมฌานเป็นอย่างน้อย ถ้ากำลังของพระอนาคามีก็ต้องฌาน ๔ ขึ้นไป ไม่งั้นเอาไม่อยู่ เพราะว่าราคะ โทสะ เป็นเรื่องละเอียดและก็ลึกซึ้ง ถ้าไม่ได้กำลังของฌาน ๔ ที่เข้มแข็งและก็ลึกซึ้งในระดับเดียวกันมา ก็กดมันไม่อยู่เอามันไม่อยู่

    ถาม : .............................................
    ตอบ : เป็นกำลังของปฐมฌาน อย่างน้อยต้องเป็นปฐมฌาน นิวรณ์ ๕ ถึงไม่มีนิวรณ์ กิเลสหยาบที่กั้นใจของเราไม่ให้เข้าถึงความดี จะมีกามฉันทะ ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัส ระหว่างเพศ มีพยาบาท ความโกรธเกลียด อาฆาตแค้นคนอื่นเขา มีถีนะ มิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ชวนขึ้เกียจ มีอุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่านไม่ตั้งมั่น มีวิจิกิจฉา ลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติ หรือลังเลสงสัยในครูบาอาจารย์ ถ้า ๕ ตัวนี้มีอยู่ใจเข้าไม่ถึงความดี ถ้าหากว่าเริ่มทรงปฐมฌานขึ้นไป ๕ ตัวนี้จะโดนไล่หายไปชั่วคราว จิตจะสงบและมีความสุข

    ถาม : แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะว่า เราเหมาะกับกรรมฐานกองไหน ?
    ตอบ : คือถ้าหากว่าในปัจจุบันนี้เรามีความถนัดและชำนาญกองไหน ให้ทำกองนั้น ตอกย้ำมันบ่อย ๆ ยิ่งย้ำบ่อย ๆ ความชำนาญยิ่งเกิด จนกระทั่งมันกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเราไป ถ้ายังไม่ได้ถึงระดับนั้นก็ซ้ำมันไปเรื่อย

    ถาม : ดูได้จากอุบายหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : อุบายวิธีที่เราจะเอาขึ้นมาสู้กับพวกรัก โลภ โกรธ หลง ให้มันเข้ามา มีความคล่องตัวมั้ย ? มีความทันเหตุการณ์มั้ย ? ไม่ใช่ปล่อยให้กิเลสดึงเรา ไปหลายกิโลแล้วกว่าจะรู้ตัว

    ถาม : ถ้ารู้ทีหลังแล้วแก้คืนได้ไหมคะ ?
    ตอบ : อันนั้นก็ขาดทุนไปเยอะแล้ว ก็ยังดี ดีกว่าไม่รู้เลย
    อ๋อ...เป็นไงจะท่องมั้ย ? นามศัพท์มีอยู่ ๓ คือนามนาม ๑ คุณนาม ๑ สรรพนาม ๑ (หัวเราะ) เขาต้องท่องทุกตัวอักษรจริง ๆ นามที่เป็นชื่อไปได้แก่คน สัตว์ สิ่งของ เรียกว่า นามนาม แบ่งออกเป็น ๒ คือ สาธารณะนาม ๑ อสาธารณะนาม ๑

    ถาม : ต้องท่องจำด้วยหรือ ?
    ตอบ : ต้องท่องจำอย่างนี้ ทุกตัวอักษรเลยล่ะ

    ถาม : เวลาสอบ... ?
    ตอบ : ถึงเวลาเขียนตอบ ถ้าหากว่าขาดเขาตัด เกินเขาตัด เรื่องของบาลี คุณไม่ต้องเอาความเข้าใจหรอก
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ถ้าเรียนภาษานี่ มันก็ใช้อย่างเช่นมีนิทานบาลี ?
    ตอบ: นิทานบาลีนี่แหละเพี้ยนเลย เพราะว่าของเขาจะเป็นคำสั้น ๆ แต่ใจความแฝงมันเยอะ อย่างในปัญญาวาปุริโสใช่มั้ย ? ปัญญาวา มีปัญญา ปุริโส คือบุรุษ ว่าตามภาษาของเราว่าบุรุษมีปัญญา ปุริโสเป็น นามนาม ปัญญาวา เป็น คุณนาม คุณนามคืออาการแสดงซึ่งลักษณะของนามนามว่าเป็นอย่างไร ดี ชั่ว สูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วน ผอม อะไรอย่างนั้น ก็จะแยกออกมาของเราเองไม่นึกว่าจะไปไกล พอไม่นึกว่าจะไปไกลก็เลยว่าผิดไปคำหนึ่งเพราะว่าคำฉัน จริง ๆ มันเป็น สรรพนาม แต่ของเราเอาเป็น สาธารณนา สาธารณะนามคือฉัน ฉันคนไหนล่ะ ? มันต้องเป็นสรรพนามใช้แทนนาม เอาไว้เดี๋ยวมันจะมีกองทัพวัดท่าขนุน พอถึงเวลาแล้วจะมีคล้าย ๆ กับว่าหนังสือยืนยันว่าคุณมีความรู้ แล้วคราวนี้ตำแหน่งจะไหลมาเทมา มันไม่เชื่อความสามารถ เชื่อหนังสือฉบับเดียว เขาจะเอากระดาษแผ่นเดียว ที่ วิทยากร เชียงกรู เขาเขียนกลอนของเขา
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...