การพัฒนาวิธีคิด และ กระบวนการคิด

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย Sawiiika, 8 มกราคม 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557

    [​IMG]

    โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ธรรมะของสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและ นับสืบเนื่อง
    ในพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ทรงอุบัติขึ้นเป็นเนื้อนาบุญอันทรงค่าหาประมาณค่าไม่ได้นั้น
    พระอริยะสงฆ์ทั้งหลายท่านได้สืบต่อพระบวรพุทธศาสนาจนมาถึงกาลปัจจุบันนี้ก็เพื่อ

    " ประสงค์ให้หมู่มวลมนุษย์ และ สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ได้หลุดพ้นจากกองกิเลส กองทุกข์ทั้งในภพนี้ จนถึงภพหน้า
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานเป็นที่สุด "

    เราในฐานะพุทธบริษัทสี่จึงสมควรรักษาประพฤติธรรมะเพื่อถ่ายทอดจากจิตสู่จิต
    จากรุ่นสู่รุ่น เป็นการรักษาพระบวรพุทธศาสนาและเป็นพยานแห่งผลในการปฏิบัติอัน
    กระจ่างแก่ใจของตนเอง สิ้นสงสัยในคุณพระพุทธคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ยิ่งมี
    ผู้ปฏิบัติธรรมได้ตรงตามสัมมาทิฐิมากขึ้นเท่าไรพระบวรพุทธศาสนา
    ก็ยิ่งเจริญงอกงามรุ่งเรืองมากขึ้นเพียงนั้นเช่นกัน


    [​IMG]




    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    ขอพระธรรมอันพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมี
    พุทธประสงค์จงหลั่งชโลมดวงจิตของสาธุชนทุกท่าน " ผู้ตั้งมั่นในกุศลธรรม
    ความดีมี พระไตรรัตนคมน์ จงก้าวหน้าใน ผล แห่งการปฏิบัติเจริญในธรรม "
    แห่งพระศาสนา ขององค์พระสมณโคดมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ได้ธรรมมาพิสมัย
    ได้โดยง่าย ธรรมใดที่เป็นธรรมโลกุตระเครื่องหลุดพ้นก็ขอจงมีจิตรู้แจ้งแทง
    ตลอดด้วย ทิพย์ญาณ อันพิสุทธิ์ บรรลุธรรม ได้โดยง่ายด้วยเทอญ


    ---------------------------------------------------------------------
    อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
    ---------------------------------------------------------------------


    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2009
  2. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    การใช้ในรูปแบบของ " ไตรภูมิ "

    นอกเหนือจากการฝึกฝนจิตใจปฏิบัติธรรมโดยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
    การทำความดีการทำประโยชน์ต่อส่วนรวมแล้วสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง
    ที่สำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น คือ
    <O:p</O:p

    " การพัฒนาวิธีคิด และ กระบวนการคิด "
    <O:p</O:p

    เพราะจะเป็นการ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพศักยภาพของตัวเราให้เพิ่มขึ้นในทุกๆด้านครับทั้งในทางโลก
    และ ทางธรรมที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือแท้ที่จริงเทคนิคการพัฒนาวิธีคิดนั้น แฝงไว้ในคำสอนของ
    พระพุทธศาสนาในหลาย ๆ วิธีครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีสติปัญญานำไปประยุกต์ใช้ได้มากแค่ไหน
    ผมขออนุญาตเล่าให้ฟังนะครับถ้าเป็นประโยชน์ก็ จงนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม
    แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่เห็นจะเป็นประโยชน์หรือน่าสนใจ ก็คิดเสียว่าอ่านเพลินๆ แล้วผ่านไปครับ

    [​IMG]

    1. การใช้ในรูปแบบของ " ไตรภูมิ "

    ในการวิเคราะห์เหตุการณ์ สถานการณ์ผ่านรูปแบบของการมองภาพแบบองค์รวมภาค
    ( Big Picture) รวมทั้งการใช้ ความแตกต่างในภาวะความคิด และ พฤติกรรมในแต่ละภพภูมิ
    ในการแยกแยะความแตกต่าง ของความน่าจะเป็นในเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการมอง
    สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจการเมือง ตลอดจนการค้าระหว่างประเทศ ถ้าเรามองแคบ ๆ ใน
    มิติ ของเราเราอาจจะไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั้นจริงๆ แต่ถ้าเรามองสถานการณ์นั้นๆ
    อย่างเปิดกว้างในมุมมองที่กว้างขึ้นหลากมิติ ขึ้น ก็จะทำให้เราได้เห็นภาพแท้จริง และ เข้าใจ

    ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น แต่จุดสำคัญของวิธีคิดแบบนี้บางครั้งอาจจะยากที่จะทำความเข้าใจ
    ให้ผู้ที่ได้เห็นภาพรวมที่เล็กกว่าเข้าใจกับภาพรวมใหญ่ที่ปรากฏแต่ถ้าในสังคมใดมีผู้ที่รู้จักวิธีคิดแบบนี้
    มากๆสังคมนั้นก็จะอุดมไปด้วยผู้ที่รอบรู้ละเอียดถี่ถ้วน และ มีวิสัยทัศน์ ลองค่อย ๆ ไป ฝึกคิด ครับ ^^
    <O:p</O:p

    เริ่มจากการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงเหตุผลของภพภูมิต่างๆในไตรภูมิพระร่วง ก่อนก็ได้ครับ
    จากนั้นจึงค่อยๆฝึกคิดฝึกวิเคราะห์การมองเห็นภาพรวมใหญ่ของเหตุการณ์เช่น ปรากฏการณ์
    โลกร้อน และ ผลที่จะตามมาเป็นต้นครับ ค่อยๆฝึกดูครับ
     
  3. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    2. วิธีคิดแบบปฎิจจสมุทบาท


    เป็นกระบวนวิธีคิดที่อิงเหตุเช่นนี้จึงมีผลเช่นนี้ติดตามกันมา เป็นลูกโซ่ เป็นวัฏฏจักร แต่ดั้งเดิม
    คนไทยผูกเป็นนิทานไว้ให้เด็กๆได้ รู้จักวิธีคิดนี้จากในนิทานเรื่อง" ยายกับตาทำนาอยู่บนเขา
    ให้หลานเฝ้าถั่วงา.........." และ ในเพลงเด็ก" ที่ว่ากบเอยทำไมจึงร้อง "เป็นปริศนาธรรม และ วิธีคิด
    ที่อ้างอิงเรื่องผลที่ติดตาม เมื่อเหตุเป็นเช่นนี้ จึงเสวยผลเช่นนี้และ ผลที่สืบเนื่องมีผลกระทบต่อ
    สิ่งอื่นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆไม่จบสิ้น ตราบจนที่เราจะกระทำเหตุให้วัฏฏะ ของมันจบรอบ
    จนเป็นโมฆะกรรม วิธีคิดแบบนี้จะทำให้เรา เกิดความ ยับยั้งชั่งใจในบาป และ อกุศลกรรม เพราะ
    กระบวนการคิดนี้จะทำให้เรา เกิดปัญญามองเห็นผลสืบเนื่องของกรรมต่อไปไม่มีสิ้นสุดว่าจะส่งผล
    ร้าย กลับมาสู่ตัวเราเองและผู้อื่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดถ้าลองนำกระบวนวิธีคิดแบบ ปฎิจจสมุทบาท นี้
    <O:p</O:p

    มาพิจารณาในเรื่องของการเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาวะโลกร้อนเราจะมองเห็นปฏิกิริยาลูกโซ่
    ที่ส่งผลสืบเนื่อง แม้แต่ การกระทำเล็ก ๆ น้อย ของแต่ละคนที่ทำ สุดท้ายก็ส่งผลย้อนกลับมาสู่ทุกคน
    บนโลก ใบนี้ซึ่งวิธีการแก้ไขก็ คือ การช่วยกันสร้างการกระทำที่เป็นวัฏฏจักรในเชิงบวกกลับสู่ธรรมชาติ
    แม้เพียง เล็กน้อย แต่ก็ช่วยกันทำช่วยกันสร้างค่านิยมที่ถูกต้องสุดท้ายโลกนี้ก็จะดีขึ้นแม้จะทีละน้อย

    ถ้าใช้วิธีการคิดแบบนี้ มาเปรียบเทียบกับภูมิความรู้ วิธีคิดแบบทุนนิยมตะวันตกเราจะค้นพบว่า ภูมิปัญญา
    ของพระพุทธเจ้าท่านมีความละเอียดประณีตลึกซึ้งกว่า อย่างเทียบไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแก้
    ปัญหา เช่น ในด้านการเกษตร เมื่อพืชผัก มีมดแมลงรบกวน วิธีแก้ไขปัญหาง่ายๆ คือ " ใช้เงิน " ซื้อ
    ยาฆ่าแมลงมาฉีด แมลงตาย จบ !! ง่ายๆ ไม่ต้องคิดเห็นผลที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องใช้สติปัญญา<O:p</O:p

    [​IMG]

    คิดพิจารณาถึงความสอดคล้องกับ ธรรมชาติ แต่อย่างไรมีผลให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอด
    กันมา สิ้นสุดลงแต่ถ้าเอาปฏิจจสมุทบาทมาคิดผลก็คือ ใช้ยาฆ่าแมลง เสียเงินผู้ใช้รับสารพิษสะสม
    ไปด้วย ไปป่วยไปเจ็บในอนาคตเมื่อใช้ยาแมลงตายจริงแต่ ไส้เดือน นกจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืช
    ต่อดินก็ตายไปด้วย คนกินก็พลอยเจ็บพลอยตายผ่อนส่งไปด้วยถ้ารู้จักคิดก็จะหาหนทางอื่นในการ
    แก้ไขปัญหา แมลงรบกวนได้ อย่างเช่นการแก้ปัญหาด้วยการให้ แมลงเหล่านั้น ลองย้อนกลับมา
    มองที่เหตุ ว่า ทำไมมดแมลงจึงเบียดเบียนพืชสวนของเรา คำตอบคือเพราะมันอดอยาก ดังนั้น
    วิธีแก้ปัญหาก็คือ การให้ทานอาหารแก่มัน เช่นคนโบราณจะเอาน้ำตาลโตนดมารดแมลง ๆ ก็ไปกิน

    น้ำตาล แทนที่จะกินพืชผัก ส่วนนำตาลที่เหลือก็ กลายเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ดีย้อนกลับมาเป็น
    อาหารของพืชรวมทั้งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ ช่วยควบคุมแมลงอีกที่เป็นโทษเหล่านั้นอีกขั้นหนึ่ง
    ส่วนสมัยใหม่เราก็สามารถใช้ EM มาแทนน้ำตาลโตนด โดยตรงได้รวมทั้งการใช้น้ำสมุนไพรอื่น ๆ
    ซึ่ง ทำให้แมลงไม่รบกวน แล้ว ยังประหยัดเงินค่ายาฆ่าแมลง ไม่อันตรายต่อเกษตรกร และ
    คนกินแล้วพืชผลที่ได้ยังมีราคาสูงขึ้นเนื่องจากเป็นพืชผักปลอดสารพิษด้วย

    ลองใช้กระบวนการคิดนี้สร้างวัฏฏจักรดี ๆระบบความคิดโครงการดีๆสู่สังคมครับจะไม่ขอเล่ามาก
    เพราะจะเป็นการจำกัดจินตนาการ และ การคิดเชิงประยุกต์ของผู้อ่านครับเพราะ ที่จริงแล้วสามารถ
    นำ ไปประยุกต์ใช้ได้ไม่สิ้นสุด ช่วยให้สติปัญญาแตกฉาน ขึ้นครับ
     
  4. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    การคิดโดยการอาศัยธรรมชาติเป็นครู


    25-10-2009,11:05 PM

    ทั้งครูทางธรรม และครูในการดำรงชีวิต" ธรรมชาติ "หมายถึงธรรม ( ความจริง )
    และ ชาตะ (การกำเนิด ) ทุกสรรพสิ่งล้วนก่อกำเนิดจากธรรมชาติรวมทั้งมนุษย์เองก็ก็เป็น
    ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้นด้วย เช่นกันดังนั้น มนุษย์เองควรที่จะเรียนรู้จากธรรมชาติ
    ใช้อาศัยธรรมชาติเป็นครูรวมทั้งดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกลมกลืนกับ ธรรมชาติชีวิตจึงจะมี
    ความสุข จงนำเอาธรรมชาติมาเป็นครูในทางธรรม ดูง่ายๆก็ได้แก่ใบไมใบหนึ่งเริ่มผลิใบขึ้น
    ประดุจชีวิตที่กำเนิดมาแต่ละชีวิต และ เริ่มเติบโตขึ้น ดังวัยเด็กจน ใบไม้นั้นผลิใบ
    เต็มที่ดังวัยหนุ่มสาวจากนั้นก็ค่อยๆเหี่ยว เฉาดังวัยชราตราบจนหลุดร่วงจากขั้วกิ่ง
    ตกสู่พื้นดินดังชีวิตที่ตายหลุดล่วงไปในที่สุด


    [​IMG]</O:p

    " ธรรมชาติสอนสัจจรรมให้เราอยู่ในทุกเวลานาที
    เพียงแต่เราเห็น และ ได้ยินเสียงจากธรรมชาติได้แค่ไหน
    เราเปิดหัวใจสัมผัสธรรมมะที่บริสุทธิ์เหล่านี้ได้เพียงไร "

    สำหรับการดำเนินชีวิต ธรรมชาติเองก็สอนเราอยู่เสมอให้ดำรงชีวิตกันอยู่อย่างเกื้อกูลกันต้นไม้
    ให้ร่มเงาให้อาหารให้ยารักษาโรคให้เนื้อไม้ไว้ให้เราอยู่อาศัยให้อากาศที่สะอาดบริสุทธิ์ไว้ให้เราหาย
    ใจช่วยสร้างชั้นบรรยากาศไว้ปกป้องเราจากรังสีคอสมิคช่วยซึมซับรักษาความชื้นและอุณหภูมิ
    ไว้ให้เราทุกคน เย็นสบายส่วนทั้งคน และ สัตว์ก็ขับถ่ายออกมาเป็นอาหารเป็นปุ๋ยให้แก่ต้นไม้

    ตราบจนตายลงก็สลายกลายเป็นดินเป็นปุ๋ย เป็นอาหารให้แก่ต้นไม้วนเวียนกันไปอย่างนี้เป้นวัฏฏจักร
    ไปธรรมชาติเป็นวัฏฏจักรที่เกื้อกูลกัน สมดุลกันจึงจะเป็นปรกติสุขเมื่อไรที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเบียดเบียน
    กันธรรมชาติย่อมเสียสมดุลของมันกลไกธรรมชาติจึงต้องมีการปรับตัวตามกฎแห่งธรรมชาติ

    โลกที่สับสนวุ่นวายภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทุกวันนี้เกิดขึ้นจากการที่ มนุษย์สำคัญตนเองผิด
    คิดจะควบคุมธรรมชาติเบียดเบียนเอาเปรียบสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่อาศัยอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้
    กิเลสของมนุษย์นั้นคิดแม้กระทั่งต้องการยึดครองแย่งชิงดาวดวง อื่นดวงจันทร์ และ
    ดาวอังคารผลของความคิดผิดๆแบบนี้จึงส่งผลสะท้อนกลับมายังทุกสรรพชีวิตบนโลก
    พืช และ สัตว์ หลายเผ่าพันธุ์ต้องสูญพันธุ์ ไปอย่างน่าเสียดายเพราะความละโมบโลภมาก
    ในความต้องการทรัพยากรของมนุษย์ทั้งที่จริงเพียงแค่เปลี่ยนวิธีคิดสักนิด

    เพิ่มจิตสำนึกสักหน่อยเราทุกคนบนโลกก็สามารถ
    ที่จะมีทรัพยากรบนโลกใช้กันได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    ลองฝึกวิธีคิดแบบการมองธรรมชาติเป็นครูครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางธรรม ผมเองยังไม่เจอ
    สิ่งใดที่ผมรู้จักอยู่นอกสัจจธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่า " เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป " เลยครับ

    ทุกสิ่งเป็นครูสอนธรรมทั้งหมดทั้งสิ้นครับ ไม่ควรไปยึดไปติด
    ไปเป็นเจ้าเข้าเจ้าของมันเพราะ มันไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็น อนัตตา ครับ

    มนุษย์นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับ อนันตจักรวาล แล้ว มนุษย์เล็ก
    และ ด้อยค่า ราวกับผงธุลีหรือเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรกว้างใหญ่ สิ่งเดียวที่ทำให้มนุษย์นั้น
    ยิ่งใหญ่จนเป็นปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนจักรวาลทุกภพภูมิได้ ก็คือ จิตใจ ที่เปลื้องสรรพกิเลส
    ออกด้วย บารมี 30 ทัศน์จนบรรลุซึ่ง สัมมาสัมโพธิญาณ

    ตรัสรู้ได้โดยพระองค์เองด้วยสัพพัญญูญาณอันพิสุทธ์

    " ข้าพเจ้าขอน้อมเศียรกราบแทบบาทกระทำมหาโมทนาต่อพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    ในอดีตจนถึงองค์ปัจจุบันตลอดจนพระพุทธเจ้าที่จะพึงปรากฏต่อไปในอนาคตกาล
    ภายภาคหน้าเพื่อรื้อขนมวลสรรพสัตว์เข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ "

     
  5. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    การคิดจากคำสั่งสอนหลักในพระพุทธศาสนา

    ที่ว่า สุข หรือ ทุกข์ อยู่ที่ใจ ถ้าเราลองพิจารณาตรองดูให้ดีแล้ว แท้ที่จริงความสุขก็ดี
    ความทุกข์ก็ดี แท้จริง ก็คืออารมณ์ความรู้สึกแต่คนเราไปเข้าใจผิดกันเองเป็นส่วนใหญ่
    ว่าความสุข คือ การที่มีเงินเยอะๆบ้าง มีบ้านหลังใหญ่ๆบ้างมีสิ่งของดีๆอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง
    จึงจะมีความสุขจึงต้องดิ้นรนขวนขวายทำงานเพื่อสนองความต้องการทางวัตถุ ตาม

    ความคิด แบบ วัตถุนิยม ซึ่งที่จริงเป็นกิเลสล้วนๆที่ทำให้ใจเราปรุงแต่งไปว่าถ้าได้ถ้ามีของอย่างนั้น
    อย่างนี้ แล้ว จะมีความสุข แต่ลองสังเกตดูว่าพอเราได้ของสิ่งนั้นมาจริง ๆ แล้วเรากลับรู้สึกเฉย ๆทั้ง ๆ
    ที่ก่อนหน้านั้นมันอยากได้มากจนคิดว่าถ้าได้แล้วมันจะวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้จากนั้นใจมันก็กลับ
    ไปอยากได้สิ่งใหม่ๆอย่างอื่นอีกไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดลองพิจารณาดูว่าสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความสุขนั้น


    [​IMG]<O:p</O:p

    แท้จริงเป็นสุข หรือ เป็นทุกข์ กันแน่ถ้าอย่างนั้นแล้วสุขที่แท้จริง ๆ นั้นคืออะไร ?

    ผมขอตอบว่าความสุขที่แท้จริงของท่านนั้นคืออะไร ผมไม่รู้รู้เพียงแต่ว่าความสุขที่แท้จริงนั้น
    ที่จริงแล้วอยู่ที่ใจ เปรียบได้ว่า '' ไกลสุดขอบฟ้าใกล้แค่เพียงตา '' รอเวลาที่ตัวท่านเองจะค้น
    เจอจาก ภายในจิตใจของท่านเองแต่ถ้าท่านวิ่งค้นหาจากบุคคลภายนอก วัตถุภายนอก
    ยิ่งวิ่งหาดิ้นรนหาก็ยิ่งไกลความสุขของท่านอาจเป็น

    การได้ทำทาน - การได้ทำความดี - การได้ระลึกถึงความดี - การได้ช่วยเหลือคนอื่น
    การรักษาศีล - การสวดมนต์ - การสงเคราะห์ - การทำสมาธิ - การค้นพบความสงบภายใน
    การค้นพบกับจิตใจที่ดีงามของตนเอง - การค้นพบจิตใจที่เป็นกุศลของท่านอื่น ( จึงโมทนา)
    การพบแสงสว่างแห่งธรรม - การเข้าถึงธรรม - การรู้จักพอ - การวางอุเบกขา

    " สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้หัวใจเราเปี่ยมสุข
    อิ่มเอิบ ชุ่มเย็นเป็นกุศลอารมณ์ใจนี้จึงเป็นสุข "

    ขอให้ท่านทั้งหลายพบกับความสุขเหล่านี้โดยเร็ว และช่วยกันเผื่อแผ่แบ่งปัน
    ความสุขเหล่านั้นไปยังหัวใจทุกๆดวงเพราะความสุขแบบนี้ไม่มีวันหมด และ
    ยิ่งเราได้ให้ผู้อื่นมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งได้รับกลับมากขึ้นทวีคูณ .

     
  6. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    แนวคิดในเรื่องจิตใจที่งดงาม

    แนวคิดในเรื่องจิตใจที่งดงามความจริงแนวคิดนี้เป็นสัจจะธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านได้กล่าวสอน
    ไว้ว่าแท้ที่จริงนั้นจิตทุก ๆ ดวงล้วนประภัสสร ใส สะอาด บริสุทธิ์เป็นจิตใจที่งดงาม แต่ถูกอุปกิเลศ
    เข้าห่อหุ้มจิตใจทำให้จิตใจเราเศร้าหมองเป็นอกุศล เป็นทุกข์ ดังนั้นที่จริงแล้ว ความชั่วร้าย เลวทราม
    การเบียดเบียนกันของสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น เกิดขึ้นจากเจ้าของดวงจิตทั้งหลายได้ลืมเลือนความงด
    งามภายในจิตใจของเราเองไป ความจริงความดีงาม ความงดงามของสรรพสัตว์ล้วนอยู่ภายในจิตใจ
    ของทุกคนอยู่แล้วไม่ต้องไปค้นหาที่ไหนเพียงแต่เราเลือกที่จะอวดกิเลสความชั่วที่ห่อหุ้มจิตใจของเรา

    " หรือ เราเลือกที่จะให้แสงสว่างจากจิตใจที่งดงามของเราสว่างไสว
    สู่ภายนอก และ ต่อเทียนแสงสว่างแห่งความดี ออกไปยังสังคมส่วนรวม "


    พระพุทธเจ้าท่านหยั่งรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง และ ท่านยังเป็นที่สุดแห่งท่านผู้มีความคิดในแง่บวก
    อีกด้วย ทุกดวงจิตของสรรพสัตว์ล้วนเป็นคนดีทั้งสิ้น เพียงแต่ถูกกิเลสห่อหุ้มใจจึงทำให้ไม่เห็นธรรม
    ท่านจึงได้สะกิดให้ความดีในจิตใจของมวลสรรพสัตว์นั้นได้เผยออกมา ประดุจแพทย์ผู้ลอกต้อ
    ออกจากดวงตาของผู้ป่วยให้ กลับมาเห็นโลกอย่างชัดเจน วิธีคิดแบบนี้จะทำให้เรา
    เข้าใจในเหตุผล ของทุกคน และ มองทุกคน ทุกชีวิตในแง่บวก + ได้เสมอ


    [​IMG]

    * เราจงมีจิตเป็น ประภัสสร มี ดวงใจ ที่ งดงาม เสมอ

    * เราจงมีดวงตาที่มองเห็นความดีงามของผู้อื่นเสมอ และ กล่าวยกย่องในความดีของเขา
    เพราะจะยิ่งทำให้เป็นการส่งเสริมขัดถูให้ความดีงามของเขาเปล่งประกายงดงามยิ่งขึ้น

    * เราจะรักษาใจของเราให้สะอาด เหมือนการใส่น้ำสะอาด ( ความดี คุณธรรม ) ลงในแก้ว
    * เราจะไม่ยอมให้น้ำเน่า น้ำครำ ( ความชั่ว การนินทา ว่าร้ายใจที่สกปรก ) ลงมาผสมในจิตเรา

    วิธีคิดแบบนี้ทำให้ใจเราสะอาดขึ้น มีความสุขขึ้นมองโลกในแง่ดีขึ้น + ทำให้มีคนรักเรามาก
    ขึ้นทำให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ความดียิ่งขึ้น + เห็นโลกในแง่มุมที่สวยงามมากขึ้นด้วย
    เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกมองสิ่งสวย ๆ งาม ๆไม่ว่าจะเป็นคน ทิวทัศน์สิ่งของแต่ ทำไมใจเรากลับจม
    อยู่ กับ สิ่งชั่วร้าย และ เลวร้าย ของผู้อื่น แถม ยัง ไป เพ่งโทษเขา อีกว่าเป็นเรื่องใหญ่โตเลวร้ายรุน
    แรง ทั้งที่จริงบางครั้งมันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆลองให้ใจเราเห็นแต่ความดีความตั้งใจดี กุศล ของ
    ผู้อื้น เถอะครับสังคมจะดีขึ้นอย่างมาก ๆ เลยเริ่มต้นด้วยการหาจิตใจที่งดงามของตัวเองให้พบครับ
    แล้วจึงหาจิตใจที่งดงามของบุคคลรอบข้างให้เจอและบอกกับตัวเขาเหล่านั้นเริ่มได้ทุกวันทุกเวลา

    ขอโมทนากับจิตใจที่งดงามทุก ๆ ดวง ครับ ^^

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2009
  7. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    แนวคิดในด้านจิตสำนึกความรับผิดชอบต่างมิติ

    Multi Dimension Responsibility

    โดยทั่วไปแล้วเรามักจะได้รับการสอนเรื่องการทำหน้าที่รับผิดชอบในฐานะพลเมืองที่ดีบ้างลูกที่ดีบ้าง
    แต่ความเป็นจริงคนเรามีมิติ และ หัวโขน ในหลายๆมิติพร้อมๆกันในคนเดียวด้วยกันทุกๆคนบางคนก็
    ทำหน้าที่ได้ดีในบางมิติเท่านั้นเพราะได้ลืมคิดลืมนึกถึงมิติในด้านอื่นด้วยการทำหน้าที่ความรับผิด
    ชอบในสมบูรณ์ในทุกๆด้านอาจทำได้ยากถ้าเรามาฉุกคิด และเริ่มทำมันให้ดีที่สุดตามความสามารถ
    ตามปัญญาที่พึงมีพึงเป็นก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายรวมทั้งตนเองได้อย่างมาก แล้ว ใช้ ปัญญา
    ไตร่ตรองพิจารณาสำนึกความรับผิดชอบใน มิติ ต่างๆนั้น จะทำให้เราได้มองเห็นลำดับความ
    สำคัญของความรับผิดชอบได้ชัดเจนขึ้น หน้าที่ความรับผิดชอบในมิติของจิตดวงหนึ่ง

    " พึงมีหน้าที่ที่จะทำจิตให้สะอาดผ่องแผ้วละวางกิเลส และ
    มีพระนิพพานเป็นที่สุดแห่งหน้าที่มิติ ของความเป็นมนุษย์
    พึงมีศีลห้ามีมนุษยธรรมคุณธรรมมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมทุกข์
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย มิติ ของการเป็นส่วนหนึ่งของ โลก "


    [​IMG]

    พึงดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ ใช้ทรัพยากรโลกอย่างรู้คุณค่า
    ช่วยดูแลรักษา และสร้างสมดุลธรรมชาติให้กลับคืนมาอยู่อย่างผีเสื้อ ผึ้งอย่าอยู่แบบ
    ฝูงตั๊กแตนมิติในการเกิดมาในแผ่นดินไทยใต้ร่มพระบรมโพธิ์สมภาร

    พึงมีความจงรัก ภักดี และ รู้คุณท่านคุณแผ่นดินเกิดมีจิตมุ่งหวังที่จะทำนุบำรุงชาติ
    ให้เจริญขึ้นรุ่งเรืองขึ้นเห็นกับประโยชน์ สุขของชาติบ้านเมืองมาก่อนความสุขส่วนตัว

    มิติในการเกิดมาในพระพุทธศาสนา : พึงช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
    พระสัทธรรมให้บริสุทธิ์คงอยู่ตราบ 5000 ปี ช่วยกันสืบต่ออายุพระศาสนา

    มิติของการงานที่เรา : ทำพึงทำงานทำหน้าที่นั้นๆด้วยความมีคุณ
    ธรรมสติปัญญาปรับปรุง ให้การงานก้าวหน้าและมีประโยชน์ต่อส่วนรวม

    มิติของการเป็นสมาชิกในครอบครัว : พึงสานความ สามัคคีความรักความหวังดีความเอื้อ
    อาทรให้แก่กันมอบธรรมะให้มีในระดับเสมอกันเป็นสัมมาทิฐิ เช่น เดียวกันระดับเดียวกัน
    สืบสกุลสัมมาทิฐิไว้เพื่อเป็นการต่อสกุลที่มั่นคงและ เป็นการช่วยต่ออายุพระศาสนา
    <O:p</O:p

    มิติของความเป็นปัจเจกชน : พึงปรับปรุงตนให้มีการพัฒนาการสูง
    ขึ้นในทุกๆด้านทั้งด้านคุณธรรมกำลังจิตกำลังสมาธิความรู้พลังปัญญา
    พลังความเชื่อมั่น พลังแห่งความคิดในแง่บวก
    สุขภาพ ภาพลักษณ์ ความอิสระด้านการเงิน ความมั่นคงในการงาน

    หลายๆท่านอาจมีมิติต่างๆมากกว่านี้ก็ลองใช้ความคิดตริตรองเหตุผลตนกาลประมาณดูว่า
    สิ่งใดมีประโยชน์ มีผลก็พึงทำพึงปฏิบัติถ้าคนไทยซัก 10 -20 % รวมทั้งผู้บริหารบ้านเมืองหรือ
    องค์กร สำคัญๆของประเทศ มีจิตสำนึกแบบนี้ประเทศชาติเจริญขึ้นในทุกๆด้านแน่นอนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2009
  8. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    แนวคิดด้านการเพิ่มคุณค่าในทุกสิ่ง

    03-11-2006, 06:27 PM

    Valued Added

    เป็นการคิดในการ เพิ่มคุณค่า และ มูลค่าให้กับทั้ง สิ่งที่เป็นทั้ง นามธรรม และ
    สิ่งที่เป็น รูปธรรมบุคคลที่มีวิธีคิดเชิงสร้างสรรค์และเป็นบวกแบบนี้ จัดเป็นทรัพยากรบุคคล
    ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อโลก ต่อประเทศชาติ และต่อองค์กรต่างๆที่บุคคลนั้นได้ทำงานอยู่

    การรู้จักคิดในการเพิ่มคุณค่า ควรเริ่มต้นที่ตนเองก่อน ลองคิดดูง่ายๆว่าตัวเราเองสามารถที่จะ
    เพิ่มคุณค่าในตัวเองให้เพิ่มสูงขึ้น ทางด้านใดได้บ้าง โดยควรให้น้ำหนักความสำคัญทางด้าน

    '' คุณค่า ทาง จิตใจ นามธรรม ที่ให้ผลดี สืบเนื่อง ยาวนาน
    กว่าคุณค่าทางด้านตัวตนภายนอก รูปธรรม ที่ไม่เที่ยง ''

    คุณค่าทางด้านจิตใจที่สูงขึ้นทำให้ เรานั้น เป็นที่รัก เป็นที่เชื่อถือ เป็นที่เคารพนับถือ ของผู้อื่น และในขณะ
    เดียวกันก็ทำให้ เรารู้สึกที่ดีกับตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง มีความมั่นใจ เพิ่มสูงขึ้น ประสบความสำเร็จ
    ในชีวิตได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย ทุกสิ่งเกี่ยวเนื่องกัน เป็นเหตุ เป็นผลกัน ดังนั้น

    " คนเราควรตีมูลค่าของคุณค่า ทางด้านจิตใจ ให้สูงกว่าคุณค่าทางวัตถุ ไว้เสมอ "

    ตัวอย่างการเพิ่มคุณค่าตนเอง : ทางด้านจิตใจ
    ความตั้งใจปฏิบัติธรรมความดีขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไม่ท้อถอยไม่ยอมเสื่อม
    จากความดี + ความเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในเส้นทางแห่งความดี + ความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ
    ความเป็นผู้มีสัจจะความจริงใจความเป็นผู้ มีใจสะอาดไม่อิจฉา ริษยา นินทาว่าร้ายผู้อื่น+ ความ
    เป็นผู้พัฒนาตนเองเปิดใจ เรียนรู้และยอมรับสิ่งดีๆเข้าสู่ชีวิตด้วยปัญญาที่พิจารณาว่าสมควรแล้ว
    การเพิ่มคุณค่า ของตนเองที่สำคัญประการหนึ่งคือการมองเห็นคุณค่าของคนอื่นอยู่เสมอ + พัฒนา
    วิธีคิด เพิ่มพลังความคิดสร้างสรรค์และการมองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ+ จงเป็นผู้มีรอยยิ้ม
    และ มิตรไมตรีต่อคนรอบข้างเสมอตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร

    [​IMG]


    ตัวอย่างการเพิ่มคุณค่าให้กับตนเอง : ทางด้านคุณสมบัติภายนอก
    สร้างอุปนิสัยรักการอ่าน การเรียนรู้กระหายที่จะพัฒนาตนเองเหมือนกับร่างกายกระหาย
    อาหารเชื่อในเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิตและความเชื่อว่าเรานั้นไม่แก่ +เกินเรียน +หาโอกาส
    ที่จะเรียนทั้งเพื่อปรับวุฒิการศึกษา และ การเรียนเพื่อการเพิ่มความรู้ ความชำนา +เพิ่ม
    ศักยภาพทางด้านร่างกาย ด้านสุขภาพ +มีความฉลาดทางด้านการเงินพัฒนาฐานะทางการเงิน
    ให้ดีขึ้นจากที่เป็นหนี้ปลดหนี้ลดค่าใช้จ่ายที่เป็นอบายมุขรายจ่ายที่ไม่จำเป็นใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ
    พอมีพอกินรู้จักความพอเพียง+ หารายได้เพิ่มโดยสุจริต+ เก็บออมสร้างสินทรัพย์ และ สร้าง
    มูลค่าเพิ่มในทรัพย์สินให้สินทรัพย์สร้างรายได้ให้ครอบคลุม ค่าใช้จ่ายสะสมความมั่งคั่ง
    อิสรภาพทางการเงินเผื่อแผ่ความมั่งคั่งความสุข ตอบแทนต่อส่วนรวม

    การพัฒนารูปลักษณ์ ภาพลักษณ์ของตนเองให้ดูดีเหมาะสมกับวัย การงาน โดยไม่มากเกินไป
    และ ไม่น้อยเกินไป + ถ้ามีครอบครัว ก็จงสร้างครอบครัวที่มีความสุขครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฐิ
    มีชื่อเสียงในด้านความดี คุณธรรม ปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มความคิดสร้างสรรค์
    และ ใส่หัวใจลงไปในงานทุกสิ่งที่ทำเสมอ

    ที่จริงยังมีการเพิ่มคุณค่าในตนเองในแง่มุมต่างๆอีก
    มากมายหลายอย่างครับ ลองไปคิด พิจารณากันดู

    ต่อไปผมขอยกตัวอย่างการเพิ่มคุณค่าในสิ่งต่างๆ
    ทั้งที่เป็น นามธรรม และ รูปธรรม รวมไปถึง การเพิ่ม และ การทำลายคุณค่า
    ในสิ่งต่างๆโดยไม่มีการ ประเมินผลที่เกิดขึ้นเหล่านั้นUncalculated Factor

    เคสแรกคือ งานประเพณีต่างๆของไทยไม่ว่าจะเป็น งานออกพรรษาลอยกระทงงานสงกรานต์
    ประเพณีต่างๆเหล่านี้ สืบทอดความงดงาม ความอ่อนโยน ความอบอุ่นความเอื้ออาทรแฝงสะท้อน
    อยู่ในวัฒนธรรมอันดีงามเหล่านั้นการนำเอา อบายมุขทั้งเหล้า ทั้งการพนัน ทั้งเอาสาวโคโยตี้มา
    แสดงอย่างไม่เหมาะสม ในงานประเพณีในวัด อาจทำให้คนร่วมงานมากก็จริงแต่ส่งผลร้าย ต่อ
    สังคมประเพณีที่ดีงามของไทยเรา อย่างไม่อาจจะประเมินได้ การข่มขืน การทะเลาะวิวาท กันทำ
    ร้ายกันฆ่ากัน อุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับไม่นับรวมถึงอนาคต ของหลายๆคนที่ต้องไปจบลง
    ในสถานกักกัน คุกตะราง โดยไม่จำเป็นความเสียหายจากมูลค่าทางตัวเงินจากทรัพย์สินที่เสียหาย

    การสูญเสียประชากรในวัยทำงาน การสูญเสียเยาวชนอันเป็นอนาคตของชาติการสูญเสียหัวหน้า
    ครอบครัว สมาชิกในครอบครัวและท้ายสุดคือการสูญเสียรายได้ในอนาคตของผู้ที่ตาย พิการ
    รวมทั้งติดคุกส่วนมูลค่าทางการท่องเที่ยวก็ถูกทำลายด้วยการกระทำอันน่ารังเกียจเหล่านี้ โดย
    สามารถประมาณการณ์เป็นตัวเงินได้ว่างานประเพณีและการมีสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามย่อม
    สร้างมูลค่าเพิ่มได้ มากกว่าบาร์เบียร์ที่ระเกะระกะรกสายตา ทางต่างประเทศเองมีการตีมูลค่า
    ของแบรนดต่างๆว่ามีมูลค่าเท่าไรส่วนไทยเรานั้นมีสิ่งหนึ่ง ที่มีมูลค่าสูงยิ่งทางการท่องเที่ยวจน
    กระทั่งสิงคโปร์และจีนต้องทำวิจัยและนำไปส่งเสริม ในประเทศของเขา สิ่งนั้น ก็คือรอยยิ้ม และ
    น้ำจิตน้ำใจแบบไทยๆนั้นเองครับ แต่คนไทยเราไม่เห็นคุณค่าและ ทำลายคุณค่าทางตัวตน
    และ วัฒนธรรมของตนเองลงไปอย่างน่าเสียดายครับ

    อีกกรณีที่น่าสนใจคือ คุณค่าที่แท้จริง ของ วัดครับที่จริงวัดเป็นศูนย์กลางทางสังคมศิลปวัฒนธรรม
    และการเรียนรู้ของสังคมไทยมาแต่โบราณแต่ปัจจุบันวัดหลายๆแห่ง ทำให้เสียคุณค่าจากการเข้ามา
    หาผลประโยชน์ส่วนตัวของบุคคลหลายๆประเภท ผมขอไม่วิจารณ์ส่วนวัดที่ดีช่วยเพิ่มคุณค่าดีๆ
    คืนกลับสู่สังคมก็มากครับ

    " ลองค่อยๆฝึกคิดดูครับคุณอาจจะค้นพบคุณค่า อีกหลายๆ อย่าง ใน
    หลายๆสิ่งที่เราลืมไปครับรวมทั้งคุณค่าในตนเองที่คุณคาดไม่ถึงครับ "
     
  9. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    มุมมองในชีวิตของการปฏิบัติธรรม

    06-11-2006, 10:06 PM


    มีหลายคนเคยตั้งคำถามขึ้นในใจตนเองว่า
    คนเราเกิดมาเพื่ออะไร - มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

    หลายคนบอกกับตัวเองว่า

    เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม - เกิดมาเพื่อเสวยสุข เสพสุขความสนุกสนานเกิดมาเพื่ออะไรก็ไม่รู้
    เกิดมาเพื่อการเรียนรู้ - เกิดมาเพื่อการสร้างบารมี ไม่ว่าจะเพื่อพระนิพพาน ก็ดี หรือ เพื่อ
    สัมมาสัมโพธิญาณก็ดี มุมมองในชีวิตถูกสะท้อนออกมาในคำตอบของแต่ละ บุคคล ส่งผลต่อ
    การมองโลก รวมทั้งการใช้ชีวิตดำเนินชีวิตของเขาเหล่านั้นยามสุข ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่
    ดี ล้วนแต่วิเศษไปทั้งนั้นแต่เมื่อความทุกข์มาเยือนเมื่อนั้นล่ะจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ใจและ ภูมิธรรม
    ของผู้นั้นว่าเห็นธรรมได้แค่ไหนระดับไหนแท้ที่จริงทุกคนเกิดมา ด้วยผลของกรรม ไม่ว่า
    จะเป็นกรรมดี ก็ตาม กรรมชั่วก็ตามมีกรรมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดเรื่องราวต่างๆกันไปในชีวิต

    ต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นต้องรู้จักกับคนนั้น พรากจากคนนี้ คนนั้นดีกับเราคนนี้กลับมาทำ
    ร้ายเราเรื่องราวเหล่านี้ .... ทุก ๆคนบนโลกล้วนต้องประสพพบเจอทั้งสิ้นครับแต่ผู้ที่มีภูมิธรรมสูง
    เข้าใจโลก และ ชีวิต มีวิปัสสนาญาณสูงจะรู้ทุกข์น้อยกว่าผู้ที่มีอวิชชา ความยึดมั่นถือมั่นสูง
    กว่าในเหตุการณ์ความทุกข์ที่มาประสพที่รุนแรงเท่าๆกันเพราะมุมมองต่างกันความยึดมั่นถือมั่น
    ในขันธ์ 5 มากน้อยต่างกันการเข้าถึงความเป็นธรรมดาเห็นความ เป็นธรรมชาติได้ลึกซึ้ง
    ต่างกันนั่นคือการปลดเปลื้องอวิชชาออกไปได้จนเบาบางได้ไม่เท่ากัน

    [​IMG]

    หลายครั้งที่การปฏิบัติธรรมเราได้เห็นความทุกข์ และ จมอยู่ในทะเลทุกข์นั้นอย่างมอง
    ไม่เห็นฝั่ง ( ทางออกแห่งทุกข์ ) คลื่นแห่งความทุกข์ถาโถมสู่ตัวเราลูกแล้วลูกเล่าเราก็ได้
    แต่บอกตัวเองว่ามันเป็นกรรมที่ส่งผลมาในปัจจุบันนี้หวังในใจอยู่ลึกๆที่จะรอให้คลื่นลม
    สงบไปด้วยตัวของมันเอง เพราะเรามองว่าชีวิตเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมแต่วันหนึ่งเรา
    ได้เปลี่ยนมุมมองใหม่เราสังเกตคลื่นแห่งทุกข์ ว่ามันเคลื่อนที่อย่างไรซัดท่าไหน
    เราจะหลบมันอย่างไร จะประคองตัวอย่างไรเราจึงเกิดปัญญา [ ดับอวิชชา ]
    ขึ้นมาได้ว่าชีวิตก็ คือ การเรียนรู้รู้ที่จะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ทุกข์ ประดุจหยาดน้ำที่กลิ้ง
    อยู่บนใบบอน ใบบอนไม่เปียกเพราะไม่ซับน้ำฉันใดใจเราก็ไม่ทุกข์เพราะไม่นำความทุกข์
    ไปปรุงแต่งฉันนั้นเช่นกัน ความทุกข์และผู้นำความทุกข์มาให้ล้วนเป็นครูสอนเราให้เรียนรู้

    เมื่อเห็นทุกข์ [ จึงต้องการออกจากทุกข์ จึงค้นหาสัจจรรม ] จึงเห็นธรรม เมื่อ
    เห็นธรรมจึงเห็นตถาคต [ ความบริสุทธิ์แห่งจิตพระพุทธองค์ผู้ทรงปราศจากกิเลศ ]

    เมื่อใจเรามีปัญญาเกิดขึ้น เห็นความทุกข์ เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร จึงเกิด
    ศรัทธาในการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อการ ตัดสังโยชน์ 10

    ให้สิ้นเชื้ออาสวะทั้งปวงเกิดวิริยะเพียรพยายาม สร้างบารมี 30 ทัศน์ ให้เต็มบริบูรณ์ใจจึงตั้งมั่นว่า
    ชีวิตเรานับแต่นี้มุ่งมั่นในการสร้างบารมีให้เต็มไม่ว่าจะเพื่อพระนิพพานก็ดีหรือเพื่อพุทธภูมิวิสัยก็ดี
    นับแต่นั้นมาคลื่นความทุกข์ที่เคยถาโถมท่วมจิตท่วมใจก็กับกลายเป็นดั่งริ้วคลื่นที่ก้าวข้ามเอาทุกข์
    และ อุปสรรคได้โดยง่ายไม่เกินกำลังเพราะใจไม่ไปติด ไม่ไปยึดไม่ไปรู้สึกว่าทุกข์

    " มองเห็นทุกข์ เป็น อุปสรรค ของธรรมดาในการสร้างใน
    การบำเพ็ญบารมี ให้สมบูรณ์ เห็นทุกสิ่ง เป็นธรรมดา เป็น นิจ
    เป็นอนิจจังไปทุกสิ่ง ทุกคนทุกเหตุการณ์ ภายใต้กฎไตรลักษณ์
    การออกจากทุกข์ได้ต้องใจสบาย ใจสะอาดใจบริสุทธิ์ "

    ขอให้ทุกท่านผ่านทุกข์ เห็นธรรมเข้าถึงความเป็นธรรมดาได้ทุกท่านด้วยเทอญ.

     
  10. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    แนวคิดเรื่องเวลาแห่งชีวิต

    08-11-2006, 10:13 PM


    ที่จริงแล้วคนเราส่วนใหญ่ลืมคิดถึงมันมากกว่าเนื่องจากมัวไปคิดว่าจะใช้เวลาไปทำนั่นบ้าง
    นี่บ้างจนลืมนึกถึง" เวลาแห่งชีวิต " ซึ่ง นับวันมีแต่ลดหดสั้นลงไปทุกวินาทีเหมือนนาฬิกาทราย
    ที่ค่อยๆไหลลงมาจนหมดชีวิตเราทุกๆคนก็เช่นกันเคลื่อนใกล้เข้าสู่ความตายในทุกขณะ
    นับตั้งแต่ วินาทีแรกที่เราได้ลืมตาดูโลก

    พระพุทธเจ้าท่านจึงได้กล่าวเตือนสติ เราทั้งหลาย
    ในปัจฉิมโอวาทว่า " จงอย่าได้ประมาท ''

    เพราะที่จริงแล้วเราไม่รู้เลย นอกจากท่านที่ได้ภูมิธรรมรู้วาระการตายของตนเองว่า เรานั้น
    เราจะตายเมื่อไหร่ตายวันไหน ตายอย่างไร รู้เพียง แต่ว่าเราต้องตายแน่นอนดังนั้นเราจึงไม่ควร
    ประมาทในเรื่อง เวลาแห่งชีวิต จงคิดไว้ เสมอว่าชีวิตนี้ของเราก็ดี คนอื่นก็ดี ทรัพย์สินทั้งหลายก็ดี
    ล้วนแล้วแต่เป็นของไม่เที่ยงไม่จีรังยั่งยืนสิ่งที่เป็นเครื่องอาศัยได้เพียงอย่างเดียวก็คือความดี
    บุญกุศลที่เราพึงพากเพียรสร้าง และ บำเพ็ญในเจริญงอกงามยิ่งๆขึ้นไป

    [​IMG]


    ลองฝึกคิดดูว่าเราได้เสียเวลาอันมีค่าไปในสิ่งที่ไร้แก่นสารสาระมากเพียงไร

    + เราพอที่จะปรับลดลงมาบ้างได้หรือไม่ ?
    + ลดเวลาที่เราใช้ไปเที่ยวไปดื่มกินเหล้าลงได้หรือไม่ ?
    + ลดเวลาที่เราใช้ไปในการ นินทา ว่าร้าย คนอื่นได้หรือไม่ ?
    + ลดเวลาที่เราใช้ไปเล่นอบายมุขต่างๆได้ไหม ?
    + ลดเวลาที่เราใช้คิดในเรื่องไม่ดีของคนอื่น ?

    จากนั้นนำเวลาที่เพิ่มขึ้นเหล่านั้นไปไปใช้ทำความดีให้มากขึ้น
    + คิดในสิ่งที่ดี และสร้างสรรค์ให้เพิ่มขึ้น + ใช้เวลาช่วยเหลือผู้คนที่ทุกข์ยากกว่าเรา
    พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆด้าน + ยกระดับความสามารถและสติปัญญายกระดับจิตใจ
    และ ภูมิธรรม ของตนให้สูงขึ้น + ใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีค่าที่สุดครับ

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...