โทษละเมิดพระวินัย" โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน สุวรรณมัจฉาปลาทองปากเหม็น2

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 2 กันยายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    โทษละเมิดพระวินัย" โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน สุวรรณมัจฉาปลาทองปากเหม็น2
    [​IMG]
    สำหรับเรื่องท่านกปิลภิกขุนี่ ในตอนก่อนก็มายับยั้งอยู่ที่แค่ว่า บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่ทรงคุณความดี อาจจะเป็นนักปริยัติที่มีความเข้าใจดีก็ได้ อาจจะเป็นพระอรหันต์ก็ได้ สมัยโน้นพระอรหันต์มีมาก ท่านแนะนำท่านกปิลภิกขุ ท่านก็ไม่ยอมรับฟัง แถมกล่าวโทษ ติเตียน ด่าว่าบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น เพราะความเมาในลาภ

    ขอย้อนนิดว่า ท่านกล่าวว่า ดูก่อน อาวุโสกปิละ ท่านกล่าวอย่างนั้นมันก็ไม่ถูก มันไม่ถูกตามพระธรรมวินัย ท่านกล่าวคลาดเคลื่อนจากพระธรรมวินัยไปเสียแล้ว พระพุทธเจ้ากล่าวอย่างนี้ อย่าบิดเบือน อย่าส่งเสริม อย่าต่อเติม เพราะว่าพระธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสอนมาดีครบถ้วนทุกอย่าง

    สำหรับท่านกปิลภิกขุ หรือท่านกปิล ท่านเมาอยู่ในความรู้ ถือว่าตัวรู้มาก วิเศษมาก ทรงพระไตรปิฎก ก็เกิดอารมณ์พลุ่งพล่าน โมโหขึ้นหน้า จึงกล่าว กล่าวขู่ตะคอกบรรดาพระภิกษุทั้งหลายผู้ทักท้วงเหล่านั้นว่า “พวกท่านจะไปรู้ประสีประสาอะไร เพราะว่าพวกท่านเป็นคนเหมือนกับคนมือเปล่า ไม่ได้เล่าเรียนอะไร อย่ามานั่งเถียงผมนะ ผมจบพระไตรปิฎก ความจริงจบพระไตรปิฎกนี่

    เขาเรียกกันว่า เสือกระดาษ ไม่มีความหมาย เรื่องของท่านพูดต่อไป ท่านก็พูดว่า ท่านพูดต่อไปด้วยอำนาจทิฐิมานะว่า ใครๆ ไม่วิเศษไปกว่าผมได้ ลูกศิษย์ลูกหา ผมเยอะแยะไป เป็นอันว่าท่านเมาทั้งในลาภ เมาทั้งในยศ เมาทั้งสรรเสริญ เมาทั้งสุข เมื่อมีลูกศิษย์ลูกหามาก ก็มีลาภมาก เขายกย่อง ก็ถือว่ามียศใหญ่ คำสรรเสริญเยินยอก็นึกว่าตัวเป็นผู้วิเศษ

    สุขก็สุขจากกามารมณ์ คืออารมณ์ของโลกโลกีย์วิสัย เป็นอารมณ์เลว ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ละ แต่ท่านผู้นี้กลับทะเยอทะยานเข้าใจว่าเป็นความดี นี่ปัจจัยแห่งอเวจีก็ย่อมปรากฏ เวลานี้มีหรือเปล่า ผมไม่ทราบนะ พวกเสือกระดาษ อย่างพวกท่านกปิลนี่ มีปัญญามันทรามมาก

    เล่ากันต่อไป เมื่อไม่มีใครเถียงท่าน ท่านก็สั่งสอนพระธรรมวินัย ที่ผิดพลาดต่อไป ผิดบ้าง พลาดบ้าง ต่อบ้าง เติมบ้าง เลิกถอนพระธรรมวินัยเสียบ้าง ว่าพระพุทธเจ้าเทศน์อย่างนี้ไม่ถูก ควรจะเป็นอย่างนั้น ในพระไตรปิฎก อย่างนี้ไม่ถูก ควรจะเป็นอย่างนั้น แก้ไขเพิ่มเติมเรื่อยไป ไปทางแนวทางที่เสีย

    อันนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า เดียรถีย์ เมื่อไม่มีใครมาทักท้วง หรือว่าบางคราวมีใครมาทักท้วงเข้า ท่านก็ขู่ตะคอกไปอีก บางทีถือ ก็ด่าเสียมั่งก็มี ท่านกล่าวว่า คราวนั้น บรรดาพระภิกษุสงฆ์ ผู้มีความหวังดี จึงพากันไปกราบเรียนท่านโสธนะภิกขุ องค์อรหันต์ ผู้เป็นพี่ชายที่อยู่ในป่า

    กล่าวว่า บัดนี้ กปิลภิกขุ มีการกระทำที่ไม่สมควรใหญ่เสียแล้วขอรับ เพราะว่ากำเริบเมาในความรู้
    องค์อรหันต์ผู้เป็นพี่ชาย จึงได้ออกไปจากป่า มุ่งมาสู่สำนักของน้องชาย แล้วให้โอวาทว่า ดูก่อนอาวุโสกปิล ผู้มีความรู้เช่นตัวเธอ ถ้าหากว่า มีการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ก็จะเป็นผู้สืบอายุพระพุทธศาสนาได้ดี เป็นกำลังใหญ่ของพระศาสนา เพราะฉะนั้น ขอเธอจงอย่าละสัมมาปฏิบัติ

    คือ ประพฤติดี ประพฤติชอบ มีจรณะ 15 เป็นต้น มีบารมี 10 อย่างนี้เป็นต้น มีอิทธิบาท 4 มีพรหมวิหาร 4 ที่ว่ามาตอนต้น มีให้มันครบถ้วนเสีย ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อย่าด่าภิกษุสงฆ์ผู้ตักเตือนเธอ เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้หวังดี

    ท่านกปิลท่านว่ายังไง พอได้รับฟังคำแนะนำของพี่ชายซึ่งเป็นพระอรหันต์ เท่านี้ เธอได้มีจิตยินดีรับคำนั้นก็หาไม่ ก็เกิดความทะนง นึกในใจว่า พี่ชายของเรา เป็นผู้ไม่มีความรู้อะไรเลย บวชแล้วปฏิบัติอาจาระคือ ปฏิบัติอุปัชฌาอาจารย์พอสมควร ศึกษาวิปัสสนาธุระแล้วเข้าไปอยู่ในป่า จะมีความรู้อะไร

    จึงบอกพี่ชายว่า หลวงพี่นิมนต์เข้าป่าไปเถอะ พระป่าอย่าเสือกเข้ามาในบ้าน ท่านไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอะไร พระไตรปิฎกผมจบ ท่านไม่มีความรู้ ได้แต่ภาวนาอย่างเดียว นิมนต์เข้าป่า พี่ชายเห็นท่าไม่ดี ก็ไป

    ต่อมาเมื่อเกิดเรื่องขึ้นอีก พระก็ไปแจ้งให้ท่านทราบ พระโสธนะองค์อรหันต์ ก็มาสู่ ก็อุตส่าห์ออกมาจากป่า มาว่ากล่าวตักเตือนอีกสองสามครั้ง เป็นอันว่าถึงวาระที่สามด้วยความกรุณาในน้องชาย ในที่สุดเมื่อเห็นว่าพระน้องชายไม่เอาถ่านด้วย ก็ยกเลิก นี่เป็นปฏิปทาที่แท้จริงของพระอรหันต์ เพราะว่าพระอรหันต์ท่านไม่ยุ่ง ถ้าพูดกับใครสามคราวแล้วไม่เอา ท่านก็เลิกเตือน

    สำหรับพวกเราเป็นอย่างไร นี่พูดกันอยู่ทุกวัน มันเกิดสามคราว ปีหนึ่งสามร้อยหกสิบห้าวัน วันหนึ่งสี่วาระ เอาสี่คูณ ดีกันมั่งหรือยัง มีไหม ที่มีทิฐิมานะ ทะนงตนว่าเป็นผู้วิเศษ ถ้าไม่เห็นว่าท่านมี ผมจะบอกให้ว่ามี มีอยู่และก็ยังต้องให้ผมบอกคุณ ผมบอกคุณเมื่อไหร่ คุณต้องออกจากวัดนี้ทันที อย่าไปเอาใครมาอ้าง

    และอย่าไปประจบฆราวาส ที่ไปประจบฆราวาสไปแล้วก็มี เป็นการป้องกันตัว อันนี้ผมรู้นะ ว่าทำดีอย่างโน้น ทำดีอย่างนี้ บางทีความดี ผลไม่ได้เกิดกับวัดหรอก ดีของท่านแต่มันผิดธรรมวินัย ดีแต่ว่าผลไปเกิดที่อื่น แล้วให้คนอื่นมาอ้างว่า ผลนี่มันอยู่ที่นั่น ท่านคิดว่าถูกหรือ มันเป็นความเลวมหาศาล

    มีอะไรเพื่อทำเพื่อประโยชน์ภายในต้องแจ้งให้ผมทราบ และผลนั่นมันต้องอยู่ที่วัด มันไม่ใช่ไปอยู่ที่อื่น นั่นไปเอาผลไปที่อื่น ไปกำนัลคนอื่น เป็นเกราะป้องกันตน ไม่มีประโยชน์สำหรับผม หรือผลนั่นสำหรับคนอื่นจะมาพูด ท่านอย่าคิดว่าผมจะไปเกรงใจคนอื่น เมื่อดีจงดีจริง ๆ อย่าดีอย่างกปิลภิกขุ อย่าทำตนให้นอกเหนือพระธรรมวินัย

    อย่าสร้างอามิส เข้าไปบูชาคนอื่น แล้วให้คนอื่นเข้ามารับรอง ยืนยันว่าท่านเป็นคนดี นั่นมันเป็นความผิดมหาศาล ไม่ใช่ความผิดเล็กน้อย ถ้าจะดีจริงๆ ทำอะไรแจ้งให้ผมทราบ ให้ผลประโยชน์มันเกิดขึ้นกับหมู่คณะ แล้วบอกว่านี่เป็นน้ำพักน้ำแรง อันนี่ใช่ รับรอง แต่ที่ทำไปมันไม่ใช่อย่างนั้นก็มี บางคนประพฤติอย่างอื่นก็มี

    อย่านึกว่าไม่รู้นะ จงจำไว้ว่าพระอรหันต์นะ พูดสามวาระ ที่วัดเราพูดกันวันละสี่วาระ พูดให้ดีถ้ายังเลวอยู่ พยายามเอาตัวปลีกออกไปซะ ถ้าไม่ปลีกออกไป เมื่อถึงวาระ ผมจะจัดการให้ท่านไป ถ้าหากว่าท่านไม่ไปก็แสดงว่าต้องถูกบังคับเอาผ้ากาสาวพัตร์ออกกัน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบวชเข้ามาแล้วต้องทำดีให้มันถูกดี

    อย่าทะนงตนว่าเป็นผู้วิเศษ ผมไม่ชอบคนเลว ไอ้เลว ๆ แบบนี้มันเลวจริงๆ ผมไม่ชอบหรอก ที่ยังไม่พูด ยังไม่ทำ จะให้ผมเตือนว่านั่นเลว นี่เลว ผมจะไปเตือนอะไร ก็เตือนกันอยู่ทุกวันอย่างนี่ ยังไม่รู้ตัวว่าดี ต่อไปจะต้องถูกลงพรหมทัณฑ์

    อย่าทะนงตนว่าเป็นผู้มีความสามารถด้านใดด้านหนึ่งนะ เราต้องการอย่างเดียวถ้ามีความสามารถในการทรงญาณ มีความสามารถในการตัดสังโยชน์ อันนี้สรรเสริญ สำหรับคันถธุระทำกิจการงานเป็นส่วนกลาง อันนี้โมทนา แต่อย่าประพฤติผิดพระธรรมวินัย

    ท่านกล่าวต่อไปว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านกลับมาใหม่ เมื่อเธอไม่เชื่อฟังคำของเรา ตัวเธอจะปรากฏด้วยกรรมแห่งที่เธอกระทำเอง เมื่อองค์อรหันต์กล่าวอย่างนี้แล้ว ก็หลีกไปตามอัธยาศัย
    ฝ่ายว่าพระกปิลเมื่อไม่เห็นพระสงฆ์ผู้ใดผู้หนึ่งมากล้าว่ากล่าว ก็เห็นว่าท่านบ้า อย่าไปถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา แต่ว่านี้บ้าทำลายพระศาสนาจึงต้องพูด พูดไม่ฟังเขาก็เลิก พระพวกนั้นผมเข้าใจว่าเป็นพระอริยะเจ้า พระอริยะท่านเตือนสามครั้งแล้วไม่เชื่อแล้วก็แล้วกันไป

    ก็เป็นอันว่า พระกปิลก็แสดงตนเป็นผู้มีความรู้ดัดแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนักยิ่งขึ้น ถึงกับขั้นรื้อพระธรรมวินัยบางอย่างออก เอาของอื่นๆ มาเสริมเข้าไว้ เมื่อพระสงฆ์ทั้งหลายพยายามคัดค้าน ท่านก็พยายามขู่ตะคอกเอาบ้าง ในที่สุดก็ด่าว่าซะบ้าง คัดค้านบ่อยๆ ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นก็นิ่ง

    แม้มารดากับน้องสาวที่เข้ามาบวชเป็นภิกษุณีก็ยินดีด้วย แล้วก็พลอยด่าว่าบรรดาพระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นไปด้วย เหมือนกับพ่อกับแม่พระ พาลูกเข้ามาบวชแล้ว ครูบาอาจารย์ตักเตือนแล้วว่ากล่าว เวลาลูกเข้ามาบ้านก็มาแจ้ง พ่อแม่ก็โกรธครูบาอาจารย์ ก็ชวนพี่น้องญาติโกรธครูบาอาจารย์ ชวนเพื่อนหมู่คณะโกรธครูบาอาจารย์ ด่าว่าครูบาอาจารย์ ด่าว่าพระ

    ผลก็ไปอย่างเดียวกันกับแบบนี้แหล่ะ ดูตัวอย่างถมเถไป เดี๋ยวก็เจอะเขาไปไหนกัน จึงเป็นอันว่าท่านกปิลภิกขุ ก็ยังทำพระปริยัติในพระศาสนาให้คลาดเคลื่อนต่อไป โดยทำลายพระศาสนาให้เศร้าหมอง เพราะความที่เมาในลาภยศ สรรเสริญ สุข และเมาในทิฐิมานะว่าตัวเป็นผู้วิเศษ

    เมื่อถึงกาลที่ภิกษุณี พี่น้องเหล่านั้น สิ้นชีพสังขารตาย อย่างนี้ผมอยากจะบอกว่าตายโหงไปเสียแล้ว ต่างก็เป็นไปตามยถากรรมคือผลของกรรม คือ

    ท่านพระโสธนะเถระผู้เป็นพี่ชาย ได้ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน พี่ชายที่เป็นอรหันต์ไปนิพพาน สำหรับพระอรหันต์ผู้ประเสริฐไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารต่อไป
    ฝ่ายท่านกปิลภิกขุผู้มีความสำคัญตัวว่าเป็นอติบัณฑิต ถือว่าเป็นผู้รู้อย่างยิ่ง พระนางภิกษุณีทั้งสองผู้เป็นมารดาและน้องสาวเมื่อตายไปแล้ว ก็พากันไปเกิดในมหานรกขุมใหญ่ที่เรียกกันว่า อเวจีมหานรก ต้องหมกไหม้อยู่เสวยทุกขเวทนาอย่างสาหัส เพราะอำนาจอกุศลกรรมที่ด่าว่าภิกษุทั้งหลายที่มาตักเตือน

    นี่ดีไหมล่ะ การด่าพระที่ดีและก็ชวนกันด่าเป็นหมู่เป็นคณะ เขาเสวยผลกันแบบนี้ นี่ในท้องเรื่องท่านมีเรื่องอะไรคั่นอยู่นิดหนึ่ง เป็นอันว่าขอลัดตัดมาเรื่องคั่นดังกล่าว กล่าวว่า

    ท่านกล่าวว่าขอย้อนไปนิดหนึ่งว่า การจะกล่าวถึงสัตว์นรกที่มาจากพระที่เรียกว่า กปิล พร้อมด้วยมารดาและน้องสาวผู้เป็นภิกษุณี ตั้งแต่ต้องทุกข์ถูกไฟไหม้ในอเวจีมหานรกนี่ เขามีหอกตรึงขยับเขยื้อนไม่ได้ ไฟเผาจนกระดูกแดงฉาน คำว่าตายไม่มี คำว่าไม่รู้สึกไม่มี สิ้นระยะกาลนาน เขาว่าอย่างนั้น มาช้ากาลนาน

    ระหว่างพุทธันดรหนึ่ง คือช่วงพระพุทธเจ้าองค์นี้ แล้วก็โผล่มาอีกองค์หนึ่ง คือในช่วงพระพุทธศาสนาพระพุทธกัสสป จนถึงพระศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ เรียกว่าหนึ่งพุทธันดร หนึ่งพุทธันดรท่านบอกว่าแผ่นดินหนาขึ้นโยชน์หนึ่ง

    สำหรับท่านกปิลหมดกรรมก่อนที่ต้องลงนรก เพราะว่าท่านเป็นพระตอนต้นดี มีความประพฤติดี ประพฤติชอบ เรียนพระธรรมวินัยดี ประพฤติดี แต่ว่าไม่ได้เป็นอรหันต์ เป็นที่ถือว่าปกติพระ เป็นพระปถุชน ตอนหลังเลวจึงได้ลงอเวจี ความดีช่วยไว้จึงได้หมดกรรมก่อนแม่และน้องสาว

    แต่ว่าอาศัยเศษกรรมที่ยังมีอยู่ จึงได้มาถือกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน คือเป็นปลาที่มีเกล็ดเป็นสีทอง เหมือนสีทองคำ สวยงามมาก มาว่ายเวียนไปเวียนมาอยู่ในแม่น้ำที่ชื่อว่า อจิรวดี มีชีวิตเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ด้วยความแสนเศร้า คืออารมณ์นะเป็นอารมณ์คน แต่ว่าตัวเป็นสัตว์ก็มีอารมณ์เศร้า

    เช้าวันหนึ่งเหล่าลูกชายคือเด็กๆ ลูกชายชาวประมง เด็กๆ มั่งลูกชายมั่งลูกสาวมั่งเหล่านั้น หลังจากที่เล่นกันตามประสาเด็กสนุกสนานแล้ว บรรดาเด็กทั้งหลายเหล่านั้น จึงได้กล่าวชวนพรรคพวกว่า นี่พวกเราไปจับปลากันดีกว่า ไปจับปลาในแม่น้ำที่ชื่อว่า อจิรวดี อยู่หน้าบ้าน จึงได้พากันถือเครื่องจับปลา มีอวนและแห เป็นต้น มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำ

    ครั้นถึงแล้วก็ทอดแหลงไปในแม่น้ำ บังเอิญปลาทองผู้มีกรรมมาติดร่างแหของเด็กทั้งหลายเหล่านั้นพอดี บรรดาพวกพ่อแม่พี่น้องของเด็ก เห็นพวกเด็ก ๆ ของตนทอดแหครั้งแรกได้ปลาทองก็ดีใจ คิดว่าบรรดาเด็กๆ พวกนี้ต่อไปจะเฮงมาก เพราะออกหาปลาครั้งแรกก็ได้ปลาทอง นี่เป็นบุญใหญ่ เป็นปฐมฤกษ์

    ต่อไปการเป็นชาวประมงก็จะได้เป็นชาวประมงชั้นเลิศต่อไปในภายหน้า เป็นอันว่าต่อไปจึงดำริว่า ปลานี่ถ้าเราจะกินก็แค่นั้นแหละ ถ้าเราจะขายก็แค่นั้นแหละ ราคาไม่เท่าไหร่ ทางที่ดีควรจะไปถวายพระราชาผู้ครองพระนคร ชื่อว่า พระเจ้าแผ่นดินมคธ นี่มันก็จะนึกไม่ออก ที่เขาแปลไว้ก็ไม่ได้เขียนชื่อพระราชา ช่างเถอะนึกไม่ออกก็ว่าไป

    พระราชาคงจะพระราชทานรางวัลให้แก่เราเป็นอย่างมาก พระเจ้าพิมพิสาร แหมจะเขียนซักหน่อยก็ไม่ได้ คนแปลไว้ก็เหลือเกิน ก็ควรจะบอกพระราชาเป็นหลักฐาน นี่ไม่เขียนไว้ซะด้วย จึงได้นำเด็กทั้งหลายเหล่านั้น ให้พากันเอาปลาทองของตนไปถวายพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์

    เด็กทั้งหลายเหล่านั้นก็นำปลาลงเรือและช่วยกันพาไป บ่ายหน้าไปสู่พระบรมมหาราชวัง และเข้าเฝ้าทูลพระราชาถวายปลา สมเด็จพระราชาเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นปลาทองประหลาดเช่นนั้น จึงมีพระดำริว่า ปลาทองใหญ่ตัวนี้ ไม่มีใครรู้จักชื่อว่าเป็นปลาอะไร นับว่าเป็นปลาที่แปลกประหลาดอยู่ทำไมจึงมีสีคล้ายทอง ชะรอยจะมีเหตุลึกลับ

    ยากที่มนุษย์ธรรมดาสามัญจะรู้ได้ ถ้ากระไรเราจะไปทูลถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พระองค์ทรงทอดพระเนตรและก็ทรงพยากรณ์ ครั้นทรงดำริอย่างนั้นแล้ว จึงได้รับสั่งให้นำปลาสีทองนั้น ไปยังสำนักแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า และพระองค์ก็พร้อมด้วยเสวกาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร บรรดาเด็กทั้งหลาย ได้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เพื่อถามข้อสงสัย

    เมื่อนำปลาทองนั้นไปถึงพระเชตุวันมหาวิหาร อ๋อ ขอประทานอภัย พระเชตุวันนี่ไม่ใช่พระเจ้าพิมพิสารแล้ว ต้องเป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล ขออภัยด้วยนะขอรับ เพราะผู้แปลมานี่ท่านไม่ได้บอกชื่อ พระเชตุวันนี่ พระเจ้าปเสนทิโกศลนะขอรับไม่ใช่พระเจ้าพิมพิสาร

    ถามเรื่องราวปลาทอง เวลานั้นปรากฏปลาทองอ้าปากขึ้น ขณะที่ปลาอ้าปากขึ้นนั่นเอง ก็ปรากฏว่าบริเวณพระเชตุวันมหาวิหาร ก็ปรากฏว่ามีกลิ่นเหม็นฟุ้งไปหมด ซึ่งทำความประหลาดใจให้เกิดแก่คนทั้งหลายเป็นอันมาก

    พระเจ้าปเสนทิโกศล บรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอจึงได้ทูลถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระเจ้าค่ะ เพราะเหตุใดปลาตัวนี้จึงมีสีกายเป็นทองคำ ผิดจากปลาทั้งหลาย เพราะเหตุใด ปลาตัวนี้จึงมีกลิ่นปากเหม็นร้ายกาจนักพระพุทธเจ้าข้า

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถึงบุพกรรมของปลานั้นว่า ขอถวายพระพร พระมหาบพิตร ปลานี้เดิมทีเป็นภิกษุนามชื่อว่า กปิล ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระนามว่า พระพุทธกัสสป เมื่อพระพุทธกัสสปล่วงไปแล้ว คือนิพพานไปก่อน พระศาสนายังคงอยู่ เหมือนกับสมัยที่เราคงอยู่นี่

    เธอเป็นพหูสูต คือเรียนพระไตรปิฎกจบมีลูกศิษย์ลูกหามาก หากแต่ว่าถูกลาภ ยศ เข้ามาครอบงำ และก็ได้ด่าบรรดาพระภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล ทำให้พระศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านามว่าพระพุทธกัสสป เสื่อมถอยเศร้าหมองลงไป เมื่อเธอตายไปแล้วก็ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก บัดนี้สิ้นกรรมแล้ว แต่ว่าเศษกรรมบาปยังมีอยู่ จึงต้องมาเกิดเป็นปลา

    แต่ทว่าเพราะตนเรียนพระพุทธวจนะ สอนพระพุทธวจนะ กล่าวคำสรรเสริญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานาน เกิดเป็นปลาจึงมีกายสีเหมือนสีทองคำสวยงามมาก แต่เพราะตนได้ด่าพระภิกษุผู้ทรงศีล จึงมีกลิ่นปากเหม็นร้ายกาจในบัดนี้

    นี่ท่านกล่าวว่า ขอถวายพระพร อาตมาภาพจะถามปลานี้ให้ประจักษ์ต่อไป นี่เวลามันก็จะหมดซะแล้ว เอากันหน่อย เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระจอมไตร เมื่อทรงตรัสอย่างนั้นแล้ว อาศัยพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้ตรัสถามปลานะขอรับ

    จึงได้ตรัสถามปลาว่า เจ้าชื่อ กปิล ใช่ไหม
    ปลาก็ตอบว่า ใช่พระเจ้าข้า
    อันนี้บังเกิดอัศจรรย์แก่คนทั้งหลายเหล่านั้น เพราะได้ยินเสียงปลาทองทูลตอบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ภาษาไทยเป็นภาษาแขก

    ท่านก็ตรัสถามว่า ต่อนี้ว่าอย่างไง ตามบาลี เพราะได้ยินเสียงปลานั้นทูลตอบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า อามะ ภันเต อาหัง กปิลโล
    ท่านถามว่า เจ้าชื่อกปิลใช่ไหม
    ปลาตอบว่า อาหัง ภันเต อามะภันเต อาหัง กปิลโล ใช่พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าชื่อกปิล

    สมเด็จพระพุทธองค์จึงได้ทรงตรัสถามขึ้นอีกว่า เจ้ามาจากไหน
    ปลาจึงตอบว่า อเวจิ มหานิรยโต ภันเต ข้าพระองค์มาจากอเวจีมหานรกพระเจ้าข้า
    ท่านถามต่อว่า ท่านโสธนะพี่ชายของเจ้าไปไหน
    เขาตอบว่า ปรินิพพุทโธ ภันเต ท่านดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานไปแล้วพระเจ้าข้า

    พระองค์จึงได้ตรัสถามต่อไปว่า นางสาธนีมารดาของเจ้าไปไหน
    ท่านบอกว่า มหานิตเย นิพพัตตา ภันเต กำลังอยู่ในมหานรกพระเจ้าข้า
    ทรงถามต่อไปว่า นางตาปนา น้องสาวของเจ้าไปไหน
    เขาตอบว่า มหานิตเย นิพพัตตา ภันเต นางกำลังอยู่ในมหานรกพระเจ้าข้า

    ครั้นเมื่อสุวรรณมัจฉาปลาทองผู้มีกรรม ทูลตอบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาของตนเป็นยิ่งนัก จึงระลึกถึงกรรมชั่วของตนที่ทำในอดีตให้แค้นใจตัวเองเป็นสำคัญ เพราะไม่น่าจะทำ

    ท่านกล่าวว่า แค้นใจตัวเองเป็นสำคัญ ไม่น่าจะกระทำเลย เขาคิดเสียใจ ถูกโทสะคือความโกรธเข้ามาครอบงำจิต ว่าเขาไม่ควรจะเป็นอย่างนี้จึงเอาศรีษะฟาดเรือโดยแรง แล้วขาดใจตายบัดนั้น เมื่อตายจากสัตว์เดรัจฉานก็กลับไปเกิดในอเวจีมหานรกตามเดิมเพราะกรรมแห่งโทสะ

    ทั้งนี้ก็เพราะว่า เขาเกิดเป็น ทั้งนี้ก็เพราะเดรัจฉานกปิลนั้น เวลาที่ทำกาลกริยาตาย ขณะที่มีโทสะจริต ในจิตมีโทสะก็โกรธตัวเอง เลยถูกโทสะชักนำไปเกิดในอเวจีมหานรกใหม่ เมื่อพ้นจากนรกมาครั้งหนึ่งแล้ว เวลา เอาง่าย ๆ บาลีท่านกล่าวยุ่งจัง ก่อนจะตายก็เป็นคนมีโทโสร้าย ตายไปอเวจี มาเกิดเป็นปลา กรรมที่โมโหตัวเองหัวฟาดเรือ เลยก็ตายก็ไปจากโทสะก็ลงอเวจีใหม่

    สำหรับเรื่องนี้ก็เล่ากันไป มันก็มีได้อีกนาน ก็ขอจบตัวอย่างไว้แต่เพียงเท่านี้ แล้วก็อธิบายอะไรไม่ได้ด้วย เวลาจบพอดี ขอท่านทั้งหลายฟังแล้ว จงอย่าฟังทิ้งนะ จดด้วย จำด้วย และประพฤติ ปฏิบัติตาม ถ้าปฏิบัติตามอย่างพระกปิลแล้วก็ไม่ต้อง ลงอเวจีกันตามสบาย สำหรับวันนี้จบเวลาเพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนพล จงมีแด่ทุกท่านที่ประพฤติดี ประพฤติชอบ

    สวัสดี
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     
  2. jamesnuke

    jamesnuke เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +224
    ขออนุญาตนะครับ ...ปรินิพพุทโธ ภันเต.... ควรเป็น ...ปรินิพพุโต ภันเต... (เขียนแบบไทย) ถ้าเขียนเป็นแบบบาลี ...ปรินิพฺพุโต ภนฺเต... เช่น ตัวอย่าง อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ สุจิรัง ปะรินิพพุโตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง ทรงปรินิพพานนานแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...