การวิจัยทดลองฝึกกรรมฐาน และ ความเข้าใจก่อน-หลังฝึก...

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย NARKA, 2 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    ...พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ก็พร่ำสอนเสมอๆว่า บุญใหญ่นั้นมีวิธีเดียวที่จะได้..นั้นคือ การ... ภาวนา....(นี่ความเข้าใจเบื้องต้นที่ยังไม่ได้ฝึก...ซึ่งถ้าจะพูดแบบกว้างๆก็คือการบวชตลอดชีวิตแล้วภาวนานั่นเอง)...
    .คำว่าบุญใหญ่ก็คือ พระนิพพาน(พ้นทุกข์นั่นเอง)
    หลายตำราก็ว่า นิพพาน อยู่ที่ใจ ใจไม่มีดีมีชั่วคือนิพพาน...
    ..บรรดาผู้คนก็ต่างโมทนาสาธุกันใหญ่โต...แต่ผมไม่.....
    ...เพราะถ้าไม่อธิบายขยายความว่า.....ที่ว่าอยู่ที่ใจนั้น...ก็คือ...
    "ดวงแก้วพุทโธ"ที่พระอาจารย์มั่น ใช้กุศโลบายให้ชาวบ้านป่าบ้านเขา ฝึก
    ภาวนาพุทโธ เพื่อให้ช่วยหาดวงแก้วนั่นเอง และนี่คือ"ใจ"ในความหมายนั้น...อย่างอื่น..."ไม่ใช่"นิพพาน...
    ...เพราะใจที่สว่างดั่งดวงแก้วนั้น ในความหมายคือ สามารถ ลด ละ เลิก กิเลศได้....เป็นขั้นเป็นตอนไป.....แต่ทั้งนี้ มันก็ต้องมีรายละเอียดของการใช้เครื่องมือ...คือ กรรมฐาน40กองด้วย...
    ..เมื่อได้กรรมฐานกองหนึ่งที่ถูกจริตแล้ว จึงทำสมาธิ ตั้งแต่ขณิกสมาธิเบื้องต้น ไต่ระดับขึ้นไปๆๆๆๆผ่านรูปฌาน4 ผ่านอรูปฌาน4(ฌาน8)แล้วจึงใช้วิปัสสนาช่วย ถ้ามีวาสนาจึงสามารถ"หลุดพ้น"สู่"นิพพาน"...แต่ถ้าไม่หลุด ก็จะเป็นเพียงสมถะ...ที่ฤาษีโยคีโยทั่วไป ติดอยู่แค่ฤทธิ์ ไม่สามารถ"นิพพานพ้นทุกข์ได้"
    ...ดังนั้น"นิพพาน" จึงเป็นเรื่องที่พูดกันเล่นๆว่าอยู่ที่ใจ"ไม่ได้"...
    ...ถ้าเราอยากรู้ เราก็ต้องปฏิบัติเอาเอง ถ้ามีวาสนา เราก็จะรู้ได้เฉพาะตน...คนอื่นไม่เกี่ยว...
    .....อีกอย่าง แม้มีการจัด"นิพพาน"ไว้ 4 ลักษณะ....เช่น นิพพานโดยขจัดกิเลศสิ้นแต่ไม่มีฤทธิ์ นิพพานโดยมีวิชชา3 นิพพานโดยมีฤทธิ์ด้วย และนิพพานแบบสมบูรณ์แบบคือ กิเลศสิ้น มีวิชชา3 มีฤทธิ์ด้วย
    ......ดังนั้น ในความรู้ก่อนการทดลองวิจัย จึงมีเคร่าๆและหยาบๆแบบนี้..
    ..อีกประการ...การทดลองวิจัยฝึกกรรมฐานนี้ น่าจะมีนัยสำคัญ ในการบอกบุญวาสนาของตนเองได้ด้วย...โดยการถ้าการฝึกก้าวหน้า แสดงว่ามีบุญเก่าดีส่งเสริม...แต่ถ้าฝึกแล้ว ภาวนาทีไรก็มืดตึ๊ดตื้อ..ง่วงเหงา หาวนอนเสมอๆไม่ก้าวหน้า นั่นแสดงว่า"วาสนาและบุญน้อย" สมควรเร่งทำบุญแบบอื่นๆ อย่ามานั่งภาวนา....เสียเวลาเปล่าๆ
    ..และนี่ ก็เป็นความเข้าใจก่อนการทดลองเหมือนกัน.....
    ..คือผมได้สมัครอบรมกรรมฐานรุ่นที่5 ณ วัดป่าหลังศาลภูเก็ต ใน 18-24
    ก.พ.2556นี้ โดยมีอาจารย์จากวัดโสมนัสวิหารมาทำการฝึกให้....
    ...อนาคตอันใกล้ ผมจะมาเล่าการปฏิบัติ"กรรมฐานจอมปลอมเฉพาะตัวผม"ให้ได้ฟังกัน......
    ...เหตุที่กล่าวเช่นนี้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ท่านอาจารย์จำรัสฯเจ้าอาวาส ศิษย์หลวงตามหาบัวได้เมตตาสอนว่า"การฝึกกรรมฐาน อย่าเป็นกรรมฐานห้องแอร์ กรรมฐานบนเสื่อ บนฝูก"ให้ดูพ่อแม่ครูบาอาจารย์ อาธิท่านอาจารย์เสาร์ ฯท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านใช้ป่าเขาเป็นที่ฝึก ไม่มีแอร์ ไม่มีเสื่อ ไม่มีฝูกใดๆ"
    "อีกอย่าง พระอาจารย์มั่นฯเคยเอาข้าวที่ชาวบ้านถวายพร้อมพริก มีแค่นั้น แต่ท่านก็เอาน้ำราดลงในบาตรคลุกเคล้ากัน แล้วฉันท์ และบอกลูกศิษย์ว่า เอ้า แบ่งๆกันกิน" นั่นก็คือ เวลาฝึกกรรมฐานก็อย่ากินของดีๆแพงๆมากก็แล้วกัน ให้ดูตัวอย่างพ่อแม่ครูบาอาจารย์ดังกล่าวไว้เตือนสติด้วย ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบอนาคตอันใกล้นี้แล้ว ผมจึงต้องเป็นกรรมฐานของปลอมแน่นอน...โดยการดูถูกตนเองไว้ได้เลยว่า..."ไปไม่รอด"....ฮา
     
  2. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
  3. dakjued

    dakjued เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +851
    อย่าไปสนใจเลย ว่าจะมีบุญวาสนาหรือป่าว มั่วแต่สนใจเรื่องนี้เมื่อไรจะไปถึงละ ก็เหมือนกับเงินในออมสิน ก็ค่อยๆเก็บไปวันละนิดวันละหน่อยเดียวก็เต็มเอง
     
  4. TNWD

    TNWD Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +39
    ท่านใดที่ฝึกไม่ก้าวหน้าถึงแม้ว่าบุญเก่า วาสนาเก่า ไม่ถึง แต่ปัจจุบัน การทำการภาวนาเพื่อสมาธิหรือกรรมฐาน เป็นกุศลที่ใหญ่และละเอียดที่สุด บุญที่ว่านี้จะไม่ส่งผลเลยหรอครับ ให้หยุดภาวนาเป็นให้ทาน รักษาศีล ซึ้ง ละเอียดน้อยกว่า จะทำให้ บุญเก่าวาสนาเก่าถึงสงผลไวขึ้นหรือครับ ถึงแม้จะเป็นบุญน้อยกว่า ไขข้อข้องใจทีครับ
     
  5. TNWD

    TNWD Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +39
    เข้าใจดีว่า ให้ทาน รักษาศีล ทำให้เราเข้าถึงการภาวนาหรือสมาธิมากขึ้น ถ้าท่านผู้ที่ภาวนาโดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ให้ทาน หรือ ศีลแต่ยังมืด จะไม่มีทางเข้าถึงเลยหรอครับ แม่จะเป็นบุญที่ใหญ่กว่า
     
  6. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    คุณทีเอ็นดับบิวดี
    ด้วยความเคารพ และด้วยความเห็น ซึ่งอาจผิดหรือถูก สุดแต่พิจารณา...
    ..."การปฏิบัติ"นี่ ในลัทธิฮินดู พราห์มณ์มีมาก่อนศาสนาพุทธ...
    ...ถ้าพิจารณา และเชื่อในการบันทึกหลักฐาน...ผู้คนสมัยก่อน ทำกรรมฐานกันมาแล้วมากมาย...เอาแค่2600ปีมานี่ การเวียนว่ายตายเกิดนี่ เอาสองคูณไป ก็ได้52ครั้ง(นี่เอาแค่นิดเดียว ไม่เอาเป็นแสนๆปี)...แต่ท่านเหล่านี้ ถ้าย้อนไปแล้ว ก็สุดแต่บุญวาสนาเก่าเหมือนกัน
    ....ถ้าเชื่อในหลักกฏแห่งกรรม กรรมปัจจุบันต้องเป็นกรรมดีชั่วในอดีตส่งผลเสมอไป
    แต่กรรมปัจจุบัน ก็อาจส่งผลแทนกรรมอดีตได้ ถ้า"มันหนัก เช่น หนักบุญ หรือ หนักบาป"
    แต่โดยทั่วไปแล้ว การที่คนเราดำเนินชีวิตประจำวันนั้น"ทุกคน.. เขาใช้กรรมในอดีตและทำกรรมในอนาคต"
    ดังนั้น ถ้าเชื่อสมมุติฐานตัวนี้ ดังนั้น การภาวนา จึงสามารถวัดได้เป็นสถิติ เช่นพระปฏิบัติที่ก้าวหน้า และไม่ก้าวหน้า ฆาราวาสที่ก้าวหน้าและไม่ก้าวหน้า...ซึ่งท่านเหล่านี้ ต้องขึ้นกับบุญวาสนาเก่าทั้งสิ้น ไม่มีบุญใหม่มาทำให้เกิดขึ้น ในความก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า...
    ...บางท่าน ทำบุญใหม่(กรรม)ไม่ดี...แต่บุญวาสนาเก่า ก็มาทำให้เกิดนิมิตร หรือ เหตุการณ์ที่ทำให้จิต สามารถวางอุเบกขา เวทนาเบื่อหน่ายโลกและออกปฏิบัติจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้...
    ดังนั้น การภาวนาในบุญปัจจุบันนี่ ฟันธงได้เลยว่า แม้ทำบุญใหม่เพียงใด แต่ไม่ก้าวหน้าแล้ว แสดงว่า "ไม่มีบุญวาสนาเพียงพอ" แม้จะเติม รั้นภาวนาไปจนตาย ก็จะได้แค่ความมืดนั้นๆเสมอไป การเติมดังกล่าว จึงต้องเติมชาติหน้าอย่างเดียว...ถ้ารั้น...
     
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    (80.17/116 หรือ 45.12/84 สติปัฏฐานสูตร)

    (289) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้ อย่างนี้ ตลอด 7 ปี เขาพึงหวังผล 2 ประการ อย่าใดอย่างหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีขันธปัญจกเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี 7 ปียกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 อย่างนี้ ตลอด 6 ปี 5 ปี 4 ปี 3 ปี 2 ปี 1 ปี 1 ปี ยกเว้น ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน 4 อย่างนี้ ตลอด 7 เดือน เขาพึงหวังผล 2 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อขันธปัญจกเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามิ 7 เดือนยกเว้น ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 อย่างนี้ ตลอด 6 เดือน 5 เดือน 4 เดือน 3 เดือน 2 เดือน 1 เดือน กึ่งเดือน...กึ่งเดือนยกเว้น ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 อย่างนี้ ตลอด 7 วัน เขาพึงหวังผล 2 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อขันธปัญจกเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี.
     
  8. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    กราบเรียนท่านอินทรบุตร ด้วยความเคารพในพระสูตร และตัวท่านนะครับ
    แต่จะขออนุญาแสดงความเห็นเพิ่มเติม...คือ
    ในตัวพระสูตร ในตัวตำรานั้น ท่านมิได้กล่าวถึง"ที่มาที่ไป" ว่า ภพชาติปัจจุบันนั้นหากภาวนาแล้ว จะเป็นเวลาเท่าใดก็ตามที่ระบุไว้ จะสำเร็จแบบนั้น แบบนี้
    ..ด้วยเหตุนี้ ผมจึงวิเคราะห์ ที่มาที่ไปดังกล่าว เช่น หากมีบุญวาสนาเก่า ก็จะเป็นเหมือนพระสูตรดังกล่าวไว้ คือ ก้าวหน้า....แต่หากหาไม่แล้ว ก็จะไม่เป็นไปตามที่พระสูตรกล่าวไว้
    คือ ไม่ก้าวหน้า...แต่ก็ถือเป็นการสะสมบุญไว้รอชาติต่อๆไป พอบุญวาสนาส่งผล ก็จะเป็นเหมือนพระสูตรว่าไว้ ในชาติอนาคตนั้น.
     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อย่าได้สงสัยในความเป็นพระสัพพัญญูของพระตถาคตเจ้าเลย

    หากจะวิเคราะห์ ก็ควรจะสะสมปัญญาบารมีให้ได้เท่าพระพุทธองค์ก่อน ไม่เช่นนั้นแล้ว จะมีผู้ใดในสามโลก พอจะมีปัญญาพอจะวิเคราะห์ธรรมะของพระพุทธองค์ได้?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2013

แชร์หน้านี้

Loading...