ข้องใจ อานาปานุสสติ ครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jackman, 26 ธันวาคม 2007.

  1. jackman

    jackman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +194
    เวลาผมนั่งอานาปาถ้าผมจะจับลมหายใจแค่รู้ว่าตอนนี้ลมเข้าและตอนนี้ลมออก
    จะทำให้ถึงฌาณ4 ได้ไหมครับ?

    ถ้าเข้าใจไม่ผิดเห็นหลวงพ่อท่านบอกว่ามันต้องจับอารมณ์ 3 ฐานถึงจะไปทำได้ถึงฌาณ 4

    ผมลองจับแค่ลมเข้าลมออกดูนั่งไปจนจิตสงบเกิดอาการตัวโยกหน้าโยกหลังอันนี้ใช่ปิติไหมครับ?





    ขอถามอีกนะครับคือมีคืนนึ่งผมนั่งอานาปาจนสงบหลังจากที่อาการโยกไปมาสงบจิตผมมันดูสงบมากเลยก็เลยลองของครับ ผมลองท่อง นะมะ-พะทะ ดูท่องไปท่องมาปรากฎว่า ลมหายใจมันแรงขึ้นๆ เร็วๆ ตัวสั่น คำภาวนาเริ่มไม่ตรงกับลมหายใจ ผมไม่มั่นใจกลัวจะมีอันตรายเลยหยุดเพราะเห็นหมวดมโนยิทธิท่านบอกว่ามันต้องมีหน้ากากแล้วก็พรมน้ำมนต์ ผมก็เลยกลัวว่ามันจะผิดกฎ อย่างนี้มันเกิดอะไรขึ้นครับ?

    ------------------------------------

    ยังไม่จบครับ-*- คือวันต่อมาทำอีกเกิดตัวโยกอีกทีนี้ไม่ท่อง นะมะ-พะทะ แต่เปลี่ยนเป็น คาถา หัวใจลิงลม 5555 ทีนี้เรื่องสนุกก็เกิดขึ้น ตัวสั่นแรงมาก สั่นๆ ไม่หยุด ขนลุกซู่ ซ่า ถ้าไม่เชื่อผมลองทำดูก็ได้ครับหนุกดี พอจิตเป็นสมาธิมากๆลองท่องคาถาปลุกดูสนุกดี

    ที่เล่ามาข้างบนนี้อยากทราบว่ามันเป็นปิติของสมาธิหรือว่าปิตินั้นๆมาจากการท่องคาถาครับ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2007
  2. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815

    เป็นปิติแบบหนึ่งจ๊ะ หุ หุ หุ ส่วนคำถามที่เหลือไม่รู้เพราะเราก็ยังไปไม่ถึงฌาณ4 หุ หุ หุ
     
  3. jackman

    jackman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +194
    ขอบคุณมากครับสำหรับคำตอบ ขอให้เจริญๆ ไปนิพพานในชาตินี้

    ใครพอจะรู้คำถามที่เหลือช่วยทีนะครับบ
     
  4. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เป็นอาการ ปิติ ที่เกิดจากการปรุงแต่ง แล้วไม่ปล่อยวาง

    ถ้าไม่ปล่อยวาง ปิติ อาการจะเป็นมากขึ้นๆ จนเกินพรรณนา

    ทำให้มีอาการที่คนอื่นไม่เคยเป็น ไม่เคยทำ ไม่เคยได้ก็มี

    ถ้าจะให้ดี เขาให้ปล่อยวาง แม้แต่ขั้น สุข ที่เกิดหลังจาก ปิติ ก็ต้องปล่อยวาง ไม่เช่นนั้นก็จะ เกิดไปเรื่อย ไม่นิ่ง

    ปิติ หรือ สุข ต้องรักษาให้นิ่ง ถึงจะยกเป็นองค์ฌาณได้ ซึ่งนั้นจะทำให้เข้าสู่ ฌาณ 3 ฌาณ 4

    และถ้ายิ่งปล่อยวางเก่งเท่าใด โอกาสที่จะเข้า เอกัคคตา ก็จะมีมากขึ้น

    เมื่อเข้า เอกัคคตา ได้มากขึ้น ก็จะเจริญฌาณได้สูงขึ้น

    หัวใจคือ ต้องรู้จักปล่อยวาง

    * * * * * *

    อานาปานสติ

    เมื่อจับอารมณ์ลมหายใจ จนคำบริกรรมกำกับหายไป แต่ยังมีการตามดูลมอยู่ จะแผ่วเบา หรือ หนักขึ้นมา หรือ กระชากเป็นระยะ ก็ปล่อยไป ให้นิ่งๆ จะเริ่มเกิด ปิติ อาการปิติใดๆ ก็ขอให้ดูอย่างปล่อยวาง จึงจะเริ่มได้ โอภาส เป็นแสงสว่างว๊าบ ให้นิ่งและตามดูด้วยใจสงบให้ได้ ถ้าผ่านได้ ก็ให้ยกเป็นองค์ฌาณ แล้วเล่นอุคหนิมิตแทน จะเป็นจุดขาวๆดังไฟฉาย สามารถส่องให้เห็นอะไรที่อยากเห็นได้ แต่เห็นอะไรก็ตามก็ให้รู้ปล่อยวาง และเอามาวิจัยธรรมเท่านั้น ความไม่เที่ยง วัฏฏสงสาร อย่าได้เอาไปทำนายทายทัก จะทำให้ฟุ้งซ่าน

    ถ้าไม่สามารถเล่นกับ อุคหนิมิตได้ ก็ถือว่า ไม่ก้าวหน้า

    แต่ทั้งนี้ จะเล่นหรือไม่เล่นก็ได้ เพราะถ้าถึงจุดนี้แล้ว

    เมื่อออกจากสมาธิ กายจะสงบ ใจจะสงบ เดินเหินไปไหน ก็ไม่ว๊อกแว๊กหวั่นไหว

    ก็อย่างพึ่งคิดว่าบรรลุอะไร เป็นเพียงผลของสมาบัติ สมถะที่ส่งผลเป็นวิบาก ก็จะเป็นสักระยะ ยาวบ้าง สั้นบ้าง บางคนก็ 7 เดือน ก็จะหายไป ซึ่งตอนนี้ก็ให้ยกเป็นวิปัสสนาว่า เออหนอ ทำสมาธิ สมถะแค่ไหน ความสงบที่คิดว่าดีแล้วก็เสื่อมหนอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2007
  5. อิสวาร์ยาไรท์

    อิสวาร์ยาไรท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,608
    ค่าพลัง:
    +1,955
    ขอบคุณ ค่ะ คุณ เล่าปัง อ่านเข้า ใจ ง่าย ค่ะ ขอบคุณมากๆๆ ค่ะได้ ความรู้ ไปด้วยเลย แล้ว ก็ ขอบคุณ คนถาม ค่ะ อนุโมทนา สาธุ
     
  6. jackman

    jackman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +194
    เป็นอาการ ปิติ ที่เกิดจากการปรุงแต่ง แล้วไม่ปล่อยวาง

    ถ้าไม่ปล่อยวาง ปิติ อาการจะเป็นมากขึ้นๆ จนเกินพรรณนา

    ทำให้มีอาการที่คนอื่นไม่เคยเป็น ไม่เคยทำ ไม่เคยได้ก็มี

    ถ้าจะให้ดี เขาให้ปล่อยวาง แม้แต่ขั้น สุข ที่เกิดหลังจาก ปิติ ก็ต้องปล่อยวาง ไม่เช่นนั้นก็จะ เกิดไปเรื่อย ไม่นิ่ง

    ปิติ หรือ สุข ต้องรักษาให้นิ่ง ถึงจะยกเป็นองค์ฌาณได้ ซึ่งนั้นจะทำให้เข้าสู่ ฌาณ 3 ฌาณ 4

    และถ้ายิ่งปล่อยวางเก่งเท่าใด โอกาสที่จะเข้า เอกัคคตา ก็จะมีมากขึ้น

    เมื่อเข้า เอกัคคตา ได้มากขึ้น ก็จะเจริญฌาณได้สูงขึ้น

    หัวใจคือ ต้องรู้จักปล่อยวาง

    * * * * * *

    อานาปานสติ

    เมื่อจับอารมณ์ลมหายใจ จนคำบริกรรมกำกับหายไป แต่ยังมีการตามดูลมอยู่ จะแผ่วเบา หรือ หนักขึ้นมา หรือ กระชากเป็นระยะ ก็ปล่อยไป ให้นิ่งๆ จะเริ่มเกิด ปิติ อาการปิติใดๆ ก็ขอให้ดูอย่างปล่อยวาง จึงจะเริ่มได้ โอภาส เป็นแสงสว่างว๊าบ ให้นิ่งและตามดูด้วยใจสงบให้ได้ ถ้าผ่านได้ ก็ให้ยกเป็นองค์ฌาณ แล้วเล่นอุคหนิมิตแทน จะเป็นจุดขาวๆดังไฟฉาย สามารถส่องให้เห็นอะไรที่อยากเห็นได้ แต่เห็นอะไรก็ตามก็ให้รู้ปล่อยวาง และเอามาวิจัยธรรมเท่านั้น ความไม่เที่ยง วัฏฏสงสาร อย่าได้เอาไปทำนายทายทัก จะทำให้ฟุ้งซ่าน

    ถ้าไม่สามารถเล่นกับ อุคหนิมิตได้ ก็ถือว่า ไม่ก้าวหน้า

    แต่ทั้งนี้ จะเล่นหรือไม่เล่นก็ได้ เพราะถ้าถึงจุดนี้แล้ว

    เมื่อออกจากสมาธิ กายจะสงบ ใจจะสงบ เดินเหินไปไหน ก็ไม่ว๊อกแว๊กหวั่นไหว

    ก็อย่างพึ่งคิดว่าบรรลุอะไร เป็นเพียงผลของสมาบัติ สมถะที่ส่งผลเป็นวิบาก ก็จะเป็นสักระยะ ยาวบ้าง สั้นบ้าง บางคนก็ 7 เดือน ก็จะหายไป ซึ่งตอนนี้ก็ให้ยกเป็นวิปัสสนาว่า เออหนอ ทำสมาธิ สมถะแค่ไหน ความสงบที่คิดว่าดีแล้วก็เสื่อมหนอ







    ------------------------------------------------

    ขอบคุณครับกระจ่างมากครับผม
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ขอเสริมอีกนิด

    อาการสงบนิ่งหลังจากทำสมถะ จะอยู่อย่างน่ารำคาญในบางกรณี เช่น เมื่อเดินเตะโต๊ะแรงๆ ใจมันจะไม่เจ็บเลย กายนะช้ำเลือด ที่ใจไม่เจ็บไม่ใช่เพราะหลุดพ้นนะ คนละเรื่อง มันคือสมาธิกดไว้ ( หินทับหญ้า )

    แล้วที่เดินเตะโต๊ะก็เพราะตัวมันเบาๆ ลอยๆ เดินไปไหนมาไหนก็ขนลุกขนชันอยู่นั่น บางครั้งก็ร้อนวูบวาบไปหมด ( อันนี่คนขี้โกรธจะเป็นกัน ) ทั้งวันทั้งคืน จะนอนก็ตัวเบาไปหมด คนอื่นเห็นว่าดี เราเห็นว่าน่ารำคาญอยู่ไม่น้อย แต่ก็นี้แหละ กายไม่ใช่ของเรา เราควบคุมไม่ได้

    แต่ข้อดีก็มี

    วันหนึ่งเรานั่งรถตู้ ก็อานาปานสติเป็นเครื่องอยู่ไปเรื่อย จนกว่าจะถึงจุดหมาย แต่รถตู้เจ้ากรรมวิ่งออกจากซอยตัดหน้ารถเมล์ ด้วยสติที่ดีอยู่ก็วิ่งมารวม ทำให้เห็นภาพการชน การปะทะ การผลิกคว่ำ การกระเด็นไปอัดกับรั้วฟุตบาต กระจ่างชัดทุกขั้นตอน

    พอจบวาระ ก็ช่วยคนอื่นให้ออกมาจากรถ คนอื่นเขาหัวร้างค้างแตก แต่เรานิ่งสนิท คิดว่าไม่เป็นอะไร ก็เดินทางไปทำงานต่อ จนอำนาจ สมถะ มันหมด คราวนี้ระบมไปหมด แขนขาชาไปหนึ่งซีก

    สมมติว่าตอนนั้นจิตหลุดถึงวาระกรรมตัดรอน ก็คงนิ่งสนิท ประคองจิตภวังค์ไปสู่เทวภูมิได้ไม่ยาก

    เข้าใจบรรทัดสุดท้ายไหม ?!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2007
  8. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    แฮะๆ ไม่รู้นำเด้อ

    แต่ขอโมทนาที่หาเวลามาทำสมาธิได้ครับ ... ระวังเทวดารักษาตัวจะแอบแซวเน้อ(เสียงจิ้งจกทัก)... เล่นไปเรื่อยหนะ เหอๆ
     
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ก็อย่าลืมว่าตัวเรานั้นคือ ฆารวาส เต็มขั้น มีภรรยา มีงานการทำ มีเรื่องวุ่นๆร้อยแปด

    แต่ก็ปฏิบัติได้ทุกอย่าง แม้ไม่รู้ถ้อยคำปริยัติทั้งหมด ก็เพียงแต่น้อมศรัทธานำ

    ปฏิบัติอย่างไรแล้ว ก็ล้วนได้ผลจริงไม่มีหลอกลวง ถ้าไม่หลงตนเองเสียก่อน

    เราพยายามพิสูจน์ให้ครอบทุกทาง เท่าที่จำเป็น เท่าที่ฆารวาสทำได้ ไม่ต้องบวช

    แต่ก็พบว่า ไม่มีทางใด สำคัญ และ จริงยิ่งกว่า สติปัฏฐาน 4

    หากแม้นหมายมั่นนิพพานแล้ว ไม่คิดหลงอภิญญา

    ก็เข้าสู่มรรคานี้เสีย อย่าได้เนิ่นช้าอยู่เลย

    * * * * * * *

    ที่ว่า ฆารวาส ทำแล้วตายก็ไม่ใช่

    หากแต่ว่า มรรคเต็มแล้ว แต่ใจยังน้อมอยู่กับหน้าที่ จึงคงอยู่

    หากเมื่อใด กาลเวลาปัจจัยส่ง ให้ปลงเสียแล้ว

    ก็ข้ามฝากตอนนั้น แต่ก็ไม่ใช่การตาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...