เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===========

    1 มี พุทธคุณ จากการปลุกเสก ครับ แต่ธาตุดังกล่าวไม่มีกายทิพย์ครับ และอีกอย่าง คือถ้าเป็นเหล็กไหลที่มีชีวิต ลักษณะก้อนของเหล็ไหลจะเป็นก้อนกลมๆแบบพวงองุ่นสีดำ แล้วในก้อนกลมๆ หากส่องด้วยแว่นขยาย เราจะพบว่า มีเป็นก้อนเล็กๆที่พร้อมจะเติบโตใหญ่ขึ้น เหมือนมันแบ่งขยายตัวได้ครับ

    2 ส่วนมากให้สวดด้วย คาถามงกุฏพระพุทธเจ้าสามจบครับ

    3 ยังไม่หายขาดเพราะอดีตเคยไปลบหลู่ เทพพรหมที่ดูแลสถานที่แห่งนั้น ครับ คงต้องใช้วิธีเดียวคือต้องทำบุญทาน รักษาศีล สวดมนต์ภาวนา ทำไปเรื่อยๆ อาจต้องใช้เวลาแต่จะค่อยๆดีขึ้น เมื่อหมดกรรมเมื่อไหร่ก็จะหายดีครับ ต้องใช้เวลาหลายเดือนครับ

    4 การกรวดน้ำและแผ่เมตตาทำได้ดีแล้วครับ แต่บางครั้งก็ไม่ทำ ควรทำให้เสมอกันทุกครั้งนะครับแล้วจะดีครับ [ ผมทราบครับ]

    5 การเงินติดขัด ให้แก้ไขด้วยหลายวิธีคือ การประมาณกำลังตนในการใช้จ่าย รายรับและรายจ่ายที่ลงตัว การทำทานโลงศพ คนพิการคนแก่เด็กที่ลำบาก การถือศีล การสวดมนต์ภาวนา ควรต้องสวด พุทธคุณ ธรรมคุณสังฆคุณก่อนด้วยเสมอไม่ขาด และขอเสริมว่า

    การเงินจะไหลดี กิจต้องดี ภัยอุปสรรคคต้องแคล้วคลาด ให้สวดบทนี้ปิดท้ายคาถาเงินล้านคือ

    สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิการิยังตะถาตะโจ สิทธิเตโช ชโยนิจจัง สัพพะอุปัททะวะรัง นิรันตรัง สัพพะลาภัง สัพพะโสตถี ภะวันตุเม สามจบครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. ณิช

    ณิช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,391
    ขอบคุณค่ะที่แชร์ประสบการณ์ค่ะ คนทั่วๆไปคงทำอย่างที่คุณก้องทำได้ยากค่ะ ยิ่งสมัยนี้นีั้แล้ว ที่ทุกคนมีภาระทางโลกมาก การทำสัมมาอาชีพก็แข่งขันกันไม่ง่ายเหมือนสมัยก่อนค่ะ
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =======================

    1 ตัวเรา ในนามธรรม คือจิต จิตคือธาตุรู้ คือ ตัวรู้ ตัวรู้หรือจิต มีสติ เป็นกริยาหรือเป็นอาการอย่างหนึ่งของจิต ที่ทำงานควบคู่ไปกับจิต

    สติและจิต ที่ทำงานร่วมกัน เพราะฝึกฝนอบรมมาดี ย่อมก่อเกิดประโยชน์ ทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า จิตรู้ทันตามทันทุกสภาวะของจิต เพราะอาศัยสติทำงานควบคู่กันกับจิต แบบต่อเนื่องนั่นเอง บางท่านอาจกล่าวว่า สติเกิดสัมปยุตกับจิต เป็นสิ่งเดียวกัน ก็ได้ครับ บางท่านเรียกจิตรู้ ก็ว่าได้ เมื่อเราทำตรงนี้ทรงตัวได้แล้ว จิตปัญญาจะเกิดตามมาครับ

    2 สิ่งที่กล่าวมาถามมา หมายถึงจิตปัญญา เมื่อจิตรู้ตามข้อ1เกิดแล้ว จิตปัญญาจะเกิดตามมา เพราะอาศัยว่ารู้แล้ว เห็นแล้ว ตามทันแล้ว เข้าใจแล้วทุกอย่างเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ปัญญาจึงเกิด จึงปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือไว้ นี่แหละคือจิตปัญญา [จิตบุญ ว่าไปแล้วยังไม่เทียบเท่าจิตปัญญา เพราะบุญ ไม่ดีไม่บริสุทธิ์ เท่าปัญญา ]

    จิตปัญญาก้าวหน้าถึงโลกุตระธรรม เต็มกำลังทุกขณะจิตได้เมื่อใด เมื่อนั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นจิตพุทธะ หรืออรหันตจิต นั่นเอง ปลายที่สุดนี้ พระท่านสอนให้ละตัวรู้ หรือก็คือการละอัตตา นั่นเอง

    จึงหมายถึง เมื่อเราสามารถทรงอารมณ์จิตรู้ ตัดละกิเลส แยกกิเลสออกจากจิต ไม่เกิดการปรุงแต่งสืบเนื่องต่อไปได้อีกทุกขณะจิต นี่แหละคือความเข้าถึงอรหันจิตเบื้องต้น ถัดมาคือการที่จิตเกิดปัญญาฝ่ายธรรมวิมุตติแห่งโลกุตระธรรม คือปรารภเห็นเพียงความว่างเปล่า ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ยึดติดในรูปนามทั้งปวง แม้จิตตนที่รู้ละปล่อยวาง ก็ปล่อยวางไม่ยึดติดใดๆ มีเพียงสภาพแห่งความว่าง

    ลำดับสุดท้ายในสภาวะแห่งพระนิพพาน คือความว่าง ในสภาพพระนิพพานแม้มีสภาพเป็นเช่นนี้ก็ปล่อยวางไม่สำคัญไม่ยึดติดในสภาพแห่งความว่างแห่งความเป็นนิพพาน ตลอดจนในสภาวะนี้ ปฏิเวธ หรืออรหันตะปฏิผล ก็ให้ผล ก็มีสภาพคือว่าง เหมือนว่า ได้หมดสิ้นในความรู้ ต่างๆที่เกิดกระทบ ว่างเพราะจิตก็เสมือนไม่มีเพราะไม่ยึดมั่นว่ามี ว่างในความว่างแห่งพระนิพพานไม่ยึดติดว่ามี เรียกว่านิพพานที่รวมลงสู่นิพพาน ว่างที่ทับซ้อนในความว่าง จึงไม่เหลืออะไรให้หลงเหลือยึดถือยึดมั่นนั่นเองครับ

    แต่ จิตปัญญา จิตพุทธะ นิพพานก็ยังปรากฏตามธรรมดาของมัน แต่สภาพโดยรวมคือปล่อยวาง ว่างเปล่าไม่เหลืออะไร ครับ ลองดึงจิตเข้าสู่สภาวะนี้บ่อยๆจะรับรู้ได้ในที่สุดครับ
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============

    การได้หรือการมี เพราะอาศัยบุญเก่าหรือกรรมเก่าเพราะเราทำและกรรมปัจจุบันเพราะเราสร้าง มันก็สักแต่ว่ามี

    การมีอะไรก็ไม่ดีเท่าการมีสติปัญญาเข้าถึงโลกุตระธรรม เป็นจิตอรหันต์ หรือพุทธะจิต เพราะนั่นคือสิ่งประเสริฐสูงสุด เพราะเป็นการมีเพื่อความไม่มี สละชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ได้มากเท่าไหร่ ยิ่งดี สาธุครับ
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    พระพุทธองค์ ตรัสว่า จิตมันเป็นธาตุ และ จิตนั้นก็ต้องอาศัยปัจจัย จึงจะเกิด เว้นจากปัจจัยแล้ว จิตเกิดไม่ได้ !!

    จิต จึงเป็น ธาตุ ที่แปรปรวนไปตาม ปัจจัยการ

    การเห็นจิต คือ เข้าไปเห็น อาการของจิตที่มันแปรปรวนไปตามปัจจัยการ มีปัจจัยการ จิตจึงเกิด

    เมื่อเข้าไปเห็น จิตแปรปรวนไปตามธรรมดา อยู่อย่างนี้ ควรแล้วหรือ จะปรารภว่า นั่นคือเรา คือของๆเรา

    การละตัวรู้ ไม่ใช่ต้องไป ทำอย่างไร การละการรู้ หรือ ละเหตุในการมีปัจจัยให้เกิดจิต หากไป "ดำริ" มารจะสบช่อง จะเกิดนายช่าง ตัณหาสร้างเรือน(ปัจจัยให้เกิดจิต) ทันที

    หนทางการภาวนานั้น พระพุทธองค์ ผู้รู้จริง ผู้รู้แจ้งโลก ได้แสดงไว้แล้ว อนุเคราะห์ไว้
    แล้ว ผู้มีปัญญาดีปัญญาไม่ทราม ไม่มีธรรมลามก ย่อมปฏิบัติเข้ามาเห็นได้ ถึง
    อุบายอันยอดเยี่ยมนั้น และ เป็นหนทางที่เดินไปคนเดียว ถามเอาจากใครก็ไม่มีทาง
    ตอบเราได้ ต้องเพียร และ เห็นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เฉพาะตน ครูในโลกของศาสนา
    พุทธ จึงไม่มี มีแต่ ทุกสรรพสิ่งสามารถชี้ทางได้ (มีแต่ ตถาคต เท่านั้น)
     
  6. ณิช

    ณิช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,391
    ขอบคุณค่ะคุณก้อง
     
  7. wukecheng

    wukecheng Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2013
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +46
    รบกวนท่าน TJS ช่วยกรุณาดูให้เพื่อนผมด้วยครับ

    ขอบคุณครับ
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เมื่อรู้แจ้งแล้ว ก็เข้าใจเกิดปัญญาเห็นแจ่มแจ้งชัดแล้วอย่างนี้ ก็เห็นธรรมดาในรู้แล้วอย่างนี้

    ที่สุดก็หมดรู้ ไม่มีอะไรให้รู้ ไม่รู้จะอยากรู้หรือยึดรู้เอาไว้เพื่ออะไร ก็หมดรู้ [แต่ยังรับรู้] เพราะจิตก็คือ อมตธาตุ เป็นส่วนหนึ่งของจักวาล ที่ไม่ไหลเวียนไปตามจักระ หลุดพ้นจากกฏของจักรวาล อยู่เหนือกฏแห่งกรรม กฏแห่งจักวาล
     
  9. boonnippan

    boonnippan ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +1,099
    กราบขอบพระคุณครูก้อง คุณเอกวีร์ค่ะ ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ ที่เหลือคือการเดินทางต่อไปค่ะ

    ขออนุญาตถามต่อนะคะ ดิฉันสังเกตตัวเองว่าในการนั่งสมาธิระยะหลังๆที่รู้ว่ามีสติรู้ตัวมากขึ้นแม้กระทั่งขณะอยู่ในสมาธิ รับรู้ลักษณะหยุ่นๆหนืดๆทั่วทั้งศีรษะ แกนใบหูและหน้าผาก ความรู้สึกของดิฉันคือการรับรู้ชัดขึ้น คำถามคือ ณ ขณะนี้ดิฉันควรวางจิตตามรู้ตรงความรู้ตัวทางกาย หรือตามรู้ความรู้สึกว่าสุขเล็กๆเบาๆจนจางๆบางๆออกไปจนเหมือนจิตยิ้ม หรือปล่อยนิ่งๆเฉยๆแบบไม่ดูอะไรเลยคะ (ดิฉันใช้รู้ลมเข้าออกที่ปลายจมูกค่ะ)
    กราบขอบพระคุณค่ะ
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ขออนุญาติเจ้าของกระทู้....

    อย่าลืมคำถามที่แล้ว

    คำถามที่แล้ว ยกว่า จะทำการศึกษาความแปรปรวนของจิต เพื่อ ละวาง " วิญญาณขันธ์ "

    จิตเวลาทำหน้าที่ วิญญาณ คือ การแส่ส่ายในการรู้ เวลาไปรู้กาย มันจะเคลื่อนไปเคลื่อน
    มาตามอาการเกิด ดับ แตก สลาย ชรา พยาธิ ฝี หนอง คูธ มูธ ...... เวลาจิตไปรู้สภาพ
    ความเสื่อมสลายของกาย แส่ส่ายไปตาม ผัสสะที่กายเป็นตัวแสดง ถึง ความแปรปรวน จิตที่
    ไม่ขาดสันตติให้ดู จิตยังแสดงไตรลักษณ์ให้รู้ไม่ได้ มันจะเหมือน มีพลังงานไหลต่อเนื่อง
    เหมือนมีใครกระทำ เหมือนมีนั่น มีนี่ .....เราไม่ได้เอา ตรงที่ว่า กายกำลังแตกสลายหรือ
    เกิดใหม่ตามวิบากกรรมใด

    เราจะหมายเอาว่า กายนั้นไม่เที่ยง และ ที่กายไม่เที่ยงได้ก็ต้องเพราะว่า จิตมันไม่เที่ยง

    จิตจึงรับวิบากกรรมต่างๆนานา ทั้งดี และ ร้าย ทั้งเป็นไปเพื่อรักษาภพ และ การดับไปของภพ [ จิตทำหน้าที่ รักษาภพชาติ เพื่อ ขังนักภาวนาให้เป็นทาสในสังสารวัฏ ]

    ภพ ชาติ ความพอใจ ไม่พอใจ วางเฉยต่อการ ดับสลาย ล้วนแต่เป็น เวทนาขันธ์ ที่ปิดบังอริยสัจจ

    ทำให้เรา เห็นสภาวะธรรมของกาย ยุบยิ๊บ แย๊บยั๊บ แต่ทว่า ไม่รู้ว่านั่นคือ ชรา มรณะ ปรากฏ ให้รู้


    เห็นตรงนี้ แล้วหากพิจารณาเห็นความแปรปรวนของจิตยังไม่ได้ เรียกว่า จิตยังไม่งอกลับไปรู้ที่จิต

    ให้สมาทานสิกขาบทว่าด้วย อสุภะ อสุภัง มรณะสติ ตรึกช่วยเข้าไป จิตถึงจะพรากความเป็น
    ภพของสัตว์ แล้ว ยก จิตที่ทำหน้าที่เป็นวิญญาณขันธ์ (การแส่ส่ายรับรู้ / ไม่ใช่หมายถึง ผี
    เจ้ากรรม นายเวร แบบพวก มิจฉาทิฏฐิ ภาวนาไม่เป็น จะชักจูงไปเห็นผิด )

    เมื่อใดก็ตามที่ นักภาวนาเห็น สภาวะยิ๊บๆ แย๊บๆ ตามกาย แล้ว กำหนดรู้ไปที่ การแส่ส่ายของ
    "วิญญาณขันธ์" ได้

    จิตจะไม่เอา เวทนาขันธ์ด้วย ( อาการ สุข ยิ้ม หรือไม่ยิ้ม หรือเฉยๆ ที่หลอกเรา ) [ ข้ามฝากตาย จิตไม่ห่างจากฌาณ จิตไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตน บุคคล เรา เขา]

    เมื่อแยก " กาย เวทนา จิต " ออกเป็น ธรรม3ส่วน ก็ให้ยก ธรรม3ส่วนที่ยก
    เห็นได้ว่า เหล่านี้คือ " ธรรม " ก็จะทำให้ "กาย เวทนา จิต ธรรม " เป็นสิกขาบท
    ในการเดิน สติปัฏฐาน4

    พอยก สติปัฏฐาน4 ได้ จะรู้เแล้วว่า การภาวนา ไม่ต้องไปถามใคร เพราะ ครู ก็คือ
    "อยาตนะ" ที่ จิตทำหน้าที่เป็นอยาตนะ เวลากระทบ ผัสสะ เพื่ออาศัยระลึกถึงความ
    สิ้นไปของ ภพ ชาติ ชรา มรณะ ตลอดเวลา ทุกขณะจิต ไม่มีว่างเว้น ไม่จำเป็นต้องไป
    ถามใครอีก [ กายส่วนหนึ่ง จิตส่วนหนึ่ง เวทนาก็อีกส่วนหนึ่ง ทั้ง3 เป็นเพียง ปัจจัยการ ในความแปรปรวนไปของ ธรรมที่เป็นอนัตตา ]

    พอยก สติปัฏฐานได้ สัมมัปธาน4 อิทธิบาท4 จะยกถูก

    พอยก สติปัฏฐาน สัมมัปธาน4 อิทธิบาท4 ได้ โพชฌงค์7 จะยกถูก

    ยก โพชฌงค์7 ถูก จะ ยกกิจในอริยสัจจ ถูก

    เมื่อ ยกกิจในอริยสัจจ ถูก ..........จะรู้เลย จิตยิ้มที่มีนั้น ล้วนแต่เกิดจาก คนอื่น
    มันกล่าวธรรมหลอกเรา แล้วเราไปเชื่อ ไปแสงหา ไปคว้าเอา อธรรมวาที เหล่านั้น มาปิดบังหนทาง รีบร้อนจะได้ผล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2015
  11. หญิงท้วม

    หญิงท้วม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2013
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +37
    มีคำถามมาอีกแล้วค่ะ
    1.คนที่มาใช้ร่างเล่นสนุกเป็นใครหรือคะ?
    2.หนูอยากให้เขาไม่มาเล่นหรือใช้ร่างทำอะไรอีกควรจะทำอย่างไรหรือคะ?
    3.เคยลองคุยกับเขาว่าต้องการอะไรแลกกับจะไม่มาใช้ร่างกายอีก หากถ้าทำให้บุญอุทิศให้ ถ้าเป็นบุญที่ไม่เกินวิสัยก็ว่าจะทำให้น่ะค่ะ ถ้าเขาอยากให้ทำให้เขาต้องการอะไรหรือคะ?
    4.ช่วงนี้มีอาการนอนไม่เป็นสุขเลยค่ะ ทั้งอาการจิตวิปริตและความคันระคายระเคืองทางร่างกาย ต้องพึ่งน้ำมนต์ ควรทำอย่างไรหรือคะ?
     
  12. มหาเมตตา

    มหาเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +283
    วันนี้ผมปรารถนาจะขอคำชี้แนะจากท่าน tjs ในเรื่องความหมายและสภาวะของสุญญตาที่บังเกิดขึ้นในดวงจิต และคำถามเกี่ยวกับเหล็กไหลและหยกกาบแก้วครับ

    คำถาม

    1. ความหมายและสภาวะของสุญญตาที่บังเกิดขึ้นในดวงจิต ?

    2. สภาวะของสุญญตาที่บังเกิดขึ้นในดวงจิตนี้ เทียบเท่ากับฌานลำดับใด?

    3. สภาวะของสุญญตาที่นักปฏิบัติธรรมควรทรงไว้นั้นเป็นลักษณะอย่างไร? ทรงต่อเนื่องทุกขณะจิตหรือหมายความว่า ถ้าต้องการเข้าสู่สภาวะของสุญญตา ณ ขณะจิตใด เราก็สามารถกำหนดจิตเข้าได้ทุกเมื่อ ?

    4. เราจะนำกำลังจิตที่ได้จากสภาวะของสุญญตานี้ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร? วิธีใดบ้าง?

    5. เมื่อคืนผมเผลอนอนหลับไปเพราะเหนื่อยมาก และก็ตื่นขึ้นมากลางดึก พอจะหลับต่อก็รู้สึกอยากจะภาวนาในใจให้มันหลับไป ก็ภาวนาว่า “นาสังสิโม นะโมพุทธายะ มะอะอุ โสตัตตะภิญญา” โดยช่วงไม่กี่วันมานี้ หลังจากที่ผมได้เหล็กไหลและหยกกาบแก้วจากท่าน tjs มา ทำให้ผมอยากภาวนาคำว่า “โสตัตตะภิญญา” ขึ้นมา แต่พอภาวนาไปได้สักหน่อย คำว่า “นาสังสิโม” ก็ผุดขึ้นมาในหัวผม ผมจึงรวมคำภาวนาเป็น “โสตัตตะภิญญา นาสังสิโม” ผมก็มาค้นความหมายของ คำว่า “นาสังสิโม” ซึ่งมีข้อมูลบอกว่า เป็นคาถาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธกัสสป และเมื่อคืนพอผมภาวนา “นาสังสิโม นะโมพุทธายะ มะอะอุ โสตัตตะภิญญา” ไปได้ประมาณสิบกว่ารอบ จิตผมเหมือนเข้าสู่สภาวะสุญญตาชั่วไม่กี่วินาทีก็คลายไป จึงอยากสอบถามท่าน tjs ว่าสภาวะนี้เป็นสภาวะสุญญตาหรือฌานลำดับใดครับ?

    6. หยกกาบแก้ว พอผมได้มาจากท่าน tjs ผมก็รู้สึกอยากจะนำหยกนี้ไปแช่น้ำ ผมก็ได้นำหยกกาบแก้วไปแช่น้ำในถ้วยแก้วเล็กตรงหิ้งพระ ตลอดช่วงเวลา 1 วันที่ผมนำหยกกาบแก้วไปแช่น้ำ จิตผมร่างกายผมรู้สึกถึงความเย็นอยู่ตลอดเวลา แสดงว่า ท่านเทพอารักษ์หยกกาบแก้วได้แผ่กระแสทิพยอำนาจคลุมจิตคลุมกายผมไว้ใช่ไหมครับ? ซึ่งในส่วนหยกกาบแก้ว ผมรับรู้ถึงกระแสเย็นได้อย่างชัดเจน แต่ในส่วนเหล็กไหล ผมยังสัมผัสไม่ได้ครับ และตอนนี้ผมก็นำทั้งเหล็กไหลและหยกกาบแก้วเลี่ยมกันน้ำขึ้นคอแล้วครับ เทพอารักษ์ท่านน่าจะช่วยเรื่องสมาธิจิตผม และช่วยดึงอภิญญาจิตภายในผมออกมาได้ บนพื้นฐานความเพียรมากน้อยที่ผมมี

    7. เทพอารักษ์ในเหล็กไหลมีกี่องค์ครับ? และในหยกกาบแก้วมีกี่องค์ครับ? และอนาคตอาจมีเทพอารักษ์เพิ่มขึ้นได้ตามบารมีธรรมของผมใช่ไหมครับ? เทพอารักษ์ท่านอยู่ในสวรรค์หรือพรหมชั้นใดครับ? และผมมีความเชื่อว่า ท่านเทพอารักษ์ทั้งหลายเหล่านี้ย่อมเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวผมในอดีตชาติเช่นกัน แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็ปรากฎขึ้นในจิตผม ก็คือ เหล็กไหลและหยกกาบแก้วนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง ผมแค่ยืมมาใช้ชั่วคราวเพื่อเสริมสร้างบารมีธรรมร่วมกัน เมื่อถึงเวลา ผมก็ต้องส่งมอบให้กับผู้มีบารมีธรรมท่านอื่น ดั่งเช่น ท่าน tjs ส่งมอบให้ผม ถึงเวลานั้น เทพอารักษ์ท่านก็ต้องวนเวียนไปสร้างบารมีธรรมกับท่านอื่น แม้กระทั้งตัวท่านเทพอารักษ์เองก็เช่นกัน ก็ต้องมีเทพอารักษ์ท่านอื่นวนเวียนมาดูแลสลับเปลี่ยนไปตามการเกิดดับการเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสร้างบารมีธรรมและตามวัฏสงสารของธรรมชาติ

    8. ก่อนที่ผมจะได้เหล็กไหลและหยกกาบแก้วจากท่าน tjs ไม่กี่วัน มีช่วงพลบค่ำวันหนึ่ง ผมรู้สึกถึงกระแสพลังบางอย่างวิ่งตรงเข้าสู่จิตผม ทำให้จิตผมเข้าสู่สภาวะเข้าฌานประมาณ 1-2 ชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงที่ผมกำลังนั่งรถเมย์กลับบ้าน แต่ผมไม่แน่ใจว่า จิตผมเข้าสู่รูปฌานหรืออรูปฌาน และทั่วร่างกายผมก็รู้สึกซาบซ่านด้วยกำลังแห่งฌานครับ ท่าน tjs คิดว่า ผมอุปทานไปเองหรือว่าเกิดสภาวะเข้าฌานจริงๆ ครับ?

    อนุโมทนา สาธุ ครับ!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2015
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เราจะหมายเอาว่า กายนั้นไม่เที่ยง และ ที่กายไม่เที่ยงได้ก็ต้องเพราะว่า จิตมันไม่เที่ยง

    ===================

    สัพพะสิ่งล้วนไม่เที่ยง

    กายไม่เที่ยง จึงส่งผลต่อจิตเกิดความแปรปรวนไม่เที่ยง ใช่ครับ แต่ไม่ทั้งหมด

    แท้จริงแล้ว ตัวจิตปุถุชนเองแม้ไม่เกี่ยวด้วยกาย ก็ไม่เที่ยง

    เราควรกล่าว ว่า กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งปวงเหล่านี้ไม่เที่ยง จึงส่งผลไปรบกวนจิตปุถุชนให้แปรปรวนไม่เที่ยง

    กาย เวทนา จิต ธรรม สร้างสติปัญญาในการเดินสติปัฏฐาน เป็นฝ่ายวิปัสสนา เครื่องรู้แจ้ง รูปและนาม เมื่อสติปัญญารู้แจ้งรูปและนาม แยกรูปและนาม ออกจากจิต ได้โดยสมบูรณ์ทุกขณะจิต ในทางตรงกันข้าม มีปัญญาวิมุตติ ยังเห็นว่า
    ก็สรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทุกข์ เกิด ที่จิต ดับที่จิต จิตเมื่อดับลงได้ทุกข์ก็ไม่เกิด เพราะไม่มีอะไรให้ทุกข์มายึดจับปรุงแต่ง

    ปกติธรรมดาของสรรพสิ่งเกิดดับ เป็นธรรมดาโดยธรรมชาติของมัน ทุกข์สุข เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นเรื่องปกติธรรมดาธรรมชาติของมัน จิตที่ดับแล้ว ปล่อยวาง ไม่ข้องเกี่ยวรับเอา แยกเป็นเอกเทศ แล้ว ย่อมว่างเปล่าบรมสุขตามอัตภาพของจิตว่าง

    เป็นเช่นนี้เสมอ เมื่อเข้าใจจุดนี้ คือไม่ต้องดับทุกข์ ไม่ต้องไปกังวลกับทุกข์ที่วิ่งเข้ามา แต่ให้ดับที่จิต ที่ใจ คือจิตสำรวมระวังแยกออกจากทุกข์ไม่ข้องเกี่ยวกับทุกข์หรือรูปนามที่ปรุงแต่ง เมื่อดับที่จิต แก้ไขที่จิตได้สำเร็จ เรื่องอื่นก็ไม่มีผลกระทบอะไรอีกต่อไปครับ

    สติปัญญาที่เข้าถึงวิมุตติ แม้มีหลากหลายวิธี แต่ธรรมวิมุตติและเจโตวิมุตติก็จะได้รับผลเช่นเดียวกันคือวิมุตติ หรือหลุดพ้นจาก สมมุติ มายา อวิชา นั่นเองครับ สาธุ
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =======

    1-2 การแก้ไขเรื่องจิตสัมภเวสีหรือจิตอื่นที่มาผ่านกายใจ เรา ให้ฝึกการสวดมนต์ภาวนา คือกำหนดด้วยสมาธิ มีกำลังใจที่เข็มแข็ง มีสติสัมปชัญญะ ตั้งมั่น ควบคุมกายใจตนเอง หากกำลังสมาธิเรามั่นคงดีก็ไม่มีอะไรมาควบคุมเราได้ ปัญหาคือการปรุงแต่งจิตของเราเอง ที่ต้องรู้ทันและควบคุมแยกแยะละปล่อยวางให้ได้ครับ

    3 จิตที่ดื้อดึง ดื้อรั้น มีมิจฉาทิฏฐิ ตอบได้ยาก ให้แก้ไขด้วยการแผ่เมตตาและแผ่บุญมากๆครับจะแก้ไขได้

    4 น้ำมนต์ ก็สู้พุทธมนต์ที่เราภาวนาไม่ได้ครับ หากทำจริง สมาธิตั้งมั่นจริงย่อมมีอานิสงค์มากครับ สาธุ
     
  15. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ผมเห็นเข้าก็เลยงงๆๆๆท่านก้องอธิบายยังไงคนอ่านที่เข้าใจก็จะเข้าใจคนอ่านที่ไม่เข้าใจก็จะมีคำถามไม่จบสิ้นครับ เหตุเพราะคิดมิใช่ปัญญารึรู้ ขออนุญาติท่านโม้หน่อยนะครับ. (ไม่รู้ให้รึเปล่าขอโม้ละ)5555
    ธรรมะที่เกิดจากจิตคือธรรมะที่ตรงตามความเป็จริงแต่ถ้าเกิดจากคิดมันจะวนเป็นเลข8
    สาวจากผลไปหาเหตุ ทั้งจักรวาลมีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ มีรูปและไร้รูป. สิ่งทั้งหลายมันเป็นอนิจจัง มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กฏข้อที่1
    ธรรมชาติมันเป็นของมันอย่างนี้ เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลง แล้วแต่กาลเวลาและองค์ประชุมคือเหตุปัจจัยมารวมกัน มันจึงเป็นของมันตามธรรมชาติ มันไม่เป็นไปตามจิตที่ต้องการอย่างเด็ดขาด. กฏข้อที่2
    ถามจิตตนไม่ต้องถามใครใหัเสียเวลาว่า จิตยอมรับมันไหม กฏ2ข้อนั้นนะ
    เมื่อยอมรับกฏและเข้าใจในกฏทั้ง2ข้อ ก็จบหมั่นสอนจิต ให้ช่างแม่งมัน ตัวนี้จะตัดอุปทานออกไปทันทีที่จิตยอมรับกฏทั้ง2ข้อ5555
    แต่ถ้าจะให้ตามใจเรานั้นแหละทุกข์ละ ทุกข์เกิดตรงนี้ตรงตามใจเราจะให้ทุกอย่างเป็นไปตามจิตเรา. มันฝืนธรรมชาติ มันฝืนกฏ ความจริงมันเป็นไปไม่ได้5555
    ทุกข. สุข. บุญ. บาป มันไม่มี มันมีมันเกิดได้เหตุเพราะไม่ยอมรับกฏฝืนกฏฝืนธรรมชาติ แค่นั้นเอง
    ตาเห็นรูป. หูเห็นเสียง ฯลฯเห็นจริงแต่สิ่งที่เห็นมันไม่จริงมันเป็นมายา มายาที่หลอกจิต ให้เพลิดเพลิน. พร่ำสรรเสริญให้เมาหมกกับมัน ถ้ารู้ความจริงสิ่งต่างๆมันก็ไม่มี มีแต่มายา55555
    เมื่อรู้จึงไม่ตัองคิดไม่ต้องสงสัยไม่ต้องมีคำถาม นั่นแหละธรรม ที่พระพุทธองค์พร่ำสอน พร่ำบอก ต้องใช้จิตรู้ อย่าใช้ความคิดมันจะคิดๆๆๆๆสุดทัายมันจะวกๆๆวนๆๆอธิบายไม่ได้ จิตเมื่อรู้จึงไม่สงสัย อะไรจะเกิดจะดับก็ช่างแม่งมัน. เพราะมันเป็นอนัตตา มันเป็นอนิจจัง มันไม่เป็นตามใจเรา55555มันจะเป็นของมันยังงี้มันจะไม่เป็นยังงั้นเด็ดขาดมันเป็นธรรมชาติ
    นี่คือรู้จริงๆ รู้ที่ไม่สับสนไม่วกวน รู้ที่อธิบายได้จากผลไปหาเหตุ
    ไม่ใช่รู้มั่วๆจับต้นชนปลายไม่ถูกวกๆๆวนๆๆๆในเขาวงกต5555
    กิเลสความทะยานอยากในมายา มันมีแต่ถ้ารู้ความจริงยังนี้แล้วยังจะมีอีกไหม?5555. ทุกสิ่งมันเป็นที่ประชุมกันโดยธรรมชาติ เป็นรูปมีนามคือจิตมายึดครองด้วยอวิชชา คือความไม่รู้ตามความเป็นจริงจึงเกิดและยึดมายาเป็นสุข ทุกข ชอบไม่ชอบเฉยๆ วิ่งวนกันตามๆกันไปเรียกว่าปฏิจสมุบาท สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี ไล่เรียงกันไป. เมื่อมีกายรึเรียกว่าขันธ์5 จึงมีผัสสะเป็นธรรมชาติที่ครบองค์ประกอบ คือไม่พิการตาไม่บอดหูไม่หนวก ผัสสะทั้งหลายจึงเป็นเหตุแห่งกรรม ผัสสะมิใช่กรรม5555กรรมคือเจตนาที่กระทำด้วย กาย วาจา ใจ. เมื่อผัสสะมีเหตุแห่งกรรมจึงมี แต่ถ้าไม่มีเวทนาคือชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ และรู้แจ้งยอมรับกฏทั้ง2ข้อกรรมดำรึกรรมขาวก็ไม่มีจึงเรียกว่ากรรมเหนือกรรม คือทำตามหน้าที่สรรสร้างเปลือกเพื่อห่อหุ้มแก่นแท้ของพระศาสนาให้คงอยู่ต่อไปเพื่อส่งต่อให้รุ่นต่อๆไปได้พบทางที่พระพุทธองค์ทรงชี้ไว้ 55555สาธุ
    ป.ล. .นานๆจะเข้ามาโม้ที ก็ขออนุญาตท่านก้องนะครับ หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยท่านนะครับ ยังไงๆๆท่านก็ยังเป็นผู้ชี้ทางให้ผมมาก่อน ผมยังเคารพท่านมิเปลี่ยนแปลงครับ ไม่ว่าผมจะเป็นรึไม่เป็นอะไรก็ตาม เรารู้กันสองคนครับ5555
    ข้อความทั้งหลายท่านเอกวีย์คงอ่านนะครับ ผมส่งถึงท่านโดยตรงครับ 5555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2015
  16. ZIGOVILLE

    ZIGOVILLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +792
    ถ้ามีโอกาสเหมาะๆ อยากจะติดตามศิษย์พี่ไปผจญภัยตามป่าเขา ตามถ้ำแบบนี้บ้างนะครับ :cool::cool::cool: !!!
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===========

    จริตต่างกัน ก็ว่ากันไปตามจริต แต่สิ่งที่เหมือนกันคือแก่นแท้แห่งธรรม จิตที่เสวยธรรม แม่้จะพูดอธิบายต่างกัน แต่พูดและอธิบายสิ่งเดียวกัน
    ผู้ปฏิบัติจนเห็นจริงแล้ว ก็ย่อมเห็นจริงเหมือนกัน เข้าใจเหมือนกัน ครับ สาธุ

    มันก็เป็นไปตามธรรมชาติของมันครับ ไม่มีอะไรให้กังวลหรือปลาดใจครับ

    ขอบคุณท่านverajak ที่ช่วยกล่าวขยายกระแทกแรงๆ เผื่อว่าสนิมที่เกาะมานานอาจกระเทาะหลุดไปได้บ้างครับ อย่าไปคิดมาก คิดวิเคราะห์กรองเอาแค่สัจจธรรม ความจริง เพราะความจริง คือประโยชน์ เป็นเครื่องชำระสติปัญญาของเราครับ

    บางท่านฝึกฝนมาต่างกันต่างภูมิวาสนา ต่างสิ่งแวดล้อมต่างครูอาจารย์ ความรู้ประสพการณ์จึงมีไม่เหมือนกัน จึงอาจจะต้องพิจารณาให้ถูกต้องพอเหมาะพอควรเป็นที่ตั้งครับ สาธุ


     
  18. ณิช

    ณิช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,391
    รบกวนถามคุณก้องค่ะ
    1, ประตูที่บ้านมีเสียงดังเหมือนลูกบิดหมุนบ้าง มีการผลักหรือกระทบประตูบ้าง เสียงเหล่านี้เกิดจากกายละเอียดของใครคะ ดังอย่างนี้น่าจะเป็นปีแล้วค่ะ แต่ไม่ทุกวันนะคะมีให้เรารับรู้เป็นระยะๆค่ะ แล้วเค้าต้องการอะไรคะ ณิชมีอุทิศบุญให้ทุกๆกายทิพย์กายละเอียดที่อยู่ที่บ้านอยู่เป็นระยะค่ะ คุณก้องสื่อกับเค้าได้ไหมคะ
    2, เรื่องบ้านหลังใหม่ที่ณิชซื้อให้พ่อแม่ได้ขึ้นมาอยู่ด้วยกัน จะผ่อนหมดได้โดยเร็วไหมคะ ไม่อยากมีหนี้ก้อนใหญ่ค่ะ จะผ่อนหมดภายในสองปีไหมคะ ถ้าอยากมีเงินจ่ายหนี้หมดเร็วๆ ทำยังไงได้บ้างไหมคะ
    3, จะมีโชคลาภก้อนใหญ่เข้ามาไหมคะ จะได้ปลดหนี้บ้านค่ะ
    ขอคำแนะนำคุณก้องด้วยค่ะ อนุโมทนา สาธุค่ะ
     
  19. Tanut_sk

    Tanut_sk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +185
    สวัสดีครับ ท่าน tjs

    ตอนนี้จิตใจผมเริ่มดีขึ้นมาบ้าง กลับมาสวดมนต์

    ได้ทุกคืน อาการเศร้าเริ่มหายไป

    ตอนนี้เลยอยากขอคำปรึกษา ขอคำแนะนำหลัก

    ธรรมไปปรับใช้ คือจิตใจยังให้อภัยคนที่ทำเราเจ็บ

    ไม่ได้ แต่ไม่เคยคิดทำร้ายเขา เพียงแต่ยังนึกถึง

    สิ่งที่เขาทำกับเรา ผมอยากจะให้อภัยไม่มีเวรกรรม

    ต่อกัน จะทำเช่นไรดีครับ

    ขอบพระคุณนะครับ
     
  20. หญิงท้วม

    หญิงท้วม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2013
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +37
    ขอบคุณมากค่ะที่ให้คำแนะนำ ตอนนี้เรื่องต่างๆในชีวิตเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เริ่มได้พักผ่อนจิตใจบ้าง
    โรคเจ็บเหมือนเข็มจิ้มบ่อยป้าบอกว่าเคยเป็น แค่ดีขึ้นด้วยการกินวิตามินตัวหนึ่งและไม่กินของเย็นมาก คุณป้าบอกว่าจะช่วย
    ขอถามอีกนิดนะคะ
    1.ดวงตาข้างขวาสั้นลงรวดเร็วจนน่าตกใจค่ะ มีความกังวลใจตรงนี้ หมอตรวจบอกว่าไม่พบอะไร ควรจะแก้อย่างไรดีคะ แล้วดวงตาจะเป็นอะไรหนักรึเปล่าคะ?
    2.มีที่นาที่จะได้จากคุณพ่ออยู่บ้าง ถ้าทำอาชีพทางเกษตรกรรมพวกปลูกพืชจะเหมาะหรือเปล่า
    3.เรื่องดวงตาเห็นภาพหลอนนั้นมีโอกาสหายในชีวิตรึเปล่าคะ?
     

แชร์หน้านี้

Loading...