จักรวาลและโลก ในมุมมองของ "พระพุทธศาสนา"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 10 พฤศจิกายน 2005.

  1. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    ก่อนจะกล่าวถึงสัตว์ในภพภูมิต่างๆ
    เรามาทำความรู้จักกับแผนผังของจักรวาลกันก่อนก็แล้วกัน

    ศูนย์กลางของจักรวาลคือเขาสิเนรุ ที่ประทับของพระอินทร์
    เป็นจุดแรกของแผ่นดินเมื่อเริ่มกำเนิดจักรวาล ที่ลมเป่าน้ำจนงวดแล้วเกิดแผ่นดินขึ้น
    (ถ้าพูดแบบศาสนาอื่น ก็ต้องกล่าวว่าเป็นจุดแรกที่แผ่นดินโผล่ขึ้นหลังจากน้ำท่วมโลก)
    เขาสิเนรุล้อมรอบทั้ง 4 ทิศด้วยทวีปทั้ง 4 ที่มนุษย์อาศัยอยู่
    ได้แก่ปุพเพวิเทหทวีป อปรโคยานทวีป ชมพูทวีป และอุตตรกุรุทวีป
    แต่ละทวีปมีทวีปน้อย 500 ทวีปเป็นบริวาร
    และแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่นี้ เรียกว่าชมพูทวีป

    มีการขยายความเพิ่มเติมว่า ชมพูทวีปได้แก่ผืนแผ่นดินอันเดียวกัน ล้อมด้วยมหาสมุทร
    จึงได้เอเชีย ยุโรป และอาฟริกา ส่วนอเมริกาเหนือ/ใต้ ออสเตรเลีย เหล่านี้เป็นทวีปน้อย

    ใต้ชมพูทวีป หรือใต้แผ่นดินที่เรายืนอยู่นี้ลงไป
    เป็นแผ่นดินหนา 240,000 โยชน์ (3,840,000 กิโลเมตร)
    ประกอบด้วยปสุปถวี คือชั้นดิน 120,000 โยชน์
    และลึกลงไปเป็นชั้นหินหนาเท่าๆ กัน เรียกว่า สีลาปถวี
    แผ่นดินและแผ่นหินดังกล่าวนี้ ตั้งอยู่บนก้อนน้ำแข็งหนา 480,000 โยชน์
    และก้อนน้ำแข็งตั้งอยู่บนพื้นที่ลม หนา 960,000 โยชน์
    และตามโครงสร้างของจักรวาลดังกล่าวนี้ โลกน่าจะแบนมีพื้นเป็นชั้นๆ

    คำสอนชนิดนี้ ถ้ากล่าวเมื่อ 500 ปีก่อน
    ทุกคนจะต้องยกมือขึ้นสาธุในพระปัญญาตรัสรู้ของ " พระพุทธเจ้า"
    แต่มาถึงวันนี้ กลายเป็นจุดอ่อนไปแล้วครับ
    ในเมื่อโครงสร้างของโลก หรือชมพูทวีปที่เราอยู่นี้ ไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้น
    และลำพังความหนาของชั้นดินอย่างเดียว ก็มากกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของโลกเสียแล้ว

    นรกอยู่ภายใต้ชั้นดินลงไป ประกอบด้วยมหานรก 8 ขุมใหญ่ รวมนรกบริวารด้วยเป็น 256 ขุม
    ขุมแรกคือสัญชีวนรก อยู่ใต้ชมพูทวีปลงไป 15,000 โยชน์ หรือ 240,000 กม.
    ถัดไปเป็นกาฬสุตตนรก สังฆาตนรก โรรุวนรก มหาโรรุวนรก
    ตาปนรก มหาตาปนรก และอวิจีนรก
    แต่ละชั้นอยู่ลึกห่างกันลงไปเท่าๆ กัน คือชั้นละ 150,000 โยชน์

    ถัดจากนรกขึ้นมาก็มีสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งจำแนกได้ 4 ไฟลัมน์
    คือสัตว์ที่ไม่มีขา สัตว์ 2 ขา สัตว์ 4 ขา และสัตว์ขามาก
    (เป็นวิธีแบ่งที่สอดคล้องกับวิชาชีววิทยาในยุคแรกๆ)
    คัมภีร์ระบุด้วยว่า สัตว์น้ำ มีมากกว่าสัตว์บก
    ในบรรดาสัตว์นี้ มีพญานาค 4 ชนิดใหญ่ 1,024 ชนิดย่อย
    มีกินนร 7 อย่าง ซึ่งในภัลลาติยชาดกอัฏฐกถาระบุว่า เป็นสัตว์กลัวน้ำ
    (เรื่องนางมโนราเล่นน้ำ จึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริง)
    ราชสีห์มี 4 อย่างทั้งที่กินเนื้อและกินหญ้า
    พญาครุฑ อยู่ที่ชั้นสองของเขาสิเนรุ และช้างที่ 10 ชนิด
    สัตว์เดรัจฉานย่อมประกอบด้วยสัญญา 3 อย่างคือ รู้จักเสพย์กาม รู้จักกิน และกลัวตาย

    ถัดจากเดรัจฉาน เป็นเปรต 12 ชนิด บางพวกอยู่วิมาน บางพวกลำบากยากแค้น

    ถัดจากเปรตเป็นอสุรกาย มี 3 อย่างคือ (1) เทวอสุรา มี 6 กลุ่มย่อย อยู่ใต้เขาสิเนรุ
    (2) เปตติอสุรา และ (3) นิรยอสุรา หรืออสูรในโลกันตริกนรก
    (นรกโลกันต์คือจุดที่เป็นรอยต่อของจักรวาลกับจักรวาล ซึ่งเป็นจุดที่มืดสนิท
    แต่คงไม่ใช่หลุมดำในยุคปัจจุบัน เพราะหลุมดำยังปนอยู่ในจักรวาลนี้เอง)

    คราวนี้มาถึงสุคติภูมิ เริ่มจากมนุษย์ 4 ทวีป
    มนุษย์แต่ละทวีป จะมีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียด
    เช่นคนชมพูทวีปอย่างพวกเรานี้ จะกล้าหาญทั้งการทำดีและการทำชั่ว
    ที่แปลกคือ มนุษย์อย่างพวกเรานี้ มีกำเนิดได้ทั้ง 4 วิธี
    คือ (1) เกิดเป็นตัวเลยก็มี (2) เกิดจากไข่แล้วค่อยออกเป็นตัวเหมือนไก่ก็มี
    (3) เกิดจากต้นไม้ ดอกบัว และเลือด ก็มี เช่นนางจิญจมาณวิกา เกิดจากต้นมะขาม,
    นางเวฬุวดี เกิด จากต้นไผ่, นางปทุมวดี เกิดจากดอกบัว ,
    (เข้าใจว่าถูกพ่อแม่นำมาทิ้งไว้โคนต้นไม้)
    โอรสของนางปทุมวดี รวม ๔๙๙ องค์ เกิดจากโลหิต (วิทยาการยุคนี้น่าจะทำได้แล้ว) เป็นต้น
    และ (4) เกิดปุ๊บโตปั๊บแบบโอปปาติกะก็มี ได้แก่มนุษย์ในสมัยต้นกัปป์
    (เข้าใจว่าที่มนุษย์ต้นกัปป์ต้องเกิดแบบนี้เพราะไม่มีพ่อแม่
    และ" พุทธศาสนา" ไม่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการที่ว่าคนพัฒนามาจากสัตว์
    มนุษย์ยุคแรกจึงต้องเกิดแล้วโตทันที ถ้าเป็นทารกอยู่ก็จะตายเพราะไม่มีใครเลี้ยง)

    สำหรับเทวโลกนั้น ชั้นแรกสุดคือจาตุมหาราชิกา ตั้งอยู่ตั้งแต่กึ่งกลางของเขาสิเนรุลงมา
    มีท้าวมหาราชทั้ง 4 เฝ้ารักษาอยู่ในทิศทั้ง 4 ของเขาสิเนรุ

    บนยอดเขาสิเนรุ เป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    บรรดาพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวต่างๆ อันเป็นวิมานเทพจะโครจรรอบเขาสิเนรุ
    (ทฤษฎีนี้คล้ายกับคนโบราณหลายชาติครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับศูนย์กลางของจักรวาล)

    ถัดจากนั้นขึ้นไปบนอากาศสูงกว่ายอดเขาสิเนรุ 42,000 โยชน์ คือสวรรค์ชั้นยามา
    และสวรรค์ที่สูงขึ้นไป ก็อยู่ห่างกันชั้นละ 42,000 โยชน์เท่าๆ กัน
    ได้แก่ตุสิต นิมมานรตี และปรนิมมิตวสวัตตี

    เมื่อพูดถึงสวรรค์แล้ว ก็ต้องพูดถึงเทวดาบ้าง
    มีเรื่องที่คนถามกันบ่อยคือเรื่องการเสพย์กามของเทวดา
    ในตำราอภิธรรมกล่าวถึงการเสวยกามคุณของเทวดาไว้ 2 แบบ
    ตำราหนึ่งบอกว่าเทวดา 2 ชั้นแรกเท่านั้นที่เสพย์กามเหมือนมนุษย์
    ที่สูงกว่านั้นแค่ถูกตัวกัน หรือมองตากันเท่านั้นเอง
    อีกตำราหนึ่งบอกว่าทั้ง 6 ชั้นต้องกระทำแบบมนุษย์
    นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่พบบ่อยๆ ครับว่าตำราเองก็ขัดแย้งกันเอง

    ถัดจากภูมิของเทวดาขึ้นไปอีก เป็นรูปพรหม 16 ชั้น และอรูปพรหม 4 ชั้น
    รูปพรหม 3 ชั้นแรก ตั้งอยู่กลางอากาศห่างจากสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
    5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์
    รูปพรหมที่ 4 - 6 ที่ 7 - 9 ที่ 10 (เวหัปผลา)กับอสัญญสัตตา
    สุทธาวาสชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 ชั้นที่ 3 ชั้นที่ 4 และชั้นที่ 5
    ก็ห่างกันออกไปเท่าๆ กันนี้ด้วย

    สำหรับอรูปพรหมมี 4 ชั้น ชั้นสูงสุดคือเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
    ห่างจากอวีจิมหานรก 71.976 ล้านโยชน์ (1,151.616 ล้าน กิโลเมตร)

    ทั้งหมดนี้คือโครงสร้างของจักรวาลอันหนึ่ง
    ซึ่งมีขนาดไม่โตนัก อาจจะใกล้เคียงกับระบบสุริยะนี่เอง

    สำหรับอรูปภูมิ 4 นี้ พระอริยบุคคลที่ยังไม่ถึงนิพพานจะไปบังเกิดได้
    แล้วไปทำนามกรรมฐาน (ดูจิต) จนถึงนิพพานในอรูปภูมิได้
    โดยพระอริยบุคคลที่เกิดในเนวสัญญานาสัญญยตภูมิจะไม่ไปเกิดที่ภูมิอื่นอีก
    แต่จะนิพพานที่นั้นเลย เพราะเป็นภวัคคภูมิ หรือภูมิชั้นยอดของอรูปพรหม
    (เช่นเดียวกับท่านที่เกิดในเวหัปผลาภูมิ ซึ่งเป็นภวัคคภูมิของรูปพรหม)

    อภิธรรมส่วนนี้จะขัดกับความเชื่อของสำนักอภิธรรมบางแห่งนะครับ
    เพราะนักอภิธรรมบางแห่งเขาเชื่อกันว่า ในอรูปภูมิทำวิปัสสนาไม่ได้
    เพราะไม่มีหทยรูป อันเป็นที่เกิดของจิตและเจตสิก และเป็นที่ให้รู้นามธรรม
    อรูปพรหมจึงรู้อะไรไม่ได้เลย
    นอกจากเพลิดเพลินกับกุสลวิบากอันเกิดจากฌานของตนเท่านั้น

    *************************************

    เรื่องภูมิและปฏิสนธิยังมีรายละเอียดอีกมากครับ
    เช่นกล่าวถึงกำเนิดของจักรวาล และการพินาศของจักรวาล
    ซึ่งการพินาศของจักรวาล จะเกิดได้ทั้งจากไฟ ลม และน้ำ
    แต่ส่วนมากจะเป็นการพินาศด้วยไฟ โดยเกิดดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกัน 7 ดวง
    โดยเขตแดนที่ถูกทำลายจะกว้างถึงแสนโกฏิจักรวาล
    สำหรับโลกปัจจุบันยังอีกนานมากครับกว่าจะแตกทำลายไป
    เพราะจัดเป็นวิวัฏฏฐายีอสงไชยกัป
    ต้องครบ 64 อันตรกัป พร้อมกับการนับอายุของมนุษย์
    ตั้งแต่มนุษย์มีอายุ 1 อสงไขยปีลงมาจนถึงพันปี
    เมื่อเวลาทั้งสองนี้มาบรรจบกันเข้าเวลาใดแล้ว โลกก็จะพินาศในเวลานั้น

    สรุปแล้วยังอีกนานมากครับ กว่าไฟจะทำลายโลกลงไป
    ซึ่งค่อนข้างจะขัดแย้งกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์
    ที่ประมาณว่าอีก 5,000 ล้านปี ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นดาวแดง
    มีขนาดขยายใหญ่มาถึงโลก อันมีผลให้โลกถูกทำลาย
    (เข้าลักษณะถูกทำลายด้วยไฟจากดวงอาทิตย์ใกล้เคียงกับตำรา)
    จากนั้นดวงอาทิตย์ก็จะดับ กลายเป็นดาวแคระไป
    ระยะเวลาที่ชมพูทวีปจะถูกทำลาย จึงไม่นานอย่างที่กล่าวไว้ในตำราอภิธรรม

    by...http://dharma.school.net.th/wimutti/board/D00000162.html

    (bb-flower (b-love2u)
     
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
  3. อาม

    อาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +314
    คุณชยุตวิเคราะห์ได้อย่างละเอียดเลยครับ (http://www.palungjit.org/board/showt...022#post145022)
    เรื่องที่ว่าเป็นจุดอ่อนที่จะทำให้คนไม่เชื่อพุทธศาสนานั้น เป็นเพราะธาตุหยาบอย่างเรามองไม่เห็นธาตุที่ละเอียดกว่าเลย เราไม่รู้ด้วยว่าลักษณะของอวกาศมันซ้อนกันอย่างไร รู้จักเมืองลับแลไหมครับ และยังมีภพอื่น อยู่ในมุมบางมุมที่คิดไม่ถึง

    ผมยังไม่เลิกสงสัยเลยว่า ขอบของดินแดนทุกโลกธาตุมีลักษณะเป็นอย่างไร ถ้าจะมีโลกธาตุและสิ่งมีชีวิตอีกต่อไปไม่จบสิ้นก็ โอ้โห เมื่อไรจะนิพพานหมดเนี่ย
     
  4. x-ray

    x-ray Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +76
    ที่บอกว่าอีก 5,000 ล้านปีโลกจะแตก นั้นเป็นการสันนิษฐานนะครับ นักวิทยาศาสตร์เค้าแค่คำนวนคร่าวๆ เพราะการคำนวนในตอนนี้มันสามารถทำได้แค่นี้ และตอนนี้ ที่อเมริกากับอังกฤษก็มีการสันิษฐานว่า โลกอายุมากกว่าที่เราคิด

    เพราะตอนนี้วิทยาศาสตร์ของเราก็สามารถทำได้แค่นี้ มันไม่ได้แปลว่าถูกต้องทั้งหมดครับ
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เปล่าเลยครับ ผมไม่ได้วิเคราะห์เองครับ ผมเพียงแต่คัดลอกมาให้อ่านเท่านั้นเองครับ เพราะเห็นว่าน่าสนใจ มีเหตุมีผล ให้น่าคิดตามดีครับ

    แต่อย่างคุณ X-ray ว่าก็ไม่ผิดหรอกครับ ว่าอายุของโลกอาจจะมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์คำนวณไว้ก็ได้ครับ (ประมาณ หมื่นล้านปี) เพราะเป็นแค่การคำนวณบนข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้ ซึ่งเป็นแนวหยาบๆ เป็นแนวประจักษ์นิยมของฟรั่งเขา

    แต่ถ้าโลกอายุยืนยาวกว่านั้นมาก ผมว่าก็อาจเป็นไปได้ว่า อายุของโลกที่เกิด-ดับในแต่ละรอบอาจจะหมายถึงกัปก็ได้นะครับ

    แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังไม่หายสงสัยเกี่ยวกับคำว่าอสงไขยอยู่ดีหละครับ เพราะท่านบอกไว้ว่านับไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่ามากกว่าแสนมหากัป เพราะกัปก็นับได้ มหากัปก็นับได้ แสนมหากัปก็นับได้อีก แสดงว่าอสงไขยนี่ยาวนานจริงๆ แต่ให้ยาวนานยังไงก็ต้องมีหลักเกณฑ์ในการนับแหละน่า เพราะไม่เช่นนั้นคงจะบอกไม่ได้หรอกว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงบำเพ็ญบารมีมานาน 20 อสงไขย กับอีกแสนมหากัป

    เนี่ยแหละที่สงสัย...อะไรหนอคือเกณฑ์การวัดอสงไขย???
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2005
  6. อาม

    อาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +314
    หลักเกณฑ์การวัดอสงไขยมีอยู่ อสงไขยในการบำเพ็ญบารมีของแต่ละท่าน เท่ากันเป๊ะๆ ครับ เพียงแต่ผมไม่รู้ เคยได้ยินหลายคนพูดแต่ผมจำไม่ได้
     
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อะ ขุดขึ้นมาให้อ่านอีก สำหรับคนที่ชอบแนวนี้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...