กรรมฐาน 4

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เวโรนิก้า, 9 พฤษภาคม 2012.

  1. เวโรนิก้า

    เวโรนิก้า สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +9
    1.มรณานุสสติกรรมฐาน

    การพิจารณาถึงความตายเป็นอารมณ์ พิจารณาว่าคนเราเกิดก็ต้องตายไม่มีใครหลีกหนีความตายได้แม้กระทั่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังต้องปรินิพพานเลย ต่อให้คนเรามีเงินหรืออำนาจมาเพียงไหนก็มิอาจหลีกหนีความตายไปได้พ้น ตัวเราก็เช่นกันตัวเราเกิดมาแล้วย่อมมีความดับไปเป็นของธรรมดาเพราะการเกิด-ดับเป็นของคู่กัน ไม่ใช่แม้กระทั่งตัวเราคนอื่นๆที่เราพบปะเจอกันก็เช่นกันคือเกิดมาแล้วต้องตายทั้งสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้มีเกิดมาย่อมมีสูญสลายไปเป็นของธรรมดา

    2.อสุภะกรรมฐาน

    การพิจารณาซากศพ พิจารณาว่าร่างกายของคนเราทุกคนนั้นเกิดมาแล้วย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นของธรรมดาร่างกายเราเปลี่ยนแปลงจากหนุ่มเป็นแก่หรือชราภาพลงสุดท้ายก็ตายไปกลายเป็นซากศพเป็นของธรรมดากลายเป็นซากศพอันน่ารังเกียจใครๆที่บอกว่ารักเราพอเราตายไปได้2-3ชั่วโมงกลิ่นเหม็นเน่าออกจากตัวเรามาเขาก็หนีกันหมดแล้ว บางทีเราตายกลายเป็นซากศพที่มีหนอนออกมาชอนชัยกัดกินร่างกายเรา มีหมามารุมกัด นกแร้งมากินไส้เรา หนูมากัดแทะร่างกายเรา ถึงเวลานั้นเราคงมาห้ามได้แล้วเพราะว่าร่างกายเราเป็นของสาธารณะของสัตว์เหล่านี้ไปเสียแล้ว บางทีอาจจะกลายเป็นซากศพที่ว่ามีแต่กระดูกเนื้อไม่มีมีแต่คราบเลือดเต็มไปหมดเลยซึ่งน่าขยักแขยงที่สุด

    3.กายคตานุสสติกรรมฐาน

    การพิจารณาร่างกายเป็นปฏิกูล พิจารณาว่าจริงๆแล้วร่างกายเราก่อนตายก็สกปรกมากพอแล้วเพราะว่าร่างกายเราประกอบด้วยอวัยะ32ประการซึ่งถ้าหยิบออกมาดูก็ล้วนแต่ไม่น่ามองทั้งนั้นเลยเช่นตับ ไต้ ไส้ พุง สิ่งพวกนี้ถ้าเราหยิบออกมามองเราจะหนีเลยแถมเราต้องไปล้างมืออีกเพราะมันสกปรกมากๆใครเห็นก็ล้วนแต่รังเกียจทั้งนั้น อาหารที่เรากินเข้าไปถ้าเกิดเราอวกออกมาหรือถ่ายออกมาใครก็บอกว่ามันน่ารังเกียจหรือสกปรกทั้งนั้นตัวเราเองยังรับไม่ได้เลยเพราะมันสกปรกและเหม็นทั้งๆที่มันออกมาจากร่างกายของเราแท้ๆเลยเพราะฉะนั้นจะสังเกตเห็นได้ว่าก่อนตายกลายเป็นซากศพเราก็มีร่างกายอันน่ารังเกียจเสียแล้ว

    4.จตุธาตุววัฏฐาน

    ร่างกายของเรานั้นประกอบไปด้วยธาตุสี่มี ดิน น้ำ ลม ไฟ ดินคือของแข็งในกายเราเช่นร่างกาย ตับ ไต้ ไส้ พุง ปอด ม้าม ลิ้น ปาก หู ตา จมูก คิ้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นธาตุดินทั้งสิ้น ธาตุน้ำก็มีน้ำเลือด น้ำหนอง น้ำตา น้ำปัสสาวะ น้ำเหงื่อ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นธาตุน้ำทั้งสิ้น ธาตุลมก็คือลมที่อยู่ในกายเราเช่นลมหายใจ ธาตุไฟคืออุณหภูมิในกายเรา ถ้าหากว่าธาตุสี่เราผิดปรกติขึ้นมาร่างกายเราจะผิดปรกติไปด้วยเช่นถ้าเกิดธาตุไฟมากเกินไปเราก็จะไม่สบาย ถ้าเกิดาตุน้ำมากเกินไปเลือดอาจจะไหลออกมา ดังนั้นร่างกายนี้จึงไม่ใช่ของเราเป็นเพียงแค่ธาตุสี่มาประชุมรวมกันเท่านั้นถ้าหากว่าเราตายธาตุลมไปเสียแล้วเพราะว่าเราไม่หายใจตามไปด้วยธาตุไฟสุดท้ายน้ำก็ไปละลายดินเพราะว่าไม่มีไฟควบคุมทำให้ร่างกายเราเป็นกลายเป็นซากศพไปไหนที่สุด ดังนั้นเรากายเราจึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยของธาตุสี่ทั้งสิ้น

    สมถะกรรมฐานพวกนี้นั้นล้วนแต่ปนด้วยวิปัสสนาทั้งสิ้นซึ่งเป็นบ่อเกิดทำให้เกิดปัญญา ถ้าเกิดใครปฏิบัติแล้วจะปฏิบัติพิจารณาหมดทีเดียวเลยก็ได้นะครับแบบอนุโลม-ปฏิโลม ซึ่งกรรมฐานสี่ตัวนี้มีอานิสงส์สามารถทำลายสักกายทิฐิได้เลยนะครับเนี้ยซึ่งสามารถทำให้เราได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันได้โดยง่ายซึ่งพระอรหันต์ต่างๆในสมัยพุทธกาลล้วนแต่ผ่านกรรมฐานทั้งสี่กองนี้ทั้งนั้นเช่นพระวังคีสเถระ พระลกุณภัททิยะเถระ เป็นต้น

    แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าเองค์ยังตรัสว่า "ผู้ใดเจริญกายคตานุสสติกรรมฐานแล้วมารย่อมไม่ได้ช่อง"

    พระพุทธเจ้ายังตรัสอีกว่า "เราจะไม่ละทิ้งกายคตานุสสติ"
     

แชร์หน้านี้

Loading...