"กายมันว่างงานจิตมันเริ่มที่จะหางานทำ": องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Nana nora, 3 กรกฎาคม 2023.

  1. Nana nora

    Nana nora สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +68
    2231.jpg

    #กายมันว่างงานจิตมันเริ่มที่จะหางานทำ

    “…เดี๋ยวนี้มีท่านพระอาจารย์มานพ กำลังดังนะ และท่านพระอาจารย์มานพท่านว่ารู้จักหลวงปู่ดีนะ หลวงปู่ เอ้...มานพไหนเราก็มานพเหมือนกันใช่ไหมล่ะ หลวงปู่รู้จักอาจารย์มานพไหม ก็รู้อยู่เพราะว่าไปเห็นกัณฑ์เทศน์อยู่ในยูทูป หน้าตาท่านเอาเรื่องเหมือนกันนะ หน้าเข้มข้นเหมือนกันนะ เป็นคนอะไรล่ะที่บอกว่าเอาจริงเอาจัง ท่านก็อยู่ป่าของท่านว่ายังไม่มีไฟฟ้าอะไร อยู่ถ้ำ ก็มีลูกศิษย์ลูกหาเริ่มที่จะเยอะขึ้น แล้วท่านก็บอกนะ “เนี่ยถ้าไปทางขอนแก่นก็ไปกราบหลวงปู่น้อยนะว่า” ท่านรู้จักดี รู้จักดีแบบไหนก็ไม่ทราบนะ รู้จักดีในการฟังเทศน์หรืออะไรก็ไม่ทราบนะ เราไปเปิดดูฟังเทศน์ก็ว่ารู้จัก กลุ่มนี้แหละก็ไปกราบองค์ท่านอยู่ไง

    นี่เวลามันเสื่อมไง ของเรานี่ตั้งแต่ครองฆราวาส ๕ ปี ปีที่ ๖ มันเริ่มเสื่อม แม่ชีที่มาวันนั้นเห็นไหมนั่นล่ะ มันไม่ออกจากสมาธิเลยนะเราบอกว่าออกมา แกก็อิ่งอ้อยแกร้องไห้ไม่อยากออก มันไม่ยอมออก แต่แกก็บอกว่ามันเข้ามาแล้วแกก็ไม่ได้ทำอะไร ใช่ เพราะว่าสมาธิมันไม่ ได้เกี่ยวกับเรา มันจะลงก็เรื่องของมันเรื่องของจิตใช่ไหมล่ะ ตอนนี้จิตตัวนั้นมันอยู่อย่างงั้นมันไม่ออกมันสิ้นสัญญา เขาเรียกว่ามันหมดสิ้นสัญญาที่เป็นทางโลกของมันไป มันไปอยู่ที่สัญญาเดียวของมันก็คือสัญญาจำได้หมายรู้เฉพาะสมาธิน่ะ แม่ชีมาวันนั้น

    ครูบาแหวงไปหาหลวงปู่ดีกว่า (หัวเราะ) ไปหาหลวงปู่ดีกว่า ครูบาแหวงว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวนี้มันอะไร (หัวเราะ) เพราะส่วนมากนี่ครูบาอาจารย์จะไม่ได้ผ่านไง อย่าลืมนะตาสง ถ้าไม่ผ่านนี่จะไม่รู้นะว่ามันคืออะไร นี่แหละเราไปสิ้นสุดสัญญาอยู่ภูเมืองนะ นี่แหละว่ากูบ้าหรือไงไอ้ห่ามึงไม่รู้เรื่อง คิดถึงพุทโธธัมโมสังโฆก็ไม่ได้ นี่แหละเกิดโกรธตัวเองขึ้นมามันเลยเป็นสัญญาใหม่ สัญญาแห่งความโกรธมันเลยไปยึดสัญญาแห่งความโกรธเห็นไหม พอมารู้ภายหลัง...โอ๋ การสอนคนมันก็สอนง่ายสิพอถึงจุดนั้นปั๊บให้อยู่ในสติอย่างเดียว อย่าให้มันออกและอย่าให้มันเข้า มันจะอยู่ของมันอยู่งั้น มันจะออกมันจะเข้าก็เรื่องของมันไง อยู่ด้วยสติโดยถ่ายเดียวให้มีสติรู้อยู่อย่างงั้น อย่าไปว่ามันเข้า อย่าไปว่ามันออก อย่าไปโกรธมันถ้าเกิดโกรธมัน มันจะใช้สัญญาใหม่คือสัญญาความโกรธนี่หนักเลยนะตอนนี้เอาไม่อยู่นะ เพราะตัวนี้มันยังเป็นโลกียะอยู่ไง เอ้อ...เพราะเราผ่านมา อุ้ย...เกือบตายอยู่ภูเมืองนะก็เรื่องนี้ แต่ผ่านมานี่ได้นะตาสงนะ ผ่านมารู้เรื่องหมดเลยไง ก็บอกว่าเรื่องสมาธิขั้นไหนมาถามสิ นั่นแหละผู้หญิงคนนั้นแหละแกเป็นแม่ชีคู่กัน

    แต่แม่ชีคนหนึ่งก็เข้ามาฝึกอยู่กับครูบาแหวงนั่นแหละ มาจากกรุงเทพฯ นี่ก็ขายหมดนะ ขายบ้านขายช่อง ขายทรัพย์สินต่างๆ เพราะว่า ต้องการตัวนี้ ต้องการที่จะเป็นพระอรหันต์เหมือนกันนะ ช่วงนี้ที่ว่าจิตมันยังไม่เสื่อมไง เออ...ก็คอยดูหรอกมันจะเสื่อมวันไหน ถ้ามันเสื่อมนี่ โอ้...หนักเหมือนกันนะ เพราะเราผ่านมาไงเออตอนนี้มันก็ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างมันได้ เพราะสมาธิคุมมันอยู่ไง แต่ถ้าเกิดมันอยู่อย่างงี้เกิดมันอยู่ดีกินดีมันไม่มีอะไรที่จะกระทำ เมื่อกายมันว่างงานเนี่ยเห็นไหม กายมันว่างงานจิตมันเริ่มที่จะหางานทำคือ มันคิดมันนึกมันตรึกมันตรองมันปรุงมันแต่งเข้าใจไหม แต่ถ้ากายมันไม่ว่างงานมันเหนื่อยจิตมันก็เหนื่อยเข้าใจไหม แต่ถ้ากายมันว่างงานจิตมันไม่ยอมเหนื่อยสิตอนนี้ มันยิ่งกระตือรือร้นของมัน เอาแล้วเป็นบ้าไปแล้วเหมือนพระเรานี่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับสตรีเพศกับเงินกับทองก็เรื่องนี้แหละ

    ตอนแรกก็ไม่เอาอะไรแล้วก็บวชมาก็ว่าเป็นผู้ที่ทรงธรรมทรงวินัยนะ แต่พอมาเจอเงินเจอทองเข้านั่นเห็นไหมล่ะ เพราะจิตตัวนี้มันไม่ว่างงาน เพราะกายมันว่างงานจิตมันกระตือรือร้น เพราะจิตมันไม่เหนื่อย แต่ถ้ากายมันเหนื่อยจิตมันเหนื่อยด้วยนะ ตอนนี้น่ะที่พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติให้มีธุดงควัตร ๑๓ เกิดขึ้น เพราะบีบบังคับตัวนี้ แต่ว่าเหมือนอัตตกิลมถานุโยคมันก็ใช่นะธุดงค์ ๑๓ นี่นะ แต่ว่ามันเบากว่านั้นอีก มันไม่ได้ทำเพียรขั้นสุดโต่ง

    คำว่าอัตตกิลมถานุโยคก็คือ เขาเรียกว่านอนบนถ่านเพลิง ยืนนอนบนหนาม ยืนขาเดียวตากแดดตากฝนตากลม แก้ผ้าตากแดดตากฝนตากลม ยืนขาเดียวจนผมร่วงหมดจนขนร่วงหมด นี่ก็คืออัตตกิลมถานุโยค นั่งอยู่อย่างงั้นให้มันตายไปเลยนี่ก็อัตตกิลมถานุโยคตัวนั้น แต่นี่ธุดงควัตรนี้มันอยู่ตรงกึ่งกลางนั่นแหละก็เพราะว่าทำไมล่ะ ก็เพราะว่าเวลาที่พระเราออกมานี้มันว่างจากงานทางโลกใช่ไหมล่ะมันไม่ได้ทำงานนี่กายมันไม่เหนื่อยใช่ไหมล่ะ มันน่าจะเอากายไม่เหนื่อยตัวนี้มาเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน มันไม่ยอมสิ นี่แหละ

    หลวงปู่ไปได้ปัญญาเพราะมด เอ...มดนี่กลางวันกลางคืนไม่เห็นว่ามันหลับมานอน ถ้าเราทำเพียรได้เหมือนมดนี่เราก็จะทรงมรรคทรงผล เราไปอย่างงั้นนะอยู่ป่าอยู่เขา เรานี่เอามดเป็นอาจารย์น่ะ เอ้อ...ไม่เห็นว่ามันมันหยุดพักนะ เห็นไหมเห็นมดมันหยุดพักไหม นั่นแหละฝนตกแดดออกมันก็ขนเตรียมงานของมันอยู่อย่างงั้นนี่ถ้าเราทำเพียรแบบมดนี้เราทรงมรรคทรงผลแน่นอน นี่แหละมันก็กระตือรือร้นบางทีเดินไปหลับไปด้วยนั่นแหละนี่บอกว่ามันไม่มีเวลาพักผ่อน มันซัดเราตอนแก่นี่เรื่องของพวกนี้นะ แต่เราว่าเราคุ้ม

    นี่เห็นไหมเวลามันเสื่อมนั่นนะมันน่ากลัวนะตาสง ตอนที่มันไม่เสื่อมเนี่ย คือตอนที่มันยังไม่เป็นอะไรนี่ มันไม่น่ากลัวนะ แต่เวลามันได้สมาธินี้มันน่ากลัวที่สุดเลย เวลามันเสื่อมนี่คือมันขึ้นสูงมันก็ลงแรงนะ นี่สมาธิดุ้นๆเป็นอย่างงั้น แต่สมาธิที่เสริมด้วยปัญญาที่เรียกว่า โลกุตระสมาธินี่ มันเป็นคนละแบบนะมันแฝงออกมาด้วยปัญญาเรียกว่าภาวนามยปัญญา ตัวนี้เวลามันจะลงมันก็ยังมีง๊อกแง็กๆตามลมได้อยู่นะ แต่ว่าถ้าสมาธิดุ้นดิ่งเลยนะเหมือนกับบั้งไฟมันขึ้นสูงสุดนะ เออ...สมัยก่อนมันเอาเหล็กทำใช่ไหมล่ะ เวลามันลงน่ะ เหล็กขึ้นสูงสุดมันลงนั่นแหละอย่างงั้นแหละ มิดดินเลยนะ ได้ขุดเอานะสมัยก่อนนี่ใช่ไหมล่ะ สมัยที่เขามีปัญญาเขาก็ใช้เป็นไม้ใช่ไหมล่ะให้เบาที่สุดเห็นไหม มันจะค่อยลงๆ นี่เห็นไหมล่ะความฉลาด ความฉลาดของผู้มีปัญญา นั่นล่ะเราก็เอาบั้งไฟตัวนั้นมาพิจารณาไตร่ตรองเมื่อคนมีปัญญาในการทำสมาธิ คนทำสมาธิไม่มีปัญญาก็เหมือนกับบั้งไฟที่แบบคนไม่มีปัญญาทำ ทำให้มันหนัก เวลามันขึ้นก็ขึ้นสูงสุดใช่ไหมล่ะ แล้วเวลามันลงนี่ลิ่วๆๆๆๆไม่ทันเลยนะใช่ไหม แต่คนมีปัญญาเขาจะใช้แบบที่บอกว่าให้มันลงเบาๆๆๆจะทำยังไง นั่นแหละเขาเรียกผู้มีปัญญาภาวนามยปัญญามันเกิด มันต้องเป็นลักษณะนี้ มันจะลงแบบเบาๆๆๆๆๆ หาวิธีแบบที่ให้มันลงเบาที่สุด ลงแบบเบาแบบไหนเพราะมีสติเป็นตัวรองรับ ใช่เอาสติเป็นตัวรองรับ เมื่อเอาสติเป็นตัวรองรับไม่ได้เกี่ยวกับว่ามันจะขึ้นมันจะลง เพราะจะเอาสติไม่เอาบั้งไฟขึ้นไม่ได้เอาบั้งไฟลง คนมีปัญญามันจะเอาตัวนั้น

    อย่างงั้นแม่ชีคนนั้นแกจะอยู่อย่างงั้น ถ้าแกอยู่ไปได้หลายปี นี่แกก็เพิ่งเป็นเดือนพฤศจิกายน พฤศจิกายนที่ผ่านมานี่แกเพิ่งเป็น นี่ก็ มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน พฤษภาคม มันก็ ๖ เดือน น้อยนิด หลวงปู่บอกว่าหลวงปู่ติดมา ๕ ปี ๖ ปี (หัวเราะ) เขาก็พากันหัวเราะ เห็นไหม ก็ผ่านมาแล้วมันแก้กันได้นะ แต่ว่าแก้ตัวนี้เพียงแต่แก้เป็นทางนะ แต่จะออกจะเข้าใจอะไรมันอยู่ที่ของของ บุคคลคนนั้น คือเป็นทางที่บอกว่าเราผ่านมาแล้วเข้าใจยัง นี่ผ่านมาแล้วตัวนี้ แต่ที่จะออกจะทำยังไงได้ ให้อยู่ที่สติแล้วแต่กาลเวลา ของใคร ว่ามันจะอิ่มตัวของมัน ก็เหมือนคนนอน บางคนก็นอนชั่วโมงหนึ่งก็อิ่ม แต่บางคนก็นอน ๒ ชั่วโมงถึงอิ่ม บางคนซัดมัน ๘ ชั่วโมงหรือนอนทั้งวันทั้งคืนมันจึงอิ่มนั่น ไอ้นั่นคนขี้เกียจเหมือนกันนั่น ถ้าจิตตัวนี้มันขี้เกียจมันก็จะอยู่นานหลายปีก็เหมือนจิตหลวงปู่นั่น...”

    พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
    วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
    ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๖
     

แชร์หน้านี้

Loading...