ความลับและวิธีการ...สะกดจิต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Electrik_dream, 26 สิงหาคม 2007.

  1. Electrik_dream

    Electrik_dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +232
    สะกดจิต.... ความลับ และ วิธี

    กระทู้นี้จะกล่าวถึง ทั้งประวัติความเป็นมาและวิธีการสะกดจิตที่เป็นทั้ง
    ทางวิชาการและทางปฏิบัติยุคเดิม ยุคปัจจุบัน และอาจคาบเกี่ยวไปถึง
    สื่ออื่น เช่นดนตรีบำบัด (Music Therapy) บ้างแบบองค์รวม

    <O:p“Everyday
    in everyway, I’m getting better and better”<O:p(Dr.Emile Coue)
    <O:p
    <O:p
    “นับจากนี้เป็นต้นไป ทุกๆลมหายใจเข้าออกของฉัน เรามีชีวิตที่ดีขึ้น
    ดีขึ้นและดีขึ้น คุณมีชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ดีขึ้นและดีขึ้นตลอดไป”

    <O:pหากสังเกตรูปประโยคนี้เพียงผิวเผิน จะพบเพียงประโยคบอกเล่า
    ของสามบุรุษที่เป็นประธาน หากแต่พิจารณาลงไปในรายละเอียดอีกสัก
    เล็กน้อย จะพบว่าเป็นประโยคคำพูดที่ให้ผลทางบวกทั้งสิ้น แล้วมาเกี่ยว
    ข้องกับการสะกดจิตอย่างไร ? ผม(จขกท.) ขอนำเสนอการสะกดจิต
    บำบัด ในแนวทางวิชาการที่เป็นประโยชน์ทางบวก เท่านั้นขอรับ และจะ
    ตั้งวางส่วนที่เป็นด้านลบไว้ไม่ยุงเกี่ยวด้วย บัดเดี๋ยวนี้
    <O:p

    สะกดจิต....กับทัศนคติของสังคมไทย
    <O:p
    คำว่าสะกดจิต สัมผัสแรกที่ผู้คนได้ยิน มักจิตนาการณ์คำนี้เป็นไปในทางลบ
    เนื่องจากประสบการณ์ที่พบเห็นมีแต่ในภาพยนตร์ ที่สื่อให้เห็นการสะกดจิต
    ไปในแนวทางด้านลบเสียเป็นส่วนมาก ภาพการทำร้ายตัวเองบ้าง
    ทำร้ายคนอื่นบ้าง ฯ <O:pซึ่งโดยความจริงแล้ว
    เราทุกคนโดนสะกดจิตกันรายวันอยู่แล้ว....อะ เป็นไปได้หรือ
    <O:pการโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์ เพลงที่เราได้ยินบางเพลง (หรือทั้งหมดก็ไม่รู้)
    คำพูดที่เราได้ยินบางคำพูดในชีวิตประจำวัน ที่พ่อแม่พูดกับลูก หรือที่
    เราได้ยินจากคนทั่วไป ล้วนเป็นวลีสะกดจิตที่ผลต่อการดำเนินชีวิตของ
    เราทั้งสิ้น....โอ้ น่าตกจาย
    <O:pตามมาครับ จะค่อยๆเรียบเรียงให้เห็นชัดขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะ
    ยังประโยชน์อเนกอนันต์ต่อมนุษย์พันธ์ X-Men ทั้งหลายที่อยู่นะที่นี้
    <O:p<O:p
    สะกดจิต....ประวัติและความเป็นมา

    <O:pการพัฒนาความรู้ด้านการสะกดจิต
    ต่างก็เป็นวิชาการเกิดขึ้นในทวีปยโรปและทวีปอเมริกาก่อนที่อื่นใดใน
    โลก ถึงแม้ว่าในส่วนอื่นๆ ของโลกจะอุดมไปด้วยลัทธิพิธีกรรมทาง
    ศาสนาที่มีหลักการเทียบเคียงกันได้ กับการสะกดจิตก็ตาม ประวัติความ
    เป็นมาของการสะกดจิตสามรถสืบสาวย้อนไปได้ถึง สมัยคริสต์ศตวรรษที่
    17และเป็นที่น่าสังเกตว่า นักสะกดจิตยุคแรกๆ ล้วนแต่เป็นผู้มีความรู้ด้าน
    การแพทย์เป็นส่วนใหญ่
    <O:p

    1.Franz Mesmer (1734-1815) –นายแพทย์ชาวเยอรมันได้พัฒนา
    กระบวนการสะกดจิตบำบัดขึ้นมาในขณะที่วิชาการด้านจิตใจมนุษย์ยัง
    ไม่เป็นที่กระจ่างดีนัก เขาเชื่อว่าการรักษาที่ได้ผลนั้นเกิดจากพลังอำนาจ
    พิเศษที่มีอยู่ในตัวเขาซึ่งเรียกว่า “แรงแม่เหล็กแห่งสัตว์”
    (Animal Magnetism) การสะกดจิตยุคแรกจึงเรียกว่า ”Mesmerism”
    สะกดจิตโดย การเอาพลังงานของผู้สะกด(ต่อไปจะเรียกว่า Practitioner)
    เข้าไปบังคับสมองของผู้ถูกสะกด(ต่อไปจะเรียกว่า Subject) ให้เห็น ให้รู้สึก
    อย่างที่ Practitioner ต้องการ (ในหนังที่เห็นแล้วกลัวกัน นั่นแหละครับ)<O:p

    2.James Braid (1785-1860)-นายแพทย์ชาวอังกฤษ(สก็อตแลนด์)ผู้
    ได้พัฒนากระบวนการสะกดจิตโดยการให้ Subject มองวัตถุที่อยู่ตรง
    หน้า และเป็นผู้ให้กำเนิดคำว่า “Hypnosis” ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษากรี
    ก คือ “Hypnos” แปลว่าการนอนหลับ ทั้งที่การสะกดจิตไม่ใช่การนอน
    หลับ จึงสร้างคำใหม่ขึ้นมาแต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะคนยึดคำว่า
    “Hypnosis” คือสะกดจิต กันอย่างแพร่หลายไปแล้ว

    <O:p3.John Braid (1791-1868) Collage ประเทศอังกฤษผู้ได้ประประดิษฐ์
    หูฟังตรวจคนไข้ที่หมอปัจจุบันใช้กันแพร่หลาย( Stethoscope) ใช้การ
    สะกดจิตให้กับคนไข้ที่ได้รับความเจ็บปวดจากการผ่าตัด
    <O:p
    4.James Esdalie (1808-1859) –ศัลย์แพทย์ชาวอังกฤษ ใช้การสะกด
    จิตแทนยาชาเพื่อการผ่าตัดในประเทศอินเดีย
    <O:p
    5.Jean Charcot (1825-1893) และ Hypnosis Bernheim
    (1837-1919) – นักประสาทวิทยาชาวฝรั่งเศส ได้ร่วมกันพัฒนาวิธีการ
    สะกดจิตในชื่อของ สถาบัน <ST1:pซึ่งแนวทางการสะกดจิตของ
    สถาบันนี้ ได้รับความนิยมและเป็นต้นแบบให้แก่นักสะกดจิตรุ่นใหม่ และ
    ยังเปิดทำการสอนอยู่
    <O:p
    6.Sigmund Freud (1856-1939) ฟรอยด์ ได้ศึกษาการสะกดจิตตาม
    แนวทางของNancy school แต่หลังจากที่เขาเองไม่สามารถได้รับผลที่ดี
    นักจากกระบวนการบำบัดโดยอาศัยการสะกดจิต เขากลับประณาม
    วิชาการสาขานี้เสียเอง จึงเป็นที่มาของการต่อต้านซึ่งกันและกัน ระหว่าง
    นักสะกดจิต และนักจิตวิทยาทั่วโลกเนื่องจาก ฟรอยด์ คือบิดาทางด้าน
    จิตวิทยา อย่างไรก็ตามเมื่อ ฟรอยด์ มีอายุมากขึ้นในบั้นปลายชีวิตเขา
    ได้หันกลับมายอมรับว่าการสะกดจิตบำบัดเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากและ
    เขาเสียดายที่ต่อต้าน และทำการศึกษาวิชานี้น้อยเกินไป

    <O:p7.Emile Coue (1857-1926) –แพทย์นักบำบัด กับประโยคอำมตะ
    “Everyday in everyway, I’m getting better and better”

    <O:p8.Dave Elman (1900-1967) เจ้าแห่งเทคนิคการสะกดจิตที่นักสะกด
    จิตปัจจุบันทั่วโลก ดำเนินตามแนวทางของเขา เพราะง่ายและได้ผล ซึ่ง
    เขาเป็นเพียงนักจัดรายการวิทยุที่พัฒนาเทคนิคสะท้านวงการนี้ โดยที่มิ
    ได้เป็นแพทย์
    <O:p
    9.Millton Erickson (1901-1980) แพทย์ชาวอเมริกันใช้วิชาสะกดจิต
    ตัวเองเพื่อรักษาอาการอัมพาทเมื่อวัยเด็กตอนอายุ 14 ด้วยการสั่งจิตใต้
    สำนึกของตัวเอง(Autogenic) เมื่อหายแล้วได้อุทิศตัวทั้งชีวิตเพื่อเรียน
    แพทย์และพัฒนาวิชาการสะกดจิตต่อมา
    <O:p
    10.American Medical Associate (AMA) 1950-1960 สมาคม
    วิชาชีพแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศยอมรับเป็นทางการ
    ว่า การสะกดจิตบำบัด(Clinic Hypnotherapy) เป็นแนวทางการบำบัด
    รักษาที่มีคุณค่าสาขาหนึ่ง

    โพสยาวครั้งแรกเนี่ยเหนื่อยนิ มีต่ออีกยาวจนถึงวิธีการสะกดจิตอะครับ
    <O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2007
  2. Electrik_dream

    Electrik_dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +232
    สะกดจิต....ประโยชน์ที่ได้รับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เพื่อการบันเทิง : การสะกดจิตบนเวที (Stage Hypnosis) เป็นการแสดง
    โชว์บนเวที หรือการประชุมเพื่อจุดมุ่งหมายให้ความบันเทิงผู้ชมและผู้ร่วมแสดง
    เช่น วิน มายาจิต http://www.magicmania.net/special/win.html
    http://www.maya-jid.com/<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เพื่อการบำบัด : การสะกดจิตบำบัด (Hypnotherapy) เป็นการใช้การ
    สะกดจิตเพื่อบำบัดรักษาแก้ไขปัญหาผิดปรกติของร่างกาย และ/หรือ จิต
    ใจ การสะกดจิตบำบัด เป็นการบำบัดโดยไม่ต้องใช้ยาสำหรับความเจ็บ
    ป่วยหรือความบกพร่องหลายเรื่องทั้งร่างกายและจิตใจ
    การสะกดจิตบำบัดมีส่วนสนับสนุนอย่างมีนัยสำคัญในการบำบัดรักษาโรคร้ายแรง
    ในแนวทางการรักษาแบบองค์รวม (Holistic Treatment)<O:p</O:p
    ซึ่งกระทู้นี้จะกล่าวถึงการสะกดจิตบำบัดเป็นหลัก<O:p</O:p
    ประโยชน์ของการสะกดจิตบำบัดนั้นมากมายมหาศาล จะขอกล่าวเป็น
    เพียงเบื้องต้นโดยแยกเป็น กระทำกับร่างกาย และกระทำกับจิตใจ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    กระทำกับร่างกาย เช่น ลดน้ำหนัก,เพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อ,
    เพิ่มส่วนสูง,เพิ่มขนาดทรวงอกคุณผู้หญิง,เสริมสมรรถนะทางเพศ ฯลฯ
    <O:p</O:p
    กระทำกับจิตใจ เช่น โกรธง่าย,จับพวงมาลัยเป็นต้องด่า,ติดบุหรี่,
    ติดเหล้า,ติดเกมส์,กลัวเรื่องบางเรื่อง เช่นที่แคบ,กลัวอย่างไม่รู้สาเหตุ
    ปริวิตก ฯลฯ

    <O:p</O:p
    ยังมีประโยชน์ของการสะกดจิตอีกมามายมหาศาล เช่นการเพิ่มศักย์
    ภาพบุคคล นักกีฬา,การเรียน,การไปให้ถึงความฝันในทุกฝันของนัก
    ขาย การประสพความสำเร็จในชีวิตของนักบริหาร หน้าที่การงาน
    การเงิน ความรัก การค้นหาคู่แท้ และรวมไปถึงการรักษาโรคที่ไม่ได้เกิด
    จากเชื้อโรค เช่นมะเร็ง แม้แต่โรคเอดส์ที่มีงานวิจัยกล่าวไว้ว่า สามารถ
    คงสภาวะก่อนสะกดจิตไว้ได้ยาวนานขึ้น หรือจิตนำกาย จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว
     
  3. Electrik_dream

    Electrik_dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +232
    สะกดจิต....ความหมายและตัวกระทำ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เพื่อให้สั้นและเข้าใจง่ายจะกล่าวถึง จิตสำนึกและจิตใต้สำนึกเป็นหลัก
    ในเบื้องต้น เพื่อไม่ให้เป็นการน่าเบื่อสำหรับผู้ที่อยากทำความเข้าใจ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จิตสำนึก คือระบบประสาทอัตโนมัติ ที่ได้รับคำสั่งจากจิตใต้สำนึกสั่งให้
    ทำกระบวนการนั้น ๆ เช่นการแปรงฟัน สมองไม่จำเป็นต้องสั่งทีละคำสั่ง
    เช่น หยิบแปรงด้วยมือขวา หยิบยาสีฟันมาบีบยาวสองเซ็นติเมตรแล้ว
    แทงเข้าปาก เอียงมุมสามสิบห้าองศา ชักไปทางซ้าย ย้ายมาทางขวา
    ผู้แปรงสามารถทำทั้งกระบวนการเหล่านั้นให้จบไปโดยอัตโนมัติ
    ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ถูกสั่งสมจนเป็นนิสัยถาวร( Habit )
    ที่ถูกพิมพ์เขียวเก็บไว้ที่จิตใต้สำนึก โดยการทำซ้ำๆ ย้ำๆ ไปเรื่อยๆ
    จึงกล่าวได้ว่า การสะกดจิตคือ การโปรแกรมลงไปที่จิตใต้สำนึก
    ให้ทำงานเมื่อต้องการ โดยการทำงานนั้นผ่าน จิตสำนึก
    (จิตไร้สำนึกก็เช่นกัน แต่ไม่ขอกล่าวนะที่นี้)

    จิตใต้สำนึกเก็บภาพทุกภาพ เก็บเสียงทุกเสียงที่ผ่านทางสัมผัส
    คือตาและหู ซึ่งสติของมนุษย์รับรู้ได้ไม่ทัน ขณะสติจดจ่อก็รับได้
    ขณะถูกเบี่ยงเบนก็ไม่รู้ว่าจิตใต้สำนึกบันทึกทุกเหตุการณ์เหล่านั้น
    การสะกดจิตจึงเข้าไปกระทำกับส่วนนี้ และมีเทคนิคเป็นร้อยเป็นพัน
    ซึ่งนักสร้างภาพยนตร์โฆษณาชั้นสูง และผู้สร้างดนตรีชั้นสูงเข้าใจ
    กระบวนการนี้ (Subliminal Message) จะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป


    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2007
  4. Electrik_dream

    Electrik_dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +232
    ยักษ์ในตะเกียงวิเศษ มหัศจรรย์แห่ง <O:p</O:p
    จิตใต้สำนึก(Subconscious Mind)

     
  5. Electrik_dream

    Electrik_dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +232
    สะกดจิต....กระบวนการ
    <O:p</O:p

    ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะกระบวนการ การสะกดจิตด้วย
    เทคนิคสมัยใหม่ ซึ่งก็ได้ผลไม่แพ้การสะกดจิตโดยการใช้พลังเข้าไป
    สะกดซึ่งผู้ที่มีพลังสะกดจิตแบบใช้พลังแม่เหล็กในยุคปัจจุบันหาได้ยาก
    จึงไม่ขอกล่าวถึง
    <O:p</O:p

    การสะกดจิต มีสองแบบคือ สะกดจิตตัวเอง และให้ผู้อื่นสะกด
    ให้ ซึ่งทั้งสองวิธีใช้กระบวนการเดียวกัน ในที่นี้จะใช้เทคนิคของ
    Dave Elman ที่เป็นที่แพร่หลาย อย่างที่กล่าวมาแล้ว
    การสะกดจิตนั้นความลับอยู่ที่การนำ Subject ผู้ถูกสะกดลงสู่ภวังค์
    (Trance ) สภาวะภวังค์จะคล้ายการครึ่งหลับครึ่งตื่น Subject มีสติรู้ตัว
    ตลอดเวลายังขยับร่างกายได้ตามคำสั่ง Practitioner พูดได้
    หากแต่อยู่ในภวังค์ที่ลึกหรือเป็นคำสั่งของ Practitioner อาจขยับไม่ได้
    จนกว่าจะได้รับคำสั่งใหม่ ทั้งนี้เพื่อผลการบำบัดรักษาแต่ละอาการ

    <O:p</O:p
    สภาวะภวังค์ (Trance) ในสภาวะนี้จิตใต้สำนึกเปิดรับคำ
    สั่งได้ง่าย หากป้อนคำสั่งซ้ำๆ เข้าสู่จิตใต้สำนึกด้วยคำสั่งเดิมในระยะ
    เวลาหนึ่ง จิตใต้สำนึกจะประทับคำสั่งนั้นไปปฏิบัติเมื่อถูกกระตุ้น หากจะ
    บอกว่าจิตใต้สำนึกคือ ตะเกียงวิเศษที่เราสั่งอะไรก็ได้อย่างนั้นก็ไม่ผิด
    หากรู้วิธี
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นักสะกดจิตตั้งแต่สมัยแรกจวบจนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบันได้พัฒนา
    เทคนิควิธีการสะกดจิตกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่เทคนิควิธีของแต่ละ
    สำนักสะกดจิต ต่างก็มีคุณค่าในตัวเองและได้รับการยอมรับในแวดวง
    นักสะกดจิตบำบัดด้วยกันทั้งสิ้น

    สถาบันฝึกอบรมการสะกดจิต ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรปและสหรัฐ
    อเมริกา มักใช้เทคนิควิธีการสะกดจิตตามแนวทางและวิธีการของ <ST1:p,
    Dave Elman, และ Milton Erickson เป็นหลัก อย่างไร
    ก็ตามหลังจากที่ได้เรียนรู้พื้นฐานที่ถูกต้องแล้วนักสะกดจิตบำบัดส่วน
    ใหญ่มักจะพัฒนาวิธีการที่เหมาะสมเป็นสไตล์ของตนเองขึ้นมาใช้งานทั้ง
    นั้น
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เทคนิควิธีการสะกดจิตที่เป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลายในปัจจุบันมักอยู่ใน
    ลักษณะหนึ่งลักษณะใดต่อไปนี้หรืออาจเป็นวิธีที่ผสมผสานกัน<O:p</O:p

    1.โดยการใช้เสียงพูดสั่ง (Oral Techniques)

    2.โดยใช้พลังอำนาจจิตที่กล้าแข็งกว่า (Mesmeric Techniques) ซึ่ง
    แสดงออกโดยใช้สายตา โทนเสียง กิริยาท่าทาง ตลอดจนพิธีกรรม
    และเครื่องมือเฉพาะ
    <O:p</O:p

    3.โดยการให้จ้องมองวัตถุที่มีแสงสว่างจ้า (Dr. Braid
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2007
  6. den_siam2523

    den_siam2523 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2006
    โพสต์:
    593
    ค่าพลัง:
    +2,267
    555555555555555555555
     
  7. surapar

    surapar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +2,408
    รีบกลับมาเขียนต่อนะคะ อ่านเพลินเลย ^^
     
  8. Electrik_dream

    Electrik_dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +232
    สะกดจิต....องค์ประกอบแห่งความสำเร็จ<O:p</O:p


    พลังคำพูด (เชิงบวก)<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พลังการจินตนาการ (ไร้ขอบเขต ไร้มิติ และกาลเวลา)<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พลังชีวิต(ปราณ)<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว จิตใต้สำนึกตอบรับคำสั่งพิมพ์เขียวด้วยประสาท
    สัมผัสทั้งหก ยิ่งสัมผัสทั้งหมดถูกนำมาใช้มากเท่าใดในกระบวนการป้อน
    คำสั่ง ความแม่นยำชัดเจนของจิตใต้สำนึกในการตีความคำสั่งนั้นเพื่อนำ
    ไปปฏิบัติ ก็ยิ่งประสพผลสำเร็จสูง ตัวอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการจดจำ
    อะไรบางอย่าง หากเรา เขียน พร้อม ท่องเป็นคำพูด ตาเห็นภาพนั้น มือ
    ลูบคำ จมูกได้กลิ่น ไปพร้อมๆ กันการจดจำที่แม่นยำจะเกิดขึ้นในทุกมิติ
    นี้คือกระบวนการหนึ่งในการสั่งจิตใต้สำนึกให้ตีความคำสั่งที่เราต้องการ
    ต่อจากนั้นจิตใต้สำนึกจะเหนี่ยวนำ ดึงดูด พุ่งเข้าหา องค์ประกอบรอบๆ
    ตัวเราที่มีอยู่ทุกๆสิ่ง ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่งโดยที่เราไม่รู้ตัว เพื่อ
    ให้ภาพเสียงหรือสัมผัสอื่นที่เราสร้างจินตนาการให้จิตใต้สำนึกนำไป
    ปฏิบัติให้เป็นผล<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พลังชีวิต (ปราณ) ในกระทู้นี้จะกล่าวถึงพลังงานชนิดนี้พอสังเขป เนื่อง
    จากกระทู้อื่นๆ อธิบายได้ละเอียดมหัศจรรย์เพียงพออยู่แล้ว <O:p</O:p
    พลังปราณ เกี่ยวข้องกับการสะกดจิตในแง่ การสะกดจิตโดยใช้พลังแม่
    เหล็กแห่งสัตว์ (Mesmerism) หากใช้พลังนี้เสริมกับเทคนิคการสะกด
    แบบการนำสู่ภวังค์ ก็จะยิ่งได้ผลสูงสุด ทั้งในแง่มุมหากผู้สะกด
    (Pratitioner) สะกดผู้อื่นหรือสะกดตัวเอง
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พลังคำพูด เราคงเคยเห็นนักพูดชั้นยอดที่โน้มแนว ดึงดูดคนฟังให้หยุด
    อยู่กับที่มาแล้ว

    นั่นก็เป็นกระบวนการหนึ่งของการสะกดจิต นักไฮปาร์ค สามารถสะกด
    คนดูด้วยการใช้จิตวิทยาหมู่ หรือสะกดจิตหมู่ด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว
    เซล์ลแมนขายสินค้าที่เราไม่ต้องการได้อย่างไร กระบวนการเหล่านี้เกิด
    จากพลังคำพูดทั้งสิ้น
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    คำพูดที่ดีมีพลัง เป็นคำพูดเชิงบวก ซึ่งไม่มีคำว่า จะ,ไม่,พรุ่งนี้ ผสมอยู่
    และเป็นปัจจุบันกาล ให้ความรู้สึกที่มากกว่า ดีกว่า เลยไปถึงการยกยอ
    จิตใต้สำนึกนั้นไร้เหตุผลผิดถูก การใช้ตรรกะ ทำอย่างนี้จะได้อย่างนั้น
    จิตใต้สำนึกไม่เข้าใจ จิตใต้สำนึกเข้าปัจจุบันกาล ตรงๆ สั้นๆ กระชับได้
    ใจความ เช่น
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  9. Electrik_dream

    Electrik_dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +232
    ผู้มีแนวโน้มรับการสะกดจิตได้ดี<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    1.คนที่มีอาชีพที่มีลักษณะประจำซ้ำซาก เช่นทำงานในสายการผลิตตามโรงงาน<O:p</O:p
    2.โดยเฉลี่ย ผู้หยิงมีความไวในการรับการสะกดจิต ได้ดีกว่าผู้ชาย<O:p</O:p
    3.ผู้ทำอาชีพที่ต้องรับคำสั่งและต้องฝึกซ้อมการรับคำสั่งอยู่เสมอ มักรับ
    การสะกดจิตได้ดี เช่น ทหาร ตำรวจ นักเรียนประจำ นักกีฬา นักโทษใน
    เรือนจำ ฯลฯ<O:p</O:p
    4.คนที่ทำอาชีพที่ใช้สมองทำงานมากๆ เช่น นักวิเคราะห์ นักคิด นัก
    บัญชี นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ รวมถึงผู้ที่มีอุปนิสัย หัวดื้อ หัว
    แข็งหากต้องได้รับการสะกดจิตจะต้องใชัวิธีพิเศษเป็นการเฉพาะจึงจะได้
    ผลดี <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อายุของผู้รับการสะกดจิต
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    1. อายุ 0-4 ปี ยังรับการสะกดจิตไม่ได้เพราะสื่อทางคำพูดได้น้อย<O:p</O:p
    2. อายุ 5-10 ปี รับการสะกดจิตได้ง่าย แต่มักเข้าสู่ภวังค์ที่ไม่ลึก ยกเว้น
    ผู้สะกดมีความชำนาญในการสะกดจิตเด็กเล็ก<O:p</O:p
    3. อายุ 11-20 ปี เป็นวัยที่ได้รับการสะกดจิตได้ผลดีมากตามอายุที่เพิ่ม
    ขึ้น<O:p</O:p
    4. อายุ 21 ปีขึ้นไป ไอ้รับผลการสะกดจิตที่น่าพอใจมาก
    5. อายุ 80 ปีขึ้นไป มันไม่ค่อยได้ผล <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    สะกดจิตบำบัดตนเอง
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    การสะกดจิดบำบัดเป็นศาสตร์และศิลป์ในการแก้ไขบำบัดอุปนิสัย
    พฤติกรรม ความเคยชิน และ สภาวะของจิตใจที่ไม่พึงปรารถนาที่ได้
    ผลดีมากวิธีหนึ่งโดยไม่ต้องใช้ยา ความจริงประการหนึ่งของมนุษย์ที่ถูก
    มองข้ามไปเสมอคือเรื่องที่ว่าพฤติกรรมที่แสดงออกมาจากอุปนิสัยภาย
    ในจิตใจนั้นเองเป็นต้นเหตุของปัญหามากมายในชีวิตของคนเรา (เช่น
    เครียดวิตกกังวลเกินเหตุ กินมากเกินจำเป็น ติดบุหรี่ ติดอ่าง กลัวแบบโฟ
    เบีย IBS-ถ่ายท้องหรือท้องเสียเมื่อเครียดหรือตื่นเต้น ฯลฯ) <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ยกตัวอย่างเช่นปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนนั้นเกิดจากการที่ร่าง
    กายได้รับสารอาหารเกินกว่าความจำเป็นแทบว่าจะทุกๆวัน คนอ้วนส่วน
    ใหญ่มีนิสัยติดการกินอาหาร พวกเขากินอาหารไม่ใช่เพราะร่างกายจำ
    เป็นต้องได้รับสารอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยง หากแต่ว่าพวกเขากินเพราะเขา
    มีนิสัยการแสวงหาความสุขจากการได้ใช้ปากเคี้ยวและกลืนอาหาร! การ
    กินกลายเป็นพฤติกรรมที่ทำให้เขามีความสุข ดังนั้นพวกเขาจึงได้หล่อ
    หลอมอุปนิสัยติดการกินอาหาร เพราะการกินทำให้เขามีความสุข! ดังนั้น
    หากเราสามารถทำให้คนอ้วนเปลี่ยนไปหาความสุขได้จากวิธีการอื่นนอก
    จากการกินแล้วในไม่ช้าน้ำหนักของเขาจะลดลงเองและเป็นการลดลง
    อย่างถาวรและเป็นธรรมชาติด้วย... การสะกดจิตบำบัดเพื่อแก้นิสัยติด
    การกินจึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากที่สุดทางหนึ่งในการแก้ไข

    ปัญหาน้ำหนักเกิน

    เราสามารถฝึกฝนเพื่อการสะกดจิตบำบัดตัวเองได้โดยไม่ยากนักและผล
    ที่ได้ก็คุ้มค่ามากจริงๆ การสะกดจิตบำบัดตนเองมีหลายแนวทาง ในที่นี้
    จะได้แนะนำแนวทางที่ง่ายแนวทางหนึ่งไว้สำหรับผู้ที่สนใจได้ฝึกฝน
    กัน...
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    การสะกดจิตบำบัดตนเองประกอบด้วยขั้นตอนใหญ่ๆสามขั้นตอนคือ <O:p</O:p
    การกำหนดประเด็นเป้าหมายของการบำบัด <O:p</O:p
    การให้ข้อมูลแก่จิตสำนึก <O:p</O:p
    การนำตัวเองเข้าสู่ภวังค์แห่งจิตใต้สำนึกหรือที่เรียกว่าเข้าสู่สภาวะถูกสะกดจิต
    เมื่อเข้าสู่ภวังค์แล้วข้อมูลที่ได้ป้อนไว้ในจิตสำนึกจะซึมซาบเข้าสู่จิตใต้สำนึก
    สร้างอุปนิสัยใหม่ต่อไปซึ่งเป็นปลายทางของการบำบัดที่ต้องการ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    ขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อการสะกดจิตบำบัดตนอง <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    กำหนดเป้าหมายการบำบัดที่ชัดเจน เช่นต้องการคลายเครียด ต้องการ
    ลดการสูบบุหรี่ ต้องการควบคุมพฤติกรรมการบริโภคและปริมาณอาหาร
    เพื่อลดน้ำหนัก ต้องการเลิกนิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง ฯลฯ

    เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้วให้เขียนคำสั่งสำหรับการบำบัดเป็นประโยคสั้นๆ
    สัก 1-2 ประโยค โดยใช้คำพูดที่เป็นบวก และเป็นปัจจุบันกาล (หลีก
    เลี่ยงคำว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2007
  10. tawatd

    tawatd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    506
    ค่าพลัง:
    +2,020
    เยี่ยมมาก ขอบคุณที่เผยแพร่
     
  11. somsannannom

    somsannannom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,626
    ขอบคุณครับ จะลองดูนะครับ
     
  12. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +10,787
    คุณ Electrik_dream ครับ ขอบอกว่า ยอดเยี่ยม ยินดีต้อนรับ ผู้ที่มีความรู้ความสามารถอีกท่านครับ(bb-flower (bb-flower (bb-flower
     
  13. surapar

    surapar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +2,408
    กรี๊ดดดดดดด ขอบคุณมากคร่า จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  14. Electrik_dream

    Electrik_dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +232
    ความลับของการสะกดจิตบำบัด


    อะไรคือความลับที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการสะกดจิตบำบัด... ทำไมมันจึงได้ผล?

    แท้จริงแล้วกระบวนการสะกดจิตบำบัดที่ได้รับผลตามที่ต้องการ
    ล้วนยืนอยู่อย่างมั่นคงบนหลักการพื้นฐานอันเป็นธรรมชาติของจิต
    หลักการดังกล่าวมีชื่อว่า The Fundamental Law of Attraction หรือ กฎหลักพื้นฐานแห่งการดึงดูด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2007
  15. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +10,787
    คุณ Electrik_dream ครับ อยากให้หาทางช่วยเหลือหลานชายของผมด้วยได้ไหมครับ ไม่ทราบว่า วิธีการสะกดจิตจะใช้ได้ไหม คือ หลายชายเป็นโรค กลัว ไก่ kfc คือเรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งที่บ้านหลานชาย น้าสาวได้สั่งไก่มากินที่บ้าน 1 ชุด และ ได้ให้น่องไก่ หลายชาย 1 น่อง ในขณะที่ หลายชายกำลังจะกินไก่นั้น ได้มี หมาตัวหนึ่ง ซึ่งวิ่งเล่นแถวหน้าบ้าน ไม่ทราบว่าเป็นหมาของใครน่ะ วิ่งเข้ามา แล้วงับทั้งไก่ทั้งมือ แต่ไม่แรงมากน่ะ มีแผลเล็กน้อย แต่ทำให้หลานตกใจมาก ๆ ร้องไห้จ้าเลย ตั้งแต่วันนั้นมา เมื่อ มีคนสั่งไก่มากินที่บ้าน ก็จะร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ เมื่อน้าสาวพาไปเดินห้างผ่านร้าน kfc ก็จะร้องไห้จ้า กรณีอย่างนี้ คุณ Electrik_dream สามารถสะกดจิตย้อนหลังรักษาได้ไหมครับ หรือมีวิธี รักษาอย่างอื่นได้ครับ รบกวนนิดหนึ่งน่ะ เอาบุญเผื่อ ว่าหลานชายชาตินี้จะได้กินไก่ kfc กะเค้าบ้างคร้บ สวัสดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2007
  16. Electrik_dream

    Electrik_dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +232
    สวัสดีครับ คุณชยา

    หลานคุณชยานี่ต้องเป็นโรคขาดสารอาหารจำพวก ไก่
    แน่ๆ เลย ไม่ต้องห่วงครับได้กินไก่ KFC แน่ แต่มีคำถาม
    ที่จำเป็นสำหรับการบำบัด ดังนี้ครับ

    โดยหลักการแล้ว ผมจะต้องเป็นผู้สอบถามข้อมูล
    คุยกับหลานและผู้ปกครองของคุณชยาก่อนว่า ราก
    ที่แท้จริงของการร้องไห้ เพราะกลัวหรืออะไร และตัว
    กระตุ้นจับคู่ที่แท้จริงมีกี่อย่าง ในที่นี้มี 3 อย่างคือ หมา
    ไก่ และ KFC กลายเป็น 9 Factor ซึ่งจำเป็นต้อง
    ทดสอบ ว่าอันไหนแน่ เช่น ไก่เฉยๆ หรือว่าไก่กับยี่ห้อ
    KFC หรือ หมา กับไก่ หรือ ทั้งสามอย่าง

    แต่เท่าที่ดูจากข้อความ ผมมีคำตอบอยู่ในใจถึงแนวทาง
    บำบัดแล้ว ขาดเรื่องข้อมูลเชื่อมโยงเพื่อการบำบัด เช่น
    อายุ,กิจวัตร,ของเล่นที่ชอบ หรือตัวการ์ตูนที่ชอบ อะไร
    ประมาณนี้ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดเมื่อพร้อม ไม่ใช่เรื่องยาก
    ครับสำหรับปัญหาของหลานคุณชยา อาจมีเรื่อง
    ระยะเวลาในการบำบัดสักหน่อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับ
    พื้นฐานทางอารมณ์ และสภาพแวดล้อมครับ

    รายละเอียดขอเป็นหลังไมค์นะครับ แก้ได้แน่นอน

    ที่หน้าเวปนี้ จะเป็นตัวอย่างในการวิเคราะห์
    ถ้าข้อมูลที่คุณชยาให้มาเป็นข้อมูลที่ไม่เบี่ยงเบน

    หลานคุณชยาถูกกระตุ้นด้วย "KFC" KFC คือไก่
    มีไก่อยู่ในมือ หมากัด หมากัด คือ กลัว

    ผลคือ กลัวหมา เพราะมีไก่ ถ้ามีไก่หมาจะกัด
    เพราะฉนั้นการจับคู่ก็คือ อะไรที่แปลว่าไก่ก็กลัว
    แต่วันนั้นมันเป็นไก่ "KFC" ภาพ KFC คือตัวกระตุ้น
    จึงหมายถึงกลัวหมากัด

    ส่วนวิธีบำบัดนั้น คงต้องได้ข้อมูลส่วนสำคัญก่อนว่า
    อะไรจะเป็นจุดเชื่อมโยงเพื่อยกเลิก การกลัวหมากัด
    เพราะมีไก่ การสะกดจิตบำบัด อาจเป็นการ
    สะกดจิตตรง หรือกระทำซ้ำ ย้ำๆ บางอย่างที่เป็น
    ความชอบของเด็ก คิดวิธีเอาไว้แล้วครับ ขอข้อมูล
    ส่วนสำคัญหลังไมค์ด้วยครับ
     
  17. Maxxyzzz

    Maxxyzzz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +823
    ถ้าอยากเป็นนักสะกดจิตต้องมีคุณสมบัติอย่างไรและทำอย่างไรบ้างครับ

    แล้วก็สะกดจิตมีผลช่วยต่อการเรียนอย่างไรบ้างแล้วก็จริงรึเปล่าอะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2007
  18. Electrik_dream

    Electrik_dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +232
    สวัสดีครับ คุณ Maxxyzzz

    1.ถ้าอยากเป็นนักสะกดจิตต้องมีคุณสมบัติอย่างไรและทำอย่างไรบ้างครับ

    2.แล้วก็สะกดจิตมีผลช่วยต่อการเรียนอย่างไรบ้างแล้วก็จริงรึเปล่าอะครับ

    ตอบทีละคำถามอย่างี้ครับ

    การสะกดจิตคือ การนำผู้ถูกสะกดจิตลงสู่ภวังค์ และป้อนคำสั่งล้างคำสั่งเดิมที่ไม่ดี
    และหรือป้อนคำสั่งที่ดีเข้าไปใหม่ ฉนั้นคนทุกคน
    ใครๆก็สามารถเป็นนักสะกดจิตบำบัดได้ เพียงแต่เรียนรู้
    วิธีการนำผู้ถูกสะกดลงสู่ภวังค์ และเรียนรู้วิธีการสร้างคำสั่ง
    เหมือนเขียนโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์ทำงาน

    อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วเทคนิคการนำ (Subject) ลงสู่ภวังค์
    มีหลายวิธี และแต่ละวิธีก็มีเทคนิคแตกแยกออกไปตามแต่
    นักสะกดจิตบำบัด (Practitioner) คิดค้นขึ้นมาเอง
    ทำอย่างไรก็ได้ให้ Subject ลงสู่ภวังค์ให้ได้ ซึ่งวิธี
    ที่นิยมใช้กันคือ พูดด้วยเสียงที่ราบเรียบน่าฟัง (Monotone) จนSubject
    เคลิ้มสู่ภวังค์ แล้วป้อนคำสั่ง เทคนิคเหล่านี้ไม่มีกฏตายตัว

    จึงอาจกล่าวได้ว่า คุณสมบัติที่นักสะกดจิตบำบัดควรมี
    คือ การเป็นนักจิตนาการที่ดีในการสร้างคำสั่ง และนำการจิตนาการ
    นั้นให้ผู้ถูกสะกดคล้อยตาม เสียงพูดราบเรียบน่าฟัง
    ซึ่งทั้งหมดสามารถฝึกได้ไม่ยากอย่างที่คิด หากคิดอยาก
    เป็นนักสะกดจิตบำบัดจริงๆ สอบถามทางโทรศัพท์ได้ครับ
    ยินดีแนะนำให้ครับ

    2.แล้วก็สะกดจิตมีผลช่วยต่อการเรียนอย่างไรบ้างแล้วก็จริงรึเปล่าอะครับ

    ผมแปลความได้ว่า สะกดจิตให้เรียนดีขึ้นได้หรือไม่

    อันนี้รับรองผลครับ มีการทำวิจัยโดยเขียนเป็นวิทยานิพนธ์
    ระดับปริญญาเอกในประเทศไทยนานมาแล้ว
    ผมจำชื่อคนทำวิจัยไม่ได้ ผลคือในเทอมเดียว เด็กนักเรียน
    ห้องที่อ่อนที่สุด ผลการเรียนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    วุฒิภาวะทางอารมณ์ดีขึ้น เพียงเข้าทำการสะกดจิต
    หมู่อาทิตย์ละครั้ง เป็นเวลา 4 อาทิตย์ ซึ่งผลต่อเนื่อง
    ระยะยาวทำให้เด็ก มีสมาธิดีขึ้นสำหรับทุกๆกิจกรรม

    นักกีฬามวยระดับแชมป์บางคน (ไม่ขอเอ่ยนาม)ที่ก่อนเป็นแชมป์ทำยังไง
    ก็ไม่ได้แชมป์สักที พอได้รับการสะกดจิตแล้วไม่นาน
    ก็ได้แชมป์ทันที นี้เป็นอีกตัวอย่างของการสะกดจิต
    แบบกำหนดเป้าหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับ
    การสะกดจิตบำบัด....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2007
  19. Electrik_dream

    Electrik_dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +232
    "นับจากนี้เป็นต้นไป ทุกๆ ลมหายใจเข้าออก
    เมื่อคุณตื่นลืมตาขึ้น เรารู้สึกสดชื่นแจ่มใส จิตใจ
    ปลอดโปร่งสบาย อารมณ์ดีทั้งวัน"

    ประโยคนี้ คือตัวอย่างของพลังคำพูดเชิงบวก ที่ใช้ได้ผลจริง
    เป็นประโยคที่ผู้เขียนประดิษฐ์ขึ้นมาใช้กับตัวเอง ในครั้งที่ศึกษา
    วิชาสะกดจิตบำบัด

    วลีนี้ใช้โปรแกรมจิตใต้สำนึกก่อนนอน ทำคล้ายการอธิฐานทั่วไป

    วิเคราะห์คำ...
    การมีจิตใจปลอดโปร่ง สดชื่นแจ่มใส อารมณ์ดี นั่นคือ
    สภาวะไร้ความกังวล ไม่เครียด สภาวะนี้มนุษย์เราอย่างแย่ที่สุด
    จะไม่มีอารมณ์เบียดเบียน หากเป็นผู้ฝึกจิตมาบ้าง ก็จะมี
    ความเมตตา
    ไร้ซึ่งอารมณ์ริษยา การเบียดเบียนกันไม่เกิด ความสงบสุข
    ย่อมบังเกิดแก่สังคม....

    ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อย้อนกลับไปมองผลของอารมณ์เหล่านี้
    งานวิจัยชี้ชัดลงไปว่า จะเกิดสภาวะ"เครียด" ซึ่งผล
    ของความเครียดนั้น มากมายมหาศาลดังจะได้กล่าวต่อไป

    ความเครียดคืออะไร?

    มนุษย์ทุกคนต่างก็ต้องรับมือกับสภาวะการณ์ (Situation)
    หรือเหตุการณ์ (Event) อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ หากสภาวะการณ์นั้นเป็น
    สภาวะที่ถูกกดดัน หรือ สร้างอุปสรรตต่อการดำเนินชีวิตในภาวะปรกติ
    เช่นเคยสบาย ๆ ทำได้ เมื่อถูกจำกัด บีบรัดกดดัน สถาวะเครียดจะเกิดขึ้น
    ในจิตใจและร่างกายของมนุษย์ หากสภาวะนั้นยังดำรงค์อยู่นานขึ้น มากขึ้น
    มนุษย์จะมาถึงภาวะที่ต้องตัดสินใจว่าจะสู้หรือจะหนีในสถานะการนั้นๆ
    หากต่อสู้ชนะ "ความเครียด" ๆ นั้นก็จะหมดไปอย่างถาวร
    ถ้าแพ้ก็อาจเครียดหนักขึ้นกว่าเดิม ในระหว่างการเผชิญกับความเครียดนี้ ความคิด
    และการสื่อสารภายในจิตใจตัวเอง หรือการพูดคุยกับตัวเองสามารถช่วย
    คลายเครียดได้ หรือสามารถเพิ่มความเครียดจนถึงจุดวิกฤตได้เช่นกัน
    ดังนั้นการได้รับคำแนะนำในการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสมจึงมีความจำเป็น...

    ความเครียดมีผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์อ่อนแอลง
    และนั่นคือที่มาของปัญหาสุขภาพ นานับประการรวมทั้งอาจเป็นสาเหตุ
    ซ่อนเร้นของโรคมะเร็งด้วย

    กล่าวกันว่า เซลล์ในร่างกายมนุษย์ได้ทำการจำลองตัวเองทุกวันเพื่อทดแทน
    เซลล์เก่าที่ตายลงไป แต่เซลล์ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นนี้
    ก็มีโอกาสที่จะมีโครงสร้างผิดเพี้ยนไปจากเซลล์ปรกติด้วย เซลล์ที่ผิดปรกตินี้แหละที่เข้าข่าย
    ของเซลล์มะเร็ง ระบบภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งในร่างกายมนุษย์จะตรวจจับ
    เซลล์ที่ผิดเพี้ยนเหล่านี้แล้วทำลายเพื่อไม่ให้เติบโตขึ้นเป็นปัญหาต่อไป
    แต่ในกรณีที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลง เซลล์ดีจะไม่มีกำลังพอในการ
    ตรวจจับและทำลายเซลล์ที่ผิดเพี้ยน ประกอบกับการดำรงค์ชีวิตที่ไม่ถูก
    สุขลักษณะทั้งเรื่อง อาหาร อากาศและสิ่งแวดล้อมที่ไม่บริสุทธิ์ ก็ยิ่งเป็นการ
    เพิ่มโอกาศที่เซลล์ที่ผิดเพี้ยนในร่างกายได้มีเวลาเติบโตขึ้นจนกลายเป็น
    ก้อนมะเร็งที่มีอันตรายถึงชีวิตในที่สุด

    ความจริงที่ทุกคนต้องทราบคือ ความเครียดในรางกายและจิตใจมีผล
    กระทบโดยตรงทำให้ ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลง คำกล่าวที่ไม่เกินเลยคือ
    ทางหนึ่งที่สำคัญในการป้องกันมะเร็งคือการจัดการสลายความเครียดในชีวิตให้หมดไปโดยเร็วที่สุด

    ผลกระทบต่อร่างกาย

    1.ทำให้ระบบในร่างกายตื่นตัวมากเกินปกติ (Hyperalertness)อาการ
    คือทำให้ร่างกายอ่อนเพลียเพราะไม่ได้รับกากรพักผ่อนเพียงพอ
    ทำให้ภมูคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลงและเกิดการเจ็บป่วนตามมา

    2.มีผลต่อการทำงานของระบบประสาทซิมพาเธติค (Sympathetic Nervous System)
    ผลคือทำให้การทำงานของอวัยวะต่างผิดปกติไป วงรอบและปริมาณการผลิตฮอร์โมน
    ผิดเพื้ยนไปและเกิดการเจ็บป่วยตามมา ผลกระทบต่อจิตใจ

    1.ประหม่า เสียความเชื่อมั่น
    2.ซึมเศร้า สะเทือนใจ สลดใจ หดหู่อย่างหนัก
    3.รู้สึกผิดในใจ
    4.กังวลใจ
    5.กล่าวโทษผู้อื่นหรือกล่าวโทษตัวซ้ำซากอยู่ในใจ
    6.กลัว หรือหวาดหวั่น
    7.เซ็ง เบื่อหน่าย อ่อนระอา
    8.โกรธ ฉุนเฉียวง่าย
    กระทบกับอุปนิสัย
    1.หลบเลี่ยง หลีกหนี ปัดความรับผิดชอบ
    2.เก็บตัว ไม่พบปะผู้คน
    3.แสดงความก้าวร้าว หรือโกรธอย่างรุนแรง
    4.เกิดปัญหาความสัมพันธ์กับคู่สมรส หรือคนในครอบครัว
    5.ผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ
    6.มีอาการหลุกหลิก ร้อนรน กระวนกระวายไม่เป็นสุข
    7.สร้างพฤติกรรมบางอย่างขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนหรือกลบทับความเครียด
    ในใจ เช่นกินมากจนอ้วนหรือบางทีกินน้อยจนผอม นอนมาก
    หรือนอนไม่หลับ สูบบุหรี่จัด เล่นการพนัน นอกใจคู่ครองไม่กลับบ้านตามเวลา

    ความเครียดแบ่งเป็นสองระยะ

    ระยะแรก

    1.หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ
    2.มีอาการประสาทลงกระเพาะ ท้องอืด ท้องเฟ้อ
    3.มือ เท้า เย็น
    4.มีเหงื่อเปียกชุ่มที่ฝ่ามือหรือฝ่าเท้า
    5.มือไม้ปัดไปมาหลุกหลิกไม่อยุ่นิ่ง
    6.มีอาการหนาวยะเยือก
    7.กล้ามเนือหดตัวเกร็ง
    8.หายใจตื้น หายใจถี่เร็ว หายใจไม่อิ่ม
    9.ท้องไส้ปั่นป่วน บางทีมีอาการลงท้อง ท้องเสีย หรือท้องผูก

    ระยะที่สอง

    1.ปวดศรีษะ มึนศรีษะ
    2.นอนไม่หลับ
    3.เกิดแผลพุพอง หรือแผลร้อนใน ในที่ต่างๆ
    4.ระบบการย่อยอาหารผิดปรกติ อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ปวดท้อง แผลในกระเพาะ
    5.มีอาการอ่อนเพลีย เรื้อรัง
    6.ปวดตึงกล้ามเนื้อต้นคอ ไหล่ หรือแขน
    7.ท้องผูก หรือ ท้องเสีย หรือสลับกันทั้งสองอย่าง
    8.ปวดตามข้อ


     
  20. surapar

    surapar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +2,408
    สมมุติว่า นู๋ อยากหุ่นดีเหมือนเหมือนนางแบบ ก็เอารูปนางแบบมาจ้องทุกวันๆ (+กับการพยายามไดเอ็ต) แบบนี้จะมีส่วนช่วยสะกดจิตตัวเองมั๊ยคะ [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...