เรื่องจริงไม่อิงนิทาน ประสบการณ์ตั้งแต่ 3 ขวบ จนถึงอายุ 57 ปีของผม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย บุญทรงพระเครื่อง, 19 มิถุนายน 2015.

  1. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ขอเล่าต่อเลยนะครับ บางทีก็เล่าเหตุการณ์ไป หลายๆปี ข้ามช่วงที่ผมเล่าไว้แต่แรก เข้าเรื่องครับ ครั้งกระนั้น อยู่มาวันหนึ่ง ซึ่งพระ อาจารย์ เล็ก วัดท่าขนุน ท่านได้เข้าไปเยี่ยมเยียนผม และท่านจะไปหา พระโมเช่บ่อยๆ ซึ่งพระโมเช่ ในครั้งนี้ จะเป็น พระเอก ในการพาพวกเราเข้าป่าห้วยขาแข้ง อันยาวไกล เป็นเวลาหนึ่งเดือน (ก่อนที่ผมจะเล่ารายละเอียด ขอวกเข้าเรื่องส่วนตัวสักนิดครับ) คือว่าก่อนที่ผมจะเข้าป่า กับ พระโมเช่ กับ พระอาจารย์เล้ก วัดท่าขนุนนั้น ผมได้เข้าป่าห้วยขาแข้ง มาหลายวาระ แต่ไม่ ได้เข้า ไปไกลมากนัก เพราะว่า คนที่พาไป หรือพระที่พาไป ยัง รู้หรือประสบการณ์น้อย หรือไม่รู้จักทางไป นั่นเองครับ


    ไปก็แค่อย่างดีก้ ๑๐ กว่าโล ไปค้างคืน ปฏิบัติธรรม ในป่าดงดิบ ๒๐ - ๓๐ ก.ม.คงไม่เกิน ๕๐ ก.ม. แค่แนวเขตุ ป่าสงวน ป่า อุทยาน แล้วก็ เข้าเขตุห้วยขาแข้ง มันติดต่อกันครับ เขาเรียก ป่าต่อป่า ป่ากันชน ป่าท้ายเขื่อน เจ้าเณรนั่นเอง ยังไม่ลึกขนาด ไปกับ พระอาจารย์ วัดท่าขนุน มาว่าต่อเลยครับ ต้นปี พ.ศ.๓๖ น่าจะได้ เดือนนั้นเป็นเดือน ก.พ.แถวบ้านล่าง จังหวัดต่างๆ ถือว่า เป็นหน้าแล้ง อากาศเริ่มร้อนระอุ เต็มแก่ แต่ที่นี่ อากาศ เย็นสบายครับ วันนั้น เป็นวัน ที่คณะแม่ชี วัด ก.ม.๘ และคณะ พระท่านจะทำการ ขุด บ่อน้ำ (บ่อโพง) ใช้ลองเป็นบ่อวงกลม ที่ในล่องน้ำ ลำห้วยหน้าถ้ำ ตะเพินคี่ คณะแม่ชี ได้ทำการบวงสรวงบายศรี ปากชาม ก่อนขุด ซึ่งวันนี้ ก็เป็นการบังเอิญเช่นกัน ที่พวกเรา คือ พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน พระโมเช่ ในสมัยนั้น และผมเอง ซึ่ง เป็นผ้าขาว ไว้หนวดเครา
     
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    คณะพวกเราได้ออกเดินทาง ทันที ก่อนจะออกเดินทาง ขอพูดย้อนหลังนิดหนึ่งครับ ก่อนที่คณะพระและแม่ชี วัด ก.ม.๘ จะบวงสรวงนั้น ท้องฟ้าที่เคย สว่างจ้า ไม่มีอะไร และไม่นานนัก ได้มีขี้เมฆ ก่อตัว ขึ้น เป็นบริเวรกว้าง ได้มีฝนตกลงมา ฝอยๆปอยๆจนหนาเม็ด แต่ไม่มากนัก พอเดินได้แบบ สบายๆ เย็นชุ่มฉ่ำ น่าชื่นใจ แต่ผมเอง ก็มีปิติสุขใจ และได้นึกถึงคุณของ คณะพระ เทพเวดาและพรหม ท่านรับรู้ และได้อนุโมทนาสาธุการ กับคณะ ของพวกเรา ที่มีใจ ตั้งความปราถนา ในกองการกุศลครั้งนี้


    คณะของพวกเราได้เดิน ทาง ผ่าน ใกล้ หมู่บ้าน ตะเพินคี่ เดินลัดเลาะไป ตามทาง แล้ววกเข้าไร่ ของชาวบ้าน ออกทางด้านทิศใต้ มุ่งสู่ ทางเล็กๆในป่า เดินผ่าน ทางใกล้กับ ถ้ำพระฤาษี เลยแวะ ที่น้ำออก ที่พระโมเช่ ไปทำที่พักเอาไว้ และเดินลัดเลาะเรื่อยไป ลงไปตามลำห้วย ที่น้ำ ไหลมารวมตัวกันเรื่อยๆ จนไป ถึงข้างล่างสุด กายเป็นลำห้วย ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ กว่าจะลงไปถึงขนาดนั้น ต้องผ่าน ภูเขา น้อยใหญ่ หลายลูก และมอ ลดหลั่นกันไป มีแมกไม้ นานาๆพัน ขึ้นปกคลุม หนาทึบ ถ้าพวกเราไป ตามไหล่เขาหรือ ชายเขาคงไปไม่ได้ เพราะรกมาก ทั้งป่าไม้ เถาวัลย์ นาๆชนิด พันกันไปมานัวเนียไปหมด ที่เรา เลือก เอาลำห้วยเป็นที่ตั้ง เพราะเดินสดวกกว่า หลายเท่าตัว ถ้าไปแบบที่ผมบอกมา วันหนึ่งคงไปไม่ถึงไหน ๕ โลได้เปล่าไม่รู้
     
  3. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    และเราเดินกันทั้งวัน พอว่า เหนื่อย พระโมเช่ ซึ่งเป็นฆราวาส เช่นเดียว ต่างกันที่ แต่งตัว ผมก็ แต่งตัว ใส่ ชุด คล้าย สบง แต่ออกสีขาวๆ เทาๆ ในตัว ใส่ อังสะแบบพระ ใส่เสื้อ แขนยาว สีขาว ทรงกระบอก ในเอว ใช้ ผ้ารัดประคต แทน รัดเข็มกลัดการรัดเอว ในใจตั้ง ปณิธาน ถือ ศิล ๑๐ เสขิยวัตร ๗๕ ข้อ เป็นการักษาสิล ๘๕ ข้อ ซึ่งเป็นกฏระเบียบ ของวัดท่าซุง ถ้าใครบวชเณร ศิล ๑๐ ต้องรักษาข้อวัตรปฏิบัติอีก ๗๕ ข้อที่ท่าน เคยสอนไว้ ศิล ๑๐ บวก เสขิยวัตร อีก ๗๕ ข้อ เป็น ๘๕ ข้อพอดี นี่คือการเตรียมตัวไว้ก่อน ที่ผมจะบวชเณรครับ เอ่นี่ผมเล่านอกเรื่องไปแล้ว ขอเข้าเรื่องเลยครับ วันนี้ หยุดพักบ้าง เมื่อเหนื่อย น้ำที่เตรียมไป ถ้าน้ำหมด ท่านทั้งหลาย อาจคิดว่า เอาน้ำที่ไหนดื่มกัน ก็ขอบอกไว้เลยครับ ว่าเราใช้ น้ำในลำห้วย ดื่ม หรือกินกันครับ เราเอาน้ำ ที่ไหลผ่านไป ไม่เอาน้ำ ที่เป็นแอ่ง หรือไม่ไหล จะทำให้เกิดโรค มาลาเลีย หรือ โรคอีกหลายๆโรคได้น่ะครับ


    การเข้าป่า ต้องรู้ การเดินป่าไว้บ้าง พอสมควรว่า อะไรกินได้ไม่ได้ และควร บริโภค หรือกิน แบบไหนครับ และการไปในครั้งนี้ ผมเองได้ เตรียมพร้อม ด้วย ตำน้ำพริก ใส่ขวดไว้ มาด้วย พร้อมทุก สถานการณ์ เมื่อเราอยู่ป่า ของดีที่สุด คือน้ำพริกครับ ที่จะแปร สภาพ ให้เข้ากับอะไรก้ได้ ในการปรุงแต่ง อาหาร และ ในป่าครั้งนี้ ที่มากไปด้วย กล้วยป่า ใส้กล้วยป่า เป็นอาหาร สุดฮิต ที่สุด ของพวกเรา และได้หยุด กินอาหาร หรือ ฉันอาหาร ในกลางป่า ที่อุดม ไปด้วยแมกไม้ นานาๆพัน มันช่างเสกสรรปั้นแต่งไว้อย่าง กลมกลืน จริงๆครับพี่น้องทั้งหลาย ด้วยความสุข ตามภาษาพี่น้อง ที่เคย ติดตามกันมา นับชาติไม่ถ้วน ทั้งๆ ในชีวิต ตามความแห่งเป็นจริงไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ส่วนหลวงพี่ องเล็ก ก็เจอกันที่ วัดท่าซุง แต่ไม่ค่อยได้คุย กันเท่าไหร่ ไม่ค่อยสนิทกัน แต่ก็มาสนิทกันมาก ก็ครั้งนี้แหละครับ
     
  4. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    และวันนี้ก้เดินกันไปเรื่อยๆ น้ำในลำห้วย ก้ใหญ่ขึ้นไปตามลำดับ จากที่น้ำในหลายๆที่ที่ออกมาตาม ซอกเขาต่างๆ สายเล็กใหญ่ไหลมารวมตัวกันเป็น ห้วยปิ่นทอง และเข้าเขตุของเมืองกาญ อ.ศรีสวัส จนกระทั่ง ตกบ่าย คล้อยเย็นลง ท้องฟ้าก้มืดคลึ้ม ฝนนั้นคงตก ตามพวกเรามา อย่างต่อเนื่อง อันเหลือ เชื่อครับพี่น้อง และเมื่อเดินมาบรรจบ ทางลัด ของหมู่บ้านตะเพินคี่ กับ ชาวบ้าน น้ำพุที่เคยเดินไปมาหาสู่กัน เพราะว่า เป็นชนชาติ เผ่าพันธุ์เดียวกัน จึงมีความรัก กันดุจพี่น้อง ที่กลมเกลียว ชนชาติพันหนึ่งทีเดียว หลวงพี่ อ.เล็ก กับพระโมเช่ เลือกเอาที่ หมู่บ้านน้ำพุ เป็นที่พักอาศัย ในคืนนี้ครับ คือเข้าไปในวัด วันนี้ คงนอนพักผ่อน หย่อนใจกันที่ หมู่บ้าน น้ำพุกันนะครับ พี่น้องเดี๋ยวมีเวลา จะเข้ามาต่อ อดใจไว้อ่านกันต่อนะครับสวัสดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2015
  5. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    l;สวัสดีครับพี่ๆน้องๆ ที่รักทั้งหลาย วันนี้ ก็มาพบกันใหม่ ความเดิมตอนที่แล้ว มาจบลงที่หมู่บ้านน้ำพุ เขตุ อ.ศรีสวัส เมืองกาญ ที่นี่ก็เป็นหมู่บ้านชาวไทยกระเหรี่ยงเช่นเคย เป็นหมู่บ้านกันชน ระหว่าง เขตุอุทยาน แล้วก็ห้วยขาแข้ง ครับผม ก็มีคนไทยจริงๆอยู่ไม่มาก น้อยมาก ที่ได้ ผัวเมีย เป็นชาวไทยกระเหรี่ยง ที่นี่มีการพัฒนาแล้ว เจริญกว่า ชาวตะเพินคี่มาก แต่ ณ ปัจจุบัน อาจไม่แพ้กันแล้ว หรือ ที่ตะเพินคี่ อาจจะ เจริญ กว่า เพราะ ผู้นำ และ ชาวไทย และพวก ต่างชาติ เข้ามา กันหลายพวก จึงเจริญไปมาก ทีเดียวครับ


    จริงๆ ทุกหมู่บ้าน ที่พวกเรา จะผ่านเข้าไป จะเป็นป่า ดิบ ทุกพื้นที่ กว่าจะเดินถึง แต่ละหมู่บ้าน ต้องใช้เวลา นานถึง ๑ วัน หรือเกือบ วันเลยทีเดียว โดยการเดินครับ วันหนึ่งๆ ก็ หลายสิบ กิโลครับ ตั้งแต่ ๒๐ กว่ากิโล ไปจนถึง ๓๐ กว่าโล เป็นอย่างมาก หรืออาจจะถึง ๔๐ ก.ม.นี่ ก็ไม่แน่ ที่พูดเช่นนี้ เพราะ ผมเอง เคยเดิน คนเดียวนี่ เกิน กว่า ๔๐ กว่า ก.ม. ๒๐๐ กว่า ก.ม. เดินแค่ ๔ วันเท่านั้นครับ แต่เป็นที่ โล่งแจ้ง ไม่ใช่ป่า แต่ว่า การเดิน ในป่ากับ ที่โล่งแจ้ง ผิดกันราวฟ้ากับดินครับ การเดิน ในที่โล่งแจ้ง เดินยาก ลำบากมาก ตีนแตก เท้าพอง ถึงจะมีรองเท้า ก็ตาม ทางลาดยาง ลูกรัง โคตร ทรมานครับ ทั้งร้อน ทั้งเจ็บ ทั้งเหนื่อย เมื่อยล้า กระหายสารพัด ไปหมด นี่เป็นแบบนี้ ไม่เหมือน เดินในป่า ร่มรื่น เย็นสบาย ทั้งได้อัธรส ธรรมชาติ ถึง ทางทุรกันดารก็ตาม มีทั้ง สัตว์นาๆชนิด ให้พวกเราได้ เห็น เป็น กันระยะๆ ตามทาง ที่เห็นบ่อยๆคือไก่ป่า และเสียงร้องอัน หวยหวล ของพวก ชนี มีร้อนบ้าง เป็นบางครั้ง เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2015
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    มาเข้าเรื่อง สีที มันชอบ ออกนอกลู่ นอกทางเสียเรื่อย แหมก็มัน ได้อารมย์ ในการพูด มันก็เลย ออกนอกทางไปบ้าง เพื่อเรื่องบางอย่างมันจะได้ สอดคล้องกันนะครับ พวกเรา นอนค้างที่หมู่บ้าน น้ำพุ ๑ คืน ที่หมู่บ้านนี้ เจ้าอาวาส วัดนี้ เป็น พระไทยกระเหรี่ยง ชื่อ อ.บุญ และทายก ที่นี่ สนิทกับผม พอสมควรครับ เพราเคยมาเที่ยวกันบ่อยๆ เมื่อก่อนนี้ครับ นี่ไม่เคยเจอกัน ก็เกือบ ๒๐ ปีแล้วครับ เมื่อรุ่ง สาง พอได้อรุณ พวกเรา ฉันข้าวเสร็จ ก็ออกจาก หมู่บ้าน น้ำพุทันที ท่านโมเช่ พาพวกเราไปทาง หมู่บ้านตีนตก ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ว่าคงเดินกัน ลิ้นห้อยแน่ๆเชียว ท่านโมเช่ ก็บอก พวกเราว่า บางที่ ต้องเดิน แบบวิ่ง อาจจะหลงทางบ้างเล็กน้อย เพราะ นานๆที่จะผ่านมาหมู่บ้านนี้ครับ


    พวกเรา เดินลัดเลาะ มาตามทางหมู่บ้าน ออกหลังหมู่บ้านไป ข้ามทาง ผ่านทาง ที่ผู้คน จะไป น้ำเอ่อ เกลียงไกล ไกลเกลียง และกลึงไกล ท้ายเขื่อน เจ้าเณร ท่านโมเช่ พาไป ข้ามทางไปเข้าป่าไปเรื่อยๆ จนทะลุ ถึงเขาลูกหนึ่ง ซึ่งมีน้ำออก แถว บริเวรนั้นครับ พวก เราวาง สัมภาระ พักผ่อน และยึดที่แห่งนี้ กินข้าว กลางวันกัน ครับ การกินของพวกเรา ก็คือกินแบบโบราณ ใช้มือ ตักข้าวกินครับ โดยล้างมือให้สอาด ก่อนกิน เหมือนครั้ง โบราณ นั่นแหละครับ นี่ ก็เป็นวิธี ที่ถนัด ของผมทีเดียว ซึ่งปรกติ คนทั่วไป ถนัดมือข้างเดียว คือ มือขวา ส่วนผมเอง ถนัดกินได้ ทั้ง ๒ มือครับ ๒ มือนี้ ทำได้ งานบางอย่างเท่านั้นครับ
     
  7. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    วันนี้เป็นวันที่ ๒ ของพวกเรา แต่เมื่อคืน ฝนคงตกฟ้าร้อง คำราม เหมือนเดิมครับ และวันนี้ ฝนคงตก ต้อนรับคณะพวกเราไปเรื่อย หยุดพักบ้าง แต่อากาศคลื้ม อึมคลึมครับ เดินแบบสบายๆ ถึงบางครั้ง จะเหนื่อย พวกเราไม่เคย บ่น กัน เพรากำลังใจ ของพวกเราใกล้เคียงกัน ถ้า หมู่คณะ กำลังใจ ไม่ใกล้เคียงกัน คงเดินไปด้วยกันไม่ได้ หรอกครับ จะขัด ใจกันตลอด และผลสุดท้าย ก้คงแยกทางกันเดิน นั่นเอง ที่หลวปู่ปาน กับ หลวงพ่อ ฤาษี และเพื่อนของท่าน ที่ออกเดินธุดงค์ ในสมัยท่าน นี่ข้อ สำคัญ ในการเดิน ธุดงค์ มีแค่ ๓ หรือ ๔ องค์เท่านั้น ถ้ามากไป คงไม่ดีนะครับ อยู่ที่กำลังใจ จะไม่อธิบายต่อนะครับ


    เมื่อพวกเรา ฉันข้าว อิ่มได้ พอควร ก้ออกเดินทางกันต่อไปครับ ส่วนผมเอง คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะเรื่องแบบนี้ เราเป็นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว และก่อนจะเข้ามา ผมก็ได้เข้าป่า เป็นระยะๆอยู่แล้ว และข้อสำคัญ ได้ ออกลงไปข้างล่าง หาบของขึ้นเขา ทั้งพรรษา จะไม่ได้เปรียบได้ไงครับพี่น้อง ส่วนท่านโมเช่ เคยเดินป่า มาตลอด เพื่อไปหา พี่น้อง ชาวไทยกระเหรี่ยง ในหลายๆหมู่บ้าน ตลอด และ หลวงพี่ อ.เล็ก ท่านก้เคยเข้ามาแล้ว บ้าง ที่ท่านเล่ามา และท่านเคยฝึก รับราชการมาแล้ว เป็น ทหารหรือ ตำรวจ ก็จำไม่ได้แล้ว ระดับนายร้อย ทีเดียว ไอ้เราไม่เคยสนใจ ว่า ท่านเป็นอะไรมา เลยไม่รู่เรื่องของท่านเท่าไหร่ เหมือนพระ โมเช่นั่นแหละครับ
     
  8. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    เมื่อเดินมา ได้ ระยะหนึ่ง ก่อนจะลงเขา ไปด้านล่าง เดินกัน เหนื่อยล้ามากครับ ต้องเดิน แบบคล้ายวิ่ง เพราะจะต้องลงไปนอน ในป่าข้างล่าง ที่เรียก ขานกันว่า หมู่บ้านตีนตก เมื่อมาถึง ข้างล่าง ต้องผ่าน ภูเขาสูงชัน สลับซับซ้อน ลงไปข้างล่างเล่นเอา เหนือย เรียกเหงื่อ ให้ได้เห็นกันทีเดียว ทั้งๆอากาศเย็น ร่มคลึ้ม เมื่อ พวกเรา มาถึงลำห้วย ตีนตก ก็หา ที่เหมาะๆ ใกล้ลำห้วย ปรักกฎ กันจ้าละหวั่น แล้วผมกับ ท่านโมเช่ ก็ออกไป หาฟืน มากองๆไว้ เพื่อ จุดสุมไฟ ไว้ให้พอทั้ง คืน ในป่าไม่ต้องห่วงครับ ฟืนแห้งเยอะ หาง่าย เก็บแค่พักเดียว ก็ได้ ดังสมหมายปอง พวกเราก็ ลงอาบน้ำอาบท่า ในลำห้วย แบบสบายใจ ตามแบบฉบับของพวกเราครับ น้ำในป่าไม่ต้องพูดถึง ถึงจะอยู่ในป่านเป็นหน้าแล้ง แต่น้ำ คงเย็นเจี๊ยบ ทีเดียว ยิ่งอากาศ คลึ้มๆเช่นนี้ ยิ่งแล้วใหญ่


    เมื่อได้เวลา ใกล้มืด ผมกับพระโมเช่ ก็ช่วยกัน จุดไฟ ส่วนใหญ่ ท่านโมเช่ จะชิง ทำเสียมากกว่า แต่นิสัยผมแล้ว คงไม่เอาเปรียบ ต้องรีบ ช่วยทำ เพราะเราเอง ไม่ใช่พระ เป็นแค่เพียง นักบวชเท่านั้น ไม่ต้องกลัว ในด้านเรื่องของพระวินัยครับ เมื่อ มืดลง พวกเรา ต่างคนต่างองค์ เจริญสมณธรรม ตามแบบฉบับ ของใครของมัน ที่เรียนมา และก็คงไม่พ้น คล้ายคลึงกัน แต่ว่า ใคจะ มีความ เจริญก้าวหน้า นั่น ข้อสำคัญ ส่วนใหญ่บางครั้ง หลวงพี่ อ.เล็ก ท่านจะบอก พระมาบอก ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนผมน่ะเหรอ สบายมากครับ ไม่รู้เลยครับ เพราะว่า ติดต่อ ผี หรือพระกับเขาไม่เป็น ถ้าผีหรือเทวดา ไม่มาให้เห็น เมินเสียเถอะ เหมือน ถ้าจะพูด ก็บอกได้ว่า หลับตาคลำช้าง หรือหลับตา ในที่มืด นั่นเอง ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  9. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    วันนี้ เมื่อตื่น มาแล้ว ตี ๓ หรือตี ๔ เจริญสมณะธรรมแล้ว ท่านโมเช่ ได้ ทำอาหาร ไว้รอ ผมเอง ก็ได้เตรียม น้ำพริก ที่เตรียมมา ต่างคนต่างไปหา พักป่า ตามลำห้วย ซึ่งเยอะมาก มาพอสมควรแล้วอาหาร เมื่อ เสร็จภารกิจ ก็เริ่มออกเดินทาง ต่อกัน ไปครับ วันนี้เป็นวันที่ ๓ ของการเดินทาง ผ่านไปเรื่อยๆ ผ่านวัดถ้ำ องจุ นาสวน ซึ่งเป็น บ้านเกิน ของ อ.โจ ซึ่งในสมัยนั้น แกเป็นเจ้าอาวาส วัดบ้านกล้วย ซึ่งผมเอง ก็รู้จักบ้านพ่อ ของแกดี และท่านเจ้าอาวาส วัดถ้ำ องจุ ก็รู้จักกัน แต่ไม่ค่อย สนิท ตอนนี้ ท่านคงจำผมไม่ได้แล้วครับ และเดินผ่านทางไป ถึง วัดนาสวน วันนี้ คงนอนค้าง ที่ วัดนาสวน หนึ่งคืน


    เมื่อตกกลางคืน พี่ๆน้องๆ ที่เคารพ ฝนฟ้า คนอง มาก ฝนที่เคยตกมาแล้วถึง ๓ วัน ก็แค่ตก แบบพอเปรียก ไม่มากนัก ปอยๆบ้าง แต่คืนนี้ ที่นี่ น้ำฝน ตกลงมา แบบชนิด เทลงมาเลยครับ ทั้งฟ้าร้องคำราม ฟ้าผ่า ฟ้าแลบ ร้องระงม ฝน คนองไปทั่ว อนาบริเวนนั้น ไม่น่าเชื่อจริงๆ ฝนตกลงมา ยิ่งกว่าหน้าฝนเสียอีก และคง น่าจะ ใกล้ สิ้นปลายเดือน ก.พ. ๓๖ ทั้งเป็นหน้าแล้งแท้ๆ เกิดมาทั้งชีวิต พึ่งเคยเจอครับ แบบนี้ วันนี้ คงนอนค้างที่ วัดนาสวน อ.ศรีสวัสต่อไป วันนี้คงจบลง ไว้แค่นี้ก่อนครับ สวัสดีครับ
     
  10. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน วันนี้ก็มาพบกันเช่นเคย ความเดิมตอนที่แล้ว มาจบลงตอน นอนค้างที่ วัดนาสวน อ.ศรีสวัสของ เมืองกาญ วันนี้ก็คงเป็นวันที่ ๔ ของพวกเราเมื่อฉันเช้าแล้ว ก็ออกเดินทางต่อไป คือ หาทาง ไปท่าเรือ ในเขื่อน ศรีนครินทร์ (เขื่อนเจ้าเณร) ต้องบอกบ่อยๆหน่อยนะครับ พวกท่านทั้งหลาย จะได้ช่วยกันจำไว้ว่า เขื่อน เจ้าเณร ที่ชาวบ้านท้องถิ่นทั่วไป เรียกขานกัน เป็นปรกติ จนติดปาก ก็คือชื่อเต็ม เขื่อนศรีนครินทร์ เมื่อหาเรือ ได้แล้ว ก็พากันลงเรือ จากนาสวน นั่งเรือ ประมาณ ๒ ชั่วโมงกว่าๆ หรือ ๓ โมง ไม่แน่ใจนัก เวลาจำไม่ได้ ไม่สำคัญๆที่เนื้อเรื่องครับ และมาลง ที่ท่าเรือ ขึ้นที่ ท่า องหลุ วันนี้ก็อากาศดี พอสมควร ฝนฟ้าคลื้ม อึมคลึม เหมือนที่ผ่านมาครับ เป็นวันที่ ๔ ของการเดินทาง เมื่อมาขึ้นที่ท่า ทางมาองหลุ เวลาน่าจะ ใกล้ๆเพล หรือ เพลแล้ว ก็ไม่แน่ใจ เวลา มันผ่านมา ๒๐ ปีเศษแล้ว พี่น้อง


    เมื่อขึ้นจากเรือแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางต่อไป ตามทาง ลูกรัง ซึ่ง ๒ ข้างทางก็จะเป็น ไร่ ข้าวนาสวนผสม ไร่ล้มลุก ที่ชาวไทย กระเหรียง ปลูกไว้กินกัน ในยาม ทุกหน้า ฝน หน้าแล้ง หน้าหนาว ปลูกไว้เพียงพอ กับ การบริโภค ของชาวบ้าน ในปัจจุบัน คง โล่งเตียนเฮี้ยนเต้ไปเกือบหมดแล้ว เพราะวิธีการ ปลูก แบบในสมัยใหม่ และการ แกร่งแย่ง ชิงดีเด่นกัน เหมือน คนบ้านล่างทั่วไป ขนบธรรมเนียม ประเพณี ที่เคยดีงาม ก็คงไม่พ้น นอกจารีตประเพณีออกไป ห่างออกไปไม่ไกลนัก ก็จะเป็นภูเขา สูงชัน สลับซับซ้อน เป็นแนวยาวตลอด ทั้ง ฝั่งข้าง มีทั้งไกล้ และไกล ก็จะเป็น บ้าน คนไทยบ้าง ชาวเขาบ้าง ปะปลายในสมัยนั้น เดียวนี้ คงเกลื่ยน ด้วยผู้คน ที่มีมากขึ้น เป็นเงาตามตัว
     
  11. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    วันนี้การเดินทาง ของพวกเราเรียกเหงื่อ ได้มากทีเดียวครับ เพราะ ไม่มีต้นไม้ เหมือนเดินในป่า มันเป็นทางลูกรัง ดีนะว่า ท้องฟ้า คลึ้ม ร่มลมตก นี่ช่วยได้มากเลยทีเดียวครับ ไม่งั้น คงเหื่อแตกพักๆๆๆๆๆๆๆๆตลอดทาง ขนาด ไม่มีแดด เหงื่อยังออกขนาดนี้ครับ คือ เปียกไปแทบทั้งตัว เมื่อมาถึง วัดองหลุ ก็ไปพักที่ ไกล้วัด หรือไง จำไม่ได้ หรือในป่าไม่แน่ใจ มันนานแล้ว เพราะว่า ปี ๔๕ ไม่แน่ใจ ว่าถึงปี ๔๗ เปล่า ผมเองได้พาพระ วัดท่าซุง ไปเดินธุดงค์อีก ๔ องค์ เลยทำให้สับสนเนื้อเรื่องนิดหน่อยครับ


    เอาข้อ ความจริง ก็แล้วกันครับ เรื่องผิดเพี้ยน นิดหน่อย ไม่เป็นไร คงความเดิมไว้ครับ เรื่องมันห่างกัน เป็น ๑๐ๆ ปี ป่ามันก็แตกต่างออกไปครับ และ หมู่บ้านก็เจริญก้าวหน้าขึ้น ป่าบางพื้นที่ จำไม่ได้เลย ต้องอาศัย คลำ พื้นที่ เดิมหลักๆ ไว้ ยิ่ง ที่ไหน มีสัตว์ หรือป่า มันจะ ทึบขึ้น ทางบางตอน เปลี่ยนทิศทาง นอกจากลำห้วย (แม้ในลำห้วย ปีไหน ที่มีการ ฝนตกมากน้ำไหลหลาก) ทำให้ห้วยลำธาร เปลี่ยนแปลง การขนานใหญ่ ครับ นี่คือ ประสบในการ ที่เห็นมา ห้วยที่เคยเล็กนิดเดียว อาจจะกว้างใหญ่กว่าเดิมอีก หลายเท่า ทางน้ำไหล ก็มีการเปลี่ยนแปลง ได้ เสมอๆ และคนที่เคยอยู่ใกล้ป่า หรือเข้าป่า ไม่มีใครเก่งกว่าป่าหรอกครับ มันเป็นเรื่อง อัศจรรย์พันลึก มาแต่โบราณการแล้วครับ และมันก็จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
     
  12. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    คืนนี้คงนอนค้าง ที่ ใกล้ วัดองหลุ เมื่อรุ่งเช้า อรุโณทัยแล้ว เมื่อฉันเสร็จ พวกคณะของเราก็ออกเดินทาง ต่อไป เรียบเคียง ไปทาง วัด ผ่าน โรงเรียน บ้านองหลุ และค่อยๆ เรียบขึ้น เขาอันลาดชันไปเรื่อยๆ เมื่อขึ้นไป ก้ผ่านป่า ดิบไปเรื่อยๆ มีทั้ง ลาดราบ และเป็นเนิน เป็นทางเดิน ของคนเดิน เท่านั้น ซึ่งเมื่อเดินไปแล้ว บางที่ ก็ต้นไม้เล็ก ระตับของพวกเรา ถ้ามีหนาม ก็ใช้มีดที่เตรียมไป ฟันออกไป ไม่ให้ไม้ดีด หรือ รัดคนที่มาข้างหลังได้ หน้าที่อันนี้ เป็นของท่านโมเช่ มัคคุเทศ คนสำคัญ ของพวกเราครับ แล้ว ก็ค่อยๆ เดิน ขึ้นเขา อันสูงชัน สลับซับซ้อน เลี้ยว ซ้ายและขวา วนไปตาม ไหล่เขา ที่เดิน ที่ชาวบ้าน ใช้ สันจรไปมาหาสู่กัน ต่อ หมู่บ้านต่อหมู่บ้าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านกันชน ใช้ในการ เดิน ด้วยตีน หรือเท้านั่นเองครับ


    นี่การเดิน มันร่มรื่น เพราะเป็นป่า มันจึงไม่ค่อยร้อนนัก ไอ้ที่ร้อน น่ะก้เพราะ มันเหนื่อย และทำให้เหงื่ออก และวันนี้ วันที่ ๕ ของการเดินทาง ก็ฝนฟ้า คง คลึ้ม และตกปอยๆฝอย แล้วแต่ท่าน จะสงเคราะครับ ผมขอบอกก่อนนะครับ เผื่อท่านที่เข้ามาอ่าน ฝนฟ้า บ้อบอคอแตก อะไร จะมาตก หน้าแล้ง และตก มาโดยตลอด ที่พวกคณะ ของเราเดินทางกัน ผมเอง ก้ไม้รู้หรอกนะ เป็นเพราะอะไร แต่อยากจะเล่าท่านผู้อ่าน กัน ช่วยกัน วิเคราะก้แล้วกันครับ ฝนนั้น ตกจริงๆ ทั้งหมด ที่ผม จดบรรทึกเอาไว้ น่าจะ ทั้ง หมด ฝนตก ๑๓ วันครึ่ง หรือ ๑๔ วันครึ่งนี่แหละครับ และให้ท่านผู้อ่านติดตาม อ่านกันต่อไป ครับ ว่า ทุกๆหมู่บ้าน สามารถ พิสูตรได้ ว่ามีจริง ที่ผมเล่ามา ไม่ใช่ มาโมเม เล่าใช้ปากลม พ่นพิษให้ฟังกัน และในป่าห้วยขาแข้ง ไปถึงกันตรงไหน ป่าไหน เป็นสัญลักษ์ และนักเดินป่า เขาเรียกขานกัน พิสูตรได้ ทุกๆที่ๆครับ ถึงให้มันผ่านมา เป็นหลายๆสิบปีก็ตาม อย่างน้อย ต้นตอเดิม มันยังอยู่ ในจุดสำคัญครับ
     
  13. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    เมื่อเดิน ขึ้นเขา เรียกเหงื่อ ให้ได้ เปียกปอน พอสมควร ไปถึง ยอด อันสุงสุด ของลูกเขา ที่ ทอด ลดหลั่น เป็นมอเล็ก มอน้อย จนถึงยอด อันสูงสุด ใช้เวล นับชั่วๆโมง ถ้าคนข้างล่าง ที่ไม่เคย เข้าป่า เขาลำเนาไพร ต้องหยุดพัก กันหลายครั้งครับ และต้องใช้เวลาในการเดินทาง หลายชั่วโมง ผมเองเคย ลองทดสอบดู กับคนข้างล่างมาแล้ว ผมเดิน แค่ ไม่ถึง ๒๐ นาที ถึงยอดเขา ใหญ่ อ.ด่านช้าง คนข้างล่างเดิน ใช้เวลา เกือบ ๒ ชั่วโมง หรือ ตก ๒ ชั่วโมงกว่าๆ นี่มันเป็นแบบนี้ครับ ถึงได้พูด คนที่ชำนาญ กับคนไม่เคยเดิน มันต่างกันแบบนี้


    เมื่อมาถึง ยอดเกือบสุด ได้พักผ่อน ฉันข้าวเพล บนนี้ เพราะว่า มีน้ำออก บนยอดเขา เป็นที่ร่มรื่น และบางจุด ก็มี ทาก บ้างเหมือนกัน เพราะ เป็นป่าดิบชื้น ตลอด ทากจึง อาศัยอยู่บ้าง จึงต้องระวังตัวกันหน่อย น่ะครับ เมื่อ ขอพูดเรื่อง อาหารหน่อย บางที่ ผู้อ่าน อาจจะสับสน ในเรื่องการกิน จริงๆคณะพวกเรา ฉันข้าวมื้อเดียว เท่านั้น บางทีท้องเรื่อง อาจบอกว่า หยุดฉันอาหาร ต้องขออภัยด้วยครับ การพิมพ์ อาจผิดพาดได้ จึงขอแก้ไว้ ณ ที่นี้เลยครับ และเมื่อพิมพ์ ไล้วคงไม่ได้ ไปทวน แก้กันอีกครับ เพราะเวลา คงไม่มีให้ ไปแก้กัน และคงไม่มีใคร มาอ่านรอบ ๒ อีกแล้วครับ นอกจาก คนใหม่มาอ่านต่อ ครับ วันนี้พวกเราเดิน ผ่านมาถึง ที่แรกเลยคือ สำนักสงฆ์ คิตี้ล่าง แล้วพวกเราก็พากันเดิน ผ่านหมู่บ้าน คิตี้ล่าง กะว่าไปค้างกันที่ น้ำตก คิตี้ล่าง ซึ่งเป็นน้ำตก ที่สวยงามมาก อีกน้ำตกหนึ่งทีเดียวครับ
     
  14. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    เมื่อมาถึง ที่น้ำตก ก้เล่นเอา เย็น มากแล้ว เมื่อหาที่กลางกรด กันได้แล้ว ต่างคน ต่างกลางกรด ก็หาฟืน มาไว้ จุดตอนกลางคืน พอก็เริ่ม ไปเที่ยวดู น้ำตก อาบน้ำท่าน ไม่ขอเล่ารายละเอียด นะครับ ถึงเล่าก็จำไม่ได้แล้วครับ คืนนี้ ขอค้าง ที่น้ำตก คิตี้ล่าง ๑ คืน ก้แล้วกัน แล้ววันพรุ่ง ก็จะได้ ออกเดินทางกันต่อไป วันนี้คงทำหน้าที่เช่นเดียวกับทุกๆวัน และ ฝนก็ยังทำหน้า ตกปอยๆ ท้องฟ้าเปิด แดด ออกบ้าง สลับกันไปครับ วันนี้จึงราตรี สวัส กับพี่ๆน้องๆทุกๆท่าน เรามานอนค้าง ที่น้ำตก คิตี้ล่างด้วยจร้า สวัสดี
     
  15. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน วันนี้ก็มาพบกันใหม่ เช่นเคย เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว คณะพวกเรา ก็ออกเดินทางต่อไป คือเดินวก มาที่ หมู่บ้าน คิตี้ล่าง จะต้องเดินวกออกไปตามทาง ซึ่งมีต้นไม้ สองฝั่งทาง เป็นร่มกั้นให้กับพวกเราได้เดิน ทางโดยสดวกขึ้น วันนี้พวกเราจะไปที่ วัด หรือ สำนักสงฆ์ คิตี้บน ซึ่งมีถนนหนทาง ไปถึงใกล้ กับ อ.ทองผาภูมิ ครับ เดินผ่านไปตก ครึ่งวันกว่าๆ ก็เห็นเหมืองแร่เก่า ที่ทางบริษัท เหมืองแร่ได้ สัมประทาน เมือง ทำแร่ ซึ่งแทบจะปิด กิจการอยู่แล้ว ตอนระยะ หลัง เคยดูทีวี มีข่าว เรื่อง สารพิษต่างๆที่เกิดจากแร่


    เมื่อเดิน มาถึง สำนักสงฆ์ คิตี้ บนแล้ว ก็เข้าไป สนธนา กับพระ หลวงพี่ พระ อ.เล็ก ท่านได้ สนธนากับ หลวงปู่เนป่อง ซึ่งเป็นพระ ไทยกระเหรียง อายุ ๙๐ ปีขึ้นไปจำไม่ได้นะครับว่า ๙๐ ปีเท่าไหร่ อายุท่านดูยังแข็งแรง หลวงพี่ อ.เล็ก คุยกันนานมาก และท่านได้เรียนวิชา ทำ ตระกรุด จากหลวงปู่เนป่อง ผมจำได้มาหน่อยหนึ่ง ท่านเคยยิง หมูโทน น้ำหนัก ๑๐๐ กว่าโล ท่านได้แบก หาบคนเดียวขึ้น เขา ลงห้วย หลายลูก กว่าจะนำมาถึงบ้านที่ท่านเป็นฆราวาส อยู่ในคณะนั้น ผมเองไม่ได้ สนใจเท่าใดนัก นอกจาก หลวงพี่ อ.เล็ก วัดท่าขนุนเท่านั้น ท่านเรียน พระคาถา ๓ แถว จากหลวงปู่ เนป่อง ทวนให้ฟัง ๒ ครั้งหรือไงนี่แหละ หลวงพี่ อ.เล็ก ถึงกับ ท่องได้ ป๋อเลย ถ้าเป็นผม คงต้องใช้ กระดาษ จดไปท่อง อย่างน้อย ก็หลายชั่วโมงถึงจะท่องได้น่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2015
  16. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    และวันนี้คงนอนค้างกันที่ สำนักสงฆ์ คิตี้บน กันต่อไป อีก หนึ่งคืน และเมื่อได้เวลา รุ่งเช้า ก็ออกเดินทางกันต่อไปครับ เดินไปเรื่อยๆ ตามทางของพวก อนุรักษ์ห้วยขาแข้ง และเดินทางผ่านเข้าไป ในเขตุ ป่าอุทยาน ทุ่งใหญ่นเรศวร ระยะทาง ที่อ่านดู ก็ ๙๐ กว่า กม. ก็จะถึง หมู่บ้านจะแก ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ชายแดนไทยกับพม่า ทางที่เราผ่านมา เป็นป่าดิบ บวกด้วย อนุรักษ์ ที่รักษาเขตุป่าเอาไว้ อยู่เป็นจุดๆห่างกันถึง หลายสิบ ก.ม. เดินปเรื่อยๆ ร้อนบ้าง เย็นบ้าน เย็นบ้าง ตามเหตุการ ท้องฟ้าเริ่มเปิดบ้างเป็นบางคา และมีแดดออก สลับกันไป ด้วยเดินทางไกล ทำให้เหงื่ออกมาอย่างได้เปียกปอนไปตามๆกัน


    และก็ต่อด้วย การเดินทางของพวกเรา ก้เข้า วันที่ ๙ ที่ ๑๐ แล้ว เมื่อมาถึง ผมไม่แน่ใจน่ะว่า มาค้าง ที่ห้วยเซซ่าโหว่ ๒ คืนหรือเปล่า จะไม่ได้ ก่อนที่คณะของพวกเรา แวะเข้า เดินเข้าไปในป่าใหญ่ ห้วยขาแข้ง ติดต่อกับ ทุ่งใหญ่นเรศวร และก่อนที่จะเข้า ในดงดิบ ที่ไม่ต้องเจอ บ้านคนผู้คนอีกเลย ถึงวันที่ หลังจาก ที่ มาจากหมู่บ้านคิตี้ บนก็ไม่มีบ้านคนแล้วครับ เป็นป่าล้วนๆ เพียงแต่ มีทางรถยนต์ ของเจ้าหน้าที่เท่านั้น ที่ผ่านมา คือ ป่าต่อ ป่าเดินกันเกือบวันบ้าง หรือไม่ถึงวันบ้าง แต่คราวนี้ จะเข้าป่า ดิบเลยครับ ที่มีสัตว์ป่านานานชนิด มากมาย ที่ไม่อาจเดาได้ว่า คณะพวกเราจะเจอ กับอะไร
     
  17. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    พวกเราคงค้างหลายคืนหน่อยครับ ที่ห้วยเซซ่าโหว่ มีปลา ในลำห้วย มากมาย หางแดง คล้ายปลาตะเพียน น่าจะเป็นกระสูบ และตะเพียน หางแดง และปลาสร้อย กุ้ง อากาศที่นี่ เริ่มหนาว จัด เหมือนหน้าหนาว บ้านเราข้างล่างเลยครับ ทั้งๆหน้าร้อน เดือน มีนาคม ๓๖ หรือ ส่วนใหญ่ จะหนาวกว่าหลายเท่า เมื่ออยู่ที่นี่ ผ่านมา ได้ น่าจะ เป็นวันที่ ๑๓ หรือ ๑๔ แล้วแหละครับ ที่ผมเคยบอกว่า ฝนตกลง ที่ผมได้จด บันทึกเอาไว้ น่าจะ ๑๓ วันครึ่ง หรือ ๑๔ วันครึ่ง ถ้าผิด คงผิดแค่วันเดียวครับผม อย่างต่ำคือ ๑๓ วันครึ่ง



    วันนี้ก็เดินรัดเราะไปในป่า ที่เป็นทุ่งหญ้า สำหรับ เป็นอาหาร สัตว์ ป่าเช่น ช้าง เสือ เก้งกวาง ข้างบ่างชนี สัตว์อื่นอีกมากมาย กระทิง มหิงสา ควายป่า วัวป่า อะไรประเภทเนี้ยครับ ถ้าควายป่านี่ ในห้วยขาแข้ง ถือว่าเยอะมากครับ กระทิง ที่เจ้าหน้าที่เคยสำรวจ ปรากฎว่า ฝูงใหญ่ สูงสุดมีถึง ๘๐ กว่าตัวเลยครับ เดินไปตามป่า บางที่เจอ ต้นมะขามป้อม ที่ออกลูก ดกมาก ไม่มีใบ ติดเลย ออกลูก กิ่งก้าน ลู่มีแต่ลูก ไม่เคยนึกอยากจะกินเลย แต่เวลาอยากจะกิน วันไหน ขึ้นมา ไม่เคยเจอ แม้แต่ต้นเดียว ถ้าเห็นก็คงเป็นต้นไม่ใหญ่ และไม่มีลูก นี่แค่อยากนะครับ เมื่อเดินผ่านไป ตะวันบ่ายคล้อย ใกล้เย็นมากแล้ว คณะพวกเราก็ หาที่ ปรักกด ในป่าดงดิบ ทันที และช่วยกันหาฟืน มาไว้เป็นกองๆ ไว้จุดกลางคืน เพื่อป้อง กันสัตว์ ป่านาๆชนิด มาทำร้าย
     
  18. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ที่ตรงนี้ แทบหาน้ำ มาอาจหรือ ต้มกิน แทบไม่มี จะไปต่อ คงไม่ได้ครับ เพราะจะมืดแล้ว เมื่อทำความสอาด สถานที่ของแต่ละคน ไม่เสร็จดี ท้องฟ้า ก็เริ่ม มืดคลึม ลม กันโชก แรงมาก และไม่เคยมีมาก่อนเลย ต้นไม้ น้อยใหญ่ เมื่อโดน ลมพายุ โหม กระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ก็โอนเอน พิ้วไหว ไปตามแรงลม ทำให้พวกเรา วิตกกันว่า ถ้าฝนตก คง กันฝนไม่ได้แน่ เพราะมันแรงเกิน ขนาด กดที่ปรักไว้ ปิวว่อน เอาไม่อยู่ ต้นไม้ ก็กันไม่ได้ ถ้าไม่มี ต้นไม้ กอไผ่แล้วละก้อ คงปิวไป กับลม แล้วแหละครับ



    ในคณะนั้น หลวงพี่ อ.เล็ก ก็ตระโกน บอกว่า เฮ้ยพวกเรา เก็บกด เถอะ ขอแหกคอก ครูอาจารย์หน่อย ไม่ไหวแล้ว ยังไงๆ ไม่สนแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วนี่ ก็บังเอิญ ที่ตรงนั้น ไม่ไกลนัก มีแง่ ชเง้อ หิน อยู่แง่หนึ่ง พวกเราไม่ทันเก็บกฎทัน ฝนก็ตกลงมา อย่างไม่ลืมหูลืมตา ลูกเห็บ ก็ลงมาอย่างกะว่าจะถล่มถลาย อย่างบ้าคลั่ง ลูกเห็บ เท่าลูก อีโป้งบ้าง เล็กกว่าใหญ่กว่าบ้าง ขาวโพลน หมดไปทั่วทั้งป่าเลยทีเดียว ต้นไม้ใหญ่น้อยไม่ยอมหยุด กับโหมกระหน่ำ ว่าจะทำลาย ป่าทั้งป่าให้พินาศ ไปโดยบัดดล ที่ๆเราอยู่ นั้นอยู่ไกล้กับลำห้วย ที่ตอนเย็น ที่เรามาค้าง ไม่มีน้ำ ๆ ทันใดนั้น พวกเราได้ยิน เสียง น้ำ ไหล ดังมาดังพลักๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆซู่ซ่าระงม เป็นได้ไง พวกเราต่างอุทานออกไป มืดๆก็มืด แต่ท่านโมเช่ พยายาม เอา เชื้อไฟ จุดไฟ ให้ สว่างขึ้น และเอาไม้ ที่โดนฝน มาพิง ผิงไฟ ให้มันแห้ง อากาศ หนาวเย็น หนาวเหน็บ เกิดขึ้น เพราะไอฝน น้ำฝน กระเด็น เปียกกันบ้าง ข้าวของที่ถูก ไอฝน ทำให้ ผ้าผ่อน ท่อนสไบ เปียกกันบ้างพอควร
     
  19. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    วันนี้ต้อง อดทน ทั้งหนาวเหน็บพอควร คณะเรา คืนนี้ คงต้องไม่ได้นอน แน่ๆเพราะได้ถอนกฎ ออกมาอยู่ ในเงือมผาที่เราอยู่ รวมกันแล้ว ต่างก็ผิงไฟ อยู่แบบนั้นกัน ทั้คืน โดยไม่ได้นอน จะหลับบ้างก็ นั่งหลับเอาครับ เพราะ ที่ทางแถวนั้น ไม่มีที่ไหน ไม่เปียกปอน ไม่มีเลย เสียงน้ำไหล ฟังดู่นฟังมากๆเลย น้ำที่ไม่เคยมี แต่กับมีน้ำเสียงดัง ให้เรายิน กัน อย่างนึกไม่ถึงทีเดียว วันนี้ก็ขอพักผ่อน อยู่ที่นี่ก่อนนะครับ เพราะเจอเหตุการ ครั้งสุดท้าย ทีฝน อำลาพวกเราไป ตก ๑๓ วันครึ่ง หรือ ๑๔ วันครึ่งครับ สวัสดี
     
  20. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน วันนี้ก็ได้มาพบกันเช่นเคย เมื่อวาน ได้ นอนค้างคืน อยู่ที่ในป่าดงดิบ พื้นที่ ทุ่งใหญ่ นเรศวร กับห้วยขาแข้ง ซึ่งกินบริเวณ กว้างพอสมควรครับ ขอเกริ่น ให้ฟัง สักนิดนะครับเรื่อง พื้นที่ ของอุทยาน ทุ่งใหญ่ นเรศวร กับพื้นที่ห้วยขาแข้ง ถ้าจำไม่ผิด คือ ในสมัยที่ผม เป็น คณะกรรม อุทยานพุเตย และเป็นคณะ กรรมการ ห้วยขาแข้ง ของ จังหวัด สุพรรณบุรี ซึ่ง ห้วยขาแข้ง กินเนื้อที่ ติดต่อกัน ถึง ๖ จังหวัด ซึ่ง มีพื้นที่ ติดกัน มีพื้นที่ทั้งหมด ๑๑ ล้าน ๗ แสนไร่ ๑๑,๗๐๐,๐๐๐ ไร่ โดยประมาณ ซึ่งเป็น เนื้อที่ ที่เป็นป่าดงดิบ ใหญ่ที่สุด ในเอเซีย และใหญ่ที่สุดในโลก


    เจ้าหน้าที่ ระดับ สูงๆ เขาเล่าให้ฟัง ก็น่าจะจริงนะครับ ในเนื้อที่ ๆเราได้เห็น ในสารคดีต่างๆ ที่มี สัตว์ป่านานาๆชนิด มากมาย ที่เราได้เห็นมันใหญ่ กว่าประเทศไทย ของเราอีก แต่ว่ามันไม่ใช่ ป่าดงดิบ แต่มันเป็น ป่าหญ้าบ้าง ป่าดิบบ้างสลับกันไป ซึ่งไม่ใหญ่อะไรมากนัก จะใหญ่ หรือก็เพราะเนื้อที่ เท่านั้นครับ ไม่ใช่เป็นป่าทั้งหมด และเป็นพืนป่า ที่ใหญ ที่สุดของไทยเราเหมือนกันครับ อุทยานแห่งอื่นๆ ก็ไม่มากนัก ที่รองลงไปก็ อุทยาน อนุรักษ์ เขาใหญ่ มรดกโลก แห่งที่ ๒ ของไทยเรา ซึ่งมีเนื้อที่ ๒ ล้านกว่าไร่ นอกนั้น ที่อื่นๆ ก็ไม่กี่แสนไร่ ลดหลั่นกันไปครับ อุทยานในประเทศไทย ทั้งหมด ถ้าจำไม่ผิด ก็ตกใกล้ ๒๐ แห่ง ทั่วประเทศ ผิดขออภัยครับ จำไม่ค่อยได้แล้วครับ มันนานมากแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...