“มาด้วยปณิธาน ลุล่วงด้วยปณิธานจึงกลับคืน” เราทุกคนที่เป็นศิษย์ในธรรมกาลยุคขาว คือเป็นพระโพธิสัตว์ในอนุตตรธรรม เราทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นพระโพธิสัตว์ในธรรมกาลยุคสีขาว ในพุทธคัมภีร์กล่าวไว้ว่า คน ๆ หนึ่งยังไม่ได้รับการฉุดช่วย แต่เขามีปณิธานที่จะฉุดช่วยผู้อื่น นั่นคือจิตเริ่มต้นของพระโพธิสัตว์ วันนี้เราทุกคนไม่แน่หรอก ว่าเราจะไปเป็นพระพุทธะ เรายังไม่ได้เป็นพระพุทธะเลย แต่เรามีใจ มีความตั้งใจที่อยากจะไปช่วย เหลือคนอื่น ๆ นั่นเรียกว่าจิตเริ่มต้นของพระโพธิสัตว์ ในพุทธคัมภีร์ได้บันทึกอย่างนี้ว่า การก่อเกิดจิตศรัทธาของพระโพธิสัตว์นั้น ไม่ใช่เรื่องธรรมดา จิตใจความศรัทธาของพระโพธิสัตว์ เหมือนกับพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้น ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นมานั้น ท้องฟ้าเต็มไปด้วยความมืดมิด แต่พอเวลาพระอาทิตย์ขึ้นมา เต็มไปด้วยความสว่างไสว บนโลกจึงมีแต่แสงสว่าง พระโพธิสัตว์เกิดความศรัทธา ก็เหมือนกับพระอาทิตย์นั้น
ขอบคุณมากค่ะ นึกไว้ไม่ผิด คำตอบได้อารมณ์ ชัดเจนดีมาก... บางที เวลา เราถามอะไร จริงๆ เรามีคำตอบอยู่แล้ว ...เมื่อเราได้คำตอบที่ ไม่ตรงใจ เรามักไม่ใส่ใจ แต่ถ้าตรงใจ มันก็แค่มาคอนเฟิร์มความเชื่อเราเท่านั้น ซึ่งจริงๆเรา ไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่คำตอบของคุณ เซลล์ เดรด ถือว่า เป็นมุมมองที่น่าชื่นชม ขอบอกอีกที..ไม่รู้เคยบอกยัง ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ.. จากใจ...อิอิ
สวัสดีค่ะ คุณเซลล์ อ่านแล้วมึน ดีมั๊ยค่ะ อิอิ ...อ้าว คุณ mead มาอยู่นี่เอง...งั้น ทักทาย อีกที...Hello ..อิอิ
สวัสดีครับเห็นคุยกันยาวเชียวครับ ดีครับขออ่านด้วยคน อิอิ ตกลงพี่นักเขียนสนับสนุนให้เราเขียนบทกันต่อจริงๆด้วยครับ ขอให้สะท้อนประสบการณ์ของเราทั้งยามตื่นยามฝันออกมาเขียนให้เต็มที่กันเลยนะครับ ตอนนี้งานเข้าเลยต้องไปจดจ่อกับงานก่อน จินตนาการพุ่งเมื่อไหร่จะเข้าไปแจมนะครับ พวกเราคิดนะไรออกสามารถลุยกันล่วงหน้าไปก่อนเลยครับทุกคน
^-^ คือ...บางที นะค่ะ การที่เราศึกษามากๆขึ้น ส่วนหนึ่งที่ดีก็คือได้ความรู้เพิ่มขึ้น แต่บางที มันทำให้เราสับสน กับความรู้ที่เรารับมา เรามานั่งแยกแยะว่า อันไหนจริง อันไหนไม่จริง...บางอัน ขัดกันซะจน..อืมม์ เอาไหงดีหว่า... ก่อนมาอ่านหนังสือ อ.อนาลัย เดรด ศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ ค่อนข้างมาก หาคำตอบให้ชีวิต ไปเรื่อยเปื่อย ทั้งศาสนา และอะไรหลายๆอย่างที่ จะมาตอบคำถามตัวเอง จนบางที สุดท้าย มานั่งนึกว่า เราจะหาอะไรกันแน่ ชีวิต ทุกวันนี้ มีความสุขดี ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ไม่มีความโลภในวัตถุแล้ว แต่ในจิตวิญญาณ มันเหมือนยังพร่องอยู่ คุณเซลล์เป็นมั๊ยค่ะ...คงไม่เป็นมั้ง อิอิ ไม่ได้หาเหตุผลของการปล่อยวาง หรือ ไปคิดถึงอดีต หรือปัจจุบัน หรือ อนาคต นะค่ะ อย่างคำถามที่เรา กำลังจะไปกันให้ถึง ที่ว่า อะไรมาเป็นเรา เราคืออะไร เนี่ย บอกตรงๆ ไม่เคยคิด...แต่ จะคิดว่า เราอยู่ เพื่อทำอะไรมากกว่า( อย่าบอกว่า ทำมาหากินนะค่ะ..อันนี้ ต้องทำ ไม่งั้นเด๋ว ไม่มีตังค์ มาจ่ายค่าอินเตอร์เนท ...)ไม่รู้ นะค่ะ สงสัยแค่นั้นจริงๆ หรือ เรื่องอื่นก็ไม่รู้ดิ โอย..เริ่มมึน...(สงสัยสวิทซ์ ข้างใน มีอะไรขำรุดแหง) คือ หนังสือ ที่ถาม เป็น เรื่องเกี่ยวกับการทำสมาธิ เป็น เนื้อหา เกี่ยวกับอุบายการทำสมาธิ ซึ่ง มุ่งแจกแจงและให้คำอธิบาย คัมภีร์วิชญาณไภรวตันตระอันเก่าแก่ พระสูตรบทแรกเริ่มจากปัญหาที่พระนาง ปารวตีทูล ถามพระศิวะ แต่แทนที่พระองค์จะตอบปัญหาเหล่านั้น พระองค์กลับทรงประทานอุบายวิธีต่างๆถึง 112 วิธี ซึ่งเป็นโศลกสั้นๆ และเทคนิคการทำสมาธิทั้งสิ้น จริงแล้ว อุบายต่างๆ ก็มีอยู่ในคำสอนมากมาย แต่ประเด็นที่เดรด สนใจมากคือ เป็น การถามตอบ กันระหว่างคนรัก คนเขียน บรรยายให้เห็นว่า คำสอนซึ่งเป็นภาษารัก ทุกพระสูตรจึงเริ่มต้น ลักษณะนั้นส่อแสดงนัยที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง คือ หากไร้ซึ่งความรักระหว่างบุคคลสองฝ่าย อาทิ ศิษย์ กับครู แล้ว ย่อมไม่อาจถ่ายทอดคำสอนอันลึกซึ้งแก่กันได้ที่ภาวะอันนี้ ภาวะที่อยู่พ้นโลกนี้ จึงจะสามรถเผยปรากฎขึ้น... ในคำสอน ของอาจารย์ อนาลัย ก็เน้นย้ำเรื่องนี้ เราต้องรักทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างเป็นธรรมชาติ จนเรากลายเป็นทุกสิ่ง เป็นหนึ่งเดียวกันหมด... ไม่มีอะไรมากค่ะ แค่อยากเห็นมุมมองคนอื่นๆบ้าง .....ตอนแรก โพสไว้ ใน pm แล้ว ลบออก เพราะเกรงจะ ขัดๆ กับ concept ในห้องนี้ เลยไม่แน่ใจ พอมาเห็น คุณเซลล์ ตอบ ก็เลยคิดว่า เราแลกเปลี่ยนทัศนะกัน เฉยๆ เพื่อ เติมเต็มจิตวิญญาณ กันก็แล้วกันนะค่ะ... อิอิ..ถ้าสนใจอ่าน...เด๋ว ส่งให้อ่าน บอกแล้วค่ะว่า ดีใจทุกครั้ง ที่คนสนใจหนังสือ เดรด ....มันจะล้ม ทับตายอยู่แล้ว ชวนใครอ่าน...ก็ไม่มีใครสน เสียใจจริงๆ(cry)...แหะ แหะ เขียน ยาว ไม่น้อยหน้ากันเลยค่ะ...ใคร เค้าจะว่าเราใช้พื้นที่ ผิดวัตถุประสงค์ รึเปล่า ก็ไม่รู้ เน๊อะ คุณเซลล์เน๊อะ วันนี้ มันแปลกๆ ...คิด พล็อต ไม่ค่อย ออก อาจจะเป็น บทของคนอื่นเค้าบ้างมั้งค่ะ...แหะ แหะ ไปนอนดีก่า ดึกแล้ว ราตรีสวัสดิ์...ไปแระ..เขียนซะยาวววว เชียว...หลับ ไปยังค่ะ...ไปดีก่า สงสัยหลับไปแร้ววว..
เนื้อหาว่ายังไงบ้างครับคุณเดรด อยากรู้ๆ (deejai) ยังไม่ได้อ่านเลยครับ หุหุ ต้องรอมีคำถาม ไอเดียจึงจะบรรเจิด อิอิ คำถามคุณ dred ช่วยให้ผมได้เรียนรู้เยอะขึ้นมากเลย วันนี้คิดอะไรเพลินๆ เลยคิดไปว่า มนุษย์มาเรียนรู้เพื่อเติมเต็มประสบการณ์จริงๆหละครับ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบอะไรก็ตาม จิตวิญญาณ คือ ตัวตนที่สมบูรณ์ที่มีปัญญาเป็นความรู้ และอำนาจเป็นความรัก ถ้าเราเป็นความรู้ เราคงปราถนาที่จะรู้ว่าความรู้ของเราทำอะไรได้บ้าง รูปแบบที่เป็นอนันต์ จะออกมาเป็นรูปแบบใดได้บ้าง และในรูปแบบที่เป็นอนันต์ จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบเหมือนกัน ในความคิดของผม คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่สนุกมากๆเลยครับ เหมือนกับตอนเป็นเด็ก เราจะเรียนรู้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเลยว่า เราทำอะไรได้บ้าง เดินได้ วิ่งได้ พูด เล่น กิน นอน คิด เขียน อ่าน และอื่นๆ เมื่อเราทำได้ แสดงว่า เกิดทักษะ และความเข้าใจ ก็ปราถนาจะทำต่อไปอีกว่าเราทำอะไรได้บ้าง แต่พอโตขึ้นมาเรื่อยๆซึมซับบทเรียนจากครอบครัว สังคม เก็บสะสมเป็นความเชื่อ เพื่อรอให้เราถอดรหัสความเชื่อ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในที่สุด หากยังไม่เข้าใจ เรามักจะให้แนวคิดเราเหนี่ยวนำ เหตุการณ์ต่างๆเข้ามา เพื่อขอเรียนรู้อีกครั้ง เหมือนรีเทปกลับมาอีกรอบ ขอแก้ตัวใหม่จนกว่าจะเข้าใจ การปลอมตัวมาเป็นมนุษย์ ก็เพื่อเรียนรู้คุณสมบัติของจิตวิญญาณที่เป็นความรู้ที่ไม่สิ้นสุด แกล้งลืม เพื่อให้มีการค้นพบความรู้ที่มีรูปแบบที่หลากหลาย เรียนรู้กิเลส ตัณหาต่างๆ เรียนรู้ความเป็นคู่ต่างๆ เรียนรู้ทุกข์ เพื่อให้สุขมีคุณค่า จนเปลี่ยนความเชื่อเกี่ยวกับทุกข์ และสุข เป็นความเข้าใจ(ความรู้) และจะวางสิ่งนั้นลงในที่สุดอย่างง่ายดาย เพราะสิ่งที่เราเรียนรู้นั้นกลายเป็นความรู้ ความเข้าใจไปซะแล้ว เลยมองดูทุกอย่างอย่างเข้าใจ บางครั้งความสัมพันธ์ในสังคม ก็จะอยู่ในรูปแบบความขัดแย้งต่างๆ เพราะแต่ละคนกำลังเรียนหนังสือคนละเล่มกัน คนที่เรียนรู้ความโกรธ ก็เพื่อให้อีกคนได้เรียนรู้คำว่า อดทน อดกลั้น ให้อภัย ถ้าเราเข้าใจบทเรียนโลกได้หมดแล้ว คือ เปลี่ยนความเชื่อ เป็นความรู้ เรียบร้อยแล้ว ก็คงจะกลับไปสู่ที่ที่จากมากลายเป็นความรู้ในรูปแบบที่เข้าใจโลกเป็นคุณสมบัติติดตัวไป ไม่น่าจะกลับไปสู่จุดที่เรียกว่า ดับสนิท ไม่มีอะไรเลย ถ้าเป็นเช่นนั้นคงไม่มีความหมายอะไรที่เราจะมา และก็กลับไปสลายหายไปไม่รู้อะไรเลย อิอิ คิดไปเล่นๆว่า ในขณะจิตของเรา ถ้าเราเฝ้ามองดีๆ จะมีอารมณ์ ความคิด จินตนาการผุดขึ้นเยอะแยะเลย ทั้งจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เกิดพร้อมๆกัน จากจิตสำนึกปัจจุบันเราสามารถคิดย้อนกลับไปอดีต และอนาคตยังไงก็ได้ คิดย้อนกลับไปอดีต และคิดว่าตอนนั้นไม่น่าทำอย่างนี้เลย ถ้าย้อนกลับไปเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ หรือคิดไปในอนาคตจากข้อมูลความเชื่อของเราว่าต้องการให้ออกมาในรูปแบบไหน ทุกอย่างจึงเกิดขึ้น ณ ที่นี่ ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตพร้อมๆกัน ถ้าทุกอย่างเรียงเป็นเส้นตรง คือต้องอดีตก่อน ไปปัจจุบัน และต่อไปอีกเป็นอนาคตจริงตามเส้นทางเวลาของโลก ในปัจจุบันเราคงคิดไปถึงในอนาคตไม่ได้ เพราะเราจะเห็นแต่สิ่งที่ผ่านมาในอดีตเท่านั้น ดังนั้นแค่ขณะจิตเดียว ก็คือ ทั้งหมดจะต้องอยู่รวมกัน ณ ปัจจุบัน เป็นจุดที่เราสร้างบทละครให้ตนเองต่อไปข้างหน้า เช่น ณ ปัจจุบัน ไปเจอเพื่อน และมีการพูดคุยกัน และเค้าทำให้เราโกรธ ไม่พอใจ จิต ณ ปัจจุบัน ก็จะมี จิตไม่อยากโกรธ จิตโกรธ จิตรู้สึกผิด จิตสับสนสงสัย เป็นต้น ซึ่งเท่ากับภพชาตินี้ เราร้องขอเพื่อให้ภพชาติต่อไป ได้เจอเหตุการณ์ดังกล่าวอีก เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้ จนกว่าจะเข้าใจคุณค่าของการไม่โกรธ ที่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเข้าใจแล้ว เทปม้วนนี้ก็ไม่ได้หมดไป แต่จะยังอยู่เพื่อให้ผู้อื่นได้เรียนรู้ต่อไป แต่ถ้า ณ จิตปัจจุบัน เราต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับความปิติสุข ความสมบูรณ์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของความเป็นหนึ่งเดียวกัน ในเหตุการณ์เดียวกัน เมื่อมีการพูดคุยกับเพื่อนในเรื่องเดียวกันนั้น เราไม่รู้สึกโกรธ(ไม่ได้ห้ามตนเองไว้ ว่าอย่าโกรธ) แต่เพราะความเข้าใจว่าเค้ากำลังเรียนรู้หนังสือคนละเล่มกัน จิตในขณะนั้นก็คือ จิตเมตตา จิตกรุณา จิตมุทิตา จิตอุเบกขาเพราะเข้าใจ เราก็จะเหนี่ยวนำบทละครเรื่องใหม่ ที่เป็นจิตเหล่านี้ในภพชาติถัดไป หรือความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติต่างๆ จะเป็นจิตของมนุษย์ที่เรียกร้องความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบตัวรึเปล่าน๊า จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพื่อเรียนรู้ร่วมกันที่จะอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ซึ่งก็คือเรา ในเส้นทางที่เป็นรูปแบบอนันต์ เราสามารถเลือกเส้นทางเดินอะไรก็ได้จากภายในจิตของเราเอง ผู้ที่เรียนรู้คุณค่าของทุกข์ มักจะเห็นคุณค่าของความสุข ซึ่งก็เป็นเส้นทางสายเอก ของผู้ที่เห็นคุณค่าของความทุกข์จะเลือกเดิน ก็คือเส้นทางความเป็นจิตวิญญาณนั่นเอง เขียนเยอะไปนิดนะครับ ^-^ พอดีมี inspire อย่างที่คุณ zip ว่าอะคับ อิอิ
อย่าลืมสวดมนต์นะคะ ตัวอักษรมีชีวิตคะ ตามไปอ่านในกระทู้ของสันโดษนะคะ http://board.palungjit.com/showthread.php?t=134494
จริงครับ เห็นด้วยคุณเซลล์ เด๊ยวว่างๆจะเข้าไปผูกเรื่องต่อ เอ น่าจะมีฉากที่พูดถึงศาสนาบ้างเหมือนกันครับ น่าจะมีประโยชน์กับหลายๆคน อยากให้คุณเซลล์ไปคิดช๊อตนี้จังครับ
งั้นผมก็โล่งอกครับ..สงสัยคิดไปเองคนเดียว อิอิ ถ้าเป็นความฝันของพวกเราร่วมกันก็ลุยต่อกันเลยครับ ไปขุดจินตนาการออกมาเยอะๆเลยครับ ลุยๆๆ
OK .เข้าใจที่พี่นักเขียนบอกใบ้แล้วครับ ท่าจะหยุดยากจริงๆ แบบนี้ต้องไปปลุกคนอ่านมาแต่งกันอีกเยอะๆ น่าจะสนุกดีนะครับ
นี่ก็ฝันแต่เรื่องของนิยายอยู่เหมือนกันครับ กำลังคิดอะไรนิดหน่อยกับเรื่องนี้ครับ ยังไงแวะไปอ่านที่บ้านคุณ Dred นะครับคุณเซลล์ (good)
ใช่ค่ะ ช่วงสองสามวันนี้ ฝันถึงแต่เรื่องแต่งนิยาย กับการพูดคุย กันระหว่างพวกเราห้องวิทย์ ทั้งหลับ ทั้งตื่นเนี่ย ไม่ได้พรากจากกันเรย...อ่ะค่ะ