กวาดกิเลสออกจากใจ (ธรรมเทศนา)

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 11 สิงหาคม 2005.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,014
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR align=right><TD><TABLE borderColor=#993300 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" align=center bgColor=#ffcc99 border=0><TBODY><TR><TD>
    ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
    ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
    ข้อมูลเสียงแบบ(Win) วิดีโอแบบ(Win Narrow Band) วิดีโอแบบ(Win High Band)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>




    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    กวาดกิเลสออกจากใจ
    <DD>เร่งละ เมื่อวานนี้ก็ไปส่งทองคำแล้ว เขากลับมาเมื่อไรไม่ทราบ ไปส่งแล้วเมื่อวานนี้ นี่เราก็ได้เพิ่มมาอีกแล้ว ไม่นานก็จะต้องไปส่งอีกแหละ เพราะจะเร่งรวบรวมให้รู้เรื่องรู้ราว เมื่อวานหลังจากการส่งแล้วก็ได้ทองแท่งมาตั้ง ๕ กิโลกับ ๒๗ บาทอีก จะเพิ่มเข้าเรื่อย ๆ แล้วก็เร่งเรื่อย ๆ นะ ๕๐๐ กิโลนี้ต้องยันเลยขาดไม่ได้ ต้องเร่ง ๆ นี่เงินกองกฐินก็นึกว่าเขาเอาไปกรุงเทพพร้อมกันกับเมื่อวานนี้ เขาเอาเข้าทางนี้แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร

    </DD><DD>กฐินของพี่น้องศรัทธาทั้งหลายที่มาถวาย ส่วนมากถวายกรรมฐานนะ กฐินวัดไหน ๆ จะรวมเป็นทองคำเข้ามาที่นี่ ก็คิดดูซิอย่างหนองกองเมื่อวานนี้ก็มาแล้วตั้ง ๕ กิโล ๑๔ บาท นาคูณก็มา ๑๓ บาทกับเงินประมาณหมื่นกว่าบาท เริ่มมาแล้ว กฐินที่พี่น้องทั้งหลายไปทอดในที่ต่าง ๆ ไม่ไปไหนแหละเราก็บอกตรง ๆ เลย เข้ามานี้หมดนั่นแหละ จากนี้ก็เข้าคลังหลวง นี่ก็เริ่มมาแล้วนี่ จะมาเรื่อย ๆ อย่างนี้ กรรมฐานท่านไม่ค่อยอะไรกับเรื่องการเงินการทอง ท่านมุ่งอรรถมุ่งธรรม ทำอะไรถ้าเป็นอรรถเป็นธรรมทั้งส่วนตนและส่วนรวมแล้วท่านพร้อม ๆ เสมอ นี่ก็เริ่มเข้ามาแล้วกฐินสองวัด หนองกองกับนาคูณ จากนั้นก็มารอบ ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ รวมเรื่อย ๆ คือจุดรวมของกรรมฐานอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด รวมจากนี้ก็เข้าคลังหลวงเรา เย็นใจสบายทั่วประเทศ

    </DD><DD>ทองคำที่เราได้แล้วเวลานี้ ๓๒๔ กิโลยังขาดอยู่ตั้ง ๒๐๐ ไม่ใช่เล่นนะ นี่จะรวมกฐินที่ว่านี่ต่อไปอีก กฐินที่ได้ก็ผ่านไปแล้ว ส่งไปแล้วเมื่อวานนี้ ต่อไปจะมาจากกรรมฐานที่ต่าง ๆ อีก เฉพาะภูสังโฆกับผาแดงมากกว่าเพื่อนทุกทีแหละ วันงานนี่ธรรมลี ผาแดง ได้มาตั้ง ๑๒ กิโล ของเล่นเมื่อไร ก็มีผาแดงกับภูสังโฆที่เป็นพี่เบิ้มแถวนี้ จากนั้นก็มาเรื่อย ๆ มาทุกแห่งบรรดากรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นจะเข้าที่นี่หมด จากนี้รวมแล้วก็เข้า รอฟังระยะนี้ เพราะเวลาก็ยังอีกนานตั้งเดือนเต็ม ๆ จะรีบรวมให้เรียบร้อย เมื่อรวมเรียบร้อยแล้วก็จัดการให้ทันปุ๊บได้เลย หลอมไว้ได้เท่านั้นแล้วตายใจ พอถึงวันที่ ๑๐ ก็เข้าคลังหลวงของเราแหละ ส่วนดอลลาร์นั้นดูว่าสองแสนแน่แล้ว เศษกำลังเลยขึ้นไปจากสองแสน เศษไปเท่าไรเราก็จะเข้าไปเลย ถ้าสมควรจะเข้า ๑๐ ดอลล์ ๒๐ ดอลล์ ไม่เข้านะ ถ้าเป็นพันขึ้นไปแล้วเริ่มเข้าแหละ

    </DD><DD>สรุปทองคำและดอลลาร์ กฐิน วันที่ ๒๘ เมื่อวานนี้กฐินทองคำได้ ๑๔ กอง เงินสดได้ ๓๕ กอง รวมเป็น ๔๙ กอง เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยนับกองละ พอกฐินทองคำผ่านมาแล้วได้กี่กอง ยังเหลือกี่กอง ไม่นับ มีแต่จะรวบรวมมาให้ได้ ๕๐๐ กิโล จะรวบเอาตรงนั้นเดี๋ยวนี้ เรื่องกี่กอง ๆ มักจะไม่พูดถึงแหละ มีแต่จะรวม ๆ เพราะกฐินผ่านไปแล้ว รวมกฐินทั้งหมดได้ ๗๘,๒๒๑ กอง ขาดอยู่อีก ๕,๗๗๙ กอง เราอ่านไปอย่างนั้นแหละ พอกฐินผ่านไปแล้วได้อะไรมารวบเลย ๆ

    </DD><DD>ให้ได้ ๑๐ ตันนะพี่น้องทั้งหลาย เอาให้จริงจังนะ เวลานี้โลกเขามองรอบด้าน เป็นยังไงชาติไทยของเรา กำลังช่วยชาติเขารู้กันทั้งโลก แล้วมีใครเป็นหัวหน้าบ้าง ก็ไม่พ้นจากหลวงตามหาบัวที่เป็นหัวหน้า เป็นยังไงมหาบัวเหลวไหลขนาดไหน ตอนนี้อันหนึ่งนะ เราฟัดเรามาไม่มีเหลวไหลเลย ฟังซิน่ะ แล้วจะมาเหลวไหลกับตอนเรือพ่วงเหล่านี้อย่าให้เหลวไหล ซึ่งอยู่ในวิสัยที่ไม่ควรเหลวไหลนะ เอาให้จริงจังพี่น้องทั้งหลาย เอาหน้าหลวงตาบัวไว้เถอะ ว่าฟาดกับกิเลสนี้ขาดสะบั้นไปเลยไม่มีคำว่าเหลวไหล เอา สลบก็สลบไม่สนใจ ตายก็ตายเลยนู่นน่ะ ขอให้กิเลสตายอย่างเดียวเท่านั้นเป็นที่พอใจ

    </DD><DD>นี้เราก็พอใจแล้วกับเรื่องที่ว่านี่ หายสงสัย บอกแล้วกี่ครั้งกี่หนบอกเพื่ออวดหรือ ท่านทั้งหลายว่าเพื่ออวดเหรอ เวลานี้จะอุ้มเมืองไทยทั้งชาติขึ้นด้วยความอุตส่าห์พยายาม ความเด็ดเดี่ยวของเมืองไทยเรา โดยนำเรื่องของเรามาเป็นคติ ว่าเราไม่ได้ย่อหย่อนนะการปฏิบัติต่อตัวของเราเอง จนเป็นที่พอใจแล้วมานำพี่น้องทั้งหลาย มันจะเหลวไหลไปเหรอ ต้องเอาอย่างนี้นะ เตือนให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากัน อย่าให้เห็นเป็นอันขาดนะคราวนี้ หลวงตาตายนี้จมลงใต้ก้นทะเลถ้าเหลวไหลคราวนี้นะ เพียงทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน คนทั้งประเทศ ๖๒ ล้านคน เวลานี้ยังเหลืออยู่เพียง ๔ ตันกว่าเท่านั้น ๕ ตันกว่าเรายังหามาได้แล้ว ทำไม ๔ ตันกว่าจะไม่ได้ ไม่ให้มีในเมืองไทยเรา

    </DD><DD>เอาให้เด็ดนะพี่น้องทั้งหลาย มีเท่าไร ๆ เราก็เก็บหอมรอมริบ ครั้งนี้ครั้งนั้น วันนี้วันนั้น ต่อไปมันก็ท่วมขึ้นไปเอง ถึง นอกจากจะเฉื่อยชาหน้าด้านไปเลย แล้วเหยียบย่ำทำลายการช่วยชาติ นี้อันหนึ่งนะ ดูถูกเหยียดหยามการช่วยชาติ ยกตัวที่มีแต่ร่างกระดูกออกมาอวดโชว์ ใครจะอยากดูร่างกระดูกของคนเลวร้ายหาสาระไม่ได้ แล้วมาอวดคนทั้งชาติที่เขากำลังอุ้มชาติไทยของเราขึ้น มันดูได้ไหม ฟังได้ไหม พิจารณาซิ นี่ละพวกเลวร้ายที่สุด คนเลวร้ายที่สุด คือคนประเภทนี้ อย่าให้มีในหัวใจของชาติไทยเรา คนเลวร้าย ความเลวร้ายอย่างนี้อย่าให้มี เอาให้เด็ดทีเดียว จริงจังอยู่ตรงนี้นะ

    </DD><DD>เวลานี้ยังเหลืออยู่ ๔ ตันกว่า อย่างไรพี่น้องทั้งหลายเอาให้ได้ทุกคน เราไม่ได้เป็นเศรษฐีละ ถ้าเป็นเศรษฐีจำเป็นอะไรจะต้องไปยกบ้านยกเมือง ก็เป็นเศรษฐีทั้งประเทศยกไปหาอะไรใช่ไหมล่ะ แต่นี้มันต่างคนต่างจนทั่วประเทศมันจนด้วยกัน แล้วต่างคนต่างอุ้มชาติตัวเองด้วยความเป็นคนจนแต่กำลังใจมี ฟัดกันเลยนะ นี่ละที่เรายกอยู่เวลานี้น่ะ เอาให้จริงจังทุกอย่างอย่าถอยนะ เราเข้มข้นตลอดเพื่อชาติไทยของเรา เราบอกแล้วว่าเราไม่มีอะไรสำหรับตัวของเราเอง ดีดเมื่อไรผึงเลยเท่านั้นเอง หายสงสัยทุกอย่างแล้ว เรียกว่าศาสดาองค์เอกประจำอยู่ที่จิตดวงที่บริสุทธิ์เต็มเหนี่ยวทุก ๆ พระองค์อยู่นั้นหมด

    </DD><DD>สาวกทั้งหลายมีจำนวนมากน้อยเป็นอันเดียวกันหมด เป็นมหาสมุทรมหาทะเลอันเดียวกันหมด น้ำหยดไหนตกลงมาปั๊บเป็นมหาสมุทรด้วยกัน ๆ บรรดาผู้ที่ได้บรรลุธรรมถึงขั้นอรหันต์รายใด ๆ จะเข้าถึงมหาวิมุตติ ๆ ซึ่งเทียบกับมหาสมุทรด้วยกันนั่นแล แล้วทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ถ้ายังทูลถามอยู่ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศไว้แล้ว ก็องค์ศาสดาประกาศเองก็หมดความหมายไปละซี นั้นละที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต คือเห็นอย่างนี้เอง แล้วไม่ต้องทูลถาม ตถาคตคืออะไร คืออันนี้เท่านั้นพอ จ้าเลย นี่ละศาสดาองค์เอกมาสอนพวกเรา เด็ดพอแล้ว เลิศพอแล้วมาสอนพวกเรา แล้วทำไมมันจะเลวเสียจนดูไม่ได้ คนไทย ๖๒ ล้านคนเพียงทองคำ ๔ ตันกว่าเท่านั้นจะเอาไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ว่างั้นเลย เอาให้จริงให้จังทุกอย่าง ให้ได้

    </DD><DD>ถ้าได้ ๑๐ ตันนี่แล้วจ้าเลยเมืองไทยเรา ไม่มีใครมาดูถูกได้เลย เอ้ามาก็มา หลวงตาบัวเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน เมื่อได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันแล้วปัดพี่น้องทั้งหลายไว้ข้างหลัง เราจะออกสนามคนเดียว ใครเก่งให้มาต่อสู้กับเรา เราจะฟาดให้หมดทั้งโคตรตกทะเลหมดเลย ให้มันหงายเลย ๆ สูมีกี่โคตรสูมาหากูน่ะ แล้วสูได้ทองคำมากี่หยิบมือ นี้กูฟาดขึ้นถึง ๑๐ ตันก็พี่น้องชาวไทยกูทั้งชาติ สูไม่ได้มาช่วยกูนี่ มีแต่พี่น้องชาวไทยจน ๆ นี้ฟาดทองคำขึ้นได้ถึง ๑๐ ตัน แล้วสูไม่ได้เอาทองคำมาอวดกูสักกิโลหนึ่ง มึงมาอวดกูเหรอ มึงมีกี่โคตร ถามมัน คือมีกี่โคตรนั่นจะกวาดมันลงทะเลให้หมด เข้าใจไหม ไม่ให้มันเหลือเลยโคตรหน้าด้าน โคตรสันดานหยาบ ไม่ช่วยเขามีแต่มาทำลายเขาอย่างเดียว เลวสุดยอด นี่ละตอนที่เอา

    </DD><DD>คือเราออกสนามคนเดียว เราจะโต้ตอบ ปากเดียวก็ช่าง ถ้าหากว่าปากเราไม่พอ จะไปยืมปากไอ้หยอง ไอ้ปุ๊กกี้มา นี่ละต้องให้จริงจังทุกคน ยังไงเราเชื่อแน่ต้องได้ ๑๐ ตันไม่เป็นอื่น ว่างั้นเลย เราเชื่อพี่น้องชาวไทยเราซึ่งบึกบึนมาตั้ง ๕ ตันได้แล้ว ใครไปบีบบี้สีไฟกันที่ไหน มาด้วยน้ำใสใจศรัทธา ด้วยความรักชาติเสียสละด้วยกันทุกคน ถึง ๕ ตันกว่า แล้วทำไม ๔ ตันกว่าจะไม่ได้ ก็รู้กันอยู่ทุกคนว่ายังขาดเท่านั้น ๆ จะให้ถึงจุดคือเท่านั้น มันก็ต้องได้นั่นแหละ จึงว่าเร่งเข้าไป ๆ

    </DD><DD>นี่ก็จะรีบรวบรวมแหละ คอยฟังทางโน้น รอตั้งแต่ปรึกษากันแล้วที่จะถอนเงินไปซื้อทองคำ คือเงินกฐินนี้จะถอนทั้งหมดเลยแล้วซื้อทองคำทั้งหมด ได้มาแล้วขาดเท่าไร ตรงนั้นตรงจะหมุนจี๋เลยละ ขาดเท่าไรก็เอากันใหญ่เลยตรงนั้นให้ได้ สำหรับเงินในโครงการช่วยชาติเวลานี้เราแน่ใจอยู่ว่า ๕๐ ล้านนะ อันนี้เราไม่แตะ รอเสียก่อนรอจังหวะ นอกจากทางนี้ไม่พอแล้วอาจจะถอนออกมาได้ เพราะเงินเพื่อช่วยชาติอันเดียวกัน ดอลลาร์เราก็ได้สองแสนแล้ว หากพอจะได้สามแสน อันนี้แล้วแต่มันจะเป็นเราไม่ว่าแหละ ส่วนทองคำคราวนี้ต้องให้ได้ ๕๐๐ กิโล ไม่ให้ต่ำกว่านั้น เพราะประกาศแล้ว ออกแล้ว

    </DD><DD>หลวงตาถ้าลงได้ลั่นคำไหนแล้วมันขาดสะบั้นไปเลยนะ ไม่มีคำว่าหลุด ๆ ลุ่ย ๆ อะไร จริงอย่างนั้น ลงว่าอะไรแล้วขาดเลย แม้เจ้าของเองได้ตั้งกฎใส่เจ้าของปั๊บนี้เจ้าของฝืนไม่ได้นะ ต้องให้เดินตามนั้น เจ้าของเองต้องเดินตามกฎ กฎอันนั้นเป็นธรรมแล้ว เหนือเราแล้วเราต้องเดินตามธรรม เจ้าของก็ไปแก้ไม่ได้ถ้าลงได้กำหนดตกลงอย่างไรแล้ว นอกจากเหตุผลนี้จะเหนืออันนี้อีก เจ้าของเอาเหตุผลมาทับอันนี้ อันนี้ยอมรับ เอาเหตุผลใหม่ที่มีน้ำหนักมากกว่ากันออกใช้ เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าลงเสมอกันไม่แก้ ยิ่งต่ำกว่ากันแล้วอย่าเข้ามายุ่งว่างั้นเลย นี่ปฏิบัติมาอย่างนี้

    </DD><DD>ทีนี้ทำความพากความเพียรให้ชนะไปเป็นระยะ ๆ วันไหนทำความเพียรแพ้กิเลสที่ในจุดที่จะเอาให้ได้ตรงนั้น ๆ วันนั้นนอนไม่หลับนะ พยายาม เหมือนอย่างว่าผูกโกรธผูกแค้นที่จะฟัดกันเอาให้ได้ชนะ มันเป็นอย่างนั้นจิตอันนี้น่ะมันไม่เหมือนใคร แล้วเอาจนได้จริง ๆ ที่จะมานอนแน่วแบบแพ้อย่างหลุดลุ่ยไปเลยนี้ไม่มีเรา เป็นอย่างนั้นตลอด คือการชนะ ๆ เป็นระยะ ๆ กำหนดใส่ปุ๊บเอาให้ได้ตรงนี้นะ ถ้าวันนั้นแพ้อย่างนี้มันจะนอนไม่หลับ ต้องตามมาแก้อีก จนกระทั่งแก้ได้แล้วภูมิใจนอนหลับเป็นพัก ๆ นี่เป็นอย่างนั้นนะ ที่จะให้แพ้แล้วถอยไปเลยนี้ไม่ปรากฏในจิตดวงนี้นะ

    </DD><DD>นี่เราก็ตั้งไว้แล้ว ๑๐ ตัน แต่อาศัยเป็นเรือพ่วง พี่น้องทั้งหลายเป็นลมหายใจช่วยหายใจ ช่วยเป็นกำลัง เอาให้ได้นะ

    </DD><DD>คิดดูซิเงินสำหรับเราใช้เป็นประจำวัดนี้ใช้จ่ายน้อยเมื่อไหร่ โอ๊ย.ไม่น้อยนะ เงินที่จ่ายทั่วรอบบริเวณวัดนี้ จ่ายไม่น้อยนะ เรายังไม่สนใจกับเงินเหล่านี้ มุ่งต่อเรื่องกฐินล้วน ๆ เพราะฉะนั้นถึงได้จี้กันตลอดเวลา เงินอันนี้มันจะขาดเหลือยังไงช่างมัน เราจะเป็นคนทุคตะเข็ญใจไม่มีก็ตาม ขอให้สมบัติเราเข้าสู่ทองคำเต็มเอี๊ยด พอใจ นั่นเอาตรงนั้นนะ เราจนเท่าไรก็ตามเถอะ จึงไม่ได้สนใจกับการเงินการทอง ขาด ๆ เหลือ ๆ จ่ายไม่พอนะทุกวันนี้ เราไม่อยากพูดถึงมัน เพราะมันไม่หนักยิ่งกว่าทองคำ อย่างที่เคยพูดแล้วไปกรุงเทพฯ คราวที่แล้ว เราไปกรุงเทพฯทุกครั้งเราไม่เคยมี มันก็มีเงินเศษเงินเหลือมาจ่ายมาช่วยทางด้านนี้ ๆ เราก็ช่วยออกทั่วประเทศไทย ก็เงินที่เศษเหลือมาจากกรุงเทพฯ เอามานี้จ่ายทั่วประเทศไทย ทุก ๆ ครั้งไม่เคยปรากฏ

    </DD><DD>แต่ไปกรุงเทพฯ คราวที่แล้วนี้เงินไม่พอจ่ายนะ ฟาดเอาไก่ในคอกในเล้าเราออกไปจ่ายอีกแหละ แทบเป็นแทบตายคราวที่แล้วนี้นะ เพราะเหตุไร เราไม่ได้ตำหนิบรรดาพี่น้องทั้งหลายนะ ตำหนิเราถ้าตำหนิ คือใครมาก็จี้เข้าเลย ทองคำ ดอลลาร์ ๆ ตีเข้านั้นมันก็เข้านั้น ๆ บทเวลาจะมาจ่ายไม่มีเงินจ่าย เอ้า ไม่มีช่างมัน เราได้ที่พอใจของเราพอแล้วคือทองคำ อันนี้ก็เหมือนกัน เรื่องกฐินเราไม่ยุ่งกับเรื่องการจับการจ่ายภายนอกอะไรแหละ มีแต่มุ่งเข้าอันเดียว ๆ มันจะมีไม่มีช่างมันเถอะ ขอให้จุดใหญ่ของเราได้เป็นที่พอใจ ตามความมุ่งหมายของเราแล้วเราพอใจ เราเอาตรงนั้นนะ

    </DD><DD>นี่ก็คอยเวลาอันหนึ่งก็คือกฐินตามวัดต่าง ๆ จะมาเรื่อย ๆ นะ ทองคำได้เท่าไรมา พอกฐินเรียบร้อยแล้ว ทองคำนี้จะส่งไปเพิ่มเลย ส่วนเงินสดนั้นแล้วแต่จะตกลงกับทางกรุงเทพฯ ว่าจะถอนเมื่อไร ซื้อทองคำเมื่อไร มันไม่ยาก ก็มันมีอยู่ในบัญชีแล้วยากอะไร ถอนปึ๊งซื้อปุ๊บเอาเลย เรายังแน่ใจอยู่ตลอดนะว่าต้องพอ ทองคำ ๕๐๐ กิโล ว่างั้นเลย แน่ไว้เลยเชียว จะเป็นอื่นไปไม่ได้ เอาให้ได้เป็นพัก ๆ ไป

    </DD><DD>ขอให้ท่านทั้งหลายเชื่อธรรมของศาสดาเถิด จะไม่มีล่มจม จะขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเชื่อธรรม ถ้าเชื่อกิเลสแล้วจะจมไปเรื่อย ๆ เลย กิเลสมีแต่กดลงกดธรรม ธรรมเป็นมหาคุณกิเลสเป็นมหาภัยมันตามลบล้างกันตลอดเวลา ย่นเข้ามาดูหัวใจเรา ถ้าจะไปทางธรรม กิเลสว่ายังไง ถ้าไปทางกิเลสนี้ธรรมไม่มีความหมาย ไม่มีว่าอะไรละนะ กิเลสลากไปเลย ถ้าจะไปทางธรรมนี้กิเลสต้องค้าน จึงต้องถามว่ากิเลสว่ายังไง เขาอยากว่าอยู่ก่อนแล้วกิเลสนะ จึงต้องหมุนให้เต็มเหนี่ยว ขอให้เชื่อธรรม ถ้าเชื่อธรรมแล้วไปได้ ทุกอย่างไปได้เลย ถ้าเชื่อกิเลสแล้วจมได้ไม่สงสัย วันนี้ก็คงจะพูดเพียงเท่านั้นละ มันเหนื่อยมากนะ วันไหนพูดทุกวัน ตะกี้นี้ก็เอาไม่ใช่เหรอแล้ว ปุ๊บปั๊บ ๆ ๒-๓ ประโยคเหนื่อยแล้วหยุดแหละ

    </DD><DD>โยม หลวงตาเจ้าขาสบทบทุนทอดกฐินเจ้าค่ะ แล้วมีปัญหาจะเรียนถามเรื่องการปฏิบัติธรรมด้วยเจ้าค่ะ

    </DD><DD>หลวงตา เอ้า ว่ามาซิ ปฏิบัติยังไงว่ามา

    </DD><DD>โยม ตามที่เคยเขียนจดหมายมาเรียนถามนะเจ้าค่ะ

    </DD><DD>หลวงตา ถามว่ายังไง

    </DD><DD>โยม ตอนที่มีภาวะจิตเสื่อม แล้วก็มีกิเลสกดถ่วงจิต

    </DD><DD>หลวงตา เหอ เออ เข้าใจ

    </DD><DD>โยม แล้วหลวงตาก็ชี้แนะให้บริกรรมพุทโธติดแนบอยู่กับจิต แต่เมื่อสัก ๒-๓ วันนี้ คือตลอดเวลา ๑ ปีที่ผ่านมาก็สู้กันมาตลอด แต่สัก ๒-๓ วันนี้ ปกติที่เกิดกิเลสกดถ่วงจิตนั้น ในจิตก็ได้เกิดคำบริกรรมขึ้นเองแต่ในจิตนั้นบริกรรมคำว่า ธัมโม แทนที่จะบริกรรมคำว่า พุทโธ ตามที่เคยต่อสู้กันด้วย พุทโธ แต่ในจิตบริกรรมขึ้นมาเองด้วยคำว่าธัมโม เราก็เลยงงว่าควรจะทำยังไง

    </DD><DD>หลวงตา อย่าไปงง นั่นแหละธรรมละ รากแก้วของพุทโธ พุทโธออกมาจากธรรมเข้าใจไหม นั่นละ อย่าไปงง สำคัญที่สติจับให้ถูกนะ

    </DD><DD>โยม ก็เป็นอยู่สักพักใหญ่ที่บริกรรมเอง แล้วก็สู้กันอีกกับกิเลส แล้วก็อยู่ในสภาพที่ว่าง คือธรรมก็หายไป กิเลสก็หายไป เป็นอยู่พักหนึ่งนะค่ะ คือมันโล่งไปหมด

    </DD><DD>หลวงตา เหลือแต่ว่างใช่ไหม

    </DD><DD>โยม เหลือแต่ว่าง ทีนี้ควรจะทำอย่างไรเจ้าค่ะ

    </DD><DD>หลวงตา นั่นละตรงนี้เราก็เป็นมาก่อนแล้ว ให้มีสติอยู่กับความว่าง มันว่างก็ให้รู้อยู่ว่าว่าง อย่าปล่อย ทีนี้พอได้จังหวะแล้วมันจะคลี่คลายกลับมาระลึกพุทโธ หรือธัมโมได้ตามเดิม สติจับตรงนี้อีก ที่มันลงไปว่างก็ปล่อย มันว่างคืออันนี้หมดปัญหาไปในระยะนี้ จิตจะเข้าอยู่ในความว่าง ความว่างก็ให้มีสติอยู่กับความว่าง ทีนี้พอได้จังหวะแล้วมันจะถอยของมันเอง รู้เองละน่ะ พอมานึกบริกรรมได้แล้ว แล้วนึกคำบริกรรมตามเดิมมีสติจับไว้อีกเข้าใจเหรอ แล้วมันจะว่างไปเรื่อย ๆ ละเอียดเข้าเรื่อย จิตจะมีความแน่นหนามั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนี้คำว่าว่างเลยกลายมาเป็นจุดที่เด่นแห่งความรู้ แล้วทีนี้สติจะจับอยู่กับความรู้เลยเข้าใจเหรอ ไม่ต้องพูดละว่าว่าง ความรู้นี่มันจะเด่นมากทีเดียว สติอยู่กับตรงนั้น แล้วต่อไปก็สร้างฐานขึ้นมาเป็นความแน่นหนามั่นคง ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ ต่อจากนั้นก็สร้างเป็นความแน่ใจขึ้นมา เข้าใจแล้วเหรอที่พูดนี่

    </DD><DD>เอ้า มันว่างมันบริกรรมไม่ได้ไม่ต้องบริกรรม ให้สติอยู่กับความว่าง รู้อยู่กับความว่างเท่านั้น เหมือนเวลานอนหลับก็เป็นเวลาหนึ่ง พอตื่นนอนขึ้นมา นั่นละเอางานให้มันเวลาตื่นนอน พอมันออกจากว่างแล้วมันจะคลี่คลายออกมา นั้นเหมือนกับคนตื่นนอนแหละ อันนี้เอา ธัมโม ติดเข้าไปเลยด้วยสตินะ ให้ทำอยู่อย่างนี้ไม่ต้องคิดไปทางอื่น ว่าทำไมเป็นอย่างนั้นทำไมเป็นอย่างนี้ ไปคิดข้างนอกไม่ได้นะ ให้อยู่กับจุดนี้เลย อันนี้จะเปลี่ยนแปลงอะไรสติตามรู้อยู่ตลอดเวลา แล้วมันจะสร้างความแน่นหนามั่นคงเป็นฝ่ายธรรมเป็นลำดับ ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ นะ เอาละถูกต้อง จับให้ดี เรื่องสติเราจึงได้บอกตลอดนะ เราตั้งมาแล้วด้วยสตินี่ เราเคยพูดมาแล้ว

    </DD><DD>จิตเสื่อมตั้ง ๑ ปีกับ ๕ เดือนใช่ไหม โอ๋ย.เป็นฟืนเป็นไฟ ดูอะไรนี้ไม่มีอะไรมีความหมายเลย จิตเสื่อมเสียอย่างเดียว คำว่าเสียใจก็คือว่าเราเคยได้ความภาคภูมิใจจากจิตที่มีความเจริญแน่นหนามั่นคง ประหนึ่งว่าหินทั้งแท่งเลยนะ จนลืมตัวไปว่ามันจะไม่เสื่อม แต่เพราะเราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นจึงไม่รู้จักวิธีรักษา มันเสื่อมก็เพราะเราทำงานของเรา ก็เคยพูดแล้วว่าทำกลดหลังหนึ่งเท่านั้นยังไม่เสร็จเลย จิตเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง เอ๊ะ ชอบกล ๆ ทิ้งกลดทันทีเลย ซัดกัน ทีนี้มันก็ลงเรื่อยเลย จมไปเลยที่นี่ นั่นละมีแต่อีตาบัว ปีหนึ่งกับ ๕ เดือน มีแต่อีตาบัวแบกกองฟืนกองไฟเผาหัวอก ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ฟืนแต่ไฟ มันทบทวนไปมาเจริญแล้วเสื่อม ๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเป็นเวลาปีกับ ๕ เดือน จึงได้หวนคิดถึงเรื่องที่มันเสื่อมเพราะอะไร มันอาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้ใช้คำบริกรรม มีแต่กำหนดความรู้เฉย ๆ มันอาจจะเผลอไปได้มันถึงเสื่อมอย่างนี้

    </DD><DD>เอ้า ทีนี้ตั้งสติให้อยู่กับคำบริกรรม ให้มีคำบริกรรมกำกับจิต แล้วสติติดแนบไม่ให้เผลอเลย เอ้า เป็นยังไงเป็นกัน แล้วปักลงก็เหมือนหินหักนะเรา ถ้าว่าเอาแล้วนะ ตัดสินแล้วนะปั๊บ ปุ๊บเลย เผลอไปไม่ได้ อยู่ที่ไหนจะไม่ให้เผลอเลย ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ เดินบิณฑบาตก็เดินไปอย่างนั้น เดินจงกรมสติกับจิตติดกันตลอดเวลา ใครจะใส่บาตรอะไรไม่สนใจทั้งนั้น มาขบมาฉันเคลื่อนไหวไปมาสติจะติดแนบตลอดเวลา นี่เรียกว่าการรักษาจิตการบำรุงจิต มันก็ค่อยเจริญขึ้น ๆ จนถึงที่ว่าคำว่าบริกรรม ธัมโม เลยหายไปเลย เหลือแต่ความว่างอยู่ในจิต ละเอียดสุด นี่จะทำให้เจ้าของงง เจ้าของนั่นแหละสอนเจ้าของ

    </DD><DD>เอ้า มันไม่มีอะไรบริกรรม คือบริกรรมไม่ได้นึกไม่ออก หายหมดเลย เอ้า อยู่กับความว่างกับความละเอียดอันนี้ พอมันถอนขึ้นมาก็เอาคำบริกรรมติดเข้าไปอีก ทีนี้มันก็รู้วิธีปฏิบัติก็แบบเดียวกันนี่ นี่ละตั้งรากฐานของจิตใหม่ ถ้าตั้งอย่างนี้แล้วไปได้ไม่สงสัยคนเรานะ พระพุทธเจ้าสอนธรรมไว้เป็นธรรมชั้นเอก ๆ ทั้งนั้น เป็นแต่เพียงว่าไม่มีผู้สนใจปฏิบัติแล้วก็มาเหยียบศาสนาเท่านั้น เอากิเลสตาบอดหูหนวกที่หยาบโลนที่สุดเข้ามาเหยียบศาสนา ๆ ใครปฏิบัติคุณงามความดีด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยการภาวนา พวกกองกิเลส กองถังขยะนี้มันจะมาทับมาเหยียบแหลกหมด ศาสนาจนจะไม่มีเหลือเวลานี้ มีแต่กองทัพกิเลสมาเหยียบ ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลก นิพพานไม่มี มีแต่พวกตาบอดหูหนวกของกิเลสนั้นละมันมาตี มันไม่ได้ปฏิบัติเข้าใจไหม

    </DD><DD>ท่านผู้ปฏิบัติมีอยู่ เช่น พระพุทธเจ้าปฏิบัติได้ตรัสรู้เห็นไหม มันไม่ได้ปฏิบัติ โคตรพ่อโคตรแม่มันมากี่กัปกี่กัลป์ ใครรายใดที่จะมาตรัสรู้แข่งพระพุทธเจ้า ไม่เคยมีใช่ไหม มันก็ยังมาอวดได้อย่างหน้าด้าน นี่ละกิเลสกำลังเหยียบธรรมนะเวลานี้ ผู้ปฏิบัติท่านปฏิบัติอยู่ท่านได้อยู่ท่านรู้อยู่ท่านเห็นอยู่ เราไม่ปฏิบัติมาหาเหยียบย่ำทำลาย มันเกิดผลเกิดประโยชน์อะไร

    </DD><DD>นี่เราปฏิบัติเอาให้เห็นนะ ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศก้องตลอดเวลา อกาลิโก ๆ เอ้าทำเถอะ เรื่องความดีเอ้า ทำลงไป ไม่มีใครมาเป็นใหญ่ยิ่งกว่าการกระทำของตัวเองทั้งดีทั้งชั่ว ความชั่วเราทำลงไปแล้วไม่มีใครเป็นใหญ่มาลบล้างความชั่วได้นะ ต้องเจ้าของเองเป็นผู้รับเคราะห์ นี้ทำความดีไม่มีใครลบล้างความดีของเราได้ เราต้องเป็นผู้รับผลดีตลอดไป เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกจึงมีเป็นศาสดาของโลก ให้ความร่มเย็นแก่เราด้วยการแนะนำสั่งสอนธรรมตลอดมาอย่างนี้แหละ กิเลสตัวใดมันให้โลกได้รับความสงบร่มเย็น มีความรื่นเริงบันเทิง มีความสง่าผ่าเผย มีความอัศจรรย์ ไม่เคยมี บรรดาหัวใจของสัตว์โลกที่มีกิเลสครอง มีแต่ไฟเผากันทั่วโลกดินแดน นี้คือโทษแห่งกิเลสที่มันสร้างขึ้นเผาหัวใจสัตว์ ธรรมสร้างขึ้นแล้วสว่างจ้า ๆ เอาให้ดีนะ ถูกต้องแล้ว เอ้า ถามอีก ข้อไหนมีอีกไหม หมดแล้วเหรอ

    </DD><DD>โยม ยังไม่หมดเจ้าค่ะ

    </DD><DD>หลวงตา เอ้า ว่าไป

    </DD><DD>โยม ยังไม่หมดเจ้าค่ะ มีบางครั้งในนิมิต ในสมาธินะค่ะ จะเห็นนิมิตโครงกระดูกเจ้าค่ะ แล้วก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรกับนิมิตนี้ เพราะว่าสมาธิยังไม่แข็งพอ ยังไม่สามารถจะออกทางด้านปัญญาได้เจ้าค่ะ เลยไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับนิมิตนี้

    </DD><DD>หลวงตา มันเป็นโครงกระดูกนะ นั่นละพระธรรมท่านแสดงวิธีการนี้ออกมาแล้ว นี่อุบายคือพระธรรมท่านแสดงแล้ว ให้พิจารณาเรื่องกองกระดูก จะพิจารณากองกระดูกเจ้าของ ออกจากกระดูกนี้แล้วเป็นยังไง นี่ปัญญาออกนะ พอพิจารณาเรื่องกองกระดูก เจ้าของอยู่ข้างในนี้ก็เป็นกองกระดูก แต่มันไม่เห็นมันไปเห็นอยู่อย่างนี้ นี้ก็คือกองกระดูกอันเดียวกันกับเรา ทีนี้กระจายไปทั่วโลกธาตุกองกระดูกเหมือนกันหมด หลงกันหาอะไร เข้าใจไหม นี่ละพิจารณาให้ช่ำชอง ทีนี้กระดูกออกจากนี้แล้วเอาเผาไฟลองดู เผาไฟมันก็เป็นเถ้าเป็นถ่าน มันก็เหมือนกันหมดทั่วโลก ตื่นหาอะไรเถ้าถ่าน นั่น มันสอนเพื่อฉุดเจ้าของออกจากอุปาทาน มันยึดมั่นถือมั่น มันกอดมันพันกองกระดูกนี้ละ เข้าใจเหรอ พอพิจารณาเห็นตามความจริงแล้วมันจะถอยตัวเข้ามา ๆ มีเท่านั้นเหรอ เอ้า ถามอีกว่ามา

    </DD><DD>โยม ช่วยชี้แนะเรื่องสติปัฏฐานสี่ด้วยเจ้าค่ะ

    </DD><DD>หลวงตา เหอ สติปัฏฐานสี่ พูดเหล่านี้ก็สติปัฏฐานสี่ละ

    </DD><DD>โยม ข้อที่เป็นตัวจิตกับธรรมนะคะ กาย เวทนา พอจะเข้าใจค่ะ แต่ตัวจิตแล้วก็ตัวธรรมยังไม่ทราบ

    </DD><DD>หลวงตา ธรรมก็อารมณ์ของจิตที่รอบอยู่ภายในจิตนั้นเรียกว่าธรรม มีความเศร้าหมองบ้าง ความผ่องใสบ้างเหล่านี้เรียกว่าธรรมทั้งนั้นเข้าใจเหรอ มันอยู่กับจิตนั้นละ กระแสของจิตเหล่านี้เรียกว่าธรรม ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับอะไร ๆ เป็นอารมณ์ของจิตที่เกิดขึ้นมาเศร้าหมอง ผ่องใสบ้าง หรือดีชั่วยิบ ๆ แย็บ ๆ นั้นคือธรรม ให้มีสติจับอยู่ตรงนี้เข้าใจเหรอ เอ้า หายสงสัยแล้วยัง

    </DD><DD>โยม หายสงสัยแล้วเจ้าค่ะ

    </DD><DD>หลวงตา เออ เอ้า ว่าไป

    </DD><DD>โยม เหลืออันสุดท้ายเจ้าค่ะ ช่วยชี้แนะในเรื่องการใช้ปัญญาอบรมสมาธิเจ้าค่ะ เพราะว่าไม่ค่อยได้รับความสบายจากสมาธิ มักจะได้จากปัญญาเช่น นำปัญญาไปใช้ในการพิจารณาเช่นการกวาดลานวัด แล้วก็พิจารณาไปเรื่อย ๆ น่ะค่ะ ว่ากวาดลานวัดให้สะอาดก็เหมือนกับชำระล้างจิตใจให้สะอาดนะเจ้าค่ะ แต่ว่ายังไม่สามารถพิจารณาในเรื่องอื่นได้เจ้าค่ะ

    </DD><DD>หลวงตา เอ้า ได้แค่นี้ก็เอาแค่นี้เสียก่อน ถูกต้องแล้วพิจารณาเรื่องนี้ไปเสียก่อน กวาดลานวัดนั้นก็กวาดลานวัดอันนี้ วัตรปฏิบัติกวาดกิเลสออกจากใจ เข้าใจไหม นั่นก็กวาดลาดวัดมันสกปรก ถูกต้องแล้ว มีสตินั่นแหละ อยู่ที่ไหนให้มีสติเราจะได้ธรรมอันล้นค่าเข้ามาครองหัวใจ แล้วมันจะค่อยปล่อย มันจะเห็นโทษเห็นภัยของโลกทั่วดินแดนนี้เข้ามาอยู่ที่จิตดวงเดียว เห็นโทษแล้วทีนี้สั่งสมความสุขขึ้นมาในขณะเดียวกัน ทีนี้ความสุขที่ไหนสามแดนโลกธาตุไม่มีที่ไหน มีที่จิตแห่งเดียวนั่น ทุกข์ก็มีที่จิตแห่งเดียว เป็นผู้แบกผู้หามเป็นผู้ปล่อยผู้วางเข้าใจแล้วเหรอ แล้วมีอะไรอีกละ

    </DD><DD>โยม หมดแล้วเจ้าค่ะ

    </DD><DD>หลวงตา เออ เอาให้ดีนะ เข้าท่าแล้ว แต่อย่าไปขี้เกียจไม่ได้นะ ขี้เกียจไม่ใช่เรื่องเข้าท่านะ เรื่องเสียท่าเข้าใจไหม

    </DD><DD>การปฏิบัติมันต้องเห็นอย่างนี้ซิ ไม่ปฏิบัติมาอวดโอ้ มาเหยียบย่ำทำลายนี้แหม เลวมากที่สุดนะพวกไม่ปฏิบัติธรรม แต่มาเที่ยวดูถูกเหยียดหยามเหยียบย่ำทำลายผู้ปฏิบัติธรรมพวกนี้เลวที่สุดเลยนะ พวกนี้เลวร้ายมหาภัย ต่อตัวเองและส่วนรวม ทั้งต่อพระศาสนา ที่โลกทั้งหลายกำลังสนใจเรื่องศาสนา เอาศาสนามาครองใจ ๆ มาเทิดมาทูน มันก็มาเหยียบย่ำตกไปจากหัวใจ หาว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ให้มีจิตใจจืดจางว่างเปล่าจากธรรมไปเสีย แล้วก็พันกับกิเลส พันไปกับกิเลสเป็นไฟเหมือนมัน เอาละนะ ทีนี้จะให้พร

    </DD></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...