จิตมันเป็นกลางมันไม่สุขมันไม่ทุกข์เรียกว่าอุเบกขาจิต : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Nana nora, 23 เมษายน 2023.

  1. Nana nora

    Nana nora สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +68
    #จิตมันเป็นกลางมันไม่สุขมันไม่ทุกข์เรียกว่าอุเบกขาจิต

    “...พูดถึงความเย็นความร้อน ความสุขความทุกข์ บางคนว่าปฏิบัติธรรมแล้วมันเร่าร้อนมันคงผิดทาง บางคนปฏิบัติธรรมแล้วว่าชุ่มเย็นมันคงถูกทาง เร่าร้อนก็ถูก ชุ่มเย็นก็ถูก ถ้าประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ที่เรียกว่าศีลสมาธิปัญญา ห้ามหลีกลี้หนีจากนั้น คือมันต้องมีทั้งร้อนทั้งหนาวคู่กันไป คู่กันไป ถ้าเราขาดสติกำลังปัญญาเราก็หลงในความเร่าร้อน หลงในความชุ่มเย็น อย่างงั้นผู้ที่ไม่หลงก็คือพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกนั่นแหละจึงจะเข้าสู่มหาปรินิพพานได้ก็คือผู้ไม่หลงผู้อยู่ตรงกลางขันธ์ระหว่างสุขกับทุกข์ระหว่างร้อนกับหนาว เย็นกับร้อน คืออยู่ตรงกลางนั้นมีสติกำลังครอบไว้หมด ทนอยู่ตรงกลางทิ้งทั้งสองข้างไม่เอาเลยทั้งสุขทั้งทุกข์ ทนอยู่อย่างงั้นมีสติรอบรู้เป็นปกติรู้ว่าสุขรู้ว่าทุกข์เป็นของธรรมชาติยึดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ย่อมที่จะเวียนว่ายตายเกิดนั่นแหละจิตมันจะเป็นกลางๆมันไม่สุขมันไม่ทุกข์ที่เรียกว่าอุเบกขาจิต

    ปฏิบัติไป ปฏิบัติไปก็จะเข้าใจๆๆไปเรื่อยๆเข้าใจไปเรื่อยๆมันไม่ได้มีภาคปริยัติเข้าไปเลย ขณะนี้เป็นแบบนั้นขณะนั้นเป็นแบบนี้ไม่มี นี่คือภาคปฏิบัติ พอบรรลุหรือทะลวงเข้าเข้าสู่กระแสธรรมที่เรียกว่าเปิดประตูพระนิพพาน ผู้ที่มีตำรามาอาจหลงได้ง่าย แต่ผู้ที่ไม่มีตำราไม่มีคำว่าหลงเพราะปรารถนาพระนิพพานอยู่ ผู้นี้ไปได้เร็วกว่าผู้ที่มีตำรา ผู้ที่มีตำราไปได้ช้าด้วยเหตุที่ว่าหลงในตำราเพียงแสงสว่างวูบวาบเข้ามาที่เรียกว่าโอภาสก็คิดว่าที่นี่เราเปิดประตูพระนิพพานแล้ว เห็นกระแสพระนิพพานแล้ว ก็เลยหลง แต่ผู้ที่ไม่ได้เรียนพอเห็นแสงสว่างเกิดขึ้นปั๊บ เรียนถ้าจะบอกว่าเรียนจากครูบาอาจารย์บอกแล้วว่าอะไรเกิดขึ้นห้ามหลงโดยเด็ดขาด ให้ทำลายตัวเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปด้วยสติกำลังปัญญาว่าเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ผู้นี้ไปได้อย่างรวดเร็ว พอสิ่งนี้เกิดขึ้นปั๊บ แสงโอภาสเกิดขึ้นปั๊บสว่างไสวอยู่ปั๊บมีสติรู้อยู่อย่างงั้น สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็นไม่ไปยึดไม่ไปถือเพราะสิ่งนี้ก็ต้องเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

    แสงสว่างที่เรียกว่าโอภาสมันก็เหมือนกลางวัน เวลาแสงสว่างโอภาสตัวนี้ดับไปแล้วมันก็มืดสนิทเหมือนกลางคืน มันก็มีแค่นั้นเพราะเราจะไปยึดไม่ได้ถ้าแสงสว่างมันอยู่ตลอดๆๆๆไปมันก็อยู่ไม่ได้ ความมืดมนอนธการมันจะอยู่ตลอดๆๆๆไปมันก็อยู่ไปไม่ได้ มันอยู่ในกฎพระไตรลักษณ์ญาณเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา มันจะเป็นกลางๆไม่ติดไม่ยึดไม่ถือ มันจะไปเรื่อยๆเดินไปเรื่อยๆตามขั้นของมันโดยอัตโนมัติจนบั้นปลายสุดท้ายนั่นแหละมันจะเผยขึ้นมา ผู้นี้ปฏิบัติธรรมถูกต้องดีงามตามธรรมตามวินัยจะรู้ว่าตัวนี้ละได้แค่ไหน สู้ทนอยู่อย่างงั้น ความรักละได้หรือยัง ความชังละได้หรือยัง ความทะเยอทะยานอยากละได้หรือยัง ผู้นี้จะมีสติกำลังปัญญารู้แค่นี้จึงไปได้อย่างรวดเร็ว มันรักคนนั้นรักคนนี้มีสติรู้ตัวอยู่เพื่อไม่ให้มันรักมันทำได้หรือไม่ มันชังคนนั้นคนนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน มันจะมีสติรู้ของมันอยู่อย่างงั้น

    มันก็เลยเป็นพละกำลังใหญ่ที่เรียกว่าธรรมะโอสถ ดังที่ขึ้นต้นพูดให้ฟัง ธรรมะโอสถตัวนี้จะทำลายกามโลกรูปโลกและอรูปโลก เป็นอาวุธที่สำคัญถ้าใครทำตามนี้เดินตามนี้ได้ผู้นั้นจึงจะได้ธรรมะโอสถเป็นพละกำลังใหญ่หรือกำลังภายในอยู่ในร่างกายนี้สามารถที่จะทำลายโลก โลกตัวนี้หมายถึงโรคของกายด้วยโลกของใจด้วย ให้อันตราธานสิ้นไปในที่สุด โรคนี้อันตราธานสิ้นไปได้ยังไงไหนบอกว่ามันเกิดมันแก่มันเจ็บมันตายเป็นของธรรมดา หลวงปู่หมายถึงโรคที่มันยึด ไม่มีโรคยึดเพราะมีสติแล้วตรงกลางๆนั่นแหละเรียกว่าเป็นพละกำลังใหญ่ กำลังนี้ไม่ได้อยู่ฝ่ายโลกุตระไม่ได้อยู่ฝ่ายโลกียะเพราะกำลังนี้เป็นอุเบกขาจิต โลกกุตระก็เป็นสมมุตินั่นบั้นปลายของมัน โลกียะก็เป็นสมมุติ มีสติอยู่ตรงกลางนั่นแหละสันทิฏฐิโกในการรู้เองเห็นเองมันก็จะเกิด บั้นปลายสุดท้ายมันก็จะรู้ได้เฉพาะตนว่ามันละมันวางความรักความชัง ยึดนู่นยึดนี่ได้ระดับใดมันจะรู้ของมันเอง อันนี้ภาคปฏิบัติเป็นอย่างงี้ ผู้เรียนมากผู้ศึกษามากมันเลยเป็นข้อกังขาแม้จะบอกว่าอันนี้ใช่ อันนั้นใช่ อันนี้ใช่ แยกแยะอยู่ตลอด อยู่ตลอด มันก็เลยไม่เป็นไปตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้ทิ้งสัญญาจำได้หมายรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่สามารถทิ้งสัญญาจำได้หมายรู้ต่างๆได้จิตมันก็ไม่สามารถรวมเข้ามาลงในปัจจุบันได้

    คำว่าสัญญาจำได้หมายรู้ตัวนี้หลวงปู่หมายถึงสังขารขันธ์ มันปรุงมันแต่งมันนึกมันตรึกมันตรอง คิดนู่นคิดนี่จำนู่นจำนี่ได้มามันก็ปรุงมันก็แต่งของมันขึ้นมันตัวนี้ต้องทิ้งให้ได้ไงในภาคปฏิบัติ อย่าให้มี ให้มีแต่ใจที่เป็นกลางๆสู้อยู่อย่างงั้นทนอยู่อย่างงั้นผู้นั้นจะพบกับแสงสว่างของธรรมที่เหนือเสียงสว่างที่เรียกว่าโอภาส...”

    พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
    วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
    ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

    5.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...