ชัมบาลา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 16 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ชัมบาลา หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ (รบกับใคร?)

    ที่มา : Bloggang.com : kangsadal :

    ลูกชายเป็นคนชอบดูหนังและการ์ตูนที่สู้กันแบบบู๊มันส์หยดค่ะ ด้วยเหตุนี้เลยทำให้คนเป็นแม่ได้ดูการสู้รบระหว่างตัวร้ายกับตัวดีอยู่บ่อย ๆ เรื่องราวต้องตายเจ็บกันแบบเห็นจะ ๆ เวลาดูก็จะต้องชัดเจนว่าใครเป็นตัวร้ายตัวดี เวลาเพลี่ยงพล้ำจะได้เอาใจช่วยถูกฝ่าย นั่นคือ ฝ่ายพระเอกต้องเป็นตัวดีและตัวโกงต้องเป็นผู้ร้ายเสมอ ถ้าผู้เพลี่ยงพล้ำเป็นฝ่ายดี เจ้าตัวจะได้มีกำลังใจลุ้นว่าเป็นพวกพระเอกอย่างไรก็ไม่ตายหรอก

    เมื่อวานเพิ่งดูละครเกาหลีเรื่องซอนต๊อกราชินีสามแผ่นดินจบลง พีดัมซึ่งเป็นตัวละครเอกตัวหนึ่งตายตอนจบ ลูกชายออกงง ๆ อยู่ว่าเขาเป็นตัวร้ายหรือตัวดี เป็นพระเอกหรือว่าตัวโกง ความที่เราไม่ได้ติดตามดูกันแต่ต้น คือได้ดูบ้างเป็นบางโอกาส จึงไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ บางวันเราก็ให้พีดัมเป็นพระเอก บางวันเราก็ให้เขาเป็นตัวโกง 

    คุยกับลูกว่าในหนังยังดูยากเลยว่าใครเป็นตัวร้ายตัวดี แล้วกับคนจริง ๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครร้ายใครดี ที่สำคัญ ตัวเราเองนั่นแหละ ?ตัวร้ายหรือว่าตัวดี? จะว่าไป ทุกคนก็มีทั้งร้ายทั้งดีอยู่ในตัวเอง ต่างกันก็คงระดับความเข้มข้นของการ ?เป็น? และ ?การแสดงออก? ผ่านคำพูดและการกระทำนั่นละมัง 

    ทำให้คิดถึงหนังสือเรื่องชัมบาลาค่ะ คิดถึงการในความหมายของ ?สภาวะ? และ ชัมบาลา หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ ซึ่งให้ความหมายของการเป็นนักรบที่ลึกซึ้งและสง่างาม และนั่นหมายถึงการให้ความหมายของการขัดเกลาตนเองอย่างลึกซึ้งและสง่างามด้วยเช่นกัน เพราะนักรบของชัมบาลาไม่ได้สู้รบกับใครอื่น หากแต่เป็นการสู้รบกับตัวเอง 

    การเป็นนักรบตามแนวคิดของชัมบาลาคือการฝึกฝนขัดเกลาตนเองให้เป็นนักรบที่สามารถอยู่เหนือศัตรูได้ ใช้คำว่าอยู่เหนือเพราะการสู้รบในความหมายของชัมบาลาไม่ได้เป็นการเอาชัย แต่เป็นการอยู่เหนือศัตรู เป็นอิสระจากศัตรูและความขัดแย้งทั้งปวง และการก้าวเข้าสู่สภาวะนั้น ?คุณเพียงแต่ค้นพบตัวเองในอาณาจักรแห่งความจริงอันยิ่ง ความจริงอันสมบูรณ์และถี่ถ้วน?

    อ่านแล้วน่าตื่นเต้นติดตามเหมือนนักรบในหนังละครไหมคะ อยากเชิญชวนให้ลองอ่านดูค่ะ แต่ต้องขอสารภาพก่อนว่า ตอนเริ่มอ่านเองตอนแรก หลับไปอยู่หลายรอบเหมือนกัน แหะ ๆ คือตอนแรกอ่านเจออาณาจักรชัมบาลากับกษัตริย์ริกเดนก็ดันไปคาดหวังว่าจะได้อ่านตำนานและการเตรียมนักรบสมัยโบราณของธิเบต (ประเภทติดดูละครเกาหลีมากไปหน่อย) อ่านไปได้สามหน้าหลับไปสามรอบเลยเลิกอ่านไปพักหนึ่ง

    พอตั้งหลักได้ คือรู้แน่แล้วว่าสิ่งที่หนังสือต้องการนำเสนอคือปรีชาญาณรูปแบบหนึ่งของการพัฒนาขัดเกลาตนเองเพื่อก้าวสู่สภาวะของการไร้อัตตา คล้าย ๆ กับธรรมะรูปแบบหนึ่ง การอ่านด้วยความคาดหวังถึงความฉึบฉับแบบฉบับของนักรบในหนังก็หมดไป กลายเป็นการอ่านที่พาตัวเองดื่มด่ำไปกับการพรรณนาวิถีการก้าวไปสู่ความเป็นนักรบของชัมบาลาที่เนิบนาบ แผ่วพลิ้ว แต่หนักแน่นมั่นคงในทุกท่วงทำนองของความหมาย ของการอธิบายและของการเปรียบเทียบขยายความ

    ชัมบาลาที่อ่านในหนังสือเล่มนี้ อยู่ในรูปแบบของแนวคิด ของหลักการ ของวัฒนธรรม ของญาณทัสนะ และของอาณาจักรที่อาจอยู่ในตำนาน อาจลอยล่องอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า หรืออาจอยู่ในมิติที่ลึกลับแต่มีอยู่จริงในปัจจุบันขณะ แต่ไม่ว่าจะในรูปแบบใด ชัมบาลาถูกนำเสนอในฐานะของการเป็นรากฐานและหนทางที่นำไปสู่สังคมอริยะ นักรบในอาณาจักรชัมบาลานั้น มาจากคำว่า "ปาโว" ในภาษาธิเบตซึ่งมีความหมายว่าผู้กล้า และ

    ?กุญแจที่ไขสู่ความเป็นนักรบและหลักการเบื้องต้นของญาณทัสนะชัมบาลาก็คือการไม่กลัวความจริงในตนเอง ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม ถึงที่สุดแล้ว คำจำกัดความของความกล้าก็คือ 'ไม่กลัวตัวเอง' ?

    สำหรับคนที่สนใจการพัฒนาด้านในของตนเองแล้ว การเดินตามหนทางอันศักดิ์สิทธิ์สู่ความเป็นนักรบแบบชัมบาลาก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่อาจเหมาะสมหากต้องกับจริตของตน เพราะถ้าโพธิจิตเป็นของสากลที่ทุกคนสามารถค้นพบในตนเองได้ตามแนวคิดของพุทธศาสนาแล้ว ทุกแนวทางของการเข้าถึงล้วนเป็นสากล เป็นธรรมะ และเป็นจริงได้ หลักการและหนทางไปสู่ความเป็นนักรบของชัมบาลานั้น อีกนัยหนึ่งก็อาจเปรียบได้กับการปฏิบัติธรรมที่เตรียมบุคคลเข้าสู่การค้นพบสภาวะที่เป็นจริงแท้โดยไม่มีตัวผู้ค้นพบ ทุกอย่างมีความดีงามเป็นพื้นฐาน ไม่มีดีไม่มีชั่ว เหมือนกับที่ผู้เขียน (เชอเกียม ตรุงปะ) ขยายความ และผู้แปล (พจนา จันทรสันติ) ถอดความไว้ว่า 

    ?กฎเกณฑ์ธรรมชาติของโลกนี้ มิใช่ ?มีคุณ? หรือ ?ให้โทษ? ไม่มีสิ่งใดส่งเสริมหรือปิดกั้นทัศนะของเรา ฤดูกาลทั้งสี่อุบัติขึ้นอย่างอิสระ โดยไม่ขึ้นกับความเรียกร้องต้องการของใคร ? มันเป็นธรรมชาติและมันก็ใช้การได้ ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งดี มิใช่สิ่งดีที่อยู่ตรงข้ามกับความชั่ว?

    วัฒนธรรมชัมบาลารับเอาการปฏิบัติ ? สมาธิ? ที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงสั่งสอนไว้เป็นแนวทางในการฝึกฝน ?สภาวะแห่งการดำรงอยู่ เพื่อให้กายและจิตบรรสานกัน โดยการปฏิบัติสมาธิภาวนา เราอาจเรียนรู้ที่จะเลิกหลอกตนเอง เผชิญความจริง และดำรงชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม? นอกจากการเผยแนวทางของการปฏิบัติสมาธิเพื่อให้เข้าถึงความว่างซึ่ง ?เราจะเริ่มพบว่าภายในตัวเองนั้นไม่มีรากฐานของความไม่พึงพอใจต่อใครหรือต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่เลย? ผู้เขียนยังอธิบายวิธีการปฏิบัติสมาธิในอีกความหมายหนึ่งของการตั้งกายตรง สายตาที่ไม่เพ่งมองไปที่หนึ่งที่ใดเพราะเหตุว่า ?คุณดำรงอยู่ตรงนั้นอย่างเหมาะสมแล้ว?

    สมาธิและความสง่างามของร่างกายนั้นเป็นการบรรสานสอดคล้องระหว่างกายและจิตซึ่งสามารถมีติดตัวในชีวิตประจำวัน ความงามสง่าพื้นฐานของนักรบเกิดจากความภาคภูมิใจในความลุ่มลึกนั้น การตามลมหายใจในความหมายของท่วงท่าและการรับรู้การสูดลมหายใจเข้าและพรูลมหายใจออกละลายจางไป ช่วยให้เกิดการตามรู้ถึงสิ่งที่แวบเข้ามาในรูปความคิดที่ผู้ปฏิบัติสมาธิเพียงบอกตนเองว่า ?ความคิด? แล้วไม่ต้องทำอะไรต่อกับความคิดนั้น นอกจากกลับไปสู่ลมหายใจ เพราะในการปฏิบัติสมาธินั้น ?เมื่อความคิดพุ่งขึ้น คุณก็ไม่ได้พุ่งขึ้นด้วย และก็ไม่ได้ลดต่ำ เมื่อความคิดลดต่ำลง คุณเพียงแต่เฝ้ามอง?คุณไม่จำเป็นต้องยอมรับความคิดบางอย่างและปฏิเสธบางอย่าง คุณมีความรู้สึกถึงพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่ซึ่งอาจห่อหุ้มความคิดใด ๆ ที่อุบัติขึ้นมาไว้ภายในนั้น?

    หนทางไปสู่การเป็นนักรบของชัมบาลาคือการเข้าถึง ?อำนาจวิเศษ? ที่จะรับรู้โลกได้โดยตรง ผ่านพ้นภาษาและการตีความโดยไม่ต้องจำกัดการรับรู้ พื้นฐานสำคัญของการประยุกต์ใช้คือวินัยของนักรบ 

    เป็นนักรบทั้งทีก็ต้องมีอาวุธประจำกายใช่ไหมคะ อาวุธของนักรบชัมบาลาคือลูกศรและคันธนูค่ะ อาวุธที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดคือการเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ ที่จะบอกว่า ?ไม่? ต่อสิ่งที่เป็นเท็จ เป็นของเทียม เป็นความประมาทเลินเล่อบกพร่อง ความหลงความหลับใหลความไม่รู้ การแยกแยะระหว่างความหลงกับคุณค่าเป็นสิ่งที่ทำได้ผ่านความแหลมคมของลูกศรและการกระทำที่อ่อนโยนของคันธนู และ อะแฮ่ม, ถ้าจะใช้ยิงให้แม่นยำละก้อ ต้องใช้ด้วยความเชื่อมั่นค่ะ ด้วยการมองลึกเข้าไปในภาวการณ์อย่างเข้าใจถ่องแท้ว่า ถ้าคุณทำอะไรขึ้นมาสักอย่าง การกระทำนั้นต้องมีผลตามมาอย่างแน่นอน 

     

    ตรงนี้แหละค่ะคือ ?ความเชื่อมั่น?

    ?คือการระลึกรู้ว่าจะต้องมีข่าวสารเกิดขึ้นอย่างแน่นอน? 

    นี่คือภาพสะท้อนที่แท้จริงของปรากฏการณ์ และ 

    ?สมาธิกำหนดรู้ย่อมช่วยให้นักรบตั้งมั่นอยู่ ณ จุดยืนอันนี้ มันแสดงให้เห็นว่าจะแสวงหาสมดุลได้อย่างไรในยามที่พลาดพลั้ง มันบอกเขาว่าจะใช้ข่าวสารในโลกแห่งปรากฏการณ์ เพื่อผลักดันการขัดเกลาตนเองสืบไปเบื้องหน้าได้อย่างไร?

    ดุลยภาพในสายชัมบาลามีความหมายที่มุ่งตรงไปที่ความเป็นธรรมชาติ ของการเชื่อมโยงความชำนาญเข้ากับธรรมชาติหรือการเชื่อมโยงความจริงเข้ากับญาณทัศนะ เป็นหลักการใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับความดีงามพื้นฐานโดยธรรมชาติซึ่งทำให้ ?ชีวิตของคุณก็อาจว่างและผ่อนคลาย โดยไม่จำเป็นต้องกลายเป็นคนมักง่าย?และนั่นเป็นการนำคนเข้าสู่พลังชีวิตของตนเอง ซึ่งในแนวทางของชัมบาลาเปรียบเทียบพลังนี้เป็นเหมือนม้า เพราะเป็นคุณสมบัติอันฉายฉานแรงกล้าแต่ก็สามารถขับขี่ได้ด้วย (นอกจากมีอาวุธแล้ว ตอนนี้นักรบเรายังมีพาหนะคู่กายอีกด้วย)

    ในสายคิดของชัมบาลา การสัมผัสรับรู้โลกโดยปราศจากอคติเป็นการสื่อสารกับโลกอย่างลึกซึ้ง ซึ่งการฝึกปฏิบัติสมาธิเป็นการกระทำพื้นฐานที่สามารถนำไปสู่สายใยที่เชื่อมโยงกับโลกด้วยสัมผัสรับรู้พิเศษและลึกซึ้ง เป็นการมองเห็นด้วยใจในสิ่งที่ไม่อาจแลเห็นได้ด้วยตา อำนาจวิเศษนี้คือการค้นพบ ?ดราละ? และหนทางที่ดีที่สุดในการปลุกดราละขึ้นมาคือการสร้างบรรยากาศแห่งความกล้าหาญ หรือการ ?ไม่หลอกตัวเอง? เพราะ "อำนาจวิเศษที่แท้จริงคืออำนาจวิเศษแห่งความจริง"

    หนทางสามสายที่ใช้ในการปลุกดราละขึ้นในตัวคือ หนึ่ง - การปลุกดราละภายนอกจากการสร้างความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมเพื่อ ?ส่งเสริมพลังการรับรู้และการจดจำให้ละเอียดอ่อนขึ้น?ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ที่คุณมีต่อสภาพแวดล้อมจะนำดราละมาสู่ คุณอาจอาศัยอยู่ในกระท่อมดินซึ่งปราศจากพื้นและมีหน้าต่างเพียงบานเดียว แต่ถ้าคุณถือว่าสถานที่นั้นเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าคุณดูแลเอาใจใส่มันด้วยจิตและใจ เมื่อนั้นเองมันจะกลับกลายคล้ายดังเวียงวังทีเดียว? 

    หนทางที่สองคือการปลุกดราละภายในตัว นั่นคือ การที่ทำให้ร่างกายสามารถรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันได้ภายในกาย ไม่มีส่วนไหนทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกันเอง ไม่ว่าศีรษะกับไหล่ ส้นเท้ากับขา หูกับการได้ยิน ลิ้นกับการลิ้มรส ฯลฯ หรือโดยสรุปก็คือการมีหรือการแสดงออกถึงการมีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์ ซึ่งอาจปลุกขึ้นได้โดยการจัดความสัมพันธ์ระหว่างนิสัยประจำตัวกับรายละเอียดในการแต่งตัว การกินการดื่ม และการนอน 

    ?สำหรับนักรบแล้วเสื้อผ้าก็คือเสื้อเกราะแห่งการฝึกฝนตนเอง ?การแต่งกายนั้นเองจะช่วยขจัดความมักง่ายและนำสง่าราศรีมาสู่ตน? 

    การปลุกดราละภายในยังเกิดขึ้นจากการสัมพันธ์กับอาหารการกินอย่างถูกต้องด้วย ชัมบาลาแนะให้ ?ฝึกสติควบคู่ไปกับการกิน เฝ้าดูคุณใช้ปากทำอะไรบ้าง ?ปากเป็นโพรงใหญ่หรือเป็นถังขยะใบใหญ่ซึ่งคุณใส่ทุกอย่างลงไป ปากของคุณเป็นประตูบานใหญ่ที่สุด คุณพูดผ่านมัน ร่ำร้องและจูบผ่านมัน จนกระทั่งมันได้กลายเป็นประตูแห่งจักรวาลไป ลองคิดเล่น ๆ ว่า ถ้าหากมีชาวโลกอังคารเฝ้าดูคุณอยู่ พวกเขาคงจะรู้สึกแปลกใจที่คุณใช้ปากมากมายเหลือเกิน? 

    อุ๊ปส์, เขียนถึงตรงนี้ อดไม่ได้ต้องกลับไปมีสติดูปากตัวเองหน่อย ก็แนวคิดพื้นฐานของการปลุกดราละภายในคือการสามารถประสานหรือจัดสมดุลทางกายและความสัมพันธ์ของคุณเข้ากับโลกปรากฏการณ์?

    หนทางที่สามคือความลี้ลับที่ขออนุญาตให้คุณคนอ่านไปไขความลับเองจากหนังสือนะคะ เพราะเมื่อคิดอีกทีแล้ว เรื่องที่เป็นแนวคิด เป็นปรัชญา เป็นหลักการ เป็นหนทาง เป็นอะไรอีกมากมายในหนังสือเล่มนี้เป็นอีกหนึ่งความท้าทายของการอ่านและการสัมผัสรับรู้โดยตรงของแต่ละคนเอง 

    ?การเดินทางของนักรบเพื่อค้นหาระบบธรรมชาติของความจริงและค้นหาจุดยืนของตนในโลกนั้นเป็นสิ่งที่ทั้งสูงส่งและสามัญ? ความสูงส่งและสามัญนั้นทำให้เห็นความพิเศษของชีวิตธรรมดา ๆ ในชีวิตประจำวันได้ 

    ?ไม่ว่าคุณจะมีสามี มีภรรยา และลูกหรือไม่ก็ตาม ก็ยังคงมีโครงสร้างและรูปแบบบางอย่างดำรงอยู่ในชีวิตประจำวัน มีคนเป็นจำนวนมากที่รู้สึกว่าชีวิตโดยปกติแล้วตกอยู่ภายใต้การถูกบังคับตลอดเวลา เขาปรารถนาจะมีชีวิตอย่างอื่นที่แตกต่างออกไป อยากจะชิมอาหารอย่างใหม่ทุก ๆ ขณะ ทุก ๆ มื้อ แต่ที่จริงแล้วจำเป็นที่จะต้องตั้งรกรากที่ไหนสักแห่ง ทำงานทำการและมีชีวิตตามสามัญ ซึ่งเต็มไปด้วยวินัย ยิ่งมีวินัยมากเท่าใด ชีวิตก็อาจเบิกบานได้มากขึ้นเพียงนั้น ดังนั้น รูปแบบของชีวิตคุณก็อาจมีความเบิกบาน มีศาสนธรรมได้ แทนที่จะเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ข้อบังคับเท่านั้น นั่นเองที่หมายถึงการปกครองอาณาจักรแห่งชีวิต?

    ถึงตอนนี้นักรบในอาณาจักรชัมบาลา กลายเป็นคนธรรมดาในอาณาจักรชีวิตตนเองแล้วนะคะ

    ป.ล. 

    ความภาคภูมิใจของนักรบชัมบาลามีอรรถาธิบายไว้ในหนังสือ 

    แต่ความภาคภูมิใจของนักรบธรรมดามีคำตอบอยู่ในชีวิตธรรมดา

    แล้วแต่ใครจะหาเจอ... เนอะ 

    ชื่อหนังสือ ชัมบาลา หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ 

    Shambhala The Sacred Path of the Warrior

    ผู้เขียน เชอเกียม ตรุงปะ

    ผู้แปล พจนา จันทรสันติ

    พิมพ์ครั้งที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑ โดยสำนักพิมพ์ โกมลคีมทอง

    หนา ๒๒๔ หน้าราคา ๑๘๐ บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ตอนนี้ จะลองดูมหาภารตะ ก็ได้นะครับ รู้สึกช่อง 5 เสาอาทิตย์ประมาณ หกโมงเย็น ถึง ทุ่มกว่า ถ้าสนใจอ่านก็มียาว ตั้ง 4 เล่ม

    ภควัทคีตา ที่พระกฤษณะสอนอรชุน ก็เว่อร์วังอลังการมาก เค้าว่าเอาทางพุทธเราไปแปลงมาก จนเหมือนกันซะเกือบ 99% แต่งจากตำนานปรัมปราจริง ที่ทราบพระรามนี้ก็เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว เค้าว่ากันนะครับ ส่วนมหาภารตะก็น่าจะมีบุคคลหลายคนมีตัวตนอยู่จริง

    มหาภารตะนี้ มีหลายคนอ่านแล้ว งงมาก ใครตัวดีใครตัวชั่ว มาตรฐานว่าอะไรดีอะไรชั่ว ของแต่ละครจะไม่เท่ากัน ถ้าอ่านแล้วมาลองถกกัน จะเห็นตัวเราเอง มากกว่าได้ความจริงว่า ใครดีใครชั่วในมหาภารตะเสียอีก

    บางคนก็บอกอรชุนถึงธรรมของภควัทคีตา แต่บางคนบอกว่า อรชุนเข้าถึงสัจธรรมของตัวเอง ไม่ใช่ฟังพระกฤษณะแบบไม่คิด เช่น ตอนยิงกรรณะที่ล้อรถติดหล่ม
     
  3. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    มหาภารตะเคยหยิบหลายทีแล้วค่ะ แต่รู้สึกจะอ่านไม่ไหว ดิฉันรู้สึกพิเศษกับทางวัชรยานมาก แต่ก้อไม่ได้มีความรู้นะคะ ส่วนตัวคิดว่าชัมบาลาบ่งบอกตัวตนของตัวเองมากที่สุดแล้ว เพราะเป็นคุณลักษณะที่เหมือนหยินหยาง คือแข็งไปเลยก้อไม่ใช่ อ่อนไหวไปเลยก้อไม่ใช่ .. อ่านไว้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจเท่านั้นเอง ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...