ขอเรื่องรูปนามอีกสักรอบ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 11 สิงหาคม 2015.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620

    เนื่องจากรูปนามเป็นเรื่องยากต่อการเข้าใจ
    และยากต่อการประพฤติปฏิบัติให้รู้ด้วยความสามารถ
    ของจิตล้วนๆ
    ซึ่งหากจิตใดได้เห็นความจริงของรูปนามแล้ว การยึดมั่น
    ถือมั่นต่างๆ ก็จะหมดไปเอง การเห็นความจริงของอนัตตาก็ชัดเจน
    จึงใคร่ขอคำชี้แนะหรือความเห็นเพื่อการปฏิบัติเพื่อการให้ถึงการประจักษ์อีกครั้ง ยาวค่ไหนก็ต้องติดตามครับ
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เมื่อประจักษ์รูปนาม
    เสียแล้วข้อถกเถียง
    ้ทั้งหลายคงลดวูบนะฮะ
     
  3. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    นามรูปตามหลักของพระพุทธศาสนา หรือตามอำเภอใจ จังหวัดใจของใครของมันขอรับ :d(deejai)
     
  4. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ยังไงก็ได้ที่ชี้แนะแล้วทำให้เห็นอนิจจัง อนัตตาได้ในที่สุด
    โดยไม่ขัดแย้งกับพระสูตรใดๆฮะ
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กราบขออนุญาติ

    ต้องทำความเข้าใจ เรื่อง " ธรรมฐิติ " กับเรื่อง "ยถาภูตญาณทัศนะ"
    และ " วิมุตติญาณทัศนะ " ให้แม่นๆก่อน

    เพราะหากไม่ทำความเข้าใจ ลักษณะของลำดับการ"รู้แจ้ง" กับ "รู้ชัด" และ "รู้ว่ารู้ชัด"

    ตัวสัญญามันจะมีอำนาจ ชักชวนให้เกิดความลังเล โดยที่เราก็ไม่สามารถทันสิ่งนั้นได้
    หากยังแยก ธรรมภายใน(ธรรมอันปราศจากอยานตนะความเป็นชาติภพกระทบรู้) กับ
    ธรรมภายนอก(ธรรมที่อาศัยอยานตนะกระทบรู้) กล่าวตามสมัย เรียกว่า "แยกรูป แยกนาม"

    หรือกล่าวโดยนัยกระทู้ คือ การรู้ รูป นาม

    ธรรมฐิติ จะเกิดขึ้นก่อน เป็น สัมมาทิฏฐิ อันเกิดจาก จิตมีศรัทธาต่อพระผู้มีพระภาค
    เพียงแค่ มีศรัทธา ธรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิ จะห้อมล้อมเรียบร้อยแล้ว ฟังธรรมอะไรยังไง
    จะฟังจาก คนแสดงถูก คนแสดงผิด ก็จะ รู้ธรรมอยู่โดยตลอด มารจะทำร้ายไม่ได้

    แต่ปถุถชน จะต้องไม่ลืมว่า ตนยังเป็น "จลศรัทธา" หรือ ยังเป็นผู้มีศรัทธาง่อนแง่น ให้ยอม
    รับความเป็นจริงตัวนี้ แล้ว จะไม่โดน "สัญญา" พาไปหมายตนว่าเป็นผู้ศรัทธาแน่นอน
    มั่นคง

    จลศรัทธา จึงทำให้ ธรรมที่สดับ มีการตกหล่นจาก ตัก เวลา ลุกออกไปประพฤติปฏิบัติ


    ยถาภูตญาณ จะเป็น ความต่อเนื่องกันระหว่าง ศรัทธาต่อพระผู้มีพระภาค แล้วเกิดธรรมฐิติ

    เช่น ลองสำรวจจิตใจศรัทธาของตน เอาแต่พอปิติปรากฏในพื้นจิต ไม่ถึงขนาดกุ้มรุมจิตจน
    น้ำตาตื้น แล้วลองคิดนำลงไปเลยว่า โลกนี้ คือ รูป กับ นาม .....หลังจากนั้น หากศรัทธา
    ไม่ง่อนแง่นแล้ว ยถาภูตญาณ จะต้องแสดงตัวทันที ธรรมของพระพุทธองค์ เป็นของคนรู้
    เร็ว ไม่ใช่รู้ช้า

    แต่ จลศรัทธา หากยังเกิดอยู่ การหิวอารมณ์ การดิ้นรน การแสวงหา จะ บีบคั้นจิตให้กลาย
    เป็น ลูกไก่ในฟองไข่ ไม่ยอมผลิกหัวหันไปจิกเปือกไข่ เห็นว่าลำบาก ยาก และ นอนขดอยู่อย่าง
    นี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่จริงๆ กายมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากจะเป็น ลูกไก่ในฟองไข่แล้ว ก็ต้อง
    จิกเปลือกห่อหุ้ม แหวกสภาวะหิวอารมณ์(ผัสสาหาร) การดิ้นรน(มโนสัญญเจตนาหาร)
    การแสวงหา(วิญญาณาหาร) นั้นให้ได้

    เมื่อได้ ยถสภูตญาณทัศนะ การแยกรูป แยกนามจะชัดเจน ภาวนาต่อไป จนกระทั่งเห็นว่า
    " ยถาภูตญาณทัศนะ " ก็เป็น กุปธรรม มีการกำเริบกลับ ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ แล้วอาศัย
    ระลึก จิตที่ศรัทธาพระผู้มีพระภาค จิตที่มีธรรมฐิติเข้าไปตั้งอยู่ จิตที่แหวกกองรูปนาม
    ออกมามีจิตตั้งมั่น นั้นเป็น "ธรรมภายใน" อันไม่มีอยู่ในภายนอก ใครก็แสดงสิ่งนี้ไม่ได้
    มีแต่ ผู้เพียรอยู่เท่านั้น ที่ทราบโดยลำพัง ด้วยความเป็น ปัจจัยการ คือ มีความเพียร
    ก็มีโอกาสทำการเห็นวิเศษ หากไม่มีความเพียร การเห็นวิเศษก็หายไปเป็นธรรมดา

    เห็นปฏิปทาทั้งหลาย ที่เราสมาทาน ก็เพื่อ อุบายอบรมจิต เป็นสิ่งเกิดดับ อาศัย เพื่อสุขใน
    ปัจจุบันธรรมเท่านั้น

    ส่วน " วิมุตติญาณทัศนะ " จะเป็น ธรรมที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ สังขตธรรม เหล่านั้น

    วิมุตติญาณทัศนะ จะเป็น ธรรมที่พ้น เหตุปัจจัย ปรากฏอยู่เหนือธาตุ เหนือธรรม
    และไม่เคยหายไปไหน ผู้เป็นวิญญูชน พึงรู้ และ พยากรณ์ได้ด้วยตนเอง


    วิมุตติญาณทัศนะ ก็เป็นของเกิดดับ ตามธรรมนิยาม เกิดดับ ได้ 4หน เป็นอันไม่มีเศษ
    ส่วนเหลือใดๆ ให้พิจารณาอีก



    *************

    เมื่อกลับมา พิจารณา คำว่า รูป-นาม ก็จะเห็นว่า เป็น บัญญัติ ที่พระพุทธองค์ประทานไว้ให้
    เป็น อุบายในการ หน่วงเหนี่ยวจิต ให้สนใจ ให้ศรัทธา ให้นมสิการ ที่นี้ เดี๋ยวนี้

    เพราะ รูป-นาม ไม่มีเรื่อง เงื่อนเวลา ไม่มีการสะสม มีแต่การ รู้ลงปัจจุบันธรรม รับทราบ
    บารมีที่เต็มบริบูรณ์ทุกเมื่อ ทันทีที่ เจริญสติ

    งานการภาวนา จึงทำให้ บุญบารมีชนิดอื่น เต็มในคราวเดียว ขณะที่ ภาวนาแบบ ช้างกระดิกหู
    งูแลบลิ้น เจริญได้หนึ่งครั้ง จะมีบุญกว่า นั่งสมาธิทำสมถะชั้นเลิศ มาหนึ่งราตรี
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    หรือยกพระสูตรมาแสดงอย่างตรงๆ
    ผู้ศึกษาจะหมดข้อสงสัยได้ปัญญาเพิ่มครับ
     
  7. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ถ้าไม่มีหลัก ให้ต่างคนต่างว่า 100 คนก็เท่ากับร้อยความคิด ได้รูปนาม 100 แบบ :d
     
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ส่วนคำชี้แนะของผู้แจ้งเองแล้ว
    นี่ลุงแมวเปล่ากำหนดให้ท่าน ต้อง
    อย่างนั้นอย่างนี้นะครับ
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อนึ่ง พึงทราบว่า เวทนา หรือ เวทนานุสติปัฏฐาน ไม่ใช่ การไปดูกายมันแสดง
    อาการชา อาการปวด ไม่ได้ไปดูอาการใจดิ้นรน

    เวทนา นั้นเป็น สิ่งที่จะเกิดเสมอ ไม่ว่า จะภาวนาได้อย่างมี สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ
    สัมมาอาชีวะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ หรือ ภาวนาแฉลบออกไปทางมิจฉา

    การยกเวทนาขึ้นพิจารณา จึงยก ตามหลังทุกครั้งที่ ภาวนาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

    เมื่อ กำหนดรู้เวทนาถูกตัว จะยิ่งเห็น ความจางหายไปของ กาลเวลา และ สัญญา
    ที่ปรากฏเป็น เพียงไออุ่นของ ชีวตินทรีย์

    บุคคลที่กำหนดเวทนาได้ จึงมีจิต ข้ามฝากตาย ข้ามความเป็นปุถุชน ตลอดเวลา
    ไม่มีการกลับไปรวมตัวกันอีก หากภาวนาจนได้มรรคผล ก็โชคดีไป หากภาวนา
    แล้วยังไม่ได้มรรคผล ก็ยังพอพยากรณ์ ลักษณะปรินิพพานยีในลมหายใจสุดท้ายได้


    การเห็นเวทนา จะเป็นจิต ที่พ้นจากรูป และ อรูป ทั้งสองส่วน จึงเรียก
    การบรรลุแบบนี้ อุภโตภาควิมุตติ [ ถึงกระนั้น ก็ยังไม่มีส่วนของ การเป็น ปฏิสัมภิทา ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2015
  11. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    นามรูป

    [​IMG]

    หมดนั่นแหละนามรูป
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ถ้าเกินกำลังก็เป็นผู้ดูก็ได้ฮะ
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    ถ้าพูดถึงรูปนาม ที่ว่ากันตามอารมณ์ของแต่ละคนๆนะ ผมน้ำตาซึมขอรับ คิกๆๆ
     
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กราบขออนุญาติ จี้เป็น รายบุคคลาธิษฐาน ภาษาพูดคือ จี้ลงเป็นรายบุคคล

    อย่างกรณีลุงแมว ที่ยกกระทู้ในคราวก่อน ปรารภถึงการ ภาวนาขณะที่เสวนาธรรมะ
    [ จริงๆ ภาวนาขณะแสดงธรรมะ ก็มี ...การบรรลุธรรม จึงมีทั้ง บรรลุขณะฟังธรรม
    และ บรรลุขณะแสดงธรรม ]

    อย่างกรณีลุงแมว ที่ยกกระทู้ในคราวก่อน ปรารภถึงการ ภาวนาขณะที่เสวนาธรรมะ
    ที่ชี้ชวนให้ พุทธบริษัท หันมากำหนด ปฏิฆะสัญญา ที่มันจะ หาช่อง เข้าแทรก

    อย่างนี้ คือ อาการของคนที่ภาวนามาหลายชาติ มีภาวนาอินทรีย์อยู่ แต่ไม่รู้ว่าตน
    กำลังใช้สิ่งนั้น ยกสิ่งนั้น ขึ้นแสดงเป็นตัวอย่าง คนมีความเพียร

    ทั้งนี้ เพราะไป รับเอา สิ่งอื่น ธรรมอื่น ธรรมที่มีเงื่อนเวลาทั้งหลาย มาปิดบัง จิตตน
    ที่ภาวนาอยู่

    ดังนั้น

    หากจะ ภาวนาเห็นว่า จิตตนสมาทานสิกขาอยู่ ก็เพียงแต่ สำรวจลงไปว่า ไปรับเอา
    ธรรมที่มีเงื่อนเวลาตัวไหนเข้ามาปิดบัง จิตที่สมาทานสิกขาอยู่ตลอดเวลา แล้ว พิจารณา
    เอาเองว่า จะ อนุโลมไปตามธรรมอันมีเงื่อนเวลา ธรรมอันเป็นเรื่องการสะสม ธรรมอันเป็น
    เรื่องการคลุกคลี หรือ จะ โน้มไปหาธรรมของ พระผู้มีพระภาค ที่ประทานวิธีการตัดสิน
    ไว้ให้ว่ อะไรคือ พุทธวัจนะ [ ธรรมไม่มีการคลุกคลี ธรรมไม่ใช่เรื่องการสะสม ธรรมอัน
    ไม่เนิ่นช้ามีเงื่อนเวลา ฯ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2015
  15. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ผู้รู้จากการประพฤติปฏิบัติ
    น้ำตาเขาจะไม่ต้องซึม

    ผู้ไม่รู้อยากซึมก็ซึมได้เลย
     
  16. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    ขำจนน้ำตาซึม (deejai)

    ไม่รู้จักพระรัตนตรัยว่ามีอะไรบ้าง คืออะไร แยกแยะยังไม่ออก แนะๆเล่นรูปนาม ซึ่งเป็นของสูง แนะยังไม่พอ ยังไปอนิจจัง ไปอนัตตาอีก
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    จะเห็นว่า น้ำตา นั้นคือ สังขาร ที่มันขยับหลอก

    ผู้ที่ เพียรภาวนา มีจิต เพ่งฌาณอยู่ จะรู้เท่าทันกองสังขารนั้น

    แม้นจะมี น้ำตา ก็ชื่อว่า เป็นผู้สลัดคืนน้ำตาให้กับโลกเขาไป โลกเขาต้องมีสิ่งนี้
    รูปขันธ์มันต้องมีสิ่งนี้ สัตวที่ยังมีอุปทานยังต้องอาศัย มารยาแห่งสังขาร กล่อม
    จิตใจไปก่อน

    ทีนี้

    เวลาเห็น ได้แบบนี้ ก็จะเรียกว่า เป็นผู้มีจิตตั้งมั่น เหนือโลก มี ยถาภูตญาณทัศนะ


    พระพุทธองค์ ตรัสแก่ผู้ที่มี ผู้ที่เกิด ยถาภูตญาณทัศนะว่า แม้นเธอมี เราก็ยังไม่พยากรณ์
    ว่าเป็น อริยะ หากตราบใด จิตยังเกิดอุปาธิ มีการกำเริบกลับไปเห็น ธรรมเนิ่นช้ามีรส มีค่า
    ธรรมการคลุกคลีมีรส มีชาติ ธรรมการสะสมมีรส มีชาติ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2015
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อาศัย อำนาจแห่งความกตัญญู ต่อมารดา

    ขอ ยกอีกสักเรื่อง

    ความเป็น พุทธภูมิ โพธิสัตว ไม่ใช่ เกิดจากการ ดำริ จะเป็น

    แต่เกิดจาก ปัจจัยการของผู้มีความกตัญญู นำหน้า และไม่ใช่เรื่องของสัตว์

    ตรงนี้ จะต้อง ยกเรื่อง รูป นาม มาประกบให้ดีๆ ความ กตัญญู เป็นสภาวะธรรม
    อย่างหนึ่ง อาศัยจิตของบุตรที่เห็นคุณของผู้ให้กำเหนิด อาศัยจิตที่เห็นคุณจาก
    ดินและน้ำ ปฐพี และ ความกลมเกลียวเหนี่ยวรั้ง จึงเกิด การตอบแทนคุณ
    จึงเกิด เมตตา และ กรุณา [ พระพุทธเจ้า จึงตรัสตนเป็นหนี้โลก และ ตนเป็นของโลก ]

    จะเห็นว่า เมตตา กรุณา ก็เป็น สภาวะธรรม อันเกิดจาก ปัจจัยการ ไม่ใช่เกิดลอยๆ
    โดยการดำริจะเป็น [ การดำริจะเป็น จึงเป็นเรื่องของ คนที่อกตัญูเท่านั้น ปรากฏเพื่ออกตัญญู เท่านั้น ]

    เมือทวนกระแสลงไปอีก ความเมตตา ความกรุณา มีอะไรเป็น อุปการะธรรม ก็จะ
    ปรารภไปถึง ทาน ศีล เนขขัมมะ ....( อุปการะธรรม10 ของ โพธิญาณ )

    ดังนั้น โพธิสัตว์ ไม่ใช่ เอะอะ ดำริจะเป็น แต่เป็นการ แจ้ง และ ระลึกได้ด้วย ยถาภูตญาณ
    แทงตลอดไปถึง ปฏิจสมุปบาท เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของ สัตว์ ตัวตน บุคคล เราเขา แต่อย่างใด


    สิ่งที่ รั้งโพธิสัตว์ ไม่ให้ข้ามโคตร จึงเป็น ร่องรอยของการทบทวน อุปการธรรม ทุกยุค ทุกสมัย
    หาก จิตมันไปทบทวนแล้ว จิตก็จะเคลื่อน คลาดจากนิพพาน

    ถ้าประสงค์จะนิพพาน ....ก็ให้ กำหนดรู้ การฝุ้งซ่านตรงนี้ จิตแสวงหาตัวนี้ จิตตัวทุกข์ตัวนี้ แล้ว ละ

    [ สังเกตดีๆ มันจะเป็นเรื่อง ธรรมเนิ่นช้า ธรรมคลุกคลี ธรรมการสะสม ฯ
    พูดอีกแง่ คือ การลังเลสงสัยนิพพาน จึงทำให้หยุด ที่ อนุโลมมิกญาณ

    โชติปาละมานพ ไปเจอพระสัพพัญญุ จึงปรารภ ไม่เชื่อ และ บริภาษถึงความ ยากเย็ญของ สัพพัญญู ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2015
  19. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ป่วนซ้ำรอยเดิม ไม่ผิดหวังสำหรับผู้อยู่เบื้องหลัง
     
  20. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    อดใจรอให้คลื่นลมสงบสักนิดนะฮะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...