ขอสอบถามหน่อยค่ะ..เรื่องเวลาหลับตานอนแต่มีอาการเหมือนเปลือกตาเปิดอยู่คือมันสว่างไสวคล้ายลืมตา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oil-Nudchanat, 2 กรกฎาคม 2015.

  1. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    เคยมีอาการประหลาดสองครั้งค่ะ..ครั้งแรกพึ่งตื่นนอนแต่สติสัมปชัญญะครบแล้วเพียงแค่นอนหลับตาต่อเฉยๆแต่ในตาซ้ายกลับปรากฎภาพห้องๆนึงมองเห็นภายในห้อง..เห็นเตียงนอนสีฟ้าเห็นตู้โต๊ะในห้องเลยตกใจลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแล้วหลับตาใหม่ก็ยังปรากฎภาพเดิมอยู่..เลยพยายามเพ่งมองว่าในห้องนั้นมีใครมั้ยเป็นที่ไหนแต่ไม่เห็นใครในห้องเลย..อาการสงสัยและการเพ่งหนักเข้าๆภาพก็หายไปและก็ไม่เคยเป็นอีก..และมีอีกครั้งที่เข้านอนแล้วหลับตาแล้วแต่หลับตายังงัยก็เหมือนลืมตาอยู่คือมันเหมือนกันแค่ปิดเปลือกตาลงแต่ตาข้างในยังทำงานปกติคือพยายามมองผ่านเปลือกตานั้นและเห็นแสงสว่างเป็นปกติจนนอนไม่ได้ต้องลืมตาขึ้นและทดลองหลับใหม่ซ้ำๆหลายครั้งจนเข้าสู่สภาวะปกติ..และอีกครั้งคือนอนหลับไปแล้วด้วยความเพลียแต่ข้างในเปลือกตากลับสว่างไสวเหมือนคนลืมตาอยู่แต่หลับในเป็นจนกระทั่งตื่น..คือเป็นเหมือนหลับๆตื่นๆที่ตื่นก็เพราะมันสว่างไสวแต่ความเพลียก็หลับไปอีกเป็นแบบนี้จนเลิกนอน
    รบกวนช่วยวิเคราะห์หาสาเหตุทีค่ะว่ามีใครเคยเป็นแบบนี้บ้างไหมคะ..คือมันสงสัยและสับสนมากๆเลยค่ะ
     
  2. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ถ้าอาการไม่ได้เกิดในช่วงทำสมาธิ

    เรื่องภาพห้อง ก็แค่สมองทำงานผิดปกติอยู่ช่วงหนึ่งแค่นั่น คือ กระแสไฟฟ้าแถวสมองมันไปกระตุ้นให้เห็นภาพ

    กรณีหลับตาแล้วเห็นสว่าง สมองมันมีกระแสไฟฟ้าวิ่งมาก เพราะจิตมันสงบ

    ทางเต๋าคงอํธิบายว่า ชี่ขึ้นสมอง ทำให้สมองมีประสิทธิภาพ

    สองอาการเกิดได้ตามปกติ ถ้าจิตใจเราสงบในระดับหนึ่ง ผมก็มีอาการอย่างนั้นบ่อย แต่ภาพที่เห็นก็แล้วไฟฟ้ามันจะไปกระตุ้น ความทรงจำส่วนไหนแค่นั้น ซึ่งบางทีสมองมันเอาความทรงจำหลายอันมาสร้างเป็นภาพเดียวที่เราไม่เคยเห็นก็มี

    ถ้ามีอาการอย่างนี้ อาจทำมโนมยิทธิได้ง่ายนะ นึกอยากเห็นอะไร ก็ตั้งใจแค่นั่นก็เห็นล่ะ

    สรุป อาการปกติ
     
  3. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    ขอบคุณค่ะ^^
     
  4. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015
    เค้าเรียกว่า อาการ ฝันในฝัน
    แต่อาการอย่างนี้ มิใช่ ฝันในฝัน ชั้นเดียว
    แต่มันเกิดซ้อนกันหลายชั้น
    คือ มีสามฝันขึ้นไป
    แต่ตัวคุณกับรู้สึกได้แค่ชั้นเดียว
    ดังนั้น ในตอนที่คุณคิดว่า
    ได้ลืมตาตื่นแล้ว
    แต่ในความเป็นจริง ยังฝันอยู่เหมือนเดิม

    ส่วนอาการที่่คุณคิดว่า
    ยังไม่หลับนั้น ตัวคุณยังไม่หลับ
    แต่จิตอ่อนเพลีย ได้เผลอหลับไปก่อนแล้ว

    ส่วนอาการที่คุณได้เห็นสิ่งต่างๆ
    อันนี้เรียกว่า นิมิต ครับ
    เพราะนิมิตจะอยู่ต่ำ
    ระหว่างตอนหลับตา กับ ลืมตา
    อยู่ใกล้กันแค่นี้
    หากลึกกว่านี้ จะเรียก เข้าญาน
    ดังนั้น ผู้ที่ฝึกนิมิตมากๆ
    จะสามารถฝึกตอนที่ลืมตาได้ด้วย
    ความรู้สึก จะเหมือนของคุณตรงที่
    ลืมตา ก็เหมือนหลับตา
    หลับตา ก็เหมือน ลืมตา

    ขอให้คุณฝึกสาย นิมิต ต่อไปเรื่อยๆ
    จะบรรลุอภิญญาได้ไม่ยาก
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ไม่ต้องไปสงสัย ไปอะไรเลยครับ
    ยิ่งสงสัยยิ่งอยากรู้ ยิ่งขวางการพัฒนาทางจิตเราครับ..
    กิริยาพวกนี้เป็นอาการที่ปกติธรรมดามากครับ..
    ทั้ง ๒ อาการระดับกำลังสมาธิยังไม่ถึงปฐมฌานเลยครับ.
    และก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆคนครับ
    อาการที่เหมือนกับว่าเราหลับตาแล้ว
    แต่ว่ามองเห็นสภาพแวดล้อมภายนอกได้
    หรือมองเห็นสถานที่อื่นๆได้มักจะเห็นได้ทั้งเหมือนตอนกลางวัน
    และก็เหมือนตอนพลบค่ำก็ตาม..
    และถ้ากลางคืนไม่ได้เปิดไฟถ้าเห็นในห้อง
    สภาพแวดล้อมจะออกเขียวๆ มืดๆคล้ายมองผ่านกล้องส่องสัตว์
    ถ้าเป็นตอนกลางวันก็จะเห็นเหมือนกลางวันครับ..หรือเห็นแสงไฟนีออนได้ปกติ
    พอเราว่าจะตื่นแม้ว่าเราจะลืมตาแต่อาจจะหลับตาต่อเร็ว
    และก็นอนต่อ จังหวะนั้นสภาวะจิตมันยังไม่กลับเข้าสู่
    สภาพปกติเหมือนๆใช้ชีวิตทั่วไป แล้วการที่เรามาหลับตาต่อนั้น
    อารมย์นั้นมันคล้ายๆอารมย์ระดับอุปจารสมาธิ ซึ่งอารมย์
    ระดับนี้มันเป็นอารมย์ที่จิตสามารถมีความเป็นทิพย์ได้.
    และการเห็น สังเกตุอีกนิดหนึ่งจะพบว่า มันมีจุดที่มองผ่านออก
    มาจุดเดียวที่รู้สึกที่ตาข้างซ้ายไม่แน่ใจว่านอนตะแคงหรือเปล่าครับ
    เพราะถ้านอนตะแครงมันจะเหมือนคล้ายๆกับว่ามองผ่านออกมา
    จากตาข้างที่เราตะแคงได้อยู่ครับ..คือตะแคงขวาจะเหมือนมอง
    ผ่านตาซ้าย ตะแคงซ้ายจะเหมือนๆมองผ่านตาขวา แต่สังเกตุง่ายๆว่า
    ตำแหน่งที่เห็นมันจะสูงกว่าระดับตาแค่นิดเดียวครับ คือวัดเป็นมุมเฉียง
    ขึ้นไปไม่กี่องศาครับ..ในทำนองเดียวกัน
    ถ้าตะแคงซ้ายเห็นตาซ้ายมุมที่เห็นจะเอียงต่ำ
    ลงไปข้างล่าง และถ้าตะแคงขวาเห็นตาขวามุมที่เห็นจะต่ำไปข้างล่างเช่นกัน
    แต่ปกติถ้านอนตรงๆมันก็จะเหมือนมีการมองออกมาจากจุดเดียวครับ
    และไม่ได้เหมือนเรามองด้วยตาปกติ ๒ ข้าง ยิ่งไปอยากรู้อยากเห็น
    มันก็จะไม่เห็นครับ เพราะจะมีความอยาก ความคิดจากจิตเข้าไปร่วมทันที
    พวกความอยากความคิดมันเป็นตัวดึงไม่ให้จิตเป็นทิพย์ครับ..
    และพวกนี้นานๆไปถ้าชินหมายถึงอยู่ในอารมย์นั้นได้นานๆ
    ลองยกแขนยกขาตัวเอง แล้วมองดูได้ ก็จะเห็นได้แม้ว่าลืมตาครับ..
    สภาวะอารมย์ระดับนี้ มีประโยชน์ตรงที่สามารถใช้พิจารณาเรื่อง
    ราวต่างๆที่ผ่านมาที่เป็นจุดอ่อนของเราได้ และสามารถใช้พิจารณา
    เรื่องราวที่จะเกิดในวันนั้นได้ ว่าเราจะทำอะไรบ้าง ถ้าทำได้เวลาเรา
    ทำงานหรือทำอะไรมันจะไหลลื่นได้ดีครับ..
    ส่วนที่หลับตาแล้วเห็นแสงได้ ปกติจะเป็นแสงสีขาว
    บางครั้งก็สว่างมากๆ หรือสว่างด้านใดด้านหนึ่ง
    ถ้าสีขาวขุ่นตรงกลางก่อนแล้วสว่างๆบริเวณรอบๆ
    ทางด้านซ้ายเป็นครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิของเรา
    ถ้าสีขาวขุ่นๆตรงกลางแล้วสว่างออกรอบๆทางด้านขวา
    จะเป็นครูบาร์อาจารย์ท่านใหม่..
    ถ้าสว่างแบบทั้งบริเวณแต่หาต้นกำเนิดไม่ได้
    เป็นสภาวะที่จิตเริ่มทำงานหรือจิตมีความเป็นทิพย์
    แบบแสงนำทาง สังเกตุได้ แสงแม้ว่ามันจะสว่างแต่ว่า
    มันไม่เย็นนะครับ..พวกนี้อยู่ระดับปฐมฌาน เป็นสมาธิพื้นฐาน
    แต่ถ้าไม่เข้าใจ คิดว่ามันวิเศษ ก็จะทำให้กลายเป็นคนหลงตัวเองได้
    เพราะคิดว่าตัวเองบรรลุคุณธรรมระดับต่างๆ ซึ่งมีเยอะแยะนะครับ..
    สรุป คือมันเป็นสภาวะปกติที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปครับ ถ้าเราไม่เข้าใจ
    ว่ามันคืออะไร ณ เวลานั้นก็ให้ลืมมันไปเลยครับ
    ไม่ต้องเก็บมาคิด ให้ลืมไปเลยว่ามันเคยเกิดกับเราครับ..
    แล้วมาฝึกเจริญสติเพื่อสร้างสติทางธรรม
    เราถึงจะทราบคำตอบได้ครับ ไม่งั้นถ้าเราไปคิด
    ไปอยากรู้คำตอบ
    มันจะขวางความก้าวหน้าในการปฏิบัติของเรา
    ในทุกๆเรื่องได้ครับ.ที่สำคัญมันจะทำให้เรื่องราว
    ต่างๆที่มากระทบกับเราในอดีตหรือในระหว่างวัน
    มันจะทำให้เราเก็บมาคิด เก็บมาปรุง จนเราจบไม่เป็นครับ
    พูดง่ายๆว่ามันจะทำไม่ให้จิตเราสงบนั่นหละครับ
    .
     
  6. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    ที่มองเห็นที่ตาซ้ายข้างเดียวเกิดจากการนอนตะแคงจริงๆค่ะ..เพราะตอนแรกไม่แน่ใจว่าเห็นตาทั้งสองข้างหรือเปล่าเลยลองเอามือมาปิดตาขวาเลยทำให้รู้ว่าตาซ้ายยังมองเห็นอยู่..พอเปิดออกลืมตาทั้งสองข้างภาพกลับไม่ชัดเท่ามองข้างซ้ายข้างเดียว..ส่วนแสงสว่างที่มองเห็นนั้นเป็นแสงสว่างจ้าเหมือนมองเห็นได้180องศาคือสว่างทั้งหมดเหมือนตอนกลางวันไม่ใช่แสงจากนีออนเลยทำให้หลับไม่เต็มที่..ปกติก็สวดมนต์ทุกวันนั่งสมาธิเกือบทุกวันนะคะ..มีประสบการณ์แปลกๆมาเยอะแต่ครั้งนี้ไม่เคยเจอเลยเกิดความสงสัยแต่ไม่ได้พยายามจะเห็นอีก..คือเวลาจะเกิดมักจะเกิดเองเพียงแค่อยากรู้ว่ามีความปกติอะไรหรือเปล่าน่ะค่ะ..เคยมองเห็นไอจากร่างกายลอยออกมาจากฝ่ามือและสิ่งรอบข้างรวมทั้งออร่า..และทุกวันนี้ก็ยังได้ยินเสียงสวดมนต์อยู่บ่อยๆเหมือนเคย..มีครั้งนี้ที่เป็นสิ่งใหม่ๆเลยอยากขอคำปรึกษาน่ะค่ะ..เพราะประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมาก็ล้วนเคยได้รับคำแนะนำจากคุณnopphakanมาทั้งนั้นค่ะ..ขอบคุณทุกท่านที่มาชี้แนะนะคะ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 กรกฎาคม 2015
  7. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    ติดตามดูครับ :d
     
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เวลา ฝึกธรรมปฏิบัติ การ ตั้งข้อสมมติฐานในกาตรวจสอบ จะต้อง ฉลาดในการตั้งคำถาม

    วิธีการตั้งคำถาม ที่มี ตัณหากำเริบกลุ้มรุมจิต คำถามจะอุดมไปด้วย " ผล "
    ถามเพื่อให้ รับรองผล ถามเพื่อยกผลว่าคืออัลลัยคะ

    แต่ถ้าเรา ทำแบบพระพุทธองค์ ....... เช่นว่า พระโพธิสัตว์ได้ รับ พยากรณ์
    ว่าจะสำเร็จเป็น พระสัพพัญญู

    พระโพธิสัตว์ ท่านตรึกอย่างไร เคยสังเกตไหม

    ท่านไม่มีนะ ไปตรึกเอาว่า "ผล" อย่างนี้ คืออัลลัยนะ

    ท่านจะตรึกไปที่ " อุปการะธรรม " หนทางปฏิบัติที่ทำมาแต่ก่อนหน้า ว่าทำมาอย่างไร
    จึงเป็น ปัจจัยให้เกิดสิ่งนี้(สิ่งที่ปรากฏในคำถาม)

    หากตรึกแบบนี้ การปรารภจะปรารภไปที่ วิหารธรรม ที่ท่านใช้

    หากตรึกแบบนี้ เจ้าของกระทู้ จะปรารภไปที่ วิหารธรรม ที่คุณใช้

    เพราะ เพียรมาอย่างนี้ จึงเกิด ผล อย่างนี้เป็นธรรมดา และ หากความเพียร
    นั้นหย่อนลง หรือ เข้มข้นเกินไป ผล ที่ควรจะเกิด ก็ไม่เกิด

    พอตรึกแบบนี้ ก็ไม่ต้องไป เพียรจนสุดโต่งไปสองข้าง มีความเป็นกลาง ตั้งมั่น
    ต่อการเห็น ไปตามที่มันปรากฏ จนเล็งเห็นได้ใน ธรรมวิเศษ ที่พ้นสมมติ พ้น
    ความเป็นปัจจัย แล้ว ตั้งมั่น แลอยู่ ..............ไม่ต้องถามใคร เพราะ รู้ได้ด้วยตนเอง



    ครั้งที่ พระโพธิสัตว์ ไม่ไปตรึกเอาส่วนผล แต่ ทวนกระแสไป ทบทวน ปฏิปทา วิหารธรรม ที่เพียรอยู่

    ด้วยเหตุของการ ละอาสวะ ตัวตน ปรารภเฉพาะ " เหตุ " อันพ้น มานะอัตตาว่า กูทำมาอย่างไร
    แต่ ตรึกว่า หากเหตุแห่งความเพียรมีเช่นนี้ ผลเช่นนี้ย่อมเกิดเป็นธรรมดา ดับไปเป็นธรรมดา
    แค่นี้ โลกธาตุทั้งจักวาล ก็ สั่นสะเทือนไปหมด

    แล้ว คุณหละ !!!?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2015
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ยกตัวอย่าง กลุ่ม ฉฏิลสามพี่น้อง พวกนี้ " เพ่งกสิณไฟ "

    เพ่งแล้ว เพ่งเล่า เพ่งแล้ว เพ่งเล่า ก็ออกมาตั้งคำถามว่า " ไฟจากอำนาจกสิณคืออัลลัยคะ "

    พอพระพุทธองค์เสด็จมาถึง ก็มาตรัสบอกว่า " ไฟจากอำนาจกสิณคือไฟแห่งราคะ ไฟแห่งโทษะ
    ไฟแห่งโมหะ " จงเพ่งไฟแห่งโมหะ นั้นเป็น อาธิ ว่ามัน เผา จิตธาตุ ให้ดับ แล้ว เคลื่อนไปสู่
    " จิตใหม่ " ไม่จบไม่สิ้น ใช่ไหม

    ดังนั้น ฉฏิลสามพี่น้อง ก็ทราบชัด ปฏิปทาตนว่า เพ่งไม่พอ เพ่งไม่ถึง ไฟที่เป็นโมหะ ที่มันเผา
    รนให้ จิตแปรปรวนไปตลอดเวลา 1ลมหายใจเข้าออก ธาตุจิตเกิดดับแปรปรนไปเป็นแสนโกฏิ
    ภพชาติน้อยใหญ่

    เท่านั้นแหละ ก็ อ๋อ ไฟคือโมหะ ให้เพ่งไฟตัวนี้ ไม่ใช่ไป จมเอาผลของไฟ ที่มันเผานั่นนี่ได้(สว่าง ไสว ทั่วจักรวาล !!! )
    แต่ ไฟที่เผาหัวตัวเอง มองไม่เห็น( บอดสนิท )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2015
  10. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    เมื่อบอกเล่าชัดเจน ก็ทราบว่าอาการเหล่านี้ เป็นอาการจากผลของสมาธิภาวนา ซึ่งมีอาการร้อยแปดพันประการ บางทีเห็นดวงอาทิตย์ขนาดเล็กลอยเหนือศีรษะ บางทีหลับตากับลืมตาเกิดซ้อนกันเห็นทั้งภาพที่ตาเนื้อเห็นกับทั้งเห็นภาพที่สมองสร้างซ้อนกัน บางครั้งก็เห็นภาพทั้งจากตาเนื้อและภาพที่ตั้งใจจะเห็นแบบ360 องศารอบตัว ฯลฯ มันมีไปเรื่อยๆ แต่ระดับนี้ ไม่มีผลทางวิปัสนาอันจะก่อเกิดปัญญาในการลดละ วาง กิเลส แต่ประการใด

    แต่ท่านบอกเล่ามาเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า สมาธิที่ท่านฝึกฝนพอที่จิตจัมีศักยภาพพอที่จะฝึกฝนต่อหรือไปใช้งานได้แล้ว จะไปรับกรรมฐานสายมโนมยิทธิน่าจะได้เร็วครับ หรือจะเอาง่ายๆ ฝึกเอง ตั้งใจเพ่ง เกศา โลมา นขา ทันตา ฯลฯ ท่องแล้วเพ่งสมาธิจิตดูครับ หรือจะลองฟังเสียงในร่างกายจนได้ยินหรือเห็นหัวใจเต้น เลือดไหลโคจร ดูแล้วลองทำการเห็นการรู้ให้ได้นานๆ ครับ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ฟังไว้เฉยๆนะ เพราะมันเป็นกิริยาเฉพาะบุคคล...
    ..ไอหรือควันที่มันออกสีขาวๆหน่อย
    ช่วงแรก บางช่วงก็สีดำได้ นานๆไปจะใส..
    ในความหมายก็คือ ร่างกายมันกำลังปรับธาตุตัวเองอยู่ ถ้าสีดำแสดงว่ามีพลังงาน
    ตกค้างมากมักจะเป็นในคนที่สัมผัสเรื่องพลังงานภายนอกได้ดีแต่ว่า
    ไม่รู้จักการถ่ายเทในช่วงแรกๆ
    .ถ้าเป็นนานๆแล้วไม่ถ่ายเทร่างกายตรงนั้นจะพร่อง..
    ถ้าสีขาวๆคล้ายควันขึ้นในทิศทางที่ไม่ตรงมีสีไม่ใสปนบ้าง
    แต่ไม่มากก็เป็นในคนที่รับพลังงานภายนอกได้และตัวจิตกำลังถ่ายเทได้
    ถ้าไปยืนบนหญ้าแล้วกางแขนออกด้วยเท้าเปล่า
    กำหนดให้พลังงานส่วนเกินออกจากร่างกาย
    จะรู้สึกและมองเห็นพวกนี้ได้..และมองเห็นได้ว่ามันใสก็แสดงว่าปกติ
    พวกนี้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าๆนี่หละ ไม่ใช่เรื่องแปลกนะ..
    แต่บอกไว้ก่อนนะว่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติมากเช่นกัน..ถ้าเราสามารถเห็นแสง
    ออร่าได้หมายถึงเห็นได้หลายๆสีนะ..
    และเห็นควันหรือเห็นใสๆได้ ในเวลาเดียวกัน ในความหมายคือ ณ เวลานั้น
    จิตมันสามารถทำงานได้เมื่อเห็นเส้นสายและสี หรือทำงานได้เมื่อเห็นสี หรือเส้นสาย
    อย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง..
    อืมมมม..น้อยคนนะที่จิตจะทำงานพร้อมกันได้ทั้งเส้นสายและสีเนี่ย..
    ในนี้คนที่กดไลท์ให้เราบางคนเค้าก็เห็นได้เหมือนๆเราก็มีนะ..เมื่อก่อนเค้าก็งงๆ
    เหมือนกันว่าพูดๆอะไรให้ฟัง..หลังๆเริ่มสัมผัสได้จะเข้าใจที่พูดได้ดี..
    สรุปว่า กิริยานี้ไม่แปลก ให้เฉยๆไว้เช่นกัน สามารถเกิดขึ้นได้ปกติ
    ปล.ประมาณนี้..(^_^)
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตรงนี้ขออนุญาตเสริมนิดหนึ่งครับ..กิริยาที่น้องเค้า เจอมา
    สามารถ นำมาวิปัสสนาได้อยู่ครับ
    ตรงสภาวะอารมย์ที่เห็นนามธรรมนั่นหละครับ.เพียงแต่ต้องตัดการเห็นภาพต่างๆ
    ที่ไม่ใช่สภาพแวดล้อมในขณะนั้นออกไปให้ได้คือไม่สนใจสิ่งที่ปรากฏที่ไม่ใช่
    สภาพแวดล้อม และให้ยกเรื่องต่างๆที่เป็นจุดอ่อนของเราขึ้นมาวิปัสสนาใน
    สภาวะอารมย์นี้นี่หละครับ แต่ว่าต้องมีการฝึกซ้อมเข้าอารมย์ความเป็นทิพย์ตรงนี้
    ให้บ่อยๆนะครับ ส่วนการวางอารมย์ก็คือ สมมุติเรารู้ว่า เราอ่อนกิเลสตัวไหนจาก
    กำลังสติทางธรรมที่เราสร้างจากการเจริญสติระหว่างวันนะครับ ให้เรานึกๆไว้และ
    ลืมๆมันไป ส่วนตัวเรียกการวางอารมย์ครับ พอถึงสภาวะที่จิตเป็นทิพย์และตัดภาพ
    ที่ปรากฏและเหลือแต่สภาพแวดล้อมได้แล้ว เรื่องที่วางอารมย์มันจะผุดขึ้นมาได้เอง
    แบบอัตโนมัติและผุดขึ้นมาในขณะที่สภาวะความเป็นทิพย์ก็ยังคงอยู่

    คือถ้าเราไม่วางอารมย์ไว้ระหว่างวันพอถึงสภาวะอารมย์ความเป็นทิพย์
    เราจะนึกไม่ได้และไม่มีอะไรผุดมา พอเราไปคิดเรื่องอะไรก็ตาม
    มันจะหลุดออกจากอารมย์นั้นกลายเป็นสภาวะมืดๆและกลับสู่
    สภาพปกติทันทีครับ.. ถ้าเราวางอารมย์เป็นเราก็จะมา
    พิจารณาได้ตรงนี้ ถือว่าเป็นวิปัสสนารูปแบบหนึ่งในระดับกำลังสมาธิไม่มากครับ..
    แต่ว่าด้วยกำลังสมาธิระดับนี้ มันจะไม่สามารถตัดกิเลสตัวนั้นให้ถึงขั้นระดับละเอียดได้
    เหมือนบุคคลที่เข้าสมาธิระดับสูงๆได้ครับ(ซึ่งทำได้ยากและน้อยคนครับ).
    เพราะแม้ว่าจะวิปัสสนาไปแล้ว พอเราออกมาสู่สภาวะปกติจิตมันจะยังฟูได้(ก็คือยังจะ
    ระลึกถึงกิเลสตัวนั้นอยู่)แต่ว่าถ้าเราพิจารณาเรื่องนี้ได้บ่อยๆ ซัก ๓ ถึง ๔ ครั้ง
    ก็มีโอกาสที่จะตัดถึงส่วนที่ละเอียดได้เช่นกันในเรื่องที่เราพิจารณานั้นๆครับ...
    ส่วนคนที่มีแบบจิตทำงานได้เมื่อเห็นแสงและเส้นสายอย่างนี้ ถ้าจะฝึกวิชาพิเศษ
    ก็ไม่ยากแล้วแต่ความชอบครับ บางทีไม่ต้องฝึกจิตมันก็พอจะทำได้ครับ.
    ..แต่ด้วยสภาวะจิตตอนนี้มันจะเลย
    วิชาพิเศษแบบนี้ไปแล้วครับและปกติจิตแบบนี้มันจะไม่ค่อยชอบ
    และไม่ค่อยสนใจด้วยครับ
    เพราะตัวจิตมันข้ามไปในระดับวิญญานธาตุได้แล้วครับ..
    กรรมฐานที่เหมาะควรเป็นกรรมฐานพิเศษอื่นๆกองต่างๆ
    หรือไม่ก็ไม่ทางสายบารมีของหลวงปู่ ชื่อย่อ ด มีชื่อในอดีตและหลวงตาชื่อย่อ ม. ทางภาคเหนือใน
    ปัจจุบันนี้มันถึงจะเหมาะกับสภาวะจิตของน้องเค้า ณ เวลานี้ครับ...
    ปล.ประมาณนี้ครับ..ขอบคุณครับ
     
  13. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    ขอบคุณมากๆเลยค่ะสำหรับคำแนะนำ^^
     
  14. siwapoch

    siwapoch Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +42
    สวัสดีค่ะ ดิฉันก็พบอาการนี้ แต่เกิดขึ้นในขณณะปฏิบัติสมาธิ คือหลับตาแต่เห็นภาพตรงหน้า เห็นเป็นภาพตรงๆ ตอนแรกเข้าใจว่าตัวเองลืมตา และงงว่าตัวเองลืมตาปรือหลับตา พอหลังๆ เกิดอีกชัดกว่าเดิงภาวะนาเห็นหนอๆ ดิฉันติดตรงนี้ไปต่อไม่ได้ค่ะวางอารมณ์ไม่ถูก อยากเข้าใจว่าคืออะไร
     
  15. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ปกติผม มีอาการแบบนั้นเป็นครั้งเป็นคราวแค่ชั่วขณะครับ ไม่ได้เป็นนาน จึงไม่ติดใจอะไร

    ถ้ากำหนดเห็นหนอๆ แล้วไม่หาย ก็ไม่ต้องกำหนดแล้วครับ เปลี่ยนเป็นกลับไปที่บริกรรมที่กรรมฐานแทน ที่ทำเดิมนั้นแหละ ถ้ายังไม่หายอีกเอาแบบนี้ครับ เปลี่ยนกรรมฐานเป็นเดินจงกรมก่อน แล้วค่อยมานั่งสมาธิ ถ้ายังไม่หาย เมื่อมาพบอาการแบบนี้ถอยระดับความสงบลงมาครับ ให้มาบริกรรมยาวๆ จับตั้งแต่ปลายจมูกค่อยๆ เลื่อนมาที่ท้องน้อย ยาวๆ ทั้งเข้าทั้งออก คืออาการแบบนั้นจะเกิดช่วงจิตสงบมากขึ้น แต่ความตั้งใจมั่นตามการบริกรรมอ่อนลง จิตเลยพุ่งไปตามการรับรู้ทางตาที่หลับตาครับ คือ จิตจับอารมณ์ที่อยู่ตรงหน้าแทนที่จะอยู่กรรมฐาน หรือสมาธิมาจ่อที่ปลายจมูกแล้วจิตมีช่องว่างในระหว่างที่บริกรรมใกล้จะหาย พอมีช่องว่างที่จิตคลายความตั้งมั่น ก็หลุดจากกรรมฐาน คือ ช่วงที่ลมหายใจอย่างหยาบกำลังจะเริ่มละเอียด ในช่วงนั้น สติจะจับความแตกต่างระหว่างความสั้นยาวไม่ทัน คือ ยังชินกับความหยาบอยู่ เลยมีช่วงว่างให้สมาธิพุ่งไปจับอาการทางตาตรงหน้านั่นเองครับ

    ดังนั้น ต้องค่อยๆ ปรับสติให้ละเอียดตามลมหายใจ ให้ต่อเนื่องตามลมที่ยาวขึ้น ละเอียดขึ้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2015
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ถ้าจะเป็นเชิงเล่าให้คุณ siwapoch โดยส่วนตัวมองว่าเข้าถึงสภาวะนั้นได้ถือว่าดีแล้วครับ..
    การที่เราไปภาวนาเห็นหนอในระดับนี้ เป็นแค่เพียงการระลึกดึงสติขึ้นมาเพื่อ
    ให้จิตเข้าสู่สภาวะปกติทั่วไปครับหรือยกพัฒนาระดับสมาธิให้ถึงปฐมฌานซึ่ง
    โดยมากจะทำให้เราหลับไปเลยครับไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ..
    แต่เป็นที่น่าเสียดายที่สามารถเข้าสภาวะที่จิต
    มีความเป็นทิพย์อย่างนี้ได้แต่ไม่ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ครับ..
    ต่อไปภายหน้าลองยกแขน ยกขาแล้วมองดูครับ
    ว่าเรามองเห็นแขนขาตัวเองได้ไหม และยังมองเห็นสภาวะแวดล้อม
    รอบๆตัวได้ปกติไหม ถ้าได้ก็ให้วางอารมย์เอาไว้สำหรับการวิปัสสนาเพื่อ
    การตัดกิเลสตัวต่างๆที่เรายังอ่อนครับ หรือเอาไว้พิจารณาเรื่องราวในอดีต
    ที่ผ่านมาที่มันทำให้จิตเราไม่สงบในระหว่างวัน หรือเอาไว้วางแผนการทำงาน
    ในวันนั้นๆก็ได้ครับ..ส่วนเรื่องการวางอารมย์ลองย้อนอ่านข้างบนดู..
    ส่วนการพิจารณาอื่นๆ มันจะเกิดก่อนที่เราจะตื่นนอนปกติครับ..
    เราจะคล้ายๆว่าเราตื่นแล้ว แต่ตาเรามันยังไม่ลืม และมันจะมีเรื่องราวในอดีตต่างๆ
    ผุดๆขึ้นมาให้เราพิจารณา ถ้าเราพิจารณาแล้ววางได้เรื่องนั้นก็จบ
    โดยมากถ้าเราพิจารณาได้จบภายในครั้งเดียว
    เรื่องที่พิจารณามันจะไม่มารบกวนจิตใจเราได้
    หรือมาอีกก็ไม่ค่อยมีผลกับเราครับ และขณะเวลาก่อนตื่นนอนนั้นอาจมาอีกได้
    หลายๆเรื่อง รวมทั้งเรื่องที่เราจะทำในวันนั้น ถ้าทำได้ ในวันนั้นการทำงานต่างๆ
    ของเรามันจะไหลรื่นราบเรียบ และไม่ติดไม่ขัดดีครับ...
    ปล.ประมาณนี้ครับ
     
  17. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    เข้าให้ถึงคำนี้สัพเพธรรมาอนัตตา
     
  18. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    ครั้งแรกพึ่งตื่นนอนแต่สติสัมปชัญญะครบแล้วเพียงแค่นอนหลับตาต่อเฉยๆแต่ในตา ซ้ายกลับปรากฎภาพห้องๆนึงมองเห็นภายในห้อง..เห็นเตียงนอนสีฟ้าเห็นตู้โต๊ะใน ห้องเลยตกใจลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแล้วหลับตาใหม่ก็ยังปรากฎภาพเดิมอยู่..เลย พยายามเพ่งมองว่าในห้องนั้นมีใครมั้ยเป็นที่ไหนแต่ไม่เห็นใครในห้อง เลย..อาการสงสัยและการเพ่งหนักเข้าๆภาพก็หายไปและก็ไม่เคยเป็นอีก..

    ตาในมองครับ เป็นทิพย์ ก็เลยไปเห็นสิ่งที่ตานอกไม่เห็น ที่เราไม่รู้ว่าที่ไหน ก็เพราะว่า ไม่ได้กำหนดถามจิตตัวเองว่า ที่นั้นที่ไหนก็เลยไม่รู้ว่าที่ไหน



    ละมีอีกครั้งที่เข้านอนแล้วหลับตาแล้วแต่หลับตายังงัยก็เหมือนลืมตาอยู่คือ มันเหมือนกันแค่ปิดเปลือกตาลงแต่ตาข้างในยังทำงานปกติคือพยายามมองผ่าน เปลือกตานั้นและเห็นแสงสว่างเป็นปกติจนนอนไม่ได้ต้องลืมตาขึ้นและทดลองหลับ ใหม่ซ้ำๆหลายครั้งจนเข้าสู่สภาวะปกติ.

    จิตสงบ จิตเป็นสมาธิครับ ตานอหหลับอยู่ปิดตาอยู่ แต่จิต ใจไม่ได้หลับตาม ครับ มันก็เลยไปเห็น ภพของจิต พอหลุดออกจากสมาธิก็เลยเข้าสู่สภาวะปกติ


    และอีกครั้งคือนอนหลับไปแล้วด้วยความเพลียแต่ข้างในเปลือกตากลับสว่างไสว เหมือนคนลืมตาอยู่แต่หลับในเป็นจนกระทั่งตื่น..คือเป็นเหมือนหลับๆตื่นๆที่ ตื่นก็เพราะมันสว่างไสวแต่ความเพลียก็หลับไปอีกเป็นแบบนี้จนเลิกนอน

    จิตสงบเป็นสมาธิ ครับ ตานอกหลับ แต่ตาใน จิต ไม่ได้หลับตามไปด้วย มันก็เลย สว่างไสวแบบนั้นละครับ ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าเข้าใจแล้วเด่วก็ชินไปเอง มันเป็นแค่ตอนจิตมีกำลัง จิตสงบ เป็นสมาธิ นั้นละครับ พอถึงเวลา จิตหมดกำลัง ก็กลับเป็นปรกติเอง


    รบกวนช่วยวิเคราะห์หาสาเหตุทีค่ะว่ามีใครเคยเป็นแบบนี้บ้างไหมคะ..คือมันสงสัยและสับสนมากๆเลยค่ะ

    จิตมันเป้นทิพย์ ครับ ไม่ต้องไปแปลกใจ เป็นกำลังของสมาธิ

    นี่ถ้าคนทั่วๆไปที่ทำสมาธิได้ เข้าสมาธิได้ เรื่องแบบนี้ เรื่องปรกติ ละครับ การที่ไปเห็นโน้นนี้ ทั้งๆที่ตานอกหลับอยู่ แต่ตาใน จิตตื่นอยู่ ก็เห็นได้ครับ อย่างที่ จขกท บอกมานั้นละครับ มันสว่างก็เพราะจิตเป็นสมาธิ จิตเห็นภพของจิต นั้นละครับ


    เอาเป็นว่า ไม่ต้องแปลกใจก็แล้วกัน แปลกเพราะไม่เข้าใจและไม่เคยเจอมาก่อน พอเจอบ่อยๆ เด่วก็ชิน เด่วก็รู้ไปเองว่าคืออะไร ที่ไม่รู้ก็เพราะไม่มีใครบอก ไม่มีครูบาอาจารย์สอนแนะนำ พอเจอกับตัวเองก็เลยกลายเป็นของแปลก สับสนไปเพราะความไม่รู้ของตัวเองครับ

    ผมก็จะบอกว่า สงสัยของเก่าสร้างมาไว้ดี พอถึงเวลา จิตมันเคยเป็นเคยได้มาก่อน มันก็ส่งผลมาชาติปัจจุบัน ครับ

    ไม่เหมือนบางคน ไม่เป็น ไม่มีอะไรเลย ก็เพราะตัวเองไม่ได้สร้างไม่ได้ทำเอาไว้ ก็เลยไม่เคยเจอ ไม่เคยเป็น



    อยากจะบอกว่า ถ้าไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐาน ไม่ได้ทำสมาธิจริงจัง เรื่องพวกนี้ พอจิตเสื่อมลง นิวรณ์ 5 กำเริบ กิเลสกำเริบ เดี่ยวก็หายไปเอง ไม่ได้อยู่ตลอดหรอกครับ เหมือนส้มหล่น ถ้าไม่รู้จักรักษาไว้ เดี่ยวก็เสื่อมกลับไปเหมือนปรกติ คนทั่วๆ ไปเป็นธรรมดา นะ ^^ หายไปเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2015
  19. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    ขอบคุณคุณsaberมากค่ะ^^
     
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015




    ภาพที่เห็นตรงหน้า คือ
    ห้องที่อยู่ข้างหน้า หรือ
    สิ่งว่างๆที่่อยู่ตรงหน้าเรา ใช่ไหมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...