จีนแข่งสร้างพระพุทธรูปใหญ่ หวังดึงดูดนักท่องเที่ยว

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย navycom33, 29 มีนาคม 2014.

  1. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    [​IMG]

    ปัจจุบัน สำนักงานการท่องเที่ยวและหน่วยงานพัฒนาด้านการท่องเที่ยวในจึน กำลังแข่งขันกันสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เพื่อหวังเจริญรอยตาม “หลวงพ่อโตแห่งวัดหลิงซาน” เมืองอู๋ซี มณฑลเจียงซู ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวราว 3.8 ล้านคน ให้มาเยือนในปีที่แล้ว สร้างรายได้กว่า 1,200 ล้านหยวน (ราว 6,700 ล้านบาท)

    หลวงพ่อโต วัดหลิงซาน เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสำริด สูง 88 เมตร หนัก 725 ตัน

    ขณะที่ “พระพุทธรูปเทียนถาน” พระใหญ่แห่งเกาะลันเตา ในฮ่องกง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสำริดประทับนั่ง ขนาดสูง 34 เมตร มีขนาดความสูงแค่เข่าของ “พระใหญ่จงหยวน” แห่งวัดฟัวเฉวียน (Spring Temple Buddha) ในเมืองหลู่ซัน มณฑลเหอหนาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองแดง ความสูง 208 เมตร น้ำหนัก 1,000 ตัน โดยนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้ทุ่มทุน 1,200 ล้านหยวน ก่อสร้างในปี 2008

    นอกจากนี้ ยังมีพระพุทธรูปที่สูงกว่าพระพุทธรูปเทียนถานอีกอย่างน้อย 5 องค์ประดิษฐานตามที่ต่างๆในจีน เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม สูง 88 เมตร ในซูโจว มณฑลเจียงซู พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ (Ksitigarbha Bodhisattva) สูง 99 เมตร ในมณฑลอันฮุย และพระอมิตาภพุทธะ สูง 48 เมตร ในภูเขาลู่ มณฑลเจียงซี รวมทั้งมีโครงการหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่เกิดขึ้นเรื่อยๆ

    จากรายงานข่าวของ New Weekly บริษัท Aerosun Corporation ผู้สร้างพระพุทธรูปเทียนถาน ในฮ่องกง กำลังผุดโครงการทั่วประเทศ มากกว่า 10 โครงการภายในปี 2014

    เสวี่ย อี้ว์ เจ้าหน้าที่แผนกวัฒนธรรมและศาสนาศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยจีน ฮ่องกง ชี้ว่า บรรดารัฐบาลท้องถิ่นมองพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ว่าเป็นช่องทางส่งเสริมการท่องเที่ยวเท่านั้น

    “โครงการเหล่านี้ล้วนสร้างขึ้นจากกระแสนิยมในพุทธศาสนา และใช้เป็นวิถีทางการเมืองที่ปลอดภัยในการสร้างความสงบสุขของสังคม”

    ทั้งนี้ จีนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในด้านพุทธศิลป์และประติมากรรม โดยมียุคทองอยู่ในสมัยราชวงศ์สุ่ย (ค.ศ. 589-617) และราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) แต่งานพุทธศิลป์ชิ้นเอกหลายชิ้นได้ถูกทำลายไปพร้อมกับมรดกแห่งชาติทางศาสนาอีกมากมาย ในช่วงหลายปีหลังจากการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน

    “ก่อนปี ค.ศ. 1949 ในกรุงปักกิ่ง มีวัดวาอารามมากกว่า 1,000 แห่ง แต่ขณะนี้เหลือเพียง 20 - 30 แห่งเท่านั้น” เสวี่ย อี้ว์ กล่าว

    ในสายตาของนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม พุทธอุทยานกลายเป็นสถานที่ยิ่งใหญ่ อย่างเช่น พุทธอุทยานหลิงซาน ที่มีหลวงพ่อโต สูง 88 เมตร กำหนดค่าบัตรผ่านประตู 210 หยวน มีผู้เข้าชมล้นหลามในช่วงวันหยุดต่างๆ

    “พุทธอุทยานเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ถือกล้อง ถ่ายรูปกันวุ่นวายไปหมด มันไม่ใช่สถานที่สงบสำหรับการปฏิบัติธรรมอีกต่อไปแล้ว” เคนท์ ช่า ผู้มาเยือน จากเมืองหนิงปัว มณฑลเจียงซู กล่าว

    เคนท์ ช่า ยังบอกต่อไปว่า “ผมรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นธูปชุดเล็กชุดใหญ่วางขายเต็มไปหมด มีทั้งราคา 50 หยวนสำหรับการสวดวิงวอนขอให้มีสุขภาพดี ราคา 128 หยวนสำหรับสวดมนต์ขอลูก ราคา 398 หยวน สำหรับสวดมนต์ขอความสุขมากๆ และราคา 598 หยวน สำหรับการสวดอ้อนวอนขอโชคลาภใหญ่”

    นอกจากนี้ ในบางครั้งยังมีเหตุขัดแย้งระหว่างผู้ลงทุนสร้างพุทธอุทยาน กับพระสงฆ์ และชาวบ้านในบริเวณที่มีการก่อสร้าง เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน

    ส่วนในเล่อซาน มณฑลเสฉวน คนท้องถิ่นต่างพากันบ่นว่า พุทธอุทยานที่มีพระพุทธรูปกว่า 3,000 องค์ รวมทั้งพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงของอินเดีย ไทย และพม่า ได้ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยว ซึ่งเคยมีให้กับหลวงพ่อโตแห่งเล่อซาน พระพุทธรูปหินที่ใหญ่ที่สุดในโลก สูง 71 เมตร ซึ่งสร้างเมื่อ 1,200 ปีที่แล้ว

    “ในฐานะพุทธศาสนิกชน ฉันอยากเห็นการสร้างพระพุทธรูปเรื่อยๆ เพราะช่วยให้ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์และวิถีพุทธ แต่ฉันไม่เห็นด้วย ที่จะต้องสร้างให้ใหญ่โตมโหฬาร เพื่อทำลายสถิติโลก” ฮุ่ยเหยา แม่ชีวัดในหยังโจว มณฑลเจียงซู กล่าว

    [​IMG]
    พระพุทธรูปเทียนถาน พระใหญ่แห่งเกาะลันเตา


    [​IMG]
    พระใหญ่จงหยวน วัดฟัวเฉวียน

    [​IMG]
    หลวงพ่อโตแห่งพุทธอุทยานหลิงซาน

    [​IMG]
    หลวงพ่อโตแห่งเล่อซาน

    [​IMG]
    อาณาบริเวณที่ประดิษฐานพระใหญ่จงหยวน

    [​IMG]
    พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ในมณฑลอันฮุย

    [​IMG]
    พระอมิตาภพุทธะ ในมณฑลเจียงซี


    (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 159 มีนาคม 2557 โดย กองบรรณาธิการ)

    บทความจาก manager online
     
  2. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    มีแต่รูปปั้นอันเป็นสัญลักษณ์ที่ใหญ่โต แต่ไม่รู้คำสอนอันแท้จริงขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่มีประโยชน์ อันใด ก็แค่สถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว
     
  3. chaokhun

    chaokhun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +5,701
    รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่มีนโยบายหรือความเชื่อใด ๆ ในศาสนา ไม่สนับสนุนให้ใครไปไหว้พระไหว้เจ้า เพราะระบอบคอมมิวนิสต์คิดว่าไม่มีประโยชน์ ความคิดแบบสังคมนิยมคือทำงานได้เงิน เอาเงินอย่างเดียว

    ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวัด หรือ จะสร้างพระพุทธรูปให้ใหญ่โตขนาดไหน แต่ขาดความเชื่อความศรัทธาในคำสอน ต้องการให้เป็นเพียงแหล่งดึงดูดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศเท่านั้น

     
  4. wainkam

    wainkam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    757
    ค่าพลัง:
    +881
    จีน ปัจจุบันเปลี่ยนไปครับ สมชิกสภาบางท่านยังเห็นด้วยกับการที่ ปชช นับถือศาสนาที่ไม่สุดโต่ง แต่ก็ออกหน้าออกตามากไม่ได้ เราจะเห็นได้จากการผ่อนปรนเรื่อง ปชช นับถือศาสนา และ การสร้าศาสนสถาน เพราะรัฐบาลมีความคิดที่ว่าให้ศาสนากล่อมเกล่าจิตใจ
     
  5. อภิเดช

    อภิเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +910
    พุทธานุสสติ หรือการนึกถึง ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็มีอานิสงส์สูงแล้วครับ
    บุคคลใดไม่รู้จักคำสอน ไม่เคยทำความดีมาก่อนในชีวิต
    ก่อนจะตาย แค่เพียงบุคคลนั้นนึกถึงพระพุทธเจ้าเพียงแค่อึดใจเดียว
    อานิสงส์แห่งพุทธานุสติอย่างน้อยที่สุดเค้าก็ได้ไปเสวยสุขแล้วครับ

    อันนี้ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องอื่น ยกตัวอย่างแค่การนึกถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้นครับ
    อย่างน้อยก็เป็นที่กราบไหว้บูชาของคน และหมู่เทวดา

    ถึงแม้ว่าคนทั้งโลกจะมีเพียงแค่ 1 คนกราบไหว้บูชาก็ถือว่าคุ้มกับการสร้างแล้วครับ
    เพราะเปรียบเสมือน 1 เหตุปัจจัยนอกเหนือจากอีกหลายปัจจัย ที่แสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนายังสถิตอยู่บนโลกใบนี้
     
  6. เกศภัทร์

    เกศภัทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    906
    ค่าพลัง:
    +732
    เมืองพุทธฯอย่างทิเบต ถูกจีนฆ่าไปรวม 1,200,000 คน ส่วนใหญ่เป็นพระ (อันนี้เป็นสถิติบันทึกไว้แน่นอน ไม่ได้มั่ว) คนจีนส่วนใหญ่น่าจะไม่มีศาสนา (อันนี้คิดเอง) ไม่ทราบว่าคนที่ไปเที่ยวไปดูพระองค์ใหญ่ ไปดูเพื่ออะไร ???
     
  7. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,579
    :cool:อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ก็จะมีพระยืนปางจักรพรรดิเปิดโลก ที่กำลังก่อสร้างอยู่ครับ โดยหลวงตาม้า ศิษย์หลวงปู่ดู่(พรหมปัญโญ)ใครจะร่วมสร้างเชิญเข้าเว็บฯวัดถ้ำเมืองนะได้ครับ...:cool:
     
  8. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    พระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก วัดม่วง จ.อ่างทอง

    [​IMG]

    ประวัติความเป็นมา พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ วัดม่วง (หลวงพ่อใหญ่)

    หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ ด้วยตัวของท่านเอง เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2534 และต่อมา วันที่ 2 พฤษภาคม 2534 ได้ทำพิธีตอกลงเข็มเสาเอก หลวงพ่อเกษมเป็นประธานดำเนินการก่อสร้าง ร่วมกับลูกศิษย์และ ประชาชนผู้มีใจบุญทั้งหลาย เข้ามาร่วมกันก่อสร้างองค์พระ ทำให้ได้มีเงินทุนมากพอ ในการก่อสร้าง การหล่อหลอมสร้างองค์พระ ใช้วัสดุ อิฐ หิน ปูน ทราย หลวงพ่อใช้เงินทุกบาท ทุกสตางค์ จากผู้มาบริจาคในวัด เงินจากที่หลวงพ่อออกปฎิบัติกิจนิมนต์ เงินจากการทอดกฐิน ทอดผ้าป่า และงานบุญต่างๆในวัด และพร้อมด้วยคณะศิษย์ของหลวงพ่อ โดยหลวงพ่อได้ควบคุมการก่อสร้างเองมาตลอด มาระยะหลัง หลวงพ่อเกษมตรากตรำงานมาก จึงมีร่างกายอ่อนเพลีย ได้ให้หมดตรวจร่างกาย พบว่าเป็นมะเร็งที่ตับ จึงเข้ารับการรักษา ที่โรงพยาบาลศิริราช ตึก 84 ปี ชั้น 9 ห้อง 925 หมอได้ทำการรักษาไม่กี่เดือน ก็ได้มรณภาพลง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2544 ศิริอายุได้ 54 ปี 6 เดือน 7 วัน

    หลวงพ่อเกษม เคยสั่งบอกฝากกับลูกศิษย์ การก่อสร้างองค์พระ ให้ช่วยกันก่อสร้างต่อจากหลวงพ่อ ให้เสร็จ และหลวงพ่อเกษมได้ตั้งนามองค์พระเอาไว้ว่า “พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ” พระนามนี้หลวงพ่อเกษมตั้งใจสร้างองค์พระนี้ เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 คณะลูกศิษย์หลวงพ่อเกษม ได้พร้อมใจรวมพลัง ช่วยกันสร้างร่วมกับ ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาด้วย จนการก่อสร้างองค์พระ ได้เสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2550 มีระยะเวลาการก่อสร้างรวมประมาณ 16 ปี และวัดหน้าตักองค์พระได้ 63.05 เมตร ความสูงจากฐานองค์พระ ถึงยอดเกศา วัดได้ 95 เมตร ใช้เงินประมาณ 104,261,089.65 บาท

    [​IMG]

    โครงการพระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ

    พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ ก่อสร้างเป็นคานคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นชั้นๆ แบบโครงสร้างตึกสูง ๓๒ ชั้น ก่ออิฐถือปูนฉาบทาสีทอง ตลอดทั้งองค์

    1 หน้าตักกกว้าง( หัวเข่าขวา-หัวเข่าซ้าย)กว้าง ๖๒.๐๐ เมตร

    2 ความสูง(จากพื้นดิน-พระเกศา)สูง ๙๓.๐๐ เมตร

    3 ช่วงแขน(หัวไหล่-ข้อศอก)ยาว ๒๕.๐๐ เมตร

    4 (ข้อศอก-ข้อมือ)ยาว ๓๐.๐๐ เมตร(ข้อมือ-ปลายนิ้ว)

    5 ยาว ๑๕.๐๐ เมตร(หน้าอก)กว้าง ๗๕.๖๐ เมตร

    6 ใบหน้า(ปลายคาง-หน้าผาก)สูง ๑๒.๐๐ เมตร(จมูก-หน้าผาก)สูง ๙.๕๐ เมตร(ใบหู)สูง ๔.๐๐ เมตร

    7 เศียร(พระศอ-พระเกศ (เลาธาตุ) )สูง ๒๖.๕๐ เมตร

    8 (พระศอ-พระเมาลี)สูง ๒๔.๐๐ เมตร* พระเกศสูง ๑๓.๐๐ เมตร

    9 * พระเมาลีสูง ๔.๗๐ เมตร

    10 เปลวรัศมีเม็ดพระศกสูง ๑๕.๐๐ เมตร(ประดับเม็ดพระศก ๕๐๖ เม็ด แต่ละเม็ด มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๒๐ เมตร)

    เริ่มวางศิลาฤกษ์ในวันเสาร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๓๔ ( วันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๔ ) ปีมะเมีย วางศิลาฤกษ์เวลา ๙.๐๐ น. โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณคาราม กทม. ประธานฝ่านสงฆ์ คือ หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ ซึ่งเป็นประธานในการดำเนินการก่อสร้างและหาทุน

    สร้างเสร็จสิ้น ในวันศุกร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ( วันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๘ ) ปีกุน รวมเวลาในการก่อสร้างพระพุทธรูป ๑๖ ปี

    มูลค่าในการก่อสร้าง รวมทั้งสิ้น ๑๐๖ ล้านบาท จากจิตศรัทธาพุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวต่างประเทศ

    [​IMG]

    ประวัติความเป็นมา วัดม่วง

    เดิมทีวัดม่วงเป็นวัดร้าง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปี พ.ศ. ๒๒๓๐ ณ. แขวงเมืองวิเศษชาญ ซึ่งเคยได้เป็นเมืองหน้าด่าน ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาได้เสียกรุงให้แก่พม่า พม่าได้เผาผลาญบ้านเมือง วัดวาอาราม และพระพุทธรูปไปเป็นจำนวนมาก สิ่งที่หลงเหลืออยู่ คือ ซากปรักหักพังของวัดวาอาราม และพระพุทธรูป ที่อยู่บนเนินมีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก

    เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ ท่านพระคูวิบูลอาจารคุณ ( หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ ) ได้มาปักกลดธุงดงค์เห็นว่าบริเวณนี้เคยเป็นวัดร้าง จึงน่าปฏิบัติธรรม แต่ขณะปฏิบัติธรรม ได้ปรากฏนิมิต เห็นองค์หลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง มาบอกว่าให้ท่านได้ช่วยก่อสร้างวัดม่วงขึ้นมาใหม่ เพราะท่านพระครู เป็นผู้มีบารมี ที่สามารถจะก่อสร้างบูรณะวัดม่วง ขึ้นมาใหม่ได้ด้วย ผู้ที่เคยอาศัยในสมัยก่อนได้มาเกิด และจะมาช่วยท่านแล้ว และในบริเวณวัดร้างนี้จะมีศิลาขาว และศิลาแดงอยู่ คือ องค์ของหลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง นั้นเอง ซึ่งต่อมาท่านพระครูวิบูลอาจารคุณ ได้มีการปั้นองค์พระครอบศิลาขาว และศิลาแดงไว้ โดยเรียกนามว่า หลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง จนถึงปัจจุบันนี้

    ในปีพ.ศ. ๒๕๒๖ ท่านพระครูวิบูลอาจารคุณ ได้มีการเริ่มบูรณะและได้สร้างเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้น โดยได้รับการบริจาค ทั้งเงินทำบุญ และทำบุญด้วยแรงงาน ร่วมกันดำเนินงานในการก่อสร้าง

    จนกระทั้งวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้มีการประกาศยกฐานะให้วัดม่วง ซึ่งเคยเป็นวัดร้างให้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์

    เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้มีการแต่งตั้งท่านพระครูวิบูลอาจารคุณเป็นเจ้าอาวาสวัดม่วง ต.หัวตะพาน อ.วิเศษชัยชาญ จ. อ่างทอง

    เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ แห่งราชจักรี ได้ทรงพระราชทานวิสุงคามสีมาให้แก่วัดม่วง เป็นต้นมา

    ในปีพ.ศ. ๒๕๓๔ ท่านพระวิบูลอาจารคุณ ได้ร่วมพลังจิตอธิฐาน ร่วมกับประชาชนผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศ ได้สมทบทุนสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อน้อมถวาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙ และราชวงศ์จักรี มีพระนามว่า พระพุทธมหานมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ มีหน้าตักกว้าง ๖๒ ม. สูง ๙๓ ม. มูลค่าในการก่อสร้าง ๑๐๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ( หนึ่งร้อยหกล้านบาท )

    เมื่อวันเสาร์ที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ ( วันแรม ๑ ค่ำา เดือน ๔ ) ปีมะเมีย เวลา ๙.๐๐ น. ได้วางศิลาฤกษ์ โดยสมเด็จพระโฆษาจารย์ วัดสุวรรณดาราม กทม. เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระครูวิบูลอาจารคุณ (หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ ) เป็นประธานฝ่ายดำเนินการก่อสร้าง และหาทุน และให้กฤษ์การก่อสร้างได้ดำเนินมา จนสำเร็จใน ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ( วันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๘ ) รวมเป็นเวลาในการก่อสร้างทั้งสิ้น ๑๖ ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ – ๒๕๕๐

    วัดม่วง
    บ้านหัวตะพาน หมู่ที่ 6 ตำบลหัวตะพาน
    อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง
    โทร. 035-631556, 035-631974
    Website : www.watmuang.com
    วัดม่วงตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลหัวสะพาน อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง อยู่ห่างจากตัวจังหวัดอ่างทอง ไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 8 กิโลเมตร ถ้าตั้งต้นจาก กรุงเทพ ไปตามถนนสายเอเชีย แล้วเข้าตัวเมืองอ่างทอง ผ่านตลาดแล้วเลี้ยวขวา ผ่านหน้าเรือนจำ เจอทางแยกเลี้ยวซ้าย (ไปสุพรรณบุรี) ไปตามเส้นทางสาย โพธิ์พระยาท่าเรือ วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ เห็นพระพุทธรูปแต่ไกล

    http://wat-muang.com/index.php

    ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    บทความจาก mthai.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2014
  9. chaokhun

    chaokhun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +5,701
    ยังมีอีกคือ คนเกาหลี คนเกาหลี 50 เปอรืเซนต์ ไม่นับถืออะไร คือจะเอาแต่เงินกันอย่างเดียว
     
  10. chaokhun

    chaokhun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +5,701
    ผมคิดว่าเป็นแค่ความคิดของสมาชิกสภาบางคนของจีนเท่านั้น ที่อาจเห็นด้วย แต่ก็ออกหน้าออกตาไม่ได้
     
  11. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    ไทยก็ไม่น้อยหน้าหรอกครับ ผมเห็นสร้างกันเยอะแยะ เห้อ บางทีผมว่า กลายเป็นวัดแข่งขันกันเอง ยิ่งมี สิ่งก่อสร้าง ไหญ่ๆ ยิ่งดึงดูดคนได้มาก
     
  12. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    หากกราบไหว้ควรกราบรำลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ดูรูปลักษณ์ภายนอกเฉยๆ ไม่ใช่เพื่อการพาณิชย์
     
  13. kachangwa

    kachangwa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +33

    คอมมิวนิตี้ อย่างที่ คาล มาร์ก กล่าวไว้ จริงๆคือการเป็นส่วนกลาง คือระบอบเศรฐกิจไม่ใช่การปกครอง เหมือนอย่างเวลาที่เราทำบุญ เราจะรวมข้าวของปัจจัยต่างๆ ที่เราบริจาคไว้ในส่วนกลาง ซึ่งเหล่านี้จะลดความเห็นแก่ตัว หากมองคอมมิวนิสต์ในแง่เศรฐกิจจะใกล้เคียงกับ ธรรมาธิปไตย นั่นคือสลัดความเห็นแก่ตัว ความเป็นตัวกูของกูออกไป แต่ที่เราเห็นมันไม่ใช่คอมมิวนิสต์ที่แท้จริงแต่เป็นเผด็จการมากกว่า ภาพที่เราจดจำกลายเป็นว่าคอมมิวนิสต์นี้คือพวกโจรพวกเผด็จการสุดโต่ง แต่คอมมิวนิสต์จริงๆแล้วจะไม่มีการกดขี่ข่มเหงกันไม่มียศถาบรรดาศักดิ์แบ่งชั้นวรรณะ ทุกคนเท่ากัน หรือที่เราเรียกกันว่า สหาย ในโลกนี้ไม่มีระบอบใดสมบูรณ์สุดแม้แต่ประชาธิปไตย แบบทุนนิยม ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ก็เอื้อช่องทางให้แก่ผู้มีเงินและอำนาจตำแหน่งยศถา ปิดกั้นโอกาสผู้ด้อยกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...