จะเป็นอะไรมั้ย ถ้าพยายามนั่งสมาธิตลอดเวลาโดยไม่ได้ไหว้พระก่อนค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Nanpri, 5 พฤษภาคม 2011.

  1. Nanpri

    Nanpri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +48
    นั่งมาได้ 5 เดือนเองค่ะ แต่รู้สึกว่าช่วงนี้จะรวบรวมจิตตัวเองได้ง่ายขึ้น คือไม่ค่อยมีเรื่องอื่นมาแทรกแล้ว รู้สึกสบายใจและมีความสุข ไม่ต้องทุกข์กับเรื่องการสูญเสียเท่าไหร่แล้ว เหมือนตัวเองกำลังติดกับการทำสมาธิ พอเวลามาทำงาน หรือไปไหนมาไหนก็ตาม ถ้ามีเวลาว่างก็จะทำสมาธิ แต่ไม่ได้แบบว่าไหว้พระ หรือ ตั้งนะโมก่อนค่ะ แบบว่านั่งๆอยู่ก็ทำเลยประมาณนี้ จะผิดกฏ หรือไม่ได้บุญหรือเปล่าคะ
     
  2. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ถ้ามีเวลาก็สมาทานศีล 5 ก่อนนะครับสมาธิจะมีกำลังมาก แล้วให้ดีก็สมาทาน
    พระกรรมฐานจะนั่งได้นานนะครับจะได้บุญมากกว่า
     
  3. หมีจ้า

    หมีจ้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +95
    อยากรู้เหมือนกันค่ะ ถ้านั่งโดยไม่ได้สวดมนต์ก่อน จะเป็นไรหรือเปล่าค่ะ
     
  4. Nanpri

    Nanpri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +48

    ขอบคุณมากค่ะ อนุโมทนา สามิค่ะ
     
  5. wannop karakate

    wannop karakate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    340
    ค่าพลัง:
    +589
    เก็บเล็กผสมน้อยในชีวิตประจำวัน ในอริยาบทต่างๆ ก็ดีครับ พอถึงเวลาจริงๆ ก็ค่อยทำเต็มรูปแบบ เหมือนผมเลยกำลังทำงี้อยู่เหมือนกันครับ
     
  6. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    เหมือนวอมก่อนว่ายน้ำอ่ะครับ สวดมนต์ แผ่เมตตา ใจสำรวม สบาย มีเมตตา มีเคารพครูบาอาจารย์ ก็สงบสำรวม เป็นสมาธิได้ง่าย

    เหมือนกันไหม ถ้าสำรวม ใช้ชีวิตไม่โลดโผน หวือหวา ปี๊ดแตกมาทั้งวัน ก็เป็นสมาธิได้ง่าย

    พระศาสดานึกถึงวิธีที่ใจจะสงบมีกำลัง ท่านนึกไปถึงครั้งยังทรงพระเยาว์วัย ในพระราชพิธีพืชมงคล
    นั้นท่านหลับตา กำหนดรู้ตามลมหายใจจิตก็เป็นสมาธิ

    ไม่ต้องห่วงเรื่องบุญครับนั่งสมาธิเพื่อเจริญสติหรือนั่งเอาบุญครับ
     
  7. Darkever

    Darkever เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +333
    ปฏิบัติ มันดีกว่าสวดมนต์ซะอีก
     
  8. ธรรมากฤต

    ธรรมากฤต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    มีผลทำให้ก้าวหน้าได้ช้าลงครับ ถ้าไหวพระสวดมนต์ก่อนจิตจะสงบอยู่ในสภาพที่จะโน้มไปตามอารมณ์กรรมฐานที่เราต้องการได้ง่ายกว่าครับ
     
  9. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -ผมว่าไม่เป็นไรสำหรับผู้มีเวลาน้อย แต่ถ้ามีเวลามากควรจะสวดมนต์

    -การทำสมาธิเป็นการสร้าง มหาสติ เมื่อมี สติ สมาธิ ก็เหมือนได้สวดมนต์ทุกลมหายใจ
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ธรรมะ บางครั้งเขาก็เตือนออกมาจากผู้ปฏิบัติเอง แต่ความที่ เราไม่เชื่อมั่นในธรรม
    ที่ออกมาจากตน จึงทำให้ต้องคอยเข้าถามจากผู้ที่เคยปฏิบัติ

    ผู้ที่เคยปฏิบัติ เขาจะอาศัยอะไรตอบ ก็อาศัย ความมั่นใจต่อธรรมในตน ที่เคยพลาด
    การเห็นไปแล้ว ปฏบัติแล้วก็พบว่าสุดท้ายก็ต้องมาหันฟังธรรมในตน เพียงแต่ฟังเพื่อ
    นำมาปฏิบัติ ไม่ใช่การฟังธรรมในตนแล้วยึดมั่นถือมั่น สำคัญตน

    จากเคสของ จขกท ก็คือ จิตเขาได้รับการอบรมสมาธิ จนรู้จักคุณของสมาธิดีประมาณ
    หนึ่งแล้ว แต่ก็เห็นธรรมในตนเหมือนกันว่า มันมีความพอใจ เกิดขึ้น

    ก็จะเห็นว่า ธรรม มันสะท้อนออกมาจากใจ ออกมาเตือน ซึ่งคำเตือนนั้น ก็ได้ให้คำตอบ
    กับตัวเองว่า ให้หันมา "สวดมนต์" บ้าง ทำไมจิตจึงแก้ไขปัญหาที่ตนกำลังติดได้ ก็เพราะ
    ใจที่มีธรรม จะสามารถซักฟอกตัวเองได้

    แต่ความที่เราขาดการสดับ พอเจอคำว่า "สวดมนต์" ตอนแรกเนื้อหาของธรรมที่เตือน
    ออกมาจากจิต มันถูกต้องดีอยู่ แต่พอ "สงสัย" แล้วปล่อยให้จิตไหลไปคิด พอสงสัย
    แล้วระลึกไม่ทัน แถมยังปล่อยให้ใจไหลไปคิด จิตที่มีความคิด มารย่อมอาศัยเข้ามา
    สับขาหลอกเราได้ สุดท้ายก็แกล้งให้ความหมายว่า "สวดมนต์" คือ บุญเชิงฤทธิ์
    อะไรสักอย่าง หากไม่ทำแล้ว ก็จะกลายเป็น "คนไม่มีบุญ" พอเจอความหมายของ
    การสวดมนตแบบนี้ ก็ล้มไม่เป็นท่า

    เพราะว่า "สวดมนต์" ที่จิตระลึกได้นั้น จริงๆจิตเขาระลึกขึ้นเพื่อซักฟอกการปฏิบัตินั้น
    มีวัตถุประสงค์จะย้ำให้เห็น "ความพอใจ" อันเป็น "ตัณหา" ที่เข้ามาแอบแฝงการปฏิบัติ
    ซึ่งจะพาไปติดสมาธิ คือ ปฏิบัติเพียงงานเดียว เน้นเอาการ "เฉยๆ" ทำสมาธิแล้ว "เฉย"
    ซึงจะไม่ถูก เพราะ เราทำสมาธิเพื่อให้ จิตตั้งมั่นต่อการรู้ทุกข์

    ดังนั้น จิตของ จขกท บอกให้ "สวดมนต์" ก็เพื่อให้เอา จิตที่สงบสงัดดีแล้ว มาลอง
    สวดมนต์แล้วสังเกต "จิตที่ไม่ตั้งมั่น" ว่ามีแค่ไหน หากจิตไม่ตั้งมั่น "สวดมนต์" อยู่
    จิตก็ไหลไปคิด ปากขยับขับลมผ่านกล่องเสียงในฐานะก้อนธาตุ แต่ทว่า ใจสับหลีก
    ออกไปเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว นี้คือ อาการจิตไหลไปคิด หรือ จิตไม่ตั้งมั่น ซึ่งก็เกิด
    จากการทำสมาธิมาไม่เพียงพอ

    ก็จะเห็นว่า จิตเขาเตือนให้ทำการภาวนาสองแบบ คือ งาน1เพื่อการทำสมถะ เพื่อความ
    "สงบ"ของจิตของกาย ส่วนงานที่2อาศัยการสวดมนต์เพื่อตามรู้"จิตตั้งมั่น" อันเกิดจาก
    จิตพร้อมต่อการมุ่งรู้ทุกข์ ก็จะตรงกับที่พระพุทธองค์กล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย พึงเจริญ
    การภาวนาด้วย สมถะ และ วิปัสสนา ด้วยปัญญาอันยิ่ง(ธรรมจากตนเตือนตนได้ ซักฝอก
    การปฏิบัตของตนได้) เพื่อความหลุดพ้น เพื่อสุขอย่างยิ่งคือนิพพาน

    ลองพิจารณาดูครับ

    * * * * *

    อนึ่ง หนทางการภาวนานั้น แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บัญญัติศัพท์ หรือ วิธีการปฏิบัติ
    อาจจะชื่อเดียวกัน แต่ จุดประสงค์ในการนำมาเป็นอุบายซักฝอกจิต ซักฝอกการภาวนา
    นั้นจะแตกต่างกันไป

    เช่น การ "สวดมนต์" บางคนทำแค่ เป็นการ เปล่งวาจาอันไพเราะ ให้เป็น ทาน แก่ผู้สดับ
    หลากรูปนามหลากมิติ ซึ่งเป็นแค่บุญแบบ ให้อาหารกันกิน ไม่ใช่บุญที่ใหญ่ แต่หากบาง
    คนเอาการ "สวดมนต์" มาประกอบงานการ วิปัสสนา เพื่อตามรู้ "จิตที่ตั้งมั่น" ต่อการรู้ทุกข์
    การสวดมนต์นี้จะเป็น บุญที่เลิศกว่าบุญชนิดอื่นทั้งปวง เพราะ เป็นการปฏิบัติที่ทำให้ถึง
    มรรคผลนิพพานได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2011
  11. ด้อยค่า

    ด้อยค่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +143
    <!-- google_ad_section_end -->
    การไหว้พระ คือ การทำจิตให้อ่อนนุ่ม ไม่กระด้าง รู้ถึงพระมหากรุณาของสมเด็จพระศาสดาและเป็นมงคลกับตนเอง
    ถามว่าไม่ไหว้เป็นไรเปล่า? หากอยู่บ้านและมีเวลาก็ควรทำ ถ้าไม่ทำก็ไม่เป็นไรหรอก
    การทำสมาธินั้นแหละ คือการปฏิบัติบูชาที่พระองค์สรรเสริญ

    พระดาบสก่อนพุทธกาล ก็คงไม่ได้ไหว้พระสวดมนต์เหมือนกันแหละ :p
    สาธุ ... ขอโมทนาครับ

    :)
     
  12. Nanpri

    Nanpri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +48
    จริงๆแล้วตอนเช้าโบก็จะสวดมนต์ธรรมดา และสมาทานพระกรรมฐานแล้วก็นั่งสมาธิสัก 10-20 นาทีก่อนไปทำงานค่ะ แต่ช่วงระหว่างวันนี้ บางทีทำงานเสร็จแล้ว ก็จะทำสมาธิไปเลย แบบหลับตาลงแล้วกำหนดลมหายใจเข้าออก ซัก 5-10 นาทีต่อครั้ง ด้วยงานที่ทำค่อนข้างจะว่างมากก็เลยทำแบบนี้ วันละสองสามครั้ง แต่ก่อนก็ไม่ได้คิดอะไรจนวันนี้เกิดความสงสัยขึ้นมาว่าเราทำถูกต้องมั้ย? เราเหมือนไม่ได้คารวะต่อพระรัตนตรัยหรือเปล่า อย่างคุณ Bull psi บอกว่าจะนั่งเอาจิตสงบหรือนั่งเอาบุญ หลักๆคือต้องการนั่งเพื่อจิตสงบ เพราะบางท่านอาจจะทราบแล้วว่าโบเสียสามีไปเมื่อ 5เดือนที่แล้ว เพราะสาเหตุนี้ทำให้โบได้เปลี่ยนตัวเอง ได้เข้ามาสัมผัสกับพระพุทธศาสนามากขึ้น เพราะว่าโบทรมานมาก จนหาทางออกไม่ได้ พอได้มานั่งสมาธิ อ่านธรรมะ พยายามพิจารณากับเรื่องที่เกิดขึ้น พยายามทำใจให้ยอมรับ ที่ที่โบสามารถหลบซ่อนความทุกข์ ความเจ็บ ความเสียใจก็คือความสงบเวลาที่ทำสมาธินั้นแหละค่ะ จนทุกวันนี้ผ่านไป 5 เดือน ยอมรับว่าจิตใจเข้มแข็งขึ้นมาก ร้องไห้น้อยลง เริ่มตั้งรับกับความตายแม้แต่ของตัวเองและคนรอบข้าง และที่ต้องการให้ได้บุญด้วยเพราะเวลาเราแผ่ส่วนกุศลไปกลัวว่าคนที่ต้องการเค้าจะได้ไม่เต็มที่น่ะค่ะ.....และก่อนนอนโบก็จะทำวัตร จนครบ สวดพระถาคาชินบัญชร สมาทานพระกรรมฐานแล้วก็นั่งสมาธิ ซักครึ่งชั่วโมง แผ่ส่วนกุศล แผ่เมตตาเสร็จสรรพแล้วค่อยนอนค่ะ

    ขอขอบคุณทุกท่านที่กรุณามาชี้แนะด้วยนะคะ ขออนุโมทนา สามิค่ะ
     
  13. nuaiswat

    nuaiswat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2007
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +248
    สวดมนต์ก่อนก้ดีเน้อ เป้นการบอกครูบาอาจารย์ ท่านจะได้มาช่วยดูแล สงเคราะห์
    และการสวดมนต์ก้เป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่งครับ ทำให้จิตสนใจบทสวดอย่างเดียวไม่วอกแวกไปเรื่องอื่น อีกทั้งเวลาสวดกล่าวสรรเสริยพระรัตนตรัยนั้นก็ยังเป็น อนุสสติอย่างหนึ่งด้วย สังเกตุดูก็ได้ ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิ วอกแวกละก็สวดมนต์ไปๆมาๆหลงเลย ลืมบ้าง สวดไม่จบหรอก
     
  14. yaka

    yaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2010
    โพสต์:
    647
    ค่าพลัง:
    +1,384
    เสียใจด้วยกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก อ่านแล้วเข้าใจความรู้สึกนี้เลยค่ะ (แถมน้ำตาเอ่อความรู้สึกนี้เหมือนเกิดกับตัวเองเลย) มาถูกทางแล้วโมทนาสาธุและขอเป็นกำลังใจให้นะค่ะ
     
  15. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    อนุโมทนาครับ
    สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เรื่องการสวดมนต์คิดว่าลองๆอ่านดูหลายๆท่านแล้วพิจารณาแล้วกันนะครับ..ผมเป็นกำลังใจให้นะครับ..เหตุการณ์ที่ทำให้ได้รับความกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจในทำนองนี้ผมก็พอจะเข้าใจครับ..การหันมาทำสมาธิเป็นวิธิแก้ปัญหาที่ดีทางหนึ่งครับ.
    ผมแค่ขออนุญาติเสริมนิดหน่อยนะครับ.ควรจะเจริญสติควบคู่กันไปด้วยเพื่อว่าวันไหนไม่สะดวกเวลาไม่พอ.ระดับความนิ่งของจิตจะได้ไม่ตกครับ
    และจะทำให้การนั่งสมาธิจิตเค้าจะเข้าสู่ฐานอารมย์ที่สงบได้เร็วยิ่งขี้น..ยังไงอย่าลืมเรื่อง พรหมวิหาร 4 ในเวลาปกติ และ อิทธิบาท 4 เวลาทำงาน การสำรวม กาย วาจา และใจ คิด พูด ทำ ในสิ่งที่ดีเพื่อเป็นทุนในการนั่งสมาธิ..
    ยังไงก็จะบอกว่าเป็นให้ใจให้เสมอนะครับ..ไม่ต้องห่วงครับ.มีเพื่อนดี.กำลังใจมากมาย.จากเวปนี้อีกเยอะที่คอยอยู่ทั้งเบื้อง
    หน้าเบื้องหลังครับ...
    รักษาสุขภาพด้วยนะครับ.ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงจะมีผลกับการปฏิบัตเหมือนกันครับ..
    อนุโมทนาครับ...
     
  17. Nanpri

    Nanpri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +48
    ขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้งค่ะ

    โชคดีที่พื้นฐานจิตใจของตัวเองจะเป็นคนขี้สงสารและชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่แล้ว ช่วยจนตัวเองไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรถือว่าเราชดใช้กรรมเค้า แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งคือเรื่องวาจานี่แหละค่ะ แต่ปกติแล้วจะเป็นคนไม่พูดคำหยาบ ไม่ด่าใครด้วยถ้วยคำที่ไม่ดี แต่จะพูดจาเหน็บแนม ประชด สวนตรงๆถ้าคิดว่าตัวเองไม่ผิด แต่ถ้าตัวเองผิดจะยอมรับ และขอโทษ พร้อมจะแก้ไขตัวเอง ..กลัวว่าการที่เราพูดตรงๆ สวนกลับไปเนี่ย เช่นกับเจ้านายนี่แหละ ทำให้โบรู้สึกผิด ก็พยายามไม่บ่นเค้าให้แม่ฟัง แต่ก็อดไม่ได้อีกแหละ อย่างนี้จะบาปมากมั้ยคะ..คือทั้งๆที่เราพยายามบอกแม่ว่า เวลาใครมาเล่าอะไรให้ฟังก็ให้แม่รับฟังเฉยๆ ไม่ต้องแสดงความคิดเห็นใดๆ และก็ไม่ต้องไปพูดนินทาใคร แต่ตัวเองกลับนินทาเจ้านายซะเอง สงสัยคงบาปมากแน่ๆค่ะ

    เวลานั่งสมาธิโบก็อธิษฐาน ขอให้ตัวเองมีจิตใจที่สงบ เยือกเย็น มีเมตตามากๆ ขอให้ตัณหา ราคะ โทสะ ที่อยู่ในจิตใจมันหายสาบสูญไป เพราะว่าไม่อยากโกรธ หงุดหงิด เวลามาทำงานค่ะ หรือแม้แต่พยายามอภัยคนที่ขับรถชนสามีจนตาย เพราะเค้าประมาทรู้ว่ารถตัวเองเบรกไม่ดีก็ยังเอาไปขับ แถมชนแล้วหนีอีก ก่อนหน้านี้ก็เคยชนคนตายมาแล้วสอง-สามคน กรณีของแฟนก็ตายคาที่ 2 ศพ คนขับมอไซด์ที่แฟนโบซ้อนท้ายเป็นลุงเค้า ที่เคยเลี้ยงคนชนมาแต่เด็ก แถมคนนี้ยังพูดอีกว่า ถ้ารู้ว่าเป็นลุงก็จะไม่ทำแบบนี้หรอก...เนี่ยแหละ แล้วโบสมควรจะให้อภัยเค้าหรือเปล่าคะนี่
     
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ธรรมะ ไม่ใช่ เครื่องประดับ ที่จะสมาทานไปประดับฐานะให้ใครสูงกว่าใคร ให้ใคร
    ต่ำกว่าใคร และ อีกทั้งไม่ใช่ เพื่อให้เราเสมอเขา หรือ เขาเสมอเรา

    เมื่อเข้าใจได้ว่าธรรมะ ไม่ใช่วัตถุ สิ่งของ ที่เอาไว้ประดับบุคคล เรา เขา อย่างหนึ่ง
    อย่างใดแล้ว ก็จะทราบได้ว่า ธรรมะ ขอให้มี หรือ ขอเอา แบบขอแก้วแหวนเงินทอง
    ขอช้าง ขอม้า ขอแหวนทองแดง ไม่ได้ หากทำอย่างนั้น จะได้ กระทะทองแดงกลับ
    มาแทน

    การอธิษฐาน ในทางพุทธศาสนา ก็เหมือน การตั้งเป้าหมายของความสำเร็จ เอาไว้เป็น
    ดั่งธงชัย ผู้ที่อธิษฐานจะต้องสละทุกสิ่งเพื่อทุ่มลงไปกับการงานทางการภาวนา เพื่อให้
    สามารถเดินไปถึง ธงชัย ที่ตั้งไว้นั้นๆได้

    การจะอธิษฐานมีเมตตา ก็ ตั้งความเมตตาเป็นธงชัย แล้ว ค้นหาอุบายวิธีด้วยปัญญา
    อันยิ่งที่จะประพฤติตนให้สมกับการมี เมตตา โดยที่ไม่หน้าไหว้หลังหลอก จะต้องออก
    ไปจากจิตอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีกลับกลอก ไม่มีเสียใจภายหลัง เมตตา ณ เวลาที่
    ต้องใช้ ใช้แล้วจบเลย ไม่เอามาบวก มาหักลบ มาให้คะแนนแก่ตัวเอง เรียกว่า ถึง
    ธงชัยของการมีเมตตาและพ้นจากการยึดมั่นเมตตาไปในเพลาเดียวกันนั้น จึงจะมี ธรรม

    เช่น มีคนมาทำคนที่เรารู้จักให้เจ็บปวด เราเมตตาเข้าใจความพร่องของเขาแล้ว ให้แล้ว
    ก็สลัดออกไปเลย อย่ารู้สึกว่า ได้มีอารมณ์เมตตาค้างคาอยู่ตลอด เพราะว่า ธรรมทั้ง
    หลายนั้นต้องมีสภาพไม่เที่ยง การที่่เราไปตั้งเมตตาขอมีขอเป็นแล้วสำคัญว่ามันจะไม่ดับ
    ไปตามสภาพแห่งธรรม ไปเข้าใจว่าอารมณ์เมตตาจะเที่ยง ทำให้เกิดการเห็นผิด พอจิต
    ประจักษ์ว่า อารมณ์เมตตาตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่เที่ยง แปรปรวน บังคับบัญชาให้เมตตาค้าง
    คาไว้ไม่ได้ เราก็ลืมพิจารณาธรรมะ ที่ "สัพเพ ธรรมา อนัตตา" ทำให้เราพลาดจาก
    การเห็นธรรม จมไปสู่ความทุกข์ในการทำให้ ธรรมมันเที่ยง สุดท้าย ไม่เข้าใจการ
    ปฏิบัติธรรม ว่า ต้องเห็นกันอย่างไร ประพฤติอย่างไร

    พอเข้าใจการปฏบัตผิด การเห็นก็ผิด การตั้งจิต อธิษฐานก็ผิด

    พอตั้งจิตผิด ก็จะสับสนอยู่กับข้อสงสัยว่า "แล้วอย่างนี้จะให้อภัยดีไหม?" ย้อน
    กลับมาพอกพูลความคับข้อง แรงยิ่งกว่าเก่า หากปล่อยให้คำถามนี้เกิดมากๆ
    จิตจะถูกย้อมไปสู่ ความพยาบาท เข้าล้อมกรอบการคิด การพิจารณาไว้ทุกทาง
    ทั้งๆที่ ขออธิษฐานมีเมตตา คลาดธรรมเพียงเพราะว่า ไปเข้าใจวิธีการตั้งจิตไว้ผิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2011
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ในกรณี นายจ้าง หรือ เจ้านาย ในหลักศาสนาพุทธจะมีหลัก ทิศ6
    จะขอยกมาให้พิจารณาเฉพาะ เหฏฐิมทิศ

    ข้อสังเกตุ คือ ข้อ 5. นำความดีของนายไปเผยแพร่ อันนี้มีความสำคัญมาก

    บางที่คนเป็นลุกจ้างไม่ทราบว่า ทำไม นายถึงไม่ไว้ใจตน ไม่จ่ายงานที่เหมาะ
    แก่ตน เหมาะแก่ความก้าวหน้าให้ตน ไม่พูดดีกับตน ก็เพราะว่า เราไม่ทราบ
    ว่า กรรมอันเกิดจากการพูดถึงนายในทางเสื่อมเสียนั้น กำลังให้ผลของกรรมอยู่
    แบบสมน้ำสมเนื้อ

    เหตุที่เราไม่ทราบ เพราะเราสำคัญหน้าที่ ฐานะผิด ไปสำคัญตนว่า ตนคือผู้บันดาล
    ผลงานให้เจ้านาย ตนคือผู้ทำงานสำฤทธิ์ผลให้กับเจ้านาย ผลิกจาก ผู้ทำหน้าที่ตาม
    คำสั่ง กลายเป็น ผู้กุมคุณภาพของคำสั่ง ทำให้เกิดความเห็นผิดว่า ไม่ต้องแคร์ในคำสั่ง
    คำสั่งของนายนั้นจะเป็นจริงหรือเท็จขึ้นกับตนบันดาล กลับหัวกลับหาง หากการกลับ
    หัวกลับหางเหนียวแน่น ก็จะผลิกไปสู่ การไม่ง้อเจ้านายเพราะสำคัญไปว่า การยอมตาม
    คำสั่ง หรือ การกล่าวพูดถึงคุณความดีของเจ้านาย คือ การ"ชะเลีย" เสร็จแล้วก็
    ทุกข์เพราะความคิดของตน นำไปสู่การทำหน้าที่ต่อนายไม่ตรงตาม พุทธ
    ดำรัสตรัสชี้ในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่า กระทำผิดโดยไม่ต้องสงสัย และจะต้องได้รับผล
    กรรมอันที่เรากระทำไม่ถูกต้องเป็นแน่แท้
     
  20. Nanpri

    Nanpri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +48

    เฮ้อ!!! ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกตัวเองช่างเป็นบัวใต้น้ำเสียนี่กระไร แต่จะพยายามต่อไปค่ะ
    เรื่องที่บ่นเจ้านายก็แบบว่าประมาณน้อยใจเค้า ที่เค้าไม่เชื่อมั่นในตัวลูกน้อง ทั้งๆที่เราก็ทำถูกต้อง สมบูรณ์แต่พลาดที่คนอื่นเค้าจะไม่ถามเราก่อนว่าผิดจริงมั้ย กลับเชื่อคนอื่นแล้วมาตำหนิเรา พอซักพักเค้าก็รู้ว่าเราไม่ผิด

    ส่วนเรื่องให้อภัยคนชนนั้น พยายามมากแล้ว แต่บางครั้งที่อารมณ์เศร้าหมองมันมาครอบงำ เราก็ทุกข์ใจมาก เสียใจมาก เจ็บปวดมากใจคิดอยากจะตายตามแฟนไป เพราะเค้าเป็นคนดี ดีจนคิดว่าชาตินี้เราคงไม่มีโอกาสได้เจอใครแบบนี้อีกแล้ว ทีนี้ก็จะมีแวบความรู้สึกแค้นใจ ตัดพ้อต่อว่า ว่าทำไมคนดีๆถึงต้องถูกเอาชีวิตไปเร็วแบบนี้(30ปี) แต่คนที่ชน ชนคนตายมาแล้วตั้งหลายศพ ทำร้ายร่างกายคนอื่น แต่ทำไมกลับได้มีชีวิตอยู่อย่างสบายๆ ...แต่พอร้องไห้จนหนำใจแล้วก็คิดว่า อโหสิกรรมไปดีกว่า ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมาพบเจอกับคนแบบนี้อีก ยอมรับสองอารมณ์นี้มันต่อสู้กันอยู่อย่างนี้ เวลาไปตลาดเจอผู้ชายคนนี้เราก็จะรู้สึกเจ็บแปล๊บเข้าไปถึงขั้วหัวใจ มันเจ็บจริงๆ แต่พอที่เรารู้สึกว่าเราเจ็บมากนะไม่ไหวแล้ว ก็จะพยายามหลับตาลง ข่มใจ บางทีใจมันเหมือนนิ่ง แต่ทำไมน้ำตากลับไหลออกมาซะงั้นทั้งที่ตาเรายังหลับ ใจเราก็ข่มไว้แล้ว?

    ....จะอีกนานเท่าใดหนอ ที่เราจะได้เป็นบัวพ้นน้ำกะเค้าซะที คิดแล้วก็เหนื่อยใจเหลือเกิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...