เสียงธรรม กรรมบท 10 ข้อ 4 ไม่พูดเท็จ, พูดหยาบคาย, พูดส่อเสียด, พูดเพ้อเจ้อ

ในห้อง 'วัฏสงสารและกฎแห่งกรรม' ตั้งกระทู้โดย MBNY, 19 มิถุนายน 2009.

  1. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504


    <TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​


    <TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​


    <!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. bortong

    bortong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2009
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +24
    anumotanaka
     
  3. ลูกจันทร์

    ลูกจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +547
    ขอบคุณมากค่ะ
     
  4. yupanatuk

    yupanatuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +418
    อนุโมทนา สาธุค่ะ
     
  5. Candle

    Candle เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2004
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +909
    สาธุ โมทนาครับ
     
  6. anoldman

    anoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +4,558
    สาธุๆ

    ขออนุโมทนาครับ
     
  7. yohtls

    yohtls เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    336
    ค่าพลัง:
    +309
    อนุโมทนาสาธุครับ
     
  8. ลานวัด

    ลานวัด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอเชิญท่านสาธุชนทั้งหลาย ร่วมหล่อพระชำระหนี้สงฆ์ หน้าตัก 4 ศอกในวันที่ 3-4-5-กรกฎาคม กับครูบาไก่ ณ.ศูนย์ส่งเเสริมการปฏิบัติธรรมสำนัดสงฆ์เขาสระบัว
     
  9. ลานวัด

    ลานวัด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    ประวัติ ท่านชยนันโท ภิกขุ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านชยนันโท ภิกขุ เกิดเมื่อวันที่ 27 เดือน ตุลาคม พุทธศักราช 2529<o:p></o:p>
    เป็น บุตรของ พ่ออุดม เถื่อนรักษ์ และ แม่กรุณา สิงโสภณ เป็นบุตรคนโต ในพี่น้อง2คน<o:p></o:p>
    ท่าน ยังมีน้องสาวอีกหนึ่งคน ท่าน ชยนันโท ภิกขุ เกินที่จังหวัดปทุมธานี ท่านชยนันโท มี<o:p></o:p>
    เรื่องแปลกตั้งแต่ตอนที่ตั้งท้อง เพราะท้องของมารดาท่านที่ตั้งไว้นั้น มิได้คลอดออกมาตาม<o:p></o:p>
    กำหนด 9 เดือน เหมือนคนปกติทั่วๆไป แต่คลอดตอนท้องได้ 13 เดือน ในตอนที่คลอดเป็น <o:p></o:p>
    เวลา 11.00 น พอดีซึ่งเป็นเวลาของพระ ภิกษุ ฉันเพล ในตอนที่ท่านคลอดนั้น เป็นช่วงปลาย<o:p></o:p>
    ฝน ต้นหนาว ขนาดที่คลอดออกมา ได้มีฟ้าฝ่าที่ต้นประดู่หน้าโรงพญาบาล และฝนตกหนัก<o:p></o:p>
    เมื่อท่านอยู่ กับมารดา จนได้ 5ขวบปีมารดาจึงนำมาอยู่กับยายในจังหวัดตากเพื่อฝากเข้าโรง<o:p></o:p>
    เรียน คุณยายของท่าน เป็นคนชอบทำบุญทำทาน เมื่อเวลา วันพระ คุณยายจะพาท่านชยนัน<o:p></o:p>
    โท แวะเข้าวัดเพื่อใส่บาตร ก่อนไปโรงเรียน หากวันพระ ตรงกับเสาร์หรืออาทิตย์ คุณยายก็<o:p></o:p>
    จะพาท่านชยนันโท อยู่ฟังเทศ ฟังธรรม ทุกวันพระไป เสมือนเป็นการปลูกฝัง เมื่อ ท่านเรียน<o:p></o:p>
    จบชั้นมัธยมต้น ท่านได้อายุ15 ปี ตอนนั้นคุณชวดของท่าน ได้ถึงแก่กรรม ในวันที่ 5 ธันวาคม 2545<o:p></o:p>
    ท่านได้บวชเป็นสามเณรหน้าไฟ เมื่อเสร็จจากงานเผาศพแล้ว คุณยายของท่านก็เดินมาทำถ้าที<o:p></o:p>
    เหมือนว่าจะพาไปศึก แต่คำที่ท่านได้พูดออกจากปากมานั้นคือ ยังไม่ศึกนะยาย ขออยู่ต่อจนครบ<o:p></o:p>
    100 วันคุณชวดก่อน เมื่อ มาถึงครบ100วัน คำที่พูดออกมาก็เป็นคำคลายๆคำพูดเดิม คือคานี้<o:p></o:p>
    ท่านได้บอกกับคุณยายว่า ขออยู่ให้ถึง ปีก่อน แต่แค่นั้นยังไม่พอ ท่านได้มีความไฝ่หาในเรื่อง<o:p></o:p>
    กรรมฐาน ท่านจึงขอย้ายมาอยู่ ณ วัดป่าวัดดง คือวัดเขาสระบัว และขอให้พระประจวบ สุจิตโต<o:p></o:p>
    หลวงตาแท้ๆ ของท่าน พาไปฝากเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อประดับ วัดไผ่สีซอ ซึ่งห่างออก<o:p></o:p>
    ไปถึง 6 กิโล ท่านต้องเดินไปเรียน หลังจากบิณบาตรเสร็จ หากวันไหน วานให้โยมไปส่งละก็ <o:p></o:p>
    หลวงพ่อประดับรู้ท่านจะให้ยืนเฉยและไม่สอนอะไรเลย ทั้งวัน เมื่อได้เรียนกรรมฐานกับ<o:p></o:p>
    หลวงพ่อประดับแล้ว เป็นเวลา 1 ปี ท่านจึงได้ขอย้ายเข้าเรียนปริยัติธรรม ที่วัดในเมือง ท่าน<o:p></o:p>
    ได้เดินไปเรียนกับพระอาจารย์ สุวรรณ วัดเชียงทองบน จนจนนักธรรมตรี ท่านได้เห็นว่า <o:p></o:p>
    การเรียนเช่นนี้ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ เราขอเรียนกรรมฐานก่อนดีกว่า แล้วค่อยกลับมาเรียน<o:p></o:p>
    ปริยัติธรรม ท่านได้เดินทางไปหลายจังหวัดแต่ที่ท่านไปบ่อยที่สุดเห็นจะเป็น จังวัดพะนคร<o:p></o:p>
    ศรีอยุธยา และเชียงใหม่ ท่านได้ไปหาครูบาอาจารย์หลายๆองค์ เช่น หลวงพ่อกอไผ่ วัดสระมนฑล<o:p></o:p>
    หลวงปู่นริศ นรินโท จังหวัดพังงา ปู่ฤาษีเกศแก้ว จังหวัดหนองบัวลำภู ปู่ฤาษีคำปันเชียงใหม่<o:p></o:p>
    และ เสือขาว ซึ้งทุกๆท่านคงจะรู้จักซึ่งเป็น เพื่อนสนิทของเสือใบ และเสือดำ เสือขาวท่าน<o:p></o:p>
    ได้สอนทางด้านวิทยาคม จนถึงเวลาบางอย่างที่ท่านได้เคยบอกกับคณะลุกศิษไว้ว่าขอเวลา3เดือน<o:p></o:p>
    แล้วท่านจะกลับมา ในเวลา 3 เดือนนี้ ไม่มีใคที่ติดต่อท่านได้อีกเลย คนที่เห็นเป็นสุดท้ายก็คือคน<o:p></o:p>
    ที่ไปส่งท่านรู้อยางเดียวว่าไปส่งแถวชายป่าแถว อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ท่านได้เข้าไปเป็น<o:p></o:p>
    เวลา3เดือน เมื่อท่านออกจากป่ามา ท่านก็ได้บอกกับทุกคนว่าหลังจากนี้ขอเวลาอีก 7 วัน ท่านและ<o:p></o:p>
    ท่านก็ได้เดินเข้ากุฏิไปอยู่แต่ในห้องซึ้งมีการตีตะปูปิดไว้ทั้งข้างนอกใน ทุกคนที่พอรูก็ได้เริ่มเฉลยว่า<o:p></o:p>
    นี้ละที่เข้าเรียกว่า การเข้านิโรธสมาบัติ จนท่านได้มาอยู่ ณ วัดภูเขาทอง ซึ่งเป็นวัดที่ล้อมรอบด้วย<o:p></o:p>
    ชวบ้านที่เป็นอิสลาม ท่านได้ไปอยู่พัฒนา และสร้างชื่อเสียงเมื่อท่าน ทำสำเร็จแล้วท่านก็ได้<o:p></o:p>
    บอกกับทุกคนว่าต้องไปแล้วละนะ คณะลูกศิษก็ได้ถามว่าจะไปไหนอีก ท่านก็บอกว่า เดี๋ยว<o:p></o:p>
    เทวดาก็มาจัดสันเองแหละ ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงโทรศัพท์จาก ท่านพระครูประภากรสิกขากิจ<o:p></o:p>
    รองเจ้าคณะจังหวัดตาก ได้นิมนต์ท่านมาเป็นเจ้าอาวาส ณ สำนักสงค์เขาสระบัว จังหวัดตาก<o:p></o:p>
    ท่านตอบรับคำทันใด เพราะที่แห่งนี้เป็นที่ๆ เคยอยู่เดิมท่านบอก <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
  10. ลานวัด

    ลานวัด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    ประวัติ ท่านชยนันโท ภิกขุ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านชยนันโท ภิกขุ เกิดเมื่อวันที่ 27 เดือน ตุลาคม พุทธศักราช 2529<o:p></o:p>
    เป็น บุตรของ พ่ออุดม เถื่อนรักษ์ และ แม่กรุณา สิงโสภณ เป็นบุตรคนโต ในพี่น้อง2คน<o:p></o:p>
    ท่าน ยังมีน้องสาวอีกหนึ่งคน ท่าน ชยนันโท ภิกขุ เกินที่จังหวัดปทุมธานี ท่านชยนันโท มี<o:p></o:p>
    เรื่องแปลกตั้งแต่ตอนที่ตั้งท้อง เพราะท้องของมารดาท่านที่ตั้งไว้นั้น มิได้คลอดออกมาตาม<o:p></o:p>
    กำหนด 9 เดือน เหมือนคนปกติทั่วๆไป แต่คลอดตอนท้องได้ 13 เดือน ในตอนที่คลอดเป็น <o:p></o:p>
    เวลา 11.00 น พอดีซึ่งเป็นเวลาของพระ ภิกษุ ฉันเพล ในตอนที่ท่านคลอดนั้น เป็นช่วงปลาย<o:p></o:p>
    ฝน ต้นหนาว ขนาดที่คลอดออกมา ได้มีฟ้าฝ่าที่ต้นประดู่หน้าโรงพญาบาล และฝนตกหนัก<o:p></o:p>
    เมื่อท่านอยู่ กับมารดา จนได้ 5ขวบปีมารดาจึงนำมาอยู่กับยายในจังหวัดตากเพื่อฝากเข้าโรง<o:p></o:p>
    เรียน คุณยายของท่าน เป็นคนชอบทำบุญทำทาน เมื่อเวลา วันพระ คุณยายจะพาท่านชยนัน<o:p></o:p>
    โท แวะเข้าวัดเพื่อใส่บาตร ก่อนไปโรงเรียน หากวันพระ ตรงกับเสาร์หรืออาทิตย์ คุณยายก็<o:p></o:p>
    จะพาท่านชยนันโท อยู่ฟังเทศ ฟังธรรม ทุกวันพระไป เสมือนเป็นการปลูกฝัง เมื่อ ท่านเรียน<o:p></o:p>
    จบชั้นมัธยมต้น ท่านได้อายุ15 ปี ตอนนั้นคุณชวดของท่าน ได้ถึงแก่กรรม ในวันที่ 5 ธันวาคม 2545<o:p></o:p>
    ท่านได้บวชเป็นสามเณรหน้าไฟ เมื่อเสร็จจากงานเผาศพแล้ว คุณยายของท่านก็เดินมาทำถ้าที<o:p></o:p>
    เหมือนว่าจะพาไปศึก แต่คำที่ท่านได้พูดออกจากปากมานั้นคือ ยังไม่ศึกนะยาย ขออยู่ต่อจนครบ<o:p></o:p>
    100 วันคุณชวดก่อน เมื่อ มาถึงครบ100วัน คำที่พูดออกมาก็เป็นคำคลายๆคำพูดเดิม คือคานี้<o:p></o:p>
    ท่านได้บอกกับคุณยายว่า ขออยู่ให้ถึง ปีก่อน แต่แค่นั้นยังไม่พอ ท่านได้มีความไฝ่หาในเรื่อง<o:p></o:p>
    กรรมฐาน ท่านจึงขอย้ายมาอยู่ ณ วัดป่าวัดดง คือวัดเขาสระบัว และขอให้พระประจวบ สุจิตโต<o:p></o:p>
    หลวงตาแท้ๆ ของท่าน พาไปฝากเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อประดับ วัดไผ่สีซอ ซึ่งห่างออก<o:p></o:p>
    ไปถึง 6 กิโล ท่านต้องเดินไปเรียน หลังจากบิณบาตรเสร็จ หากวันไหน วานให้โยมไปส่งละก็ <o:p></o:p>
    หลวงพ่อประดับรู้ท่านจะให้ยืนเฉยและไม่สอนอะไรเลย ทั้งวัน เมื่อได้เรียนกรรมฐานกับ<o:p></o:p>
    หลวงพ่อประดับแล้ว เป็นเวลา 1 ปี ท่านจึงได้ขอย้ายเข้าเรียนปริยัติธรรม ที่วัดในเมือง ท่าน<o:p></o:p>
    ได้เดินไปเรียนกับพระอาจารย์ สุวรรณ วัดเชียงทองบน จนจนนักธรรมตรี ท่านได้เห็นว่า <o:p></o:p>
    การเรียนเช่นนี้ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ เราขอเรียนกรรมฐานก่อนดีกว่า แล้วค่อยกลับมาเรียน<o:p></o:p>
    ปริยัติธรรม ท่านได้เดินทางไปหลายจังหวัดแต่ที่ท่านไปบ่อยที่สุดเห็นจะเป็น จังวัดพะนคร<o:p></o:p>
    ศรีอยุธยา และเชียงใหม่ ท่านได้ไปหาครูบาอาจารย์หลายๆองค์ เช่น หลวงพ่อกอไผ่ วัดสระมนฑล<o:p></o:p>
    หลวงปู่นริศ นรินโท จังหวัดพังงา ปู่ฤาษีเกศแก้ว จังหวัดหนองบัวลำภู ปู่ฤาษีคำปันเชียงใหม่<o:p></o:p>
    และ เสือขาว ซึ้งทุกๆท่านคงจะรู้จักซึ่งเป็น เพื่อนสนิทของเสือใบ และเสือดำ เสือขาวท่าน<o:p></o:p>
    ได้สอนทางด้านวิทยาคม จนถึงเวลาบางอย่างที่ท่านได้เคยบอกกับคณะลุกศิษไว้ว่าขอเวลา3เดือน<o:p></o:p>
    แล้วท่านจะกลับมา ในเวลา 3 เดือนนี้ ไม่มีใคที่ติดต่อท่านได้อีกเลย คนที่เห็นเป็นสุดท้ายก็คือคน<o:p></o:p>
    ที่ไปส่งท่านรู้อยางเดียวว่าไปส่งแถวชายป่าแถว อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ท่านได้เข้าไปเป็น<o:p></o:p>
    เวลา3เดือน เมื่อท่านออกจากป่ามา ท่านก็ได้บอกกับทุกคนว่าหลังจากนี้ขอเวลาอีก 7 วัน ท่านและ<o:p></o:p>
    ท่านก็ได้เดินเข้ากุฏิไปอยู่แต่ในห้องซึ้งมีการตีตะปูปิดไว้ทั้งข้างนอกใน ทุกคนที่พอรูก็ได้เริ่มเฉลยว่า<o:p></o:p>
    นี้ละที่เข้าเรียกว่า การเข้านิโรธสมาบัติ จนท่านได้มาอยู่ ณ วัดภูเขาทอง ซึ่งเป็นวัดที่ล้อมรอบด้วย<o:p></o:p>
    ชวบ้านที่เป็นอิสลาม ท่านได้ไปอยู่พัฒนา และสร้างชื่อเสียงเมื่อท่าน ทำสำเร็จแล้วท่านก็ได้<o:p></o:p>
    บอกกับทุกคนว่าต้องไปแล้วละนะ คณะลูกศิษก็ได้ถามว่าจะไปไหนอีก ท่านก็บอกว่า เดี๋ยว<o:p></o:p>
    เทวดาก็มาจัดสันเองแหละ ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงโทรศัพท์จาก ท่านพระครูประภากรสิกขากิจ<o:p></o:p>
    รองเจ้าคณะจังหวัดตาก ได้นิมนต์ท่านมาเป็นเจ้าอาวาส ณ สำนักสงค์เขาสระบัว จังหวัดตาก<o:p></o:p>
    ท่านตอบรับคำทันใด เพราะที่แห่งนี้เป็นที่ๆ เคยอยู่เดิมท่านบอก <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
  11. ลานวัด

    ลานวัด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    วัดเขาสระบัว<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เป็นวัดที่สร้างขึ้นโดยพระองค์หนึ่งซึ่งไม่ปรากฏชื่อแน่ชัดทราบแต่เพียงว่าชื่อเต๋อ<o:p></o:p>
    หลังจากนั้น พระอาจารย์เต๋อได้ล้มป่วย และเมื่อหายป่วย จึงได้ทำการลาสิกขาบท เดิมที<o:p></o:p>
    พื้นที่ของวัดเขาสระบัวนี้ เป็นพื้นที่เดิมของพระครูประภากรสิกขากิจ ซึ่งเป็นคนตำบล<o:p></o:p>
    ตลุกกลางทุ้ง เมื่อบวชแล้วท่านได้ไปอยู่ ณ วัดโคกพลู ในอำเภอเมืองตาก ปัจจุบันท่านได้<o:p></o:p>
    ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโคกพลู และรับตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัด ตาก<o:p></o:p>
    เมื่อถึงปี พ.ศ.2539ในตอนนั้นวัดเขาสระบัวแห่งนี้ได้สร้างมาแล้วเป็นเวลา 5 ปี<o:p></o:p>
    และท่านพระครูประภากรสิกขากิจ ได้ส่งพระประจวบ สุจิตโต พระในวัดโคกพลูมาดำ<o:p></o:p>
    รงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเขาสระบัว เมื่อถึงปี 2545 ได้มีสามเณรองค์หนึ่ง ซึ่งบวชที่วัดในเมืองและได้ย้ายมาอยู่ซึ่งสามเณรองค์นั้น เป็นหลานของพระประจวบ สุจิตโต เมื่อได้มา<o:p></o:p>
    อยู่แล้ว พระประจวบ สุจิตโต ได้นำสามเณรไปฝากเรียน พระกรรมฐานกับหลวงพ่อ<o:p></o:p>
    ประดับ แห่งวัดไผ่สีซอ ซึ่งเป็นวัดที่ใกลออกไป ประมาณ 6 กิโลซึ่งสามเณรต้องเดินไป<o:p></o:p>
    เรียนทุกวันเมื่อสามเณรได้เรียน เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วก็ได้กลับมาเรียน พระปริยัติธรรม<o:p></o:p>
    ที่วัดในเมือง และได้ไปอยู่ที่จังหวัดอยุธยาต่อไปเมื่อมาถึง ในวันที่ 1 เมษายน 2552<o:p></o:p>
    พระประจวบ สุจิตโต ได้มรณะภาพลงด้วยโรคชรา ท่านพระครูประภากรสิกขากิจ<o:p></o:p>
    รองเจ้าคณะจังหวัดตาก ท่านจึงได้ ติดต่อนิมนต์ ท่านชยนันโท ภิกขุ หรือสามเณร<o:p></o:p>
    ที่ได้กล่าวในขั้นต้น มาเป็นเจ้าอาวาส แทน พระประจวบ สุจิตโต ที่เป็นตาและมรณะ<o:p></o:p>
    ภาพไป เนื่องจาก ท่านพระครูประภากรสิกขากิจ ได้ข่าวและคำล่ำลือต่างๆ นาๆ ที่ท่าน<o:p></o:p>
    ชยนันโทภิกขุ ได้สร้างคุณความดีต่างๆ ณ วัดภูเขาทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา<o:p></o:p>
    ให้มีชื่อเสียง และ พัฒนาวัดวาให้น่าปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ว่านิมนต์มาอยู่เพราะว่าเป็นหลาน<o:p></o:p>
    ของเจ้าอาวาสองก่อน แต่ท่าน ชยนันโท ภิกขุ ท่านได้เป็นพระนักพัฒนา ประจำปี<o:p></o:p>
    โดยที่ท่านมีอายุน้อยที่สุด ที่เคยได้รับตำแหน่งนี้ จนเห็นได้ว่าในอนาคต วัดเขาสระบัว<o:p></o:p>
    นี้คงจะต้องเจริญ และเป็นที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา ชั้นเยี่ยม ของเหล่านักปฏิบัติธรรม<o:p></o:p>
    อย่างแน่นอน<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
  12. ลานวัด

    ลานวัด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    วัดเขาสระบัว<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เป็นวัดที่สร้างขึ้นโดยพระองค์หนึ่งซึ่งไม่ปรากฏชื่อแน่ชัดทราบแต่เพียงว่าชื่อเต๋อ<o:p></o:p>
    หลังจากนั้น พระอาจารย์เต๋อได้ล้มป่วย และเมื่อหายป่วย จึงได้ทำการลาสิกขาบท เดิมที<o:p></o:p>
    พื้นที่ของวัดเขาสระบัวนี้ เป็นพื้นที่เดิมของพระครูประภากรสิกขากิจ ซึ่งเป็นคนตำบล<o:p></o:p>
    ตลุกกลางทุ้ง เมื่อบวชแล้วท่านได้ไปอยู่ ณ วัดโคกพลู ในอำเภอเมืองตาก ปัจจุบันท่านได้<o:p></o:p>
    ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโคกพลู และรับตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัด ตาก<o:p></o:p>
    เมื่อถึงปี พ.ศ.2539ในตอนนั้นวัดเขาสระบัวแห่งนี้ได้สร้างมาแล้วเป็นเวลา 5 ปี<o:p></o:p>
    และท่านพระครูประภากรสิกขากิจ ได้ส่งพระประจวบ สุจิตโต พระในวัดโคกพลูมาดำ<o:p></o:p>
    รงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเขาสระบัว เมื่อถึงปี 2545 ได้มีสามเณรองค์หนึ่ง ซึ่งบวชที่วัดในเมืองและได้ย้ายมาอยู่ซึ่งสามเณรองค์นั้น เป็นหลานของพระประจวบ สุจิตโต เมื่อได้มา<o:p></o:p>
    อยู่แล้ว พระประจวบ สุจิตโต ได้นำสามเณรไปฝากเรียน พระกรรมฐานกับหลวงพ่อ<o:p></o:p>
    ประดับ แห่งวัดไผ่สีซอ ซึ่งเป็นวัดที่ใกลออกไป ประมาณ 6 กิโลซึ่งสามเณรต้องเดินไป<o:p></o:p>
    เรียนทุกวันเมื่อสามเณรได้เรียน เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วก็ได้กลับมาเรียน พระปริยัติธรรม<o:p></o:p>
    ที่วัดในเมือง และได้ไปอยู่ที่จังหวัดอยุธยาต่อไปเมื่อมาถึง ในวันที่ 1 เมษายน 2552<o:p></o:p>
    พระประจวบ สุจิตโต ได้มรณะภาพลงด้วยโรคชรา ท่านพระครูประภากรสิกขากิจ<o:p></o:p>
    รองเจ้าคณะจังหวัดตาก ท่านจึงได้ ติดต่อนิมนต์ ท่านชยนันโท ภิกขุ หรือสามเณร<o:p></o:p>
    ที่ได้กล่าวในขั้นต้น มาเป็นเจ้าอาวาส แทน พระประจวบ สุจิตโต ที่เป็นตาและมรณะ<o:p></o:p>
    ภาพไป เนื่องจาก ท่านพระครูประภากรสิกขากิจ ได้ข่าวและคำล่ำลือต่างๆ นาๆ ที่ท่าน<o:p></o:p>
    ชยนันโทภิกขุ ได้สร้างคุณความดีต่างๆ ณ วัดภูเขาทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา<o:p></o:p>
    ให้มีชื่อเสียง และ พัฒนาวัดวาให้น่าปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ว่านิมนต์มาอยู่เพราะว่าเป็นหลาน<o:p></o:p>
    ของเจ้าอาวาสองก่อน แต่ท่าน ชยนันโท ภิกขุ ท่านได้เป็นพระนักพัฒนา ประจำปี<o:p></o:p>
    โดยที่ท่านมีอายุน้อยที่สุด ที่เคยได้รับตำแหน่งนี้ จนเห็นได้ว่าในอนาคต วัดเขาสระบัว<o:p></o:p>
    นี้คงจะต้องเจริญ และเป็นที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา ชั้นเยี่ยม ของเหล่านักปฏิบัติธรรม<o:p></o:p>
    อย่างแน่นอน<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
  13. ลานวัด

    ลานวัด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอเชิญร่วมในงาน หล่อพระ พุทธเจ้า 5 พระองค์ หน้า 108 นิ้ว (4 ศอก)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ซึ้งในครานี้ ทำการหล่อถึง 3 องค์ หากท่านใดที่มีความประสงค์ ที่จะร่วมหล่อพระก็<o:p></o:p>
    สามารถมาร่วมในงานได้ ณ ศูนย์ส่งเสริมการปฏิบัติธรรม สำนักสงฆ์เขาสระบัว<o:p></o:p>
    บ้านชบาหมู่2 ตำบลตลุกกลางทุ้ง อำเภอเมือง จังหวัดตาก ในวันที่ 3-5 กรฏาคม 2552<o:p></o:p>
    หากท่านใดมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นทางมาสามารถ ติดต่อมาได้ที่ 082-4580272<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
  14. ลานวัด

    ลานวัด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    เทศมหาชาติเวสสันดรชาดก<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เทศมหาชาติ คือ การเทศที่เป็นเสมือนการเล่าพุทธประวัต ขององค์พระบรมเวสสันดร<o:p></o:p>
    ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้า ในชาติที่ 10 หากท่านใดที่ มีความประสงค์จะรับกัณเทศ ในกัณไหนก็<o:p></o:p>
    ตามสามารถติดต่อมาที่ ศูนย์ส่งเสริมการปฏิบัติธรรม สำนักสงฆ์เขาสระบัว<o:p></o:p>
    โทร 082-4580272 ซึ่งในปีนี้ เป็นการจัดในปีที่ 14 ซึ่งพระเวสสันดรชาดก นั้น มีทั้งหมด 13 กัณ ซึ้งปีนี้เป็นปีที่ขึ้นกัณใหม่ <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
  15. ลานวัด

    ลานวัด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพ สร้าง พระ พุทธเจ้า 28 พระองค์ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    หน้าตัก 39 นิ้ว เพื่อรับอานิสงค์ จากการสร้างพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์<o:p></o:p>
    องค์ละ ประมาณ 5000 บาท หรือ ตามจำนวน ศรัทธา หากท่านใดมีความ<o:p></o:p>
    ประสงค์ ที่ จะทำบุญ หรือ เป็นเจ้าภาพ สามารถติดต่อได้ที่ โครงการบ้านใบบุญ<o:p></o:p>
    หรือ ที่ศูนย์ส่งเสริมการปฏิบัติธรรม สำนักสงฆ์ เขาสระบัว ตำบล ตลุกกลางทุ่ง<o:p></o:p>
    อำเภอ เมือง จังหวัด ตาก 63000 โทร 082—4580272 <o:p></o:p>
    1.สมเด็จพระพุทธตันหังกร<o:p></o:p>
    2.พระพุทธเมทังกร<o:p></o:p>
    3.พระพุทธสรนังกร<o:p></o:p>
    4.พระพุทธทีปังกร<o:p></o:p>
    5.พระพุทธโกทัญญะ<o:p></o:p>
    6.พระพุทธสุมังคะละ<o:p></o:p>
    7.พระพุทธสุมานะ<o:p></o:p>
    8.พระพุทธเรวัตตะ<o:p></o:p>
    9.พระพุทธโสภิตะ<o:p></o:p>
    10.ตะโนสมะทะสัพพุทธเจ้า<o:p></o:p>
    11.พระพุทธปทุมะ<o:p></o:p>
    12.พระพุทธนาระทะ<o:p></o:p>
    13.พระพุทธตะทุมุตะระ<o:p></o:p>
    14.พระพุทธสุเมทะ<o:p></o:p>
    15.พระพุทธสุชาตะ<o:p></o:p>
    16.พระพุทธปิยะทัสสี<o:p></o:p>
    17.พระพุทธตัทถะทัสสี<o:p></o:p>
    18.พระพุทธธัมมะทัสสี<o:p></o:p>
    19.พระพุทธสิทธัสถะ<o:p></o:p>
    20.พระพุทธปิตตะ<o:p></o:p>
    21.พระพุทธปุสสะ<o:p></o:p>
    22.พระพุทธวิปัสสี<o:p></o:p>
    23.พระพุทธสิกขี<o:p></o:p>
    24.พระพุทธเวสภู<o:p></o:p>
    25.พระพุทธกุกุกสันธะ<o:p></o:p>
    26.พระพุทธโกนาคมนะ<o:p></o:p>
    27.พระพุทธกัสสะปะ<o:p></o:p>
    28.พระพุทธโคตะมะ <<<<พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    อานิสงส์ ของการสร้างพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ คือ การที่ เราได้ใช้การสร้างพระ<o:p></o:p>
    ให้ภิกษุสามเณร เป็นที่ฝึกสภาวะจิต หวายถึง การสร้างพระทุกองค์ ภิกษุสามเณร จะกระทำ<o:p></o:p>
    ด้วยตนเอง ทั้งการหล่อ การตกแต่ง ซึ่งเป็นการทำงานของภิกษุสามเณร ที่จะให้ประโยชน์<o:p></o:p>
    ในการฝึกให้จิตมีสมาธิ บุคคลที่เป็นผู้ร่วมทำบุญ ก็จะได้รับอานิสงส์ เหมือนกับการที่ให้<o:p></o:p>
    สื่อการเรียนการสอนเป็นทาน <o:p></o:p>
    อานิสงส์ข้อต่อไปคือได้รับอานิสงส์ ตามพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ เช่น การสร้าง<o:p></o:p>
    พระเวสสันดร พระพุทธเจ้า ก็มีผู้ที่เมตตามาสร้างทานกับเรามาก การสร้างพระพุทธจอมมุณี<o:p></o:p>
    จะได้อานิสงส์ เป็นผู้มีปัญญา ล้ำเลิศ เป็นต้น ในที่ นี้ หากท่าน ใดได้ร่วมเป็นเจ้าภาพ หรือ <o:p></o:p>
    ร่วมทำบุญ เราจะนำปัจจัยทั้งหมด มาสร้างเพื่อที่จะให้ทุกๆท่านได้อานิสงส์มากที่สุด<o:p></o:p>
    คือเมือเราทำเช่นนี้แล้ว เปรียบเสมือนว่า เราได้สร้างพระพุทธเจ้า ทั้ง 28 พระองค์ร่วม<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
  16. ลานวัด

    ลานวัด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    [​IMG]
     
  17. ลานวัด

    ลานวัด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    [​IMG]
    ความหมายของนิโรธ หรือ นิโรธสมาบัติสมาบัติ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ตามความหมายของ นิโรธ หรือ นิโรธสมาบัติ นั้น เป็นการเข้าฌานสมาบัติอันสูงสุด เป็นฌานลำดับที่ 9<o:p></o:p>
    ดังนี้ -<o:p></o:p>
    1. ปฐมฌาน ฌานที่ 1<o:p></o:p>
    2. ทุติยฌาน ฌานที่ 2<o:p></o:p>
    3. ตติยฌาน ฌานที่ 3<o:p></o:p>
    4. จตุตถฌาน ฌานที่ 4<o:p></o:p>
    5. ปัญจมฌาน ฌานที่ 5<o:p></o:p>
    6. ฉัฏฐมฌาน ฌานที่ 6<o:p></o:p>
    7. สัตตมฌาน ฌานที่ 7<o:p></o:p>
    8. อัฎฐมฌาน ฌานที่ 8 และ<o:p></o:p>
    9. นิโรธฌาน ฌานที่ 9 หรือนิโรธสมาบัติ<o:p></o:p>
    เมื่อเข้าสู่งองค์ฌานลำดับที่ 9 นี้ กายและจิตสังขารจะระงับไป คือแทบไม่มีลมหายใจ ไม่มีความรู้สึกทางกายและทางใจแต่ก็ไม่ใช่ พระนิพพาน สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่สามารถเข้า นิโรธสมาบัติ ได้นั้นพระบาลีระบุว่า<o:p></o:p>
    ต้องเป็นพระนาคามีและพระอรหันต์ เท่านั้น ต่ำกว่านั้นไม่สามารถเข้าได้ <o:p></o:p>
    พระบาลีหลายแห่งยังระบุอานิสงส์ของการเข้าฌานสมาบัติไว้อีกว่า<o:p></o:p>
    เป็นการพักผ่อนของพระอริยเจ้า สามารถระงับทุกขเวทนาทางกาย ฌานสมาบัตินี้สามารถเข้าได้นานสุดเพียง 7 วัน เพราะร่างกายของคนเราจะอดทน อดกลั้น ไม่ทานอาหาร ไม่หายใจ ไม่รับรู้อะไรเลยนั้นฝืนธรรมชาติได้เพียง 7 วันเท่านั้น และเมื่อพระอริยบุคคลท่านนั้นออกจากฌานสมาบัติแล้ว ก็จะเกิดความหิวขึ้นมา เพราะว่าอดอาหารมาหลายวัน บุคคลผู้ใดได้ไห้อาหารแก่พระอริยบุคคล ผู้แรกออกจากฌานสมาบัติเช่นนี้ จะได้รับอานิสงส์ใหญ่หลวง เทียบเท่าระดับจักรพรรดิสมบัติ มีสวรรค์และพระนิพพานเป็นเบื้องหน้า<o:p></o:p>
    นิโรธสมาบัติ คือ การดับสัญญาความจำได้หมายรู้และเวทนาการเสวยอารมณ์ เรียกชื่อเต็มว่า<o:p></o:p>
    เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่ง พระอรหันต์ และ พระนาคามี ที่ได้ ฌานสมาบัติ 8 เท่านั้น<o:p></o:p>
    ที่จะสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ และ กิจนี้เป็นกิจที่พระอริยบุคคลในระดับโสดาบัน และ สกทาคามี/สกิทาคามี มิอาจที่จะกระทำได้ เนื่องจากท่านยังมิอาจละกามราคานุสัย อันเป็นกิเลสอย่างละเอียดอ่อน<o:p></o:p>
    ที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานซึ่งเป็นศตรูตัวฉกาจของการกระทำสมาธิในระดับดังกล่าวจึงมิอาจเข้านิโรธสมาบัติได้ นิโรธสมาบัติ คือ การเข้าฌานเสวยความสุขอันประเสริฐ ระงับความทุกขเวทนาทางกายเป็นความสุขเหนือโลก คือ โลกุตตระสุขนิพพานของพระนาคามี และ พระอรหันต์ขีณาสพ ทั้งหลาย ผู้ได้สมาบัติ 8 เป็นกำลังของสมถะวิปัสสนาภาวนา สมาบัติ 8 คือ รูปฌาน 4 กับ อรูปฌาน 4<o:p></o:p>
    รวมกันเป็นสมาบัติ 8 จุดประสงค์นอกจากความสุขอันประเสริฐ และ ระงับทุกขเวทนาทางกายแล้ว พระอรหันต์ พระนาคามี เข้าสมาบัติ 8 หรือ นิโรธสมาบัติ เพื่อให้โลกคลายความเดือดร้อนวุ่นวาย<o:p></o:p>
    จากภัยอันตรายของธรรมชาติ ด้วยการแผ่เมตตาให้ สัตว์ คน ไม่ขัดสนทุกข์ยากทรมานจากกฎของ กรรม ผู้ใดได้ทำบุญกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติ จะได้รับผลบุญทันทีทันใด ในวันนั้น คือ ความร่ำรวยทางโลก ปรารถนาสิ่งใดได้ตามแรงอธิษฐาน พระท่านเข้านิโรธสมาบัติและแต่ตามกำหนดของท่านตั้งแต่ 1 ชั่วโมง ถึง 7 วัน เป็นสิ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญเป็นบุคคลที่ควรได้รับความเคารพของเทวดา และ มนุษย์ การต้อนรับอย่างดียิ่งเป็นเขตแห่งบุญอย่างยอดเยี่ยมของโลก<o:p></o:p>
    สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ อารมณ์จิตของพระอรหันต์ขั้น ปฏิสัมภิทาญาณ หรือ พระนาคามีระดับ ปฏิสัมภิทาญาณ เท่านั้น ที่มีจิตว่างจากอารมณ์ทุกชนิด โดยจิตไม่ยอมรับรู้อารมณ์อะไรเลย แม้จะเป็น พระอรหันต์ระดับ เตวิชโช หรือ ฉัฬภิญโญ ก็ไม่สามารถทำจิตว่างจากอารมณ์ใด ๆ ได้<o:p></o:p>
    นิโรธสมาบัติ คือ สมาบัติอย่างหนึ่ง จะเข้าสมาบัตินี้ได้ก็ผู้ที่ได้บรรลุเป็น พระนาคามี หรือ พระอรหันต์ที่ชำนาญในสมาบัติทั้ง 8 มาก่อน เท่านั้น บุคคลอื่น ๆ ไม่อาจจะได้สมาบัตินี้ได้ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า นิโรธสมาบัติ ลักษณะของสมาบัตินี้พิเศษกว่าสมาบัติอื่นๆ คือ สมาบัติอื่น ๆ ยังมีจิตและเจตสิกทำงานอยู่ แม้ในระดับสูง ๆ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ยังมีจิตและเจตสิกทำงานแม้จะละเอียดมากก็ตามแต่ในสัญญาเวทยิตนิโรธ (นิโรธสมาบัติ) นั้น จิตและเจตสิกดับไปเลยชั่วคราว ในช่วงเวลาที่กำลังเข้าสมาบัตินี้อยู่ท่านที่กำลังเข้าสมาบัตินี้อยู่จึงมีร่างนิ่ง ๆ เหมือนก้อนหิน ลมหายใจก็ไม่มี และ มีความมหัศจรรย์มาก คือไม่มีอะไรมาทำอันตรายได้เลย หลังจากออกจากสมาบัติมาแล้ว หากบุคคลอื่นได้บำเพ็ญบุญกุศลกับท่าน เช่น ถวายอาหารให้ท่านแม้สักนิดเดียว ถ้าท่านที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัตินี้ ได้ฉันภัตตาหารนี้แล้ว อานิสงส์จะส่งผลแก่ผู้ถวายในเวลาไม่เกิน 7 วัน<o:p></o:p>
    ผู้มีความชำนาญแคล่วคล่องในฌาน และ อบรมเจริญวิปัสสนา สามารถประจักษ์แจ้งอริยสัจธรรม พร้อมกับฌาน โดยมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ขององค์ฌาน แทนอารมณ์<o:p></o:p>
    สมถกรรมฐาน โลกุตตรจิตเกิดร่วมกับองค์ฌานขั้นต่าง ๆ ตามการสะสม ในมัคควิถี ซึ่งรู้แจ้ง<o:p></o:p>
    อริยสัจธรรมนั้น ผลจิตเกิดต่อจากมัคคจิตทันที เมื่อผลจิตดับแล้ว มัคควิถีจิตก็สิ้นสุดลง มัคคจิตนั้นจะไม่เกิดอีกเลย แต่ผลจิตอาจจะเกิดอีกได้หลายครั้งในชาตินั้น และ นิพพานเป็นอารมณ์ขององค์ฌานที่เกิดดับผลจิตนั้น<o:p></o:p>
    ผู้บรรลุฌานที่สี่คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ และ เป็นพระอานาคามีบุคคล หรือ พระอรหันต์บุคคล สามารถเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติซึ่งดับจิต และ เจตสิกได้ชั่วคราว ผู้ที่เข้า นิโรธสมาบัติ<o:p></o:p>
    ต่างกับร่างที่สิ้นชีวิตแล้ว<o:p></o:p>
    ในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหาเวทัลลสูตร มีข้อความว่า<o:p></o:p>
    ท่านพระมหาโกฏฐิกะถามปัญหาท่านสารีบุตรหลายข้อ ท่านถามเรื่องความต่างกันของร่างที่สิ้นชีวิตกับผู้เข้านิโรธสมาบัติ ท่านพระมหาโกฏฐิ ก็ถามว่า <o:p></o:p>
    ดูกรผู้มีอายุ ในเมื่อธรรม้ท่าไรละกายนี้ไปกายนี้ก็ถูกทอดทิ้ง นอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ปราศจากความรู้สึก<o:p></o:p>
    ดูกรผู้มีอายุ ในเมื่อธรรม 3 ประการคือ อายุ ไออุ่น และ วิญญาณ ละกายนี้ไป กายนี้ก็ถูกทอดทิ้ง นอนนิ่ง เหมือนท่อนไม้ที่ปราศจากเจตนา<o:p></o:p>
    สัตว์ผู้ตายทำกาละไป กับภิกษุผู้เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธมีความแลกกันอย่างไร<o:p></o:p>
    สัตว์ผู้ตายทำกาละไป มีกายสังขาร วจีสังขาร และ จิตสังขารดับระงับไป มีอายุหมดสิ้นไป<o:p></o:p>
    มีไออุ่นสงบ มีอินทรีย์แตกทำลาย ส่วนภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ มีกายสังขาร วจีสังขาร และ จิตสังขารดับระงับไป แต่มีอายุยังไม่หมดสิ้น มีไออุ่นยังไม่สงบ มีอินทรีย์ผ่องใส สัตว์ผู้ตายทำกาละไปกับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธมีความแปลกกันฉะนี้<o:p></o:p>
    เมื่อออกจากนิโรธสมาบัติ จิตขณะแรกที่เกิดเป็น ผลจิต (โลกุตตรวิบากจิต) มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าเป็นพระนาคามีบุคคลก็เป็นอนาคามิผลจิต ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็เป็นอรหัตตผลจิต<o:p></o:p>
    ในวิสุทธิมัคค์ ปัญญาภาวนา สังสนิทเทส แสดงว่า จิตขิงบุคคลเหล่านี้คล้อยไปในพระนิพพาน ข้อความมีว่า<o:p></o:p>
    คำว่า จิตของท่านผู้ออกแล้วน้อมไปสู่อะไร ความว่าน้อมไปสู่นิพพานฯ สมดังท่านกล่าวไว้ว่า ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ จิตของพระภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ น้อมไปในวิเวก เงื้อมไปในวิเวก<o:p></o:p>
    ในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค จูฬโคสิงคสาลสูตร มีข้อความว่า<o:p></o:p>
    พระผู้มีพระภาคเสด็จไปหาท่านพระอนุรุทธ ท่านพระนันทิยะ และ ท่านพระกิมิละ ขณะที่ท่านเหล่านั้นพำนักอนยู่ที่ป่าโคสิงคสาลวัน พระผู้มีพระภาคตรัสถามถึงความเป็นอยู่ของท่านเหล่านั้น ท่านเหล่านั้นบรรลุรูปฌาน และ อรูปฌาน และ สามารถเข้าฌานได้ตามความปรารถนา พระผู้มีพระภาคตรัสว่า<o:p></o:p>
    ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษ คือ ญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระอริย อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องสำราญที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่อันนี้ อย่างอื่นมีอยู่หรือฯ<o:p></o:p>
    เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า เพราะล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวงพวกเราบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ เพราะเห็นแม้ด้วยปัญญาอาสวะของท่านผู้นั้นย่อมหมดสิ้นไป อันนี้ได้แก่คุณวิเศษ คือ ญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระอริยอันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับแห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่อันนี้ได้บรรลุแล้ว พระพุทธเจ้าข้า อนึ่ง พวกข้าพระองค์ยังไม่พิจารณาเห็นธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น ที่ยิ่งกว่าธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอันนี้ฯ<o:p></o:p>
    ดีละ ดีละ อนุรุทธ ธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น ที่ยิ่งกว่าหรือประณีตกว่าธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอันนี้หามีไม่ฯ<o:p></o:p>
    นิโรธสมาบัติ<o:p></o:p>
    นิโรธสมาบัติ อ่านว่า นิ-โรด-สะ-มา-บัด , นิ-โรด-ทะ แปลว่า การเข้านิโรธ,การเข้าถึงความดับ หมายถึงการเข้าถึงความดับสัญญา (ความจำ) และ เวทนา (ความรับอารมณ์) ทั้งหมด ซึ่งสามารถดับได้ถึง 7 วัน เรียกว่าเข้า นิโรธสมาบัติ เรียกย่อว่า เข้านิโรธ<o:p></o:p>
    เรียกเต็มว่า เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ<o:p></o:p>
    นิโรธสมาบัติ ต้องเป็นพระอรหันต์ และ พระอนาคามี ผู้ได้ สมาบัติ 8 จึงจะสามารถเข้าได้ ถือกันมาว่าผู้ที่ได้ถวายอาหารแด พระสงฆ์ ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติมื้อแรกจะได้รับ อานิสงส์ ในปัจจุบันชาติทันตา ทั้งนี้เพราะเป็นอาหารมื้อสำคัญหลังจากที่ท่านอดมาถึง 7 วัน ร่างกายจึงต้องการอาหารมากเป็นพิเศษ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
  18. chpu

    chpu Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +28
    [​IMG]
    ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  19. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    ขออนุโมทนา สาธุ ๆ ในการสร้างบุญกุศลทั้งหลายต่าง ๆ ในครั้งนี้ด้วยนะครับ
     
  20. zeroguidekung

    zeroguidekung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +6

แชร์หน้านี้

Loading...