"จิตรวมที่ต้นตะเคียนตั้งแต่เป็นฆราวาส" : : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Nana nora, 26 มิถุนายน 2023.

  1. Nana nora

    Nana nora สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +68
    356208704_6677761485576402_7082427539953545561_n.jpg

    #จิตรวมที่ต้นตะเคียนตั้งแต่เป็นฆราวาส

    “...หลวงปู่นี้จะเป็นลักษณะปัญญาอบรมสมาธิเวลาที่ภาวนาไปอย่างงี้จิตใจมันฟุ้งซ่านมันไม่ลงสูตรฐานของจิตจิตมันไม่สงบร่มเย็นใช้ปัญญาอยู่อย่างงั้นตลอด พิจารณานั่นบ้างพิจารณานี้บ้างพิจารณาความตายเป็นอารมณ์เสียส่วนมาก ดุตัวเองบ้างสารพัดที่จะทำ จนพละกำลังของตัวปรุงตัวแต่งมันเหนื่อยอ่อนจิตค่อยรวมเข้ามาๆ นี่หลวงปู่เป็นอย่างงี้นะใช้ปัญญานำหน้า เมื่อปัญญามันออกงานส่งผล จิตมันก็รวมลงสู่ขณิก อุปจาร นิ่งเย็นแต่ยังไม่เข้าสู่ฐีติจิต ได้รับเฉพาะความชุ่มเย็นว่างเป็นบางครั้งบางคราว ชุ่มเย็นเป็นบางครั้งบางคราว นี่คือภาคปฏิบัติระหว่างปัญญาอบรมสมาธิ เวลาที่มันเข้าสู่ความนิ่งของจิต มันก็จะพักอยู่อย่างงั้นสักพักตัวนิ่งตัวนั้นค่อยถอนออกมาสมาธิตัวนั้นกลับเป็นอบรมปัญญาเพราะเห็นความไม่เที่ยงของสังขารเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตานี่คือตั้งแต่เป็นฆราวาสเลยนะ นี่พูดให้ฟังตั้งแต่เป็นฆราวาส

    ที่ต้นไม้ต้นนั้นจึงเห็นอรรถเห็นธรรมในช่วงที่กำลังไสยาสน์ลงนั่นแหละ ความกลัวสุดขีดทำให้มีปัญญาเรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ เมื่อมันพิจารณาไตร่ตรองสมบูรณ์บริบูรณ์ จิตมันจึงอุทานขึ้นมาในช่วงที่เป็นฆราวาสที่ต้นตะเคียนใหญ่ต้นนั้น ทำไมจึงเรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ ไสยาสน์ลงใช้แขนข้างขวาเป็นหมอนหนุนที่หัว มือออกมาจากหัวนิดหนึ่งเวลาที่ภาวนาไปๆจิตก็ค่อยๆรวมไปๆๆๆๆลงสู่ความเย็นแต่ไม่ลงสู่ฐีติจิต ความชุ่มเย็นของจิต จิตมันจะว่างอยู่อย่างงั้นรับรู้แห่งร่างกายเฉยๆแต่การปรุงแต่งไม่ได้ออกไปนี่คือการรวมแบบหนึ่งในขั้นขณิกและอุปจาร คือจะไม่รวมลงสู่ฐีติจิตนะลูกนะ เป็นเพียงเข้าขั้นเพียงอุปจาระแล้วก็ขณิกและเข้าอุปจาร มันจะกลับไปกลับมาอยู่งั้นคือมันจะไม่ได้รวมลงไปสู่ฐีติจิตนะนี่พูดให้ลูกหลานฟังมันจะอยู่อย่างงั้นแต่มันจะวางภาระคือไม่ปรุงแต่งไปข้างหน้าไม่ปรุงแต่งถอยหลังคืนไปในอดีต ไม่ปรุงแต่งเลยไปในอนาคตแต่มันจะรู้ในปัจจุบันมีความคิดนิดหนึ่งในปัจจุบัน เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปรวมลงรวมลงเข้ามาอยู่ในปัจจุบัน

    นี่คือจิตที่มันรวมลงแห่งความชุ่มเย็นสักพักมันก็ว่าง ว่างแบบไหน ว่างแบบความคิดหยุดแต่สังขารขันธ์ยังกระเพื่อม นี่คือจิตยังไม่รวมลงสู่ฐีติจิตนี่ขอให้ลูกหลานเข้าใจนะ งั้นที่ต้นตะเคียนต้นนั้นเราจึงได้เห็นสติทำให้ปัญญาเกิด แล้วก็อบรมสมาธิ พอพิจารณาธรรมปั๊บจากสมาธิได้อบรมปัญญาไม่งั้นเป็นบ้าตั้งแต่วันนั้น พอจิตมันรวมลงไปๆๆ มันเป็นร่างขาวโพลน หดเข้าๆๆๆเหลือเล็กนิดหนึ่ง แล้วก็ขยายออกๆๆตัวเท่าเดิมแล้วก็หดเข้า ๆๆก็ตั้งสติไว้นะ หดเข้าๆเล็กเข้าแล้วก็ขยายออกๆๆ เห็นตัวเท่าเดิม จากนั้นร่างเริ่มที่จะใสขาวเราก็มองดูอยู่ตั้งสติไว้ ร่างเริ่มขาวแต่มันไม่มีความรู้สึก คือไม่มีความรู้สึกในเวทนาว่าอันนี้ร่างกายมีความเจ็บปวดไง มึนชามันไม่มีความรู้สึกแต่รู้สึกว่าเป็นร่างเราอยู่อย่างงี้ อันนี้คือจิตรวมแบบหนึ่งนะลูกนะ

    เพียงแต่รวมไปนะไม่ลงฐีติจิตนะลูกนะ เพียงแต่มันรวมไปเป็นธรรมชาติของจิตที่มันสามารถที่จะรวมลงได้ขณะนั้น สติดูมันตลอดมันก็พี่มันก็พลิกสัญญาของมันเรื่อย ๆ พลิกสัญญาก็คือจิตมันจะพลิกสัญญาแบบเล็กเข้าไปๆไง เข้าไปแล้วก็ใหญ่ขึ้นๆๆอยู่สักพักหนึ่งไม่มีความรู้สึกร่างกายแห่งเวทนาคือเวทนาแห่งความเจ็บปวดนะแต่มีเวทนารู้ว่าคือร่างกายเรา มันอาจจะเป็นการมึนชาของร่างกายหรือว่าอาจจะไม่มีการรับรู้ของจิตใช้คำนี้นะเพราะตอนนั้นไงตอนนั้นต้องใช้คำนี้ไม่ใช้คำที่ไม่ได้เพราะจะบอกตรงๆไม่ได้นะลูกนะ เพราะเรายังไม่แน่ใจตายใจว่าสิ่งนี้คืออะไรนี่พูดถึงสมัยเป็นฆราวาสไม่ได้พูดถึงตอนนี้นะ...ตอนนี้ไม่มีคำว่าอาจจะ...”

    พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
    วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
    ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๔ (วันวิสาขบูชา ตอนเย็น)
     

แชร์หน้านี้

Loading...