จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    นิธีนํว ปวตฺตารํ ยํ ปสฺเส วชฺ ชทสฺสินํ นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวึ ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช
    คนเรา ควรมองผู้มีปัญญาใด ๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าว คำขนาบอยู่เสมอไป ว่าคนนั้นแหละ คือผู้ชี้ขุมทรัพย์ละ, ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น,
    ตาทิสํ ภชมานสฺส เสยฺโย โหติ น ปาปิโย
    เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่ ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย.

    .ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • BudddhaDay.jpg
      BudddhaDay.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.8 KB
      เปิดดู:
      1,656
    • Sadhuuu.jpg
      Sadhuuu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.9 KB
      เปิดดู:
      1,004
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]

    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpToBoonMetta.jpg
      LpToBoonMetta.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.6 KB
      เปิดดู:
      2,316
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      62
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]

    นานาปัญหา
    โดย คณะสหายธรรม


    ๒๔. พระอรหันต์นิพพานแล้วเหลือแต่จิตบริสุทธิ์หรือ

    ถาม ผมอยากทราบว่า ตามหลักอภิธรรมกล่าวว่าจิตกับวิญญาณขันธ์เป็นสิ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่ครับ ถ้าใช่อย่างนั้น เวลาบรรลุเป็นพระอรหันต์ และดับขันธ์ปรินิพพานเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์ทั้ง ๕ ดับหมด ก็สูญหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างนะสิครับ หรือความจริงเป็นอย่างไร
    มีบางท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า จิตถูกหุ้มห่อด้วยขันธ์ทั้ง ๕ เป็นชั้นที่ ๑ และถูกหุ้มห่อด้วยวิบากเป็นชั้นที่ ๒ เมื่อทำลายกรรมและวิบากหมดแล้ว บรรลุเป็นอรหันต์เหลือแค่ขันธ์ ๕ ทรงอยู่อย่างบริสุทธิ์ ต่อเมื่อดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ดับหมดเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ (เรียกว่า เกวล) ถึงบรมสันติสุขสถาพร ตลอดกาลนิรันดร
    ขอคำอธิบายจากคณะสหายธรรมด้วยว่า ความจริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ในเรื่องนี้

    ตอบ ก่อนอื่นขอเรียนว่า หลักธรรมในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะหลักธรรมขั้นสูง คือมรรคผลนิพพานนั้น บางนิกายก็มีความเห็นแตกต่างไปจากนิกายเถรวาทที่เรานับถือกันอยู่ คำถามที่คุณตั้งมานั้นจะเป็นคำสอนของผู้ใดนิกายไหนคณะไม่อาจทราบได้ แต่คำสอนในนิกายเถรวาทไม่ใช่เช่นนั้น เพราะฉะนั้น คำตอบที่จะตอบต่อไปนี้จึงเป็นคำตอบที่ได้มาจากคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอรหันต์สาวกและอรรถกถาในนิกายเถรวาทเท่านั้น
    ในพระอภิธรรม พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติชื่อของสภาพรู้ คือจิตไว้ถึง ๙ ชื่อดังนี้คือ
    ๑. จิต ๒. มนะ ๓. มานสะ
    ๔. หทยะ ๕. ปัณฑระ ๖. มนายตนะ
    ๗. มนินทรีย์ ๘. วิญญาณ ๙. วิญญาณขันธ์

    ซึ่งจะใช้ชื่อใดก็หมายความถึงจิตทั้งสิ้น ในบรรดาขันธ์ ๕ มีรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์นั้น วิญญาณขันธ์ก็คือจิตนั่นเอง
    ขันธ์ทั้ง ๕ นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ถ้าขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์ดับไปแล้ว คือปรินิพพานแล้ว เหลือแต่จิตล้วนบริสุทธิ์ ก็แสดงว่าขันธ์ของพระอรหันต์ดับไปเพียง ๔ ขันธ์ วิญญาณขันธ์คือจิตมิได้ดับด้วยจึงยังคงเหลือบริสุทธิ์อยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จิตก็เที่ยง เพราะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ นี่ก็ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วจึงถูกต้องไปไม่ได้
    อนึ่ง ในพระอภิธรรมท่านแสดงว่านามขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เมื่อเกิดขึ้นต้องเกิดพร้อมกัน ๔ ขันธ์ และเมื่อดับก็ดับไปพร้อมกันทั้ง ๔ ขันธ์ ไม่ใช่ ๓ ขันธ์ดับ วิญญาณขันธ์ไม่ดับ เมื่อรูปกายอันเป็นรูปขันธ์แตกดับ นามขันธ์ทั้ง ๔ ก็อยู่ไม่ได้ ต้องแตกดับด้วย และต้องแตกดับพร้อมกันทั้ง ๔ ขันธ์ด้วย ไม่ใช่ดับเพียง ๓ ขันธ์ เหลือวิญญาณขันธ์คือจิตไว้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธในนิกายเถรวาท
    ธรรมดาขันธ์ ๕ เป็นสังขตธรรมหรือสังขารธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งและมีสภาพเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ปราศจากเหตุปัจจัยแล้ว ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย ขันธ์ ๕ ก็ดับ
    ดังที่ พระอัสสชิกล่าวแก่อุปติสสะปริพาชก ซึ่งภายหลังคือท่านพระสารีบุตร ว่า
    “ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้”
    ด้วยเหตุนี้ขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์เมื่อดับ คือปรินิพพานแล้ว เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดแล้วจึงไม่เกิดอีก ไม่ว่าจะเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ ในเมื่อจิตก็คือวิญญาณขันธ์ เมื่อวิญญาณขันธ์ซึ่งรวมอยู่ในขันธ์ ๕ ดับ การจะเหลือแก่จิตบริสุทธิ์จึงเป็นไปไม่ได้

    ใน พรหมชาลสูตร ที. สีลขันธวรรค ข้อ ๙๐ ตอนท้าย
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุว่า
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต”
    จากพระพุทธดำรัสนี้ก็แสดงชัดว่า ผู้ที่ทำลายตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่างๆ ได้ขาดแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วยังมีชีวิตอยู่ เทวดาและมนุษย์ย่อมเห็นกายของพระอรหันต์ได้ แต่เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีวิตแล้วคือปรินิพพานแล้ว เทวดาและมนุษย์ย่อมไม่เห็นกายของท่าน เพราะกายของท่านดับแล้วไม่เกิดอีกแล้ว
    อนึ่ง การดับของขันธ์ ๕ ท่านไม่เรียกว่าสูญ ในเมื่อขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ดับไปก็เพราะสิ้นเหตุปัจจัย ท่านจึงเรียกการไม่ได้เกิดอีกของขันธ์ ๕ ว่า เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็ไม่เกิด
    อีกอย่างหนึ่ง จุติของพระอรหันต์ท่านเรียกว่า จริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายในสังสารวัฏ สำหรับบุคคลที่ตายแล้วยังต้องเกิดอีก จิตดวงสุดท้ายในแต่ละชาติที่ตายนั้นเรียกว่า จุติจิต เพราะจุติจิตดับแล้วมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่อีก ทั้งนี้บุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ว่าจะเกิดมากี่ร้อย กี่พัน กี่แสน กี่โกฏิชาติ จิตก็เกิดดับติดต่อกันมาตลอดร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ โกฏิชาติ คือจุติจิตดับแล้วปฏิสนธิจิตก็เกิดสืบต่อไปอีกทุกๆ ชาติ
    ต่อเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นแหละ จุติของท่านจึงชื่อว่าจริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายของการเกิดมาในสังสารวัฏอันยาวนานนั้น เพราะไม่ปฏิสนธิจิตสืบต่ออีก เหมือนในชาติที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ นี่คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในเรื่องนี้และในนิกายเถรวาทนี้

    ________________________________________

    ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔

    มหาวรรค ภาค ๑

    พระอัสสชิเถระแสดงธรรม
    http://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=4&A=1358&Z=1456#65
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • BuddhaPali.jpg
      BuddhaPali.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35 KB
      เปิดดู:
      1,242
    • MondayBless.jpg
      MondayBless.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57.8 KB
      เปิดดู:
      662
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    กลิ่นธูปควันเทียน
    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ เวลาคนที่ตายแล้วเราก็ไปกราบศพแต่ได้กลิ่นธูปหรือควันเทียน อย่างนี้หมายความว่าอย่างไรคะ
    หลวงพ่อ : นั่นเขาแสดงปรากฎเป็นกลิ่นธูป ควันเทียน ถ้าเป็นกลิ่นธูปก็แสดงว่าอยู่สูง ถ้าเป็นกลิ่นธูปหอมนะก็แสดงว่าอยู่สูงมาก ถ้าเป็นกลิ่นกระแจะหรือนํ้าหอมธรรมดาก็ไม่ใช่ กลิ่นดอกไม้ก็ไม่เชิง มันผสมผสานกัน อันนี้อยู่ชั้นกามาวจร ถ้าเป็นกลิ่นธูปจัดหน่อยก็ต้องนับเป็น ๒ จุด คือ พรหมกับนิพพาน พรหมกับนิพพานนี่กลิ่นคล้ายคลึงกันมาก
    ผู้ถาม : แต่เคยได้กลิ่นเหล้าฉุนๆ หมายความว่าเป็นชั้นไหนครับ
    หลวงพ่อ : โลหะกุมภี...เทวดาชั้นนี้แข็งแรงมาก ใจดีที่สุด ถ้าไปที่นั่นไม่ต้องซื้อข้าวกิน กรอกใส่ปากเลย ทนไม่ไหวจับนอนกรอกปากอีก แหม...ไอ้กลิ่นเหล้านี่น่าจะเป็นเทวดาบางยี่ขัน กลิ่นแปลกจริงๆนะ นี่ต้องพิจารณากันก่อนนะ ถ้าหากคนที่เคยเคารพนับถือก็ดี คนที่ไม่เคารพนับถือก็ดี ที่ติดเหล้าแล้วตายไปมีไหม...ต้องนึกถึงคนนั้นก่อน บางทีเขาอาจจะเป็นเทวดา เวลาเขามา เขาอาจจะแสดงกลิ่นเหล้าให้ปรากฎ จะได้ทราบว่าท่านมาแล้ว อย่าไปโทษว่าเขาเป็นสัตว์นรกเสมอไปไม่ได้นะ
    ผู้ถาม : ถ้าหากว่าเราได้กลิ่นอย่างนี้ เอากลิ่นเป็นอนุสสติเราตายแล้วจะเป็นอย่างไรครับ
    หลวงพ่อ : ก็สบาย...ไปอยู่โลหะกุมภี ดีจริงๆเลย ตั้งเป็นฌานไว้นะ ไม่ไปไหนเลย ดิ่ง...ป๋อง...ลงท่อทองแดง !
    ผู้ถาม : ยังงั้นเปลี่ยนไหม่ดีกว่า เอาเป็นกลิ่นธูปควันเทียนก็แล้วกันครับ
    หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้ดีกว่า เอากลิ่นเย็นๆดีไหม...จะได้ลงโลกันตนรกเลย
    ผู้ถาม : ทีนี้มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งแกมาเล่าให้ฟังว่าเวลาสวดมนต์เห็นแม่ที่ตายไปแล้วมานั่งอยู่ข้างๆและได้กลิ่นธูปเสมอ เขาสงสัยว่า แม่ยังห่วงอะไรอยู่หรือเปล่าครับ
    หลวงพ่อ : กลิ่นสูงหรือกลิ่นตํ่า
    ผู้ถาม : เอ...ไม่ยักบอก เอ๊ะ ! หลวงพ่อกลิ่นสูงกลิ่นตํ่าเป็นยังไงครับ
    หลวงพ่อ : ไอ้กลิ่นตํ่าน่ะ กลิ่นมากหน่อย กลิ่นสูงน่ะ กลิ่นธรรมดา เราเคยสัมผัสอยู่เสมอ
    ผู้ถาม : อย่างกลิ่นธูปควันเทียนน่ะหรือครับ
    หลวงพ่อ : ถ้าอย่างนั้นดี ไม่เหมือนกลิ่นปุ๋งๆ
    ผู้ถาม : (หัวเราะ)
    หลวงพ่อ : ข้อนี้ตอบไม่ยากเลย ที่มาให้เห็นนั่นแสดงว่า ท่านสบายมากแล้ว ถ้าไม่สบายมากท่านจะมาให้เห็นภาพไม่ได้ ถ้าแสดงให้เห็นปรากฎแสดงว่าเขามีความสุขมาก เมื่อเขาเป็นเทวดาหรือพรหมเขาก็ห่วงลูกจะตกนรก ถ้านึกถึงพ่อแม่เป็นความกตัญญูรู้คุญ เป็นเทวดาได้นะใช่ไหม...แล้วยิ่งสวดมนต์อยู่อย่างนั้น ได้กลิ่นแม่ด้วย มีความรู้สึกว่าแม่มาด้วย อันนี้ดีมาก แต่สงสัยว่าตอนนั้นแกสวดแม่หรือเปล่า ถ้าไม่สวดแม่นะ และแกใจดีนะ เห็นว่าแม่มาด้วย อันนี้เป็นความกตัญญูรู้คุณ แค่ตัวเดียวนี่ไปสวรรค์จิตเป็นอุปจารสมาธิพอดี ถ้าจิตเป็นอุปจารสมาธิจิตมันก็เป็นทิพย์สามารถจะเห็นได้

    (หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๗ หน้า ๑๐๕-๑๐๗)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpRuesriSittree.jpg
      LpRuesriSittree.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.9 KB
      เปิดดู:
      1,171
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      48
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. eve1

    eve1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +682
    สาธุ
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    พระพุทธเจ้าถูกนินทา
    อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ...ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน
    พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    เรื่องนินทาและสรรเสริญ
    คือว่า การนินทา การสรรเสริญ มันมีประจำโลก ถ้าหากว่ายังอยู่ในโลกเพียงใด
    มันก็ต้องพบกับคำนินทาและสรรเสริญ

    คนประเภท ไหนบ้างจะถูกนินทาและสรรเสริญ และคนประเภทไหนจะไม่ถูกนินทาไม่มีสรรเสริญ
    ก็คนที่ไม่ถูกนินทาไม่ถูกสรรเสริญก็คนพวกเดียว คือ พวกไม่เคยเกิด เขายัง ไม่รู้จัก ใช่ไหม
    ฉะนั้นคนที่เกิดมาแล้วย่อมถูกนินทาและสรรเสริญ

    แม้แต่พระพุทธเจ้าถูกนินทายังน้อยไป
    พราหมณ์ ๔ คน แกด่าต่อหน้า
    เรื่องนินทาพระพุทธเจ้า มีเยอะ ท่านทำถูก เขาทำผิดไม่เป็นไร ทีนี้คนที่อาศัยท่าน นินทาท่านซิ

    มีครั้งหนึ่ง ทรงพาพระสงฆ์เสด็จไป เวลานั้นก็มีปริพาชกพวกหนึ่ง มี สุปปิยปริพาชก เป็นหัวหน้า ผู้เป็นลุง นันทมาณพ เป็นหลาน เป็นรองหัวหน้า พาบรรดาปริพาชกติดตามไป พระพุทธเจ้าพักตรงไหน พระอรหันต์พักตรงไหน เขาก็พักใกล้ๆ

    ทั้งนี้เพราะอะไร ตอนเช้าพระไปบิณฑบาต คนใส่บาตรพระ พวกเขาก็เดินตามหลัง พลอยได้ด้วย ถ้าหากว่าไม่เดินตามพระ เดินตามลำพังไม่มีใครใส่บาตรให้กิน แกก็อาศัยพระพุทธเจ้า อาศัยพระอรหันต์ทุกๆ วันเดินตามไปเรื่อยๆ ต่อไปเดินไปถึง เมืองนาลันทา กับ เมืองราชคฤห์ ต่อกัน ในช่วงเส้นต่อกัน พระพุทธเจ้าก็พักตรงนั้น บรรดา สุปปิยปริพาชก กับบริวารก็พักใกล้ๆ เดินตามไป
    ธรรมดา พระสงฆ์ถ้าอยู่ใกล้ๆ พระพุทธเจ้า ก็ยิ่งสำรวมมากขึ้น ที่ไปนั้นโดยส่วนใหญ่เป็นพระอรหันต์ ที่เป็นพระปุถุชนก็มีอยู่ และทุกท่านบวชหวังดี ประสงค์ดี ก็มีการ สำรวมใช่ไหม

    ในระหว่างที่พักอยู่ พระก็มีอาการสำรวมตามปกติ ทีนี้บรรดาปริพาชก เขาไม่ค่อยจะมีระเบียบวินัย เล่นกันบ้าง ล้อกันบ้าง หยอกกันบ้าง เวลาเดินไป
    พระก็สำรวม ปริพาชกเล่นกัน หยอกล้อกัน

    ทีนี้เวลากลางคืน พระสงฆ์ทั้งหลายก็เจริญพระกรรมฐาน
    มีอารมณ์เงียบสงัด ถึงเวลาดึก ก็ต่างคนต่างนอน ต่างคนต่างจำวัด
    บรรดาพระสงฆ์ก็จำวัดล้อม พระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าอยู่ท่ามกลาง ทรงจำวัดในท่าสีหไสยาสน์ ก็เงียบ

    สุปปิยปริพาชก ตื่นขึ้นมาตอนดึก เห็นพระเงียบ ไม่มีเสียงปรากฏ
    ดูลูกหลานบริษัทบริวาร ของตน นอนกรนบ้าง น้ำลายไหลบ้าง ก่ายกันบ้าง
    แกก็ย่องไปดูพระ คิดว่าพระคงจะหนีไปแล้ว ก็เห็นพระอยู่ทุกองค์
    มีพระพุทธเจ้าเสด็จบรรทมอยู่ในท่ามกลาง ต่างองค์ต่างเรียบร้อยนอนสนิท
    มาดูบริวารของตน ก่ายกันบ้าง กรนบ้าง อะไรบ้าง ตามเรื่องตามราว

    เมื่อเห็นจริยาท่าทางของบริวารของท่านสู้พระไม่ได้ แทนที่ แกจะตำหนิตัวเองว่าไม่สามารถอบรมบริษัทให้ดีได้กลับไปนั่งนินทาพระพุทธเจ้าตลอดคืน
    เห็นไหม เขาดีกว่า อาศัยกินด้วยนะนั่นน่ะ บิณฑบาตตามจึงได้กิน
    ถ้าพูดภาษาเราก็เป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณคน

    ต่อมา หลานชาย นันทมาณพ ได้ยินเสียงลุงขึ้นมานินทาพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ นันทมาณพก็ลุกขึ้นมาสรรเสริญพระพุทธเจ้า สรรเสริญพระสงฆ์
    เอาซินะ สองคนนี้ถ้ารุ่นราวคราวเดียวกันชกปากกันแน่ แต่เผอิญลุงแก่กว่า ไม่กล้าชก ด่าอย่างเดียว

    เป็นอันว่า การนินทาและสรรเสริญของ ๒ คนนี้ก็ทราบไปถึงหูชาวบ้าน
    พอตอนเช้าพระไปบิณบาต ชาวบ้านก็เล่าให้พระฟังว่า เมื่อคืนนี้ สุปปิยปริพาชก นั่งนินทาพระรัตนตรัย เขานินทาหมด นินทาตัวพระพุทธเจ้า นินทาคำสอนของพระพุทธเจ้า นินทาพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าหมดพระรัตนตรัย

    สำหรับ นันทมาณพ สรรเสริญพระรัตนตรัยตลอดคืนเหมือนกัน
    เป็นอันว่าลุงกับหลานมีความเห็นไม่ตรงกัน ชาวบ้านก็เล่าให้พระฟัง พระท่านก็แค่ฟัง ฟังมาแล้วท่านก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอฉันข้าวเสร็จ พอเวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ พระก็เข้าไปพร้อมกัน พระบางองค์ก็กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า เมื่อคืนนี้ สุปปิยปริพาชก นินทาพระรัตนตรัยแต่ว่า นันทมาณพ สรรเสริญพระรัตนตรัย ทั้งสองนี้นินทาและสรรเสริญอยู่ตลอดคืน

    พระพุทธเจ้าก็เลยเทศน์เรื่องนี้ ท่านบอกว่า

    "ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นินทา ปสังสา
    การนินทาและสรรเสริญทั้งสองประการนี้ เป็นธรรมดาของชาวโลก"

    ชาวโลกทั้งหมดที่เกิดมานี้ต้องพบกับคำนินทาและสรรเสริญ
    ท่านก็เลยตรัสว่า การนินทาและสรรเสริญทั้งสองประการไม่มีอะไรเป็นผล

    ถ้าเราเป็นคนดี เขานินทาว่าเราเป็นคนชั่ว เราก็ไม่ชั่วไปตามปากเขาพูด
    ถ้าเราเป็นคนชั่ว เขาสรรเสริญว่าเราเป็นคนดี เราก็ไม่ดีไปตามปากเขาพูด

    ฉะนั้นความดีหรือความชั่วอยู่ที่ผลแห่งการปฏิบัติ
    ถ้าเราปฏิบัติดีเราก็ดี เราปฏิบัติเลวเราก็เลว

    ก็รวมความว่า ขอบรรดาภิกษุทั้งหลาย
    อย่าสนใจคำนินทาและสรรเสริญ
    คือ ไม่สนใจกับคำสรรเสริญที่เขาว่าเราดี
    เราไม่สนใจกับคำนินทาว่าเราชั่ว

    เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า

    จงอย่าสนใจทั้งคำนินทาและสรรเสริญ

    เขาสรรเสริญเราว่าดี อย่าหลงคำสรรเสริญ
    ถ้าหลงคำสรรเสริญ จะตกอยู่ในความประมาท
    เขานินทาว่าเราเลว ก็อย่าไปกลุ้มใจกับคำนินทา

    คำว่าดีหรือชั่วมันอยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่ผลการปฏิบัติ


    ที่มา : หนังสือ ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๐๐, หน้า ๑๓๔ (ข้อคิดจากธรรมะ)

    น เว นินฺทา สุปริวชฺชยาถ
    นานา ชนา เสวิตพฺพา ชนินฺท
    เยเนว เอโก ลภเต ปสํสํ
    เตเนว อญฺโญ ลำเต นินฺทิตารํฯ


    อันการนินทา ใช่ว่าจะหลีกพ้นได้ง่ายเลย
    คนที่เราพอจะคบหาได้นั้น มีอัธยาศัยต่างๆ กัน

    คนหนึ่งได้รับการยกย่องเพราะเรื่องใด
    อีกคนหนึ่ง อาจถูกนินทาเพราะเรื่องเดียวกันนั้นก็ได้


    (ขุ.ชา. ๒๗/๑๘๙๓)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]

    อัจฉราสูตร (ว่าด้วยยานไปพระนิพพาน ) ( สํ. สคา. )



    ป่าชัฏชื่อโมหนะ อันหมู่นางอัปสรประโคมแล้ว อันหมู่ปีศาจ สิงอยู่แล้ว ทำไฉนจึงจะหนีไปได้ ?

    ทางนั้นชื่อว่าทางตรง ทิศนั้นชื่อว่าไม่มีภัย รถชื่อว่าไม่มีเสียงดัง ประกอบด้วยล้อคือธรรม หิริเป็นฝาของรถนั้น สติเป็นเกราะกั้นของรถนั้น เรากล่าวธรรมมีสัมมาทิฏฐินำหน้าว่าเป็นสารถี.
    ยานชนิดนี้มีอยู่แก่ผู้ใด จะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม เขาย่อมไปในสำนักนิพพานด้วยยานนี้แหละ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]

    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,399
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]

    ท่องนรกกับพระอรหันต์(ท่านเจ้าคุณโชดก ญาณสิทธิเถร)
    https://youtu.be/SmDll0Pca1U
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ‪‎จิตพบพระ‬
    นึกถึงความสงบสุขและความร่มเย็น
    ให้เราคอยนึกถึงพระพุทธเจ้าบ่อยๆเข้าไว้
    ยิ่งเรานึกถึงพระบ่อย
    จิตใจเราก็ยิ่งสงบสุขมากเท่านั้น
    นักภาวนาหรือนักปฎิบัติธรรม..
    อย่าให้ใจเราห่างพระพุทธเจ้า
    ห่างพระธรรมคำสอน
    ห่างพระอริยสงฆ์สาวกฯ มากนัก
    การภาวนา คือ..
    การเรียกสติตนกลับคืนมาให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้
    การภาวนาก็เพื่อสร้างสติ สร้างปัญญาให้กับจิตตนนั่นเอง
    การภาวนามาก เป็นการเพิ่มสติปัญญามากตามไปด้วย
    เมื่อสติเรามาก เราก็ทรงสมาธิจิตได้ง่าย คือจิตนิ่งเฉยเป็น
    เมื่อจิตทรงสมาธิเป็นหรือทรงสมาธิได้
    เราก็จะสึก คือรู้ลึกๆภายในจิตใจของตนเองได้ ว่า..
    ใจของเรานั้น รู้สึกเบาสบาย มีความสงบ
    มีความสุขอยู่ลึกๆภายในใจของตนเอง
    นี่แค่อานิสงส์ทำจิตตนนิ่งสงบ
    นี่แสดงว่า จิตของเราพบสมถะแล้ว
    ต่อไป วิปัสสนาก็ไม่ยากแล้ว เพราะจิตเราเข้าถึงสมถะแล้ว
    เพราะจิตสมถะนี้เป็นบาทฐานของคำว่า วิปัสสนา
    และขณะที่จิตวิปัสสนาทุกวันนี้
    ก็จะกลายเป็นวิปัสสนาญาณ หรือญาณที่แปลว่า หยั่งรู้ ในวันข้างหน้า
    เพราะญาณต่างๆเหล่านี้ ก็จะคอยพร่ำสอนจิตตน ในวันภาคหน้าด้วย
    เพราะไม่มีใครสอนดีเท่ากับตนเอง (ตนสอนตน)
    ธรรมชาติจิตคนเรานั้น มันดื้อ สุดๆ คือไม่ยอมเชื่อฟังใครง่าย
    หากเปรียบพระพุทธเจ้าดั่ง พ ร ะ อ า ทิ ต ย์
    และหากเปรียบนักภาวนาดั่งดาวเคราะห์ทั้งหลายเหล่านั้น
    เมื่อกล่าวถึงดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้พระอาทิตย์นั้น
    ก็จะได้รับความร้อนจากพระอาทิตย์มาก
    ซึ่งจะตรงกันข้ามกับดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากพระอาทิตย์
    เมื่ออยู่ห่างพระอาทิตย์มาก ก็จะห่างไกลความร้อนมาก
    นั่นก็เท่ากับมีความเย็นมากขึ้นเท่านั้น
    แต่นักภาวนาท่านใด ยิ่งเอาจิตตนอยู่กับพระพุทธเจ้ามากๆแล้ว
    นักภาวนาผู้นั้น ก็จะพบธรรมง่าย เพราะได้พลังจิตหรือกำลังใจมาก
    อันเป็นเหตุให้จิตเข้าถึงพระธรรมคำสอนได้ไม่ยากนัก
    ถ้าหากนักภาวนา มัวแต่มัวสร้างสติปัญญาของตนเอง
    หรือมัวแต่จะหาทางออกจากทุกข์ของตนเอง
    แต่ลืมพระพุทธเจ้า ลืมพระพุทธคุณ คือคุณงามความดีของพระองค์
    หรือลืมดวงจิตของพระพุทธเจ้า
    นั่นก็หมายถึง พระมหาเมตตาฯ หาประมาณมิได้นั่นเอง
    เมื่อนักภาวนายังไม่สามารถเข้าถึงคุณพระรัตนตรัย
    หรือพระมหาเมตตาของพระองค์กันได้
    จิตใจของเหล่านักภาวนาก็ยังเข้าไม่ถึงความละเอียดแห่งจิตตน
    เมื่อเข้าไม่ถึงความละเอียดแห่งจิตตนเองแล้ว
    ฉะนั้น คำว่า พ ร ห ม วิ ห า ร
    โดยเฉพาะ คำว่า เ ม ต ต า
    คือ เมตตาในจิตของตนเอง ก็เลยไม่เต็มเปี่ยมสักทีนึง
    พระอาทิตย์ จะให้ความร้อนและความสว่าง
    แต่พระพุทธองค์นั้นจะให้ความอบอุ่นหรือความร่มเย็น
    และให้แสงสว่างแก่จิตมนุษย์ทั้งหลาย
    เมื่อจิตมนุษย์ทั้งหลายมีแสงสว่าง(ปัญญา)
    เราย่อมจะมองเห็นธรรมกันได้
    หากเรามีดวงตาเห็นธรรม
    เราก็จะออกจากทุกข์ของตนได้เช่นกัน
    ผู้ใดมีดวงตาเห็นธรรม ผู้นั้นจักอยู่นิ่งและเฉยเป็น
    พบจิตเบา พบความเย็นและพบความสงบสุขได้เช่นกัน
    ฉะนั้น นักภาวนาท่านใด ยิ่งระลึกนึกถึงคุณพระรัตนตรัยบ่อย
    หรือนำจิตตนอยู่กับพระพุทธเจ้ามากๆแล้ว
    จิตใจนักภาวนาท่านนั้นก็จะพบธรรมง่าย เห็นธรรมง่ายดาย
    สำคัญที่สุดก็คือ เหมือนเราได้พลังจิต
    ได้กำลังใจจากพระองค์ท่านโดยตรงเลย
    จิตใจก็มีแต่ความร่มเย็นอยู่ภายใน อุเบกขาก็ง่าย
    เมื่อเราคอยหมั่นระลึกหรือนึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่บ่อยๆ
    เสมือนเรานำจิตไปอยู่กับพระพุทธคุณ
    เสมือนจิตเราอยู่กับพระมหาเมตตาฯ ซึ่งหาประมาณมิได้
    ฉะนั้น พรหมวิหารของเราจึงเต็มง่าย
    โดยเฉพาะ คำว่า เมตตา จึงมี จึงเกิดขึ้นกับจิตของตนได้
    นักภาวนาคอยตรวจสอบจิตตนเองด้วย
    ว่าจิตเรานั้นมีคำว่า เมตตา มากน้อยแค่ไหน
    ตรวจง่ายๆก็คือ.. เราให้อภัยผู้อื่นได้ง่ายหรือเปล่า
    หากจิตเราเต็มเปี่ยมคำว่าเมตตาจริง
    ฉะนั้น คำว่า อภัยหรืออโหสิกรรมแก่ผู้อื่นนั้น จึงง่ายดาย
    เพราะไม่ต้องรีรออะไร คือ..
    ให้อภัย หรืออโหสิกรรมให้กัน..เดี๋ยวนี้เลย
    ถ้าหากยังให้ไม่ได้เดี๋ยวนี้ นั่นแสดงว่า เมตตายังไม่เต็ม
    หรือเมตตาอยู่นอกจิตตนเอง..
    ฉะนั้น เมื่อปฎิบัติธรรม มิใช่ว่า รู้หรือเข้าใจธรรมเท่านั้น
    แต่ต้องเข้าให้ถึงธรรม(พระธรรมคำสอนฯ)ด้วย
    โดยเฉพาะ เมื่อเข้าถึงธรรมจริง
    ฉะนั้น จิตใจต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยคำว่า เ ม ต ต า
    นั่นจึงจะหมายถึงว่า หรือคำว่า เมตตา อยู่ในจิตเราจริงๆ
    มิใช่ เมตตาอยู่นอกจิต หรืออยู่รอบๆจิตของเรา
    ถ้านึกถึงพระ(ในจิต)ทีไร..
    จิตเราก็อยู่กรรมฐานแล้ว เป็นบุญกุศลแล้ว
    นี่คือ ทำกรรมฐานแบบง่ายที่สุด
    นี่คือ ทำจิตเป็นบุญกุศลง่ายที่สุด
    และสิ่งสำคัญก็คือ เป็นบุญอันใหญ่หลวงของตนเอง
    ทำบุญแบบคนฉลาด โดยมิต้องออกแรงมากนัก
    ในเมื่อกิเลสตัณหาฯมันร้อนนัก ก็อยู่ห่างๆบ้าง
    หันมาอยู่กับพระบ้าง ก็แค่ส่งจิตหาพระ
    ฉะนั้น การระลึกนึกถึงคุณพระรัตนตรัย ก็ไม่ยาก
    ก็เหมือนคุณคอยคิดถึงคนรักนั่นไง..
    แต่ถ้าใครนึกถึงพระแบบคิดถึงแฟน
    แสดงว่าเริ่มใช้ได้แล้ว
    ธรรมนี้เห็นหลวงดูท่านว่ามานะ..
    โมทนาสาธุ
    ภูทยานฌาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...