คนที่นำข้าวสารหรืออาหารต่างๆ มาถวาย ลพ.ตอบปัญหาธรรม

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย มันไม่แน่, 22 กรกฎาคม 2014.

  1. มันไม่แน่

    มันไม่แน่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +7,956
    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุงตอบปัญหาธรรม


    หลวงพ่อ :- “อานิสงส์เหมือนกับ ท่านเมณฑกเศรษฐี“

    ผู้ถาม :- “เรื่องเป็นอย่างไรครับ…?”

    หลวงพ่อ :- “มีสมัยหนึ่งท่านเมณฑกเศรษฐี ท่านเกิดมาเป็นเศรษฐีเหมือนกัน ตอนเช้าเวลาจะเฝ้าพระราชา ท่านก็เจอะปุโรหิต

    ถามว่า “ท่านปุโรหิต ท่านดูบ้างหรือเปล่าว่า บ้านเมืองจะเป็นเช่นไร…?”

    ท่านปุโรหิตก็เลยบอกว่า “เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของเรา เราต้องดูทุกวัน”

    ถามว่า “ต่อไปบ้านเมืองจะเป็นเช่นไร”

    ท่านบอกว่า “ตั้งแต่ ๓ ปีนี้เป็นต้นไป ประชาชนจะเป็นโรคชนิดหนึ่ง คือโรคหิว หมายความว่า ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์จะทำไม่ได้”

    ท่านทราบแล้วก็กลับมาบ้าน จัดการทำนาเป็นการใหญ่ เงินมีซื้อข้าวใส่ฉางหมด ข้าวล้นฉางก็ใส่ตุ่ม ข้าวล้นตุ่มก็ผสมกับดินเหนียวทาฝา

    ทีนี้บ้านเศรษฐีมีคนมาก กินไปกินมาไม่ถึง ๓ ปี ข้าวก็หมด ท่านก็เลยปล่อยทาสทั้งหลายเป็นอิสระ ไปไหนก็ได้ ไปหากินตามลำพัง ขืนอยู่ก็อดตาย

    ท่านจึงเหลืออยู่ด้วยกัน ๕ คน มีทาส ๑ คนไม่ยอมไป คือนายบุญ ที่บ้านก็มีตัวท่านและภรรยา แล้วก็ลูกสะใภ้คนหนึ่ง เป็น ๕ คนด้วยกัน มีข้าวเหลือทะนานเดียว วันนั้นท่านไปเฝ้าพระราชา กลับมา

    ก็ถามแม่บ้านว่า “ยาย มีข้าวไหม…?”

    ยายก็บอกว่า “มี ๑ ทะนานเจ้าค่ะ”

    ท่านก็บอกว่า “ฉันหิว”

    ยายก็ถามว่า “จะหุงหรือต้ม เพราะข้าวกินเวลาเดียวหมด ๕ คน แต่ต้มข้าวต้มเรากินได้ ๒ เวลา”

    ท่านก็เลยบอกว่า “หุงก็แล้วกัน กินเวลาเดียว ตายก่อนตายหลัง มันก็ไม่ช้าเท่าใดนัก”

    = พระปัจเจกพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด =

    หลวงพ่อ :- “พอหุงข้าวเสร็จ พอเริ่มทำท่าจะกิน เวลานั้นเป็นเวลาพอดีที่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ท่านออกจาก นิโรธสมาบัติ ร่างกายที่อยู่ในนิโรธสมาบัติมันไม่หิว มันไม่ต้องการอาหาร พอเลิกแล้วร่างกายต้องการอาหาร

    ท่านก็ใช้ทิพจักขุญานดูว่า วันนี้ใครจะสงเคราะห์เราบ้าง ก็ทราบว่า บ้านเศรษฐีเวลานี้ มีข้าวอยู่ ๑ ทะนาน หุงเรียบร้อยแล้ว ถ้าเราไปที่บ้านนั้น เราจะได้อาหาร ท่านก็เหาะมา แล้วยืนรอบิณฑบาต

    มหาเศรษฐีทราบ ก็วิ่งไปนิมนต์ ก็ตัดสินใจว่า เพราะการเป็นเศรษฐีของเรามันไม่คุ้มครองตัว ถึงอดอยากจะไม่มีข้าวกิน มื้อนี้เป็นมื้อสุดท้าย หมดแล้วเราก็จะตาย ถ้าเราตายต้องตายอย่างประเภทไม่ผิดความหวัง คือชาติหน้าเราจะต้องไม่จนอีก

    ก็เลยนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้ยืนอยู่ก่อน แล้วกลับมาเอาข้าวไปทั้งหม้อเลย ให้คดหมดหม้อ ตั้งใจไปถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าหมด

    พอใส่บาตรไปครึ่งหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เอามือปิดบาตร บอกว่า “พอแล้วโยม ครึ่งหนึ่งจะได้กินกัน เพราะว่ามันมีทะนานเดียว มันหมดเท่านี้” ท่านรู้

    ท่านมหาเศรษฐีก็เลยบอกว่า “ขอพระคุณเจ้าโปรดผมเถอะครับ ที่มันยากจนไม่มีกินเวลานี้ เพราะชาติก่อนทำทานไม่ดี บกพร่องในทาน ผมขอตายในชาตินี้ ชาติหน้าขอรวย”

    พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็เปิดมือ เศรษฐีก็เลยใส่บาตรหมด ท่านอธิษฐานว่า “ต่อไปชาติหน้า คำว่า ยากจน ขัดสน จะต้องการอะไร ไม่มี ขออย่าไปปรากฏ ให้มีทุกอย่าง”

    ลูกก็ดี ลูกสะใภ้ก็ดี ต้องการเหมือนกัน แต่แม่บ้านต้องการต่างจากเขา คืออธิษฐานว่า “ต่อไปเบื้องหน้า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอผลบุญที่ข้าพเจ้าทำ มีข้าวในหม้อ ขอให้ข้าวสุกเต็มอยู่เสมอ ถ้าตักลงไปจะแจกคนเท่าไรก็ตามที ข้าวให้แหว่งแค่ทัพพีเดียว” ขอให้เต็มปกติน่ะ

    สำหรับทาส นายบุญ แกมีหน้าที่ไถนา ก็อธิษฐานว่า “ผลบุญนี่ เวลาผมไถนาไปรอยกลางรอยเดียว ให้มีรอยข้างซ้าย ๓ รอยด้วย ข้างขวา ๓ รอย รวมเป็น ๗ รอย ให้ปรากฏ”

    ก็เป็นอันว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ฟังคำอธิษฐานแล้วก็ให้พรว่า “เอวัง โหตุ” แปลว่า “เจ้าปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา”

    หลังจากนั้นท่านก็คิดว่า เราก็ควรจะแสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฎ ท่านลากลับแล้วก็เหาะไป คนส่วนมากเห็นท่านเหาะไปถึงยอดเขาคันธมาทน์ และมีพระปัจเจกพุทธเจ้าประมาณสามหมื่นรูป แล้วท่านก็เอาข้าวทะนานเดียวนั่นแหละ ไปแจกพระปัจเจกพุทธเจ้า สามหมื่นรูปเต็มบาตรหมด”

    = อานิสงส์ของทาน =

    หลวงพ่อ :- “เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าต่างองค์ต่างฉัน ฉันไม่หมด ก็ต้องเทกอง ชาวบ้าน ๕ คนเห็นก็ชื่นใจ ว่าข้าวของเราทะนานเดียว สามารถเลี้ยงพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ถึงสามหมื่นรูป จากนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็คลายฤทธิ์ เขาก็ไม่เห็นอีก

    ต่อมาพอไม่เห็น ท่านมหาเศรษฐีก็หิวใหม่ ถามใหม่ว่า “ยาย ไอ้ข้าวตังก้นหม้อมีไหม…?” คราวก่อนยอมตายใช่ไหม…”ถ้าข้าวตังก้นหม้อมี เอาน้ำใส่ก้นหม้อ กลั้วๆ ให้ฉันดื่มหน่อยเถอะ”

    ท่านยายก็เปิดหม้อ บอก “มีจ๊ะ..ข้าวตัง”

    พอเปิดหม้อข้าวปั๊บ ปรากฎว่าไม่ใช่ข้าวตังน่ะซิ มันเป็นข้าวสุกร้อนเต็มหม้อเลย ก็เลยเรียกท่านตามา เรียกลูกชาย ลูกสะใภ้ ทาส ต่างคนต่างกินกัน กินเท่าไรก็ตาม ข้าวแหว่งแค่ทัพพีเดียว อัศจรรย์ไหม…

    แล้วต่อมาท่านก็ประกาศว่า “ใครอดจงมาที่นี่” มันอดกันทั้งเมืองใช่ไหม…ยายก็เลยตักกันวันยังค่ำ ข้าวก็เต็มและร้อนเป็นปกติ แหว่งแค่ทัพพีเดียวตลอดเวลา

    เพราะผลบุญอันนี้ เกิดมาในชาติหลัง (ชาติปัจจุบันสุดท้ายนี้นะ) ท่านเกิดใหม่จากเทวดามาเป็นคน ก็มาเกิดเข้าท้องแม่ลูกคนจนในป่า หน่อไม้รอบบ้านเป็นทองคำหมด

    พอคลอดจากครรภ์มารดา ไอ้พวกแพะโตเท่าช้าง เป็นพันๆตัว ยืนรอบบ้าน แล้วก็มีสายไหมในปาก ใครต้องการขนมดึงขนมออก ใครต้องการไอศกรีม ๆ ออก ใครต้องการผ้าผ่อนท่อนสไบ ต้องการแก้วแหวนเงินทองออก ก็เลยดึงกันใหญ่

    แล้วเวลานั้นเขาก็อธิษฐานว่า ถ้าเกิดชาติใหม่ ภรรยาเป็นภรรยาคนเดิม ลูกเป็นลูกคนเดิม เป็นลูกสะใภ้ก็เป็นลูกสะใภ้ตามเดิม นายบุญก็อธิษฐานเป็นทาสตามเดิม

    เป็นอันว่าทั้ง ๕ ท่าน เป็นมหาเศรษฐีหมด และเป็นมหาเศรษฐีที่มีกำลังใหญ่มาก ท่านเมณฑกเศรษฐี ก็คือ ปู่ของนางวิสาขานั่นเอง“
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88 KB
      เปิดดู:
      175

แชร์หน้านี้

Loading...