เด็กน้อย ไม่เคยอ่านไตรปิฎก พูดถึงกลียุค พุทธศาสนา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย mahanamayan, 17 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. mahanamayan

    mahanamayan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +35
    <TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">สวัสดีทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความนี้ผมเป็นคนนึงที่ได้เข้ามาในเว็ปนี้ด้วยความที่ต้องการศึกษาหรือว่าอ่านข้อความที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ แต่ในการที่อ่านมากขึ้นหลายกระทู้ทำให้เห็นว่า หลายๆท่านในนี้ยังไม่เข้าใจในความต่างๆอย่างมากและพยายามที่จะบิดเบื้อนคำสอนให้ต่างออกไป
    ผมไม่เคยแม้จะได้อ่านพระไตรปิฎกหรือแม้แต่การบวช เพราะฉะนั้นความคิดผมอาจจะไม่ถูกก็ได้ แต่คุณเชื่อไหมว่า พุทธศาสนาอยู่ในกลียุคจริงๆ เพราะว่าต่างคนต่างก็เชื่อว่าให้ทำบุญเยอะๆ ทำทานมากๆ นั่งสมาธิมากๆ ให้หลุดพ้นจากวัฎฎะต่างๆนานา เพื่อให้ได้ไปถึงสวรรค์หรือแม้แต่การได้ไปสู่ชาติหน้าของพระอริยเมตไตร ใครสามารถบอกผมได้ไหมว่า ในคำสอนได้สอนให้คนทำแบบนี้ หรือว่าคิดแบบนี้หรือเปล่า นี่คือความจริงที่มันเกิด เพราะทุกคนมัวแต่สร้างวัตถุ หลอกตัวเอง เพื่อตัวเอง แต่ไม่ได้คำนึงถึงการที่เสียสละเพื่อคนอื่น และคึดถึงคำสอนอันแท้จริงของพุทธเจ้า ทำเพื่อหวังจะได้ประโยชน์กลับมา มันก็รังแต่จะทำให้เราวนเวียนอยู่ในจิตตลอด ใครที่ได้เรียนมาอย่างลึกซึ้งหรือครู อาจารย์ท่านไหนที่ได้อ่านแล้วกรุณา ช่วยตอบผมหน่อยว่า จริงหรือไม่จริง
    อ่านแล้วอาจจะเกลียดในสิ่งที่ผมบอกความรู้สึกออกไป แต่ผมก็คิดว่าควรที่ปรับกระบวนความคิด แล้วลองทบทวนเอาเองว่า ควรจะดำเนินทางตนเองไปในทิศทางใด ในพุทธศาสนา พ้นทุกข์ในใจตนเองหรือยังหรือว่ายังว่ายวนไม่เลิกสักที เหนื่อยกันพอแล้วยังกับการว่ายเพื่อให้เกิดคลื่นแห่ง กลียุคพุทธศาสน์ หยุดกันได้แล้ว
    <!-- / message --></TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] </TD><TD class=alt1 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right><!-- controls --><TABLE id=table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=left><!-- Start Post Groan Hack --><!-- End Post Groan Hack --></TD><TD><!-- Start Post Thank You Hack --><!-- End Post Thank You Hack --></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    มันคงเเล้วเเต่คนอ่ะครับว่าเค้าอยากเป็นเเบบไหน ยังไงๆที่สุดทุกๆคนก็นิพพานนั่นเเหล่ะครับ
    ตอบตรงป่าวไม่รู้นะครับคำถามอ่านเเล้วรู้สึกงงๆ
     
  3. theexcaribur

    theexcaribur เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +3,907
    ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจอะไรผิดไปมากเลยนะครับ ผมอยากให้คุณอ่านสิ่งที่ผมกำลังจะพิมพ์
    บอกคุณก่อน แล้วคุณจะคิดยังไงต่อมันก็แล้วแต่คุณ

    ธรรมชาติของคนเรามักจะไหลไปหาสิ่งที่เป็นอกุศลเสมอ เช่น ฆ่าสัตว์ ลักขโมย เป็นชู้ โกหก สุรา เป็นต้น ครูบาอาจารย์จึงสอนให้ลดละสิ่งเหล่านี้เสีย แล้วหันมาเกาะความดี เช่น ทำบุญ
    รักษาศีล นั่งสมาธิ เหมือนเป็นการสะสมเสบียงไปพระนิพพาน เมื่อเราบำเพ็ญความดีจนถึง
    จุดหนึ่งแล้ว ก็ไปเกาะพระนิพพานแทน ไม่ยึดติดทั้งความดีและความชั่ว เพราะ
    1.ความชั่วเป็นปัจจัยให้เกิดในอบายภูมิ เช่น นรก เปรต อสุรกาย สัมภเวสี สัตว์เดรัจฉาน
    2.ความดีเป็นปัจจัยให้เกิดในที่ที่ดี เช่น มนุษย์ เทวดา พรหม

    เมื่อเราละจากความชั่วมาเกาะความดี แล้วไม่ยึดติดในความดี แต่ยึดมั่นในพระนิพพานแทน
    ก็สามารถเข้าพระนิพพานได้ครับ

    ส่วนที่คุณคิดว่า ท่านอื่นๆทำทาน ศีล ภาวนา เพื่อหวังอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ถูกแล้วครับ
    ถึงจะไม่หวังอะไร ก็ได้ผลตอบแทนอยู่แล้วครับ ในหมวดบารมี 10 พระพุทธเจ้าท่านสอน
    ให้เราอธิษฐานด้วยครับ เหมือนยิงปืนแบบเล็งเป้า ถ้าไม่อธิษฐานมันก็ไม่ตรงเป้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2008
  4. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    คำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านสอน รวมถึงพระสูตรต่างๆในพระไตรปิฎกนั้นมีอยู่มากมายนะครับ แล้วแต่ว่าท่านเทศนากับใครเรื่องอะไรบ้าง อย่างเช่นเรื่องการทำความดี การทำบุญต่างๆเพื่อจะให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี หรือหวังว่าอนาคตชาติหน้าจะได้เกิดมาเสวยบุญที่ดี พระพุทธเจ้าท่านก็เคยเทศนาเอาไว้เหมือนกันนะครับ ยังไงก็ลองอ่านจากพระสูตรนี้ดูนะครับ(เนื่องจากพระสูตรเป็นหลักฐานที่ว่ากันว่าเป็นการบันทึกเรื่องราวและคำสอนของพระพุทธองค์น่ะครับ ถ้าอยากทราบว่าพระองค์สอนอะไรก็คงต้องเทียบเคียงเอาจากพระสูตรและพระไตรปิฎกนี่แหละครับ



    <CENTER>จูฬยมกวรรค



    </CENTER><CENTER>๑. สาเลยยกสูตร



    </CENTER><CENTER>ทรงโปรดชาวบ้านสาละ
    </CENTER>
    [๔๘๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบทกับด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ลุถึงพราหมณคามชื่อสาละของชาวโกศล.พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านสาละได้สดับข่าวว่า ท่านพระสมณโคดมศากยบุตร เสด็จออกจากศากยสกุล ทรงผนวชแล้ว เสด็จจาริกไปในโกศลชนบทกับด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ลุถึงพราหมณคามชื่อสาละ กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์แล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามใน เบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดี ดังนี้.

    ครั้งนั้น พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านสาละ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว บางพวกถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค บางพวกทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค บางพวกประนมมือต่อพระผู้มีพระภาค บางพวกประกาศชื่อและโคตรในสำนักของผู้มีพระภาค บางพวกก็นิ่งอยู่ แล้วพากันนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้สัตว์บางพวกในโลกนี้เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตและนรก เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะ
    กายแตก?

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สัตว์บางพวกในโลกนี้ เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต และนรก เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะเหตุประพฤติไม่เรียบร้อย คือ ไม่ประพฤติธรรม ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สัตว์บางพวกในโลกนี้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะเหตุประพฤติเรียบร้อย คือประพฤติธรรม.
    พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้นทูลว่า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบเนื้อความอย่างพิสดารแห่งธรรม ที่พระโคดมตรัสโดยย่อ มิได้ทรงจำแนกความให้พิสดาร ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดแสดงธรรมแก่พวกข้าพระองค์ โดยอาการที่พวกข้าพระองค์จะพึงรู้เนื้อความอย่างพิสดารแห่งธรรมที่พระโคดมผู้เจริญตรัสโดยย่อมิได้ ทรงจำแนกความให้พิสดารเถิด.

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงฟัง จงทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว.พวกพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านสาละทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคแล้ว.




    <CENTER>อกุศลกรรมบถ ๑๐
    </CENTER>[๔๘๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ ความไม่ประพฤติธรรม ทางกาย มี ๓ อย่าง ทางวาจามี ๔ อย่าง ทางใจมี ๓ อย่าง.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ ความไม่ประพฤติธรรมทางกาย ๓ อย่าง เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ คือ เป็นคนเหี้ยมโหดมีมือเปื้อนเลือด พอใจในการประหารและการฆ่าไม่มีความละอาย ไม่ถึงความเอ็นดูในสัตว์ทั้งปวง.

    เป็นผู้ถือเอาทรัพย์ที่เขามิได้ให้ คือ ลักทรัพย์เป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของบุคคลอื่นที่อยู่ในบ้าน หรือที่อยู่ในป่า ที่เจ้าของมิได้ให้ ซึ่งนับว่าเป็นขโมย.

    เป็นผู้ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย คือ ถึงความสมสู่ในพวกหญิงที่มารดารักษา ที่บิดารักษา ที่มารดาและบิดารักษา ที่พี่ชายรักษา ที่พี่สาวรักษา ที่ญาติรักษา ที่มีสามี ที่อิสรชนหวงห้าม ที่สุดแม้หญิงที่เขาคล้องแล้วด้วยพวงมาลัย (หญิงที่เขาหมั้นไว้) ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรมทางกาย ๓ อย่าง เป็นอย่างนี้แล.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ ความไม่ประพฤติธรรมทางวาจา ๔ อย่าง เป็นไฉน?

    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวเท็จคือ ไปในที่ประชุมหรือไปในหมู่ชน หรือไปในท่ามกลางญาติ หรือไปในท่ามกลางขุนนาง หรือไปในท่ามกลางราชสกุล หรือถูกนำไปเป็นพยาน ถูกถามว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ เชิญเถิด ท่านรู้เรื่องใด ก็จงบอกเรื่องนั้น เขาเมื่อไม่รู้ก็บอกว่า รู้บ้าง เมื่อรู้บอกว่า ไม่รู้บ้าง เมื่อไม่เห็น ก็บอกว่าเห็นบ้างเมื่อเห็นก็บอกว่า ไม่เห็นบ้าง เป็นผู้กล่าวคำเท็จทั้งรู้อยู่ เพราะเหตุตนบ้าง เพราะเหตุผู้อื่นบ้าง เพราะเหตุเห็นแก่สิ่งเล็กน้อยบ้าง.

    เป็นผู้ส่อเสียด คือ ได้ฟังข้างนี้แล้ว นำไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายพวกข้างนี้บ้างหรือฟังข้างโน้นแล้ว นำไปบอกข้างนี้ เพื่อทำลายพวกข้างโน้นบ้าง ยุพวกที่พร้อมเพรียงกันให้แตกกันไปบ้าง ส่งเสริมพวกที่แตกกันบ้าง ส่งเสริมพวกที่แตกกันแล้วบ้าง ชอบใจในคนที่แตกกันเป็นพวก ยินดีในความแตกกันเป็นพวก ชื่นชมในพวกที่แตกกัน และกล่าววาจาที่ทำให้แตกกันเป็นพวก.

    เป็นผู้มีวาจาหยาบ คือ กล่าววาจาที่เป็นโทษหยาบ อันเผ็ดร้อนแก่ผู้อื่น อันขัดใจผู้อื่น อันใกล้ต่อความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบจิต.

    เป็นผู้กล่าวคำเพ้อเจ้อ คือ พูดในเวลาไม่ควรพูด พูดเรื่องที่ไม่เป็นจริง พูดไม่เป็นประโยชน์ พูดไม่เป็นธรรม พูดไม่เป็นวินัย กล่าววาจาไม่มีหลักฐาน ไม่มีที่อ้าง ไม่มีที่สุด ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลไม่สมควร ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ ความไม่ประพฤติธรรมทางวาจา ๔ อย่างเป็นอย่างนี้แล.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ ความไม่ประพฤติธรรมทางใจ ๓ อย่าง เป็นไฉน?

    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความโลภมาก คือ เพ่งเล็งทรัพย์อันเป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของผู้อื่นว่า ขอของผู้อื่นพึงเป็นของเราเถิด ดังนี้.

    เป็นผู้มีจิตพยาบาท คือ มีความดำริในใจอันชั่วช้าว่า ขอสัตว์เหล่านี้จงถูกฆ่าบ้าง จงถูกทำลายบ้าง จงขาดสูญบ้าง อย่าได้มีแล้วบ้าง ดังนี้.

    เป็นผู้มีความเห็นผิด คือ มีความเห็นวิปริตว่า ผลแห่งทานที่ให้แล้วไม่มีผลแห่งการบูชาไม่มี ผลแห่งการเซ่นสรวงไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณะและพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสั่งสอนให้ผู้อื่นรู้ไม่มีอยู่ในโลก ดังนี้ ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
    ความไม่ประพฤติธรรมทางใจ ๓ อย่าง เป็นอย่างนี้แล.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สัตว์บางพวกในโลกนี้ เข้าถึงอบายทุคติ วินิบาตและนรก เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะเหตุประพฤติไม่เรียบร้อย คือไม่ประพฤติธรรมอย่างนี้แล.




    <CENTER>กุศลกรรมบถ ๑๐
    </CENTER>[๔๘๕] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติเรียบร้อยคือความประพฤติธรรมทางกายมี ๓ อย่าง ทางวาจามี ๔ อย่าง ทางใจมี ๓ อย่าง.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรมทางกาย ๓ อย่าง เป็นไฉน?

    บุคคลบางคนในโลกนี้ ละการฆ่าสัตว์เว้นขาดการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะวางศาตราเสียแล้ว มีความละอาย มีความเอ็นดู มีกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.

    ละการถือเอาทรัพย์ที่เขามิได้ให้ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ ไม่ลักทรัพย์เป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของผู้อื่น ที่อยู่ในบ้าน หรือที่อยู่ในป่า ที่เจ้าของมิได้ให้ ซึ่งนับว่าเป็นขโมย.

    ละการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย คือ ไม่ถึงความสมสู่ในพวกหญิง ที่มารดารักษา ที่บิดารักษา ที่มารดาและบิดารักษา ที่พี่ชายรักษา ที่พี่สาวรักษา ที่ญาติรักษา ที่มีสามี ที่อิสรชนหวงห้าม ที่สุดหญิงที่เขาคล้องแล้วด้วยพวงมาลัย ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรมทางกาย ๓ อย่าง เป็นอย่างนี้แล.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรมทางวาจา ๔ อย่าง เป็นไฉน?

    บุคคลบางคนในโลกนี้ ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ ไปในที่ประชุม หรือไปในหมู่ชน หรือไปในท่ามกลางญาติ หรือไปในท่ามกลางขุนนาง หรือไปในท่ามกลางราชสกุล หรือถูกนำไปเป็นพยาน ถูกถามว่า บุรุษผู้เจริญ เชิญเถิด ท่านรู้เรื่องใดก็จงบอกเรื่องนั้น เขาเมื่อไม่รู้ก็บอกว่า ไม่รู้ หรือเมื่อรู้ก็บอกว่า รู้ เมื่อไม่เห็นก็บอกว่า ไม่เห็น หรือเมื่อเห็นก็บอกว่า เห็น ไม่กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ เพราะเหตุตนบ้าง เพราะเหตุผู้อื่นบ้าง เพราะเหตุเห็นแก่สิ่งของเล็กน้อยบ้าง.

    ละวาจาอันส่อเสียด เว้นขาดจากวาจาส่อเสียด คือได้ฟังข้างนี้แล้วไม่นำไปบอกข้างโน้นเพื่อทำลายพวกข้างนี้ หรือได้ฟังข้างโน้นแล้ว ไม่นำมาบอกข้างนี้ เพื่อทำลายพวกข้างโน้น สมานพวกที่แตกกันให้ดีกันบ้าง ส่งเสริมพวกที่ดีกันให้สนิทสนมบ้าง ชอบใจพวกที่พร้อมเพรียงกัน ยินดีแล้วในพวกที่พร้อมเพรียงกัน ชื่นชมในพวกที่พร้อมเพรียงกัน และกล่าววาจาอันทำให้พร้อมเพรียงกัน.

    ละวาจาหยาบ เว้นขาดจากวาจาหยาบ กล่าววาจาที่ไม่มีโทษ เพราะหูชวนให้รัก จับใจเป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ ชอบใจ.

    ละการพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ พูดในเวลาที่ควรพูดตามความจริง พูดเรื่องที่เป็นประโยชน์ พูดเรื่องที่เป็นธรรม พูดเรื่องที่เป็นวินัยและกล่าววาจามีหลักฐาน มีที่อ้างได้ มีที่สุด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรมทางวาจา ๔ อย่าง เป็นอย่างนี้แล.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรมทางใจ ๓ อย่าง เป็นไฉน?

    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีความโลภมาก ไม่เพ่งเล็งทรัพย์อันเป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของผู้อื่นว่า ขอของผู้อื่นพึงเป็นของเราเถิด ดังนี้.

    เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท มีความดำริในใจไม่ชั่วช้าว่า ขอสัตว์เหล่านี้ จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ มีแต่สุข รักษาตนเถิด ดังนี้.

    เป็นผู้มีความเห็นชอบ คือมีความเห็นไม่วิปริตว่า ผลแห่งทานที่ให้แล้วมีอยู่ ผลแห่งการการบูชามีอยู่ ผลแห่งการเซ่นสรวงมีอยู่ ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มีอยู่ โลกหน้ามีอยู่ มารดามีอยู่ บิดามีอยู่ สัตว์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาติกะมีอยู่ สมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบผู้ทำโลกนี้ และโลกหน้าให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนให้ผู้อื่นรู้ได้มีอยู่ในโลกนี้ ดังนี้ ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรมทางใจ ๓ อย่าง เป็นอย่างนี้แล.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายบางพวกในโลกนี้ เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะเหตุประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรมอย่างนี้แล.




    <CENTER>ว่าด้วยผลแห่งความประพฤติเรียบร้อย
    </CENTER>[๔๘๖] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรมพึงหวังว่า โอหนอ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกกษัตริย์มหาศาลเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก บุคคลนั้นพึงเข้าถึงความเป็นพวกกษัตริย์มหาศาล นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ เป็นผู้ประพฤติธรรมอย่างนั้นแหละ.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรมพึงหวังว่า โอหนอ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกพราหมณ์มหาศาล ฯลฯ

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรมพึงหวัง เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกคฤหบดีมหาศาลเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก บุคคลนั้นพึงเข้าถึงความเป็นพวกคฤหบดีมหาศาล นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร เพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ เป็นผู้ประพฤติธรรมอย่างนั้นแหละ.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรมพึงหวังว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก บุคคลนั้นพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร เพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ เป็นผู้ประพฤติธรรมอย่างนั้นแหละ.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรมพึงหวังว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นยามา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นดุสิต ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นนิมมานรดี ...ความเป็นพวกเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ...ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรม พึงหวังว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาที่เนื่องในหมู่พรหมเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก บุคคลนั้นพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาที่เนื่องในหมู่พรหม นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร เพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ เป็นผู้ประพฤติธรรมอย่างนั้นแหละ.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือประพฤติธรรมพึงหวังว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาชั้นอาภา ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก บุคคลนั้นพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาชั้นอาภา นั่นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ เป็นผู้ประพฤติธรรมอย่างนั้นแหละ.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือประพฤติธรรมพึงหวังว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาชั้นปริตตาภา ...ความเป็นเทวดาชั้นอัปปมาณาภา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นอาภัสสรา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นปริตตสุภา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นอัปมาณสุภา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นสุภกิณหกะ ...ความเป็นพวกเทวดาชั้นเวหัปผละ ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นอวิหา ความเป็นพวกเทวดาชั้นอตัปปา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นสุทัสสา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นสุทัสสี ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นอกนิฏฐะ ... ความเป็นพวกเทวดาผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนภพ ... ความเป็นพวกเทวดาผู้เข้าถึงวิญญาณัญจายตนภพ ... ความเป็นพวกเทวดาผู้เข้าถึงอากิญจัญญายตนภพ ... ความเป็น
    พวกเทวดาผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนภพ นั้นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ เป็นผู้ประพฤติธรรมอย่างนั้นแหละ.

    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือประพฤติธรรมพึงหวังว่า เราพึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว เข้าถึงอยู่ในชาตินี้เถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ บุคคลนั้นพึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะเพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว เข้าถึงอยู่ในชาตินี้นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร เป็นเพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ เป็นผู้ประพฤติธรรม อย่างนั้นแหละ.




    <CENTER>ความเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต
    </CENTER>[๔๘๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พวกพราหมณ์และคฤหบดี ชาวบ้านสาละ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยเอนกปริยายเปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ พวกข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระโคดมผู้เจริญกับพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำพวกข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไปฉะนี้แล.


    <CENTER>จบ สาเลยยกสูตร ที่ ๑</CENTER>ที่มา:
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=8867&Z=9055
     
  5. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    คนหมู่มากก็ค้นหาตัวเอง เอาใส่ตัวกันทั้งนั้นละครับ
    ที่จะคิดเสียสละก็จะเป็น พระโพธิ์สัตว์ แต่เจอน้อยมากๆครับ

    คนเราก็เป็นแบบนี้ละครับ การปฎิบัติไม่เหมือนกัน เขาถึงเปรียบใว้
    เป็น เปลือก ใบ กระพี้ อะไรทำนองนี้ละครับ

    คิดว่าไม่ชอบคนหมู่ไหนก็ปลีกตัวออกห่างสิครับ ถ้าออกห่างไม่ได้
    มีความจำเป็นต้องอยู่ ก็นั่นแหละกรรมของเราเองที่ต้องมาเกี่ยวข้องกัน.
     
  6. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    มีใครกล้าพยากรณ์ตัวเองว่าจะไปนิพพานได้ในชาตินี้บ้าง...?
    ถ้าปัจจุบันได้บรรลุโสดาปัตติผล ก็อีกไม่เกิน ๗ ชาติ
    แล้วถ้ายังไม่ได้บรรลุอะไรเลยล่ะ......ไม่รู้เมื่อไร

    ดังนั้นตราบใดที่บุญบารมียังไม่พอเป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน และไม่ให้เสียเวลาเนิ่นช้าเกินเหตุ เราต้องมีวิธีป้องกันไม่ให้เสียเวลาไปอยู่ในอบายภูมิ
    วิธีป้องกันอบายภูมิ ก็คือ
    ๑. ทาน
    ๒. ศีล (อย่างน้อยศีล ๕)
    ๓. ภาวนา (อย่างน้อยให้ได้ความสว่างภายใน)
    ขออนุโมทนาบุญจากการสนทนาธรรม ครับ
    สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2008
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อย่างหนึ่งที่พึงรู้คือพระไตรปิฎก ชาวพุทธเราถือว่าเป็นพระวัจนะของพระศาสดา เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ผู้ใดต้องการศึกษาพุทธศาสนาแท้จริงมักจะศึกษาที่พระไตรปิฏกนี้ แต่มีครูบาอาจารย์หลายท่านมีตำราขยายความ ตีความพระไตรปิฎกไปตามความรู้ความเข้าใจของตนเอง ถ้าตำรานั้นค้านคำสอนที่มีในพระไตรปิฎก ย่อมต้องมีการโต้แย้งเป็นธรรมดาอย่างนี้จะถือว่าเป็นกลียุคของศาสนาในความหมายของท่าน จขกท หรือเปล่า เหตุที่ศาสนาพุทธแยกเป็นนิกายต่างๆนั้นก็เพราะเหตุแห่งการเห็นต่างกันในความคำสอนของพระศาสดา
     
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เอาง่ายๆครับ สำหรับคนที่มีความรู้ทางการคำนวนอยู่บ้าง

    สมมติว่า ชาตินี้เราไม่ถึง แล้วสิ้นลง โอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นอีกกี่ปี
    ครับ คิดว่าเกิน 2500 ปีไหม เพราะนั่นรู้สึก 2-3 ปีสวรรค์กระมัง ถ้าเทียบ
    กัปที่เอาอายุขัยมนษย์มาเป็นเกณฑ์ ก็ 25 กัป ซึ่งการไปสวรรค์ หรือ นรกนี้
    ล้วนแต่มีอายุขัยเกิน 25 กัป เว้นแต่จะมีบุญ กำหนดการจิตตัวเองได้ ไม่เช่น
    นั้น ไม่ได้กลับมาเจอพระพุทธศาสนาในพระสมณะโคตมแล้วครับ

    แล้วถ้าไม่เจอพระพุทธศาสนา เหตุปัจจัยเรื่อง 7 ชาติกลับมาเกิดเป็นมนุษย์
    เพื่อบรรลุอริยะเจ้าชั้นใดชั้นหนึ่งก็หมดไปด้วย ผู้ที่ลงมาได้ก็ต้องมีบารมีเป็น
    ปัจเจกเท่านั้น ถามว่า ถ้าต้องค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น แล้วเมื่อไหร่จะได้บรรลุ
    กัน ก็ตอบว่า ยุคพระศรีอารย์ นั่นเอง ซึ่งอีกกี่ปีละครับ อย่าไปกำหนดตัวเลข
    ดีกว่า นานมากๆ แต่ไปถึงยุคนั้น คนที่เป็นโสดาแล้วก็คงได้บรรลุทันทีที่ได้
    สดับธรรมอีกครั้ง แต่ถ้าไม่ได้สดับธรรมของพระศรีฯ ก็คงไม่มีเหตุปัจจัยได้บรรลุ

    ส่วนคนธรรมดานั้น ก็คงไม่ต้องอะไรมาก อยากเกิดในยุคพระศรีก็แน่นอนละครับ
    ทำอะไรไม่ได้มากกไปกว่า วันนี้ ขอให้รู้จักกตัญญู รักษาศีล 5 ทำปัจจัยในการ
    มาเกิดเป็นมนุษย์ให้พร้อมเอาไว้ก็พอแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...