ขอสอบถามหน่อยค่ะ..เรื่องเวลาหลับตานอนแต่มีอาการเหมือนเปลือกตาเปิดอยู่คือมันสว่างไสวคล้ายลืมตา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oil-Nudchanat, 2 กรกฎาคม 2015.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    จขกท. มารยาทดีจริงๆนะครับ ใครว่ายังไงก็ ขอบคุณค่ะๆ ขอบคุณมากค่ะอย่างเดียวเลย

    ถามเขาบ้างสิว่า เมื่อภาวนามาถึงจุดนี้แล้ว ต้องทำ (ต้องปฏิบัติ) ยังไง (วิธีปฏิบัติ) จึงจะก้าวหน้าเลยสภาวะนั้นไป (เลยไปแสดงว่าก้าวหน้า) ถามสิครับ
     
  2. siwapoch

    siwapoch Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +42
    ใช่ค่ะ
     
  3. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    ถ้าติดขัดจะถามอีกค่ะ..ตอนนี้เก็บคำแนะนำไปพิจารณาดูและเลือกปฏิบัติก่อน..ดิฉันมีงานประจำต้องทำ..สิ่งที่ได้รับได้รู้มาจากการปฏิบัติมักจะมาแบบกระทันหันไม่ได้เกิดจากการหมั่นฝึกฝนปฏิบัติแบบจริงจัง..ที่ทำเพราะมีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาเลือกสวดมนต์เพราะต้องการสรรเสริญพระพุทธเจ้า..เลือกนั่งสมาธิเพราะต้องการทำจิตให้สงบและปล่อยวาง..ธรรมอัศจรรย์ที่ได้รับมาก็ได้มาแบบแค่เป็นกำลังใจในการทำความดี..เลยไม่มีคำถามนอกเหนือไปจากนี้เพราะรู้ตัวว่ายังด้อยปัญญากว่าท่านที่ฝึกฝนปฏิบัติแบบจริงจัง..รอให้เจอสภาวะนั้นก่อนจะเข้ามาถามอีกคะ..เอาเข้าตามตรงแล้ว..จริงๆแค่สงสัยเฉยๆยังไม่คิดว่าตัวเองจะก้าวหน้าไปมากกว่านี้เพราะขาดการฝึกฝนปฏิบัติแบบจริงจังและงานประจำไม่เอื้ออำนวยยังด้อยปัญญาอยู่ค่ะ..ค่อยๆศึกษาไปติดตรงไหนจะเข้ามาถามอีก..แต่ตอนนี้หมดคำถามค่ะมีแต่คำขอบคุณ:cool:
     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    การปฏิบัติธรรม นั้น พระพุทธองค์ทรงตรัส ทุกครั้งว่าเป็นเรื่อง ปัจจุบันธรรม

    ดังนั้น หากฟังธรรมโดยศรัทธาพระพุทธองค์จริง จะต้องไม่ทำสิ่งนี้ หล่นหายไปจากจิต


    การไปตรึกว่า การปฏิบัติธรรม ต้องแบ่งคาบเวลา มีช่วงเร่ง ช่วงผ่อน ช่วงนั่น ช่วงนี่
    ล้วนแต่เป็นเรื่องของ เดียรถีย เขาจะฝึกกันแบบนั้น แต่สำหรับคนที่ ศรัทธาพระพุทธองค์
    แม้นกล่าวด้วยปาก ก็ยังสามารถ ทรงจำคำที่พระพุทธองค์ตรัสได้ว่า เป็นเรืองของ ปัจจุบันธรรม
    ไม่ตรึกไปในอดีต ไม่วาดฝันไปในอนาคต

    ดังนั้น

    เจ้าของกระทู้ ดูดีๆ !!

    ทันทีที่ทราบว่า ปัจจุบันจิตไม่ซ่องเสพ ภพ ชั้นเลิศบางประการ นั่นแหละ ภาวนากำหนดรู้อยู่

    ทันทีที่ทราบว่า ปัจจุบันจิตซ่องเสพ ภพ ชั้นเลิศบางประการ นั่นแหละ ภาวนากำหนดรู้อยู่

    ภพชั้นเลิศ จะซ่องเสพ หรือ ไม่ซ่องเสพ หรือ ตั้งใจเสพ หรือ ไม่ตั้งใจเสพ มันเกิดเองก็ตามที
    หากกำหนดรู้ความแปรปรวนนั้นอยู่ นั่นคือ การเจริญสติ นั่นคือ การทำความเพียร

    และนั่นคือ การปฏิบัติธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2015
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ธรรมชาติของ จิต นั้น มันมี อวิชชาอยู่ในตัวของมัน ไม่ใช่ เพราะเราตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ

    ต่อให้ตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ อวิชชาก็ยังมีอยู่ในจิต เหมือนเดิมทุกประการ

    และ จิตทีมีอวิชชานั้น ต่อให้เอาไปเสพ ฌาณ กุศลชั้นเลิศประเสริฐศรี กี่คาบเวลา นาน
    แค่ไหน อวิชชาก็ย่อมทำให้จิตนั้น เสื่อมจากฌาณ ได้อยู่แล้ว

    ดังนั้น จะตั้งใจเสพฌาณ หรือ ไม่ตั้งใจเสพฌาณ จิตที่มีอวิชชา มันมีหน้าที่ ทำให้
    ฌาณนั้นเสื่อมอยู่แล้ว ไม่มีทาง ห้ามสิ่งนี้ได้


    จิตจึงมีสิ่งที่เป็นปัจจัยให้ "......." หรือ ตัวจิตนั่นเองที่เป็นตัว "....." ไม่ได้เกี่ยวอะไร
    กับความเป็นคนดีมี มีศรัทธา มีปัญญา มีสมาธิ มีสติ

    คนที่เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้เนืองๆ จะ พึงหมด สงสัยบางประการในการ ฉวยจิต
    สำคัญว่า ธาตุที่เรียกว่า จิต จะนำโน้น นั่น นี้ มาให้

    เมือ่กำหนดรู้ว่า จิต คือ ตัวขันธ์5 เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์5 ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
    ของใคร แปรปรวนไปเรื่อยตามปัจจัยการ(ที่คนฉลาดจะรู้จักกุศล) ย่อมอยู่ร่วมกับ ขันธ์ โดย
    ไม่ยึดติ ไม่ลำบาก แต่ก็ไม่อุปทานขันธ์ว่าเป็นตน หรือ ของๆตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2015
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่อง " การหยุดคิด "

    " อวิชชา ปัจจัยยา สังขารา "

    ความคิด คือ ส่วนสังขาร และ มันเป็น วิบากผลที่เกิดจาก จิตที่มีอวิชชา

    การไปตั้งเป้าว่า ปฏิบัติธรรม คิดไม่ได้ เขียนไม่ได้ ทำงานไม่ได้ จัดการประชุมไม่ได้
    แสดงปฐกถาต่อสาธารณะไม่ได้ ตีลังกาไม่ได้ แสดงละครสัตว์ไม่ได่ แสดงกายกรรมไม่ได้
    ล้วนแต่เป็น ตรรกศาตร์ของเดียรถีย ที่พยายามจับธรรมะ แต่ไม่เข้าใจการปฏิบัติ
    ไปวาดภาพว่า ต้องหยุดคิดเข้าฌาณ4 ถึงจะเป็นการปฏิบัติ

    การพ้นคิด ของพระพุทธองค์ ไม่ใช่ ไปทำอะไรโง่ๆ พิสูจน์การหยุดคิดด้วย ฌาณ4 แบบนั้น

    อวิชชาปัจจัย สังขารา พระพุทธองค์ทรงตรัสด้วยว่า อาหารของอวิชชา คือ นิวรณ์

    ดังนั้น เวลา นั่ง นอน ดื่ม ทำ พูด คิด แสดงกายกรรม แสดงปฐกถา ทำการประชุม คัยการ
    คุยงาน คุยสัพเพเหระกับเพื่อน พี่น้อง คุบกับหมา คุบกับแมว มองท้องฟ้า ท้องน้ำ ต้นไม้
    ใบหญ้า หากการกระทำเล่านั้น ปราศจาก " นิวรณ์ " นั่นแหละ จิตไม่มีอวิชชา

    ดังนั้น การกระทำใดก็ตาม หากเรา กำหนดรู้ซึ่งจิต ปราศจากนิวรณ์ นั่นแหละ กายคตาสติ
    ( คือ กำหนดรู้การสิ้นไปของ อาหารของ อวิชชา ที่มันก่อตัวเป็น สังขารา )

    ทันทีที่ กำหนดรู้นิวรณ์ นั่นแหละ จิตเป็น สมาธิ !!! ไม่ใช่ ฌาณ แต่ก็ไม่ห่างจาก ฌาณ

    และ การหยุดคิด เราหมายเอาแต่ ความคิดที่เกิดจากอวิชชา หาก ความคิดนั้นออกมาจาก
    จิตที่ปราศจากนิวรณ์ นั่นแหละ คือ การนั่ง นอน ดื่ม ทำ พูด คิด ที่กำหนดรู้อยู่ในสมาธิ
    ตลอดเวลา อยู่อย่างมีประโยชน์ต่อโลก


    นักปฏิบัติธรรม ที่ ศรัทธามันคง ไม่ง่อนแง่น พูดได้ ทำงานได้ ทำไมจะต้อง พูดไม่ได้ เป็น
    ควา_อยู่ในอุเบกขาฌาณ4 ด้วยเล่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2015
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ในพระไตรปิฏก ไป ตรวจทานได้

    มีผู้บรรบุธรรม มากมาย ล้วนอยู่ใน อริยาบทปรกติ ธรรมดาๆ

    เช่น

    บางคนกำลังแสดง ละครสัตว์ แสดงการต่อตัวกัน ยกสูงขึ้นไป ขณะที่อยู่
    ข้างบนเหยียบหัวผู้เป็นอาจารย์อยู่ ก็ ระลึกใน นิวรณ์ ได้ มีจิตตั้งมั่น
    แหวกอาสวะ เห็นธรรม ขณะต่อตัว

    บางคน ขณะ ตีลังกา หลังจากปล่อยที่โหนตัวแกว่งไปมา บรรลุกลางอากาศ
    ก่อนตกถึงพื้น

    บางคน ถูกปรัปปรำในความผิดไม่ได้ก่อ กำลังถูก ไฟเผา ระลึกได้ถึง ศรัทธา
    ที่ถูกต้อง ไม่ไก่กา ก็ สำเร็จอรหันต์ เผาเท่าไหร่ก็ไม่ไหม้ ร้อนให้ พระต้องมา
    สะกิดบอก เธอบรรลุธรรมแล้ว อย่ามัวแต่ เล่นพิเรนธ์แสดงฤทธิ์อยู่อย่างนั้น ไม่งาม

    บางคน นั่งกินข้าวอยู่ริมบึง เห็น นกกระยางจิกกินปลา

    บางคน ขอทานอยู่ เห็นคนเขาหยุดฟังธรรมกัน ก็เลย หยุดพักบ้าง เห็น นิวรณ์
    ธรรมถูกต้อง ไม่เมา ฌาณ แฌณ ก็บรรลุธรรม

    ฯลฯ
     
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ส่วน เดียรถีย ต้องฌาณ4 หยุดความคิด โน้นนนนนน

    ลองสังเกตดู พอหยุดความคิดได้ แต่ ออกจากสมาธิ ก็กล่าวประกาศว่า ตนคือ พระศรีอารยะเบอร์5

    สำเร็จเป็น สัพพัญญู แทรกกลางระหว่าง พระพุทธศาสนาสมณโคดม

    โน้นนนนน ไปเห็น สมเด็จองค์กระโถม องค์มัดทรัพย์โยม มาแทรกแทรง การสอน การประกาศศาสนา
     
  9. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    ดิฉันคงโง่เขลาเบาปัญญาจริงๆเพราะกระทั่งคำสอนของแต่ละท่านที่ยากๆยังไม่เข้าใจเลย..เพราะอย่างที่บอกว่าเป็นแค่คนที่มีศีล5ธรรมดาๆคนหนึ่งยังไม่ถึงซึ่งธรรมที่แปลกแยกไปกว่าการถือศีล5ข้อนี้เลย..จะให้เข้าใจทุกสิ่งทุกประการดั่งผู้ที่ฝึกปฏิบัติจริงจังศึกษาจริงจังคงยากแล้วจะอาจหาญอะไรไปถามไถ่สิ่งที่ตัวเองยังไม่รู้ไม่เข้าใจจริงๆกิเลสยังหนาๆๆๆอยู่มากค่ะ งงกับการใช้ภาษาทางธรรมยากๆศัพท์ทางธรรมก็เข้าใจแค่บางคำ..จะตำหนิอะไรก็ได้ค่ะเพราะไม่เข้าใจจริงๆ..ถามก็ถามไปตามที่สงสัยแต่ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติไปต่อได้ไหม..มนุษย์ธรรมดาๆที่บางทีหลงลืมการเจริญสติ..ทราบว่าแค่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันก็สามารถปฏิบัติได้แต่น้อยคนนักที่ทำได้จริงและดิฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ..
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แล้วแต่ จะกำหนดรู้ ทันลงเป็นปัจจุบัน ฮับ

    ถ้าจิตมีศรัทธา เอาศรัทธานำหน้า ....

    แล้ว พิจารณาธรรมในปัจจุบัน ที่พึ่งปรารภ .........


    " ทราบว่าแค่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันก็สามารถปฏิบัติได้แต่น้อยคนนักที่ทำได้จริง "

    ถ้าไปยก เอาคน เอาอัตตา ตัวตน นำหน้า อันนี้ ไม่ชื่อว่า เอาศรัธทา นำหน้า

    แต่ถ้าเอา ศรัทธานำหน้า นะ จะทราบเลย ประโยคนั้น มันเป็น นิวรณ์ธรรม หรือว่า เป็น ธรรม


    ทราบกัน ณ ปัจจุบัน นี่เลย ....ว่า จะเลือกไป เชื่อเอาข้างไหน เชื่อสิ่งที่ออกมาจาก จิตที่ปราศจากศรัทธา

    หรือ จะโน้มไปทาง จิตที่อุดมไปด้วยศรัทธาเลื่อมใสพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2015
  11. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015





    รู้จัก กสินอากาศ ไหมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 กรกฎาคม 2015
  12. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    อย่าเครียดครับ ลองอ่านที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านสอน
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    ภาษาทางธรรม เรียกว่า "โอภาส" (แสงสว่าง)

    จำพวกนี้จะเห็นทั้งขณะทำสมาธิก็ได้ เลิกทำสมาธิแล้ว ก็ได้

    ถาม มันบอกอะไรเรา ? ตอบ บอกว่า ผู้นั้น จิตจะนิ่งๆ เริ่มมีสมาธิแล้ว

    สมาธิเกิดได้หลายทาง เช่น อ่านหนังสือ ทำวัตรสวดมนต์ท่องบ่นสาธยาย หรือทำการภาวนาโดยตรง ฯลฯ
     
  14. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    :cool:({) สวัสดีครับ คุณเจ้าของกระทู้ เมื่อวานผมอ่านของคุณ เช้านี้ผมเข้ามา อ่านบทความของคุณๆนี่ถ่อนเนื้อถ่อมตัวได้ดีจริงๆ คนบางคนมันยังไม่รู้ตัวเลย มันสอนใครทั้งๆ มันทำได้หรือเปล่า เขาเรียกว่า โง่แล้วยังอวด ฉลาดอีกน้อ เล่าไปเถอะครับ แบ่งบันกัน ผมว่าคุณนะพอเข้าใจ แต่เอามา แบ่งบันกับคนอื่น แต่ที่บางทีก็อาจไม่เข้าใจ ผมว่ามีหลายๆร้อยพันคนด้วยซ้ำไป ยังทำไม่ได้แบบคุณเลย นี่ผมพูดมาจากใจจริงครับ ของคุณ ของเก่า ทำไว้ดีแล้ว จึงทำได้แบบนี้ครับ


    เรื่องมีบุญเก่า ถ้าคนจะเอาจริงๆ ครูบาอาจารย์ ท่านบอก ฝึกแสนชาติ ยังไม่ได้เลย ของคุณ ต้องได้มาแล้ว นับชาติไม่ถ้วน โมทนาสาธุด้วยครับ ผมไม่มีอะไรจะพูดมากกว่านี้ แต่มี แต่มีคอมเม้นหนึ่ง เขาแจงไว้ดี เดี๋ยวก๊อบเอามา ลงใหม่ ที่เขาบอกให้คุณฟัง ในห้องคุณนี้แหละ ก็มีหลายคน เขาพิมพ์ได้ดี แต่ของคนนี้ เข้าใจง่ายกว่าครับ:cool:
     
  15. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Crearati
    เคยมีอาการประหลาดสองครั้งค่ะ..ครั้งแรกพึ่งตื่นนอนแต่สติสัมปชัญญะครบแล้วเพียงแค่นอนหลับตาต่อเฉยๆแต่ในตาซ้ายกลับปรากฎภาพห้องๆนึงมองเห็นภายในห้อง..เห็นเตียงนอนสีฟ้าเห็นตู้โต๊ะในห้องเลยตกใจลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแล้วหลับตาใหม่ก็ยังปรากฎภาพเดิมอยู่..เลยพยายามเพ่งมองว่าในห้องนั้นมีใครมั้ยเป็นที่ไหนแต่ไม่เห็นใครในห้องเลย..อาการสงสัยและการเพ่งหนักเข้าๆภาพก็หายไปและก็ไม่เคยเป็นอีก..และมีอีกครั้งที่เข้านอนแล้วหลับตาแล้วแต่หลับตายังงัยก็เหมือนลืมตาอยู่คือมันเหมือนกันแค่ปิดเปลือกตาลงแต่ตาข้างในยังทำงานปกติคือพยายามมองผ่านเปลือกตานั้นและเห็นแสงสว่างเป็นปกติจนนอนไม่ได้ต้องลืมตาขึ้นและทดลองหลับใหม่ซ้ำๆหลายครั้งจนเข้าสู่สภาวะปกติ..และอีกครั้งคือนอนหลับไปแล้วด้วยความเพลียแต่ข้างในเปลือกตากลับสว่างไสวเหมือนคนลืมตาอยู่แต่หลับในเป็นจนกระทั่งตื่น..คือเป็นเหมือนหลับๆตื่นๆที่ตื่นก็เพราะมันสว่างไสวแต่ความเพลียก็หลับไปอีกเป็นแบบนี้จนเลิกนอน
    รบกวนช่วยวิเคราะห์หาสาเหตุทีค่ะว่ามีใครเคยเป็นแบบนี้บ้างไหมคะ..คือมันสงสัยและสับสนมากๆเลยค่ะ


    Saber
    สมาชิก
    ครั้งแรกพึ่งตื่นนอนแต่สติสัมปชัญญะครบแล้วเพียงแค่นอนหลับตาต่อเฉยๆแต่ในตา ซ้ายกลับปรากฎภาพห้องๆนึงมองเห็นภายในห้อง..เห็นเตียงนอนสีฟ้าเห็นตู้โต๊ะใน ห้องเลยตกใจลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแล้วหลับตาใหม่ก็ยังปรากฎภาพเดิมอยู่..เลย พยายามเพ่งมองว่าในห้องนั้นมีใครมั้ยเป็นที่ไหนแต่ไม่เห็นใครในห้อง เลย..อาการสงสัยและการเพ่งหนักเข้าๆภาพก็หายไปและก็ไม่เคยเป็นอีก..

    ตาในมองครับ เป็นทิพย์ ก็เลยไปเห็นสิ่งที่ตานอกไม่เห็น ที่เราไม่รู้ว่าที่ไหน ก็เพราะว่า ไม่ได้กำหนดถามจิตตัวเองว่า ที่นั้นที่ไหนก็เลยไม่รู้ว่าที่ไหน



    ละมีอีกครั้งที่เข้านอนแล้วหลับตาแล้วแต่หลับตายังงัยก็เหมือนลืมตาอยู่คือ มันเหมือนกันแค่ปิดเปลือกตาลงแต่ตาข้างในยังทำงานปกติคือพยายามมองผ่าน เปลือกตานั้นและเห็นแสงสว่างเป็นปกติจนนอนไม่ได้ต้องลืมตาขึ้นและทดลองหลับ ใหม่ซ้ำๆหลายครั้งจนเข้าสู่สภาวะปกติ.

    จิตสงบ จิตเป็นสมาธิครับ ตานอหหลับอยู่ปิดตาอยู่ แต่จิต ใจไม่ได้หลับตาม ครับ มันก็เลยไปเห็น ภพของจิต พอหลุดออกจากสมาธิก็เลยเข้าสู่สภาวะปกติ


    และอีกครั้งคือนอนหลับไปแล้วด้วยความเพลียแต่ข้างในเปลือกตากลับสว่างไสว เหมือนคนลืมตาอยู่แต่หลับในเป็นจนกระทั่งตื่น..คือเป็นเหมือนหลับๆตื่นๆที่ ตื่นก็เพราะมันสว่างไสวแต่ความเพลียก็หลับไปอีกเป็นแบบนี้จนเลิกนอน

    จิตสงบเป็นสมาธิ ครับ ตานอกหลับ แต่ตาใน จิต ไม่ได้หลับตามไปด้วย มันก็เลย สว่างไสวแบบนั้นละครับ ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าเข้าใจแล้วเด่วก็ชินไปเอง มันเป็นแค่ตอนจิตมีกำลัง จิตสงบ เป็นสมาธิ นั้นละครับ พอถึงเวลา จิตหมดกำลัง ก็กลับเป็นปรกติเอง


    รบกวนช่วยวิเคราะห์หาสาเหตุทีค่ะว่ามีใครเคยเป็นแบบนี้บ้างไหมคะ..คือมันสงสัยและสับสนมากๆเลยค่ะ

    จิตมันเป้นทิพย์ ครับ ไม่ต้องไปแปลกใจ เป็นกำลังของสมาธิ

    นี่ถ้าคนทั่วๆไปที่ทำสมาธิได้ เข้าสมาธิได้ เรื่องแบบนี้ เรื่องปรกติ ละครับ การที่ไปเห็นโน้นนี้ ทั้งๆที่ตานอกหลับอยู่ แต่ตาใน จิตตื่นอยู่ ก็เห็นได้ครับ อย่างที่ จขกท บอกมานั้นละครับ มันสว่างก็เพราะจิตเป็นสมาธิ จิตเห็นภพของจิต นั้นละครับ

    เอาเป็นว่า ไม่ต้องแปลกใจก็แล้วกัน แปลกเพราะไม่เข้าใจและไม่เคยเจอมาก่อน พอเจอบ่อยๆ เด่วก็ชิน เด่วก็รู้ไปเองว่าคืออะไร ที่ไม่รู้ก็เพราะไม่มีใครบอก ไม่มีครูบาอาจารย์สอนแนะนำ พอเจอกับตัวเองก็เลยกลายเป็นของแปลก สับสนไปเพราะความไม่รู้ของตัวเองครับ

    ผมก็จะบอกว่า สงสัยของเก่าสร้างมาไว้ดี พอถึงเวลา จิตมันเคยเป็นเคยได้มาก่อน มันก็ส่งผลมาชาติปัจจุบัน ครับ

    ไม่เหมือนบางคน ไม่เป็น ไม่มีอะไรเลย ก็เพราะตัวเองไม่ได้สร้างไม่ได้ทำเอาไว้ ก็เลยไม่เคยเจอ ไม่เคยเป็น



    อยากจะบอกว่า ถ้าไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐาน ไม่ได้ทำสมาธิจริงจัง เรื่องพวกนี้ พอจิตเสื่อมลง นิวรณ์ 5 กำเริบ กิเลสกำเริบ เดี่ยวก็หายไปเอง ไม่ได้อยู่ตลอดหรอกครับ เหมือนส้มหล่น ถ้าไม่รู้จักรักษาไว้ เดี่ยวก็เสื่อมกลับไปเหมือนปรกติ คนทั่วๆ ไปเป็นธรรมดา นะ ^^ หายไปเอง

    Share
    Share this post on Digg
    Del.icio.us
    Technorati
    Twitter
    | Like supatorn, Crearati and ณฉัตร like this.
    __________________
    กดเบาๆ สิ้นพระพุทธศาสนาเมื่อไร ก็สิ้นชาติเมื่อนั้น


    นี่แหละครับเจ้าของคอมเม้นนี้เขาพูดมาเข้าใจง่ายๆ และพุดได้ดีทีเดียว ผมเห็นด้วยกับเขา เพราะคุรเป็นคล้ายๆผม แต่ผมเข้าใจนะครับ เดี๋ยวจะลงท้ายอีกหน่อยครับ
     
  16. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    พูดกันหลายคน แต่ไม่เคยถามใคร เห็นคุณบุญทรงพูดด้วย จึงขอถามไว้หน่อย "ของเก่า" หมายถึงอะไร ยังไงครับ
     
  17. oil-Nudchanat

    oil-Nudchanat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +508
    ขอบคุณค่ะคุณบุญทรง..ถูกต้องตามที่กล่าวมาค่ะคำแนะนำของคุณsaberดิฉันเข้าใจมากที่สุด..แต่ไม่ใช่ของท่านอื่นไม่ดีนะคะแต่ดิฉันยังไม่ค่อยเข้าใจศัพท์ที่ใช้ในการอธิบายเท่านั้นเองค่ะ มาพูดคุยเพียงแลกเปลี่ยนประสบการณ์หาที่มาที่ไปน้อมรับทุกคำแนะนำ..แต่อย่าคาดหวังว่าทุกคนจะปฏิบัติได้ตามคำแนะนำทุกคนเพราะจริตในแต่ละคนไม่เหมือนกัน..ระดับสติปัญญาก็ไม่เท่ากันเลยรับเท่าที่จะรับได้ค่ะ..ได้อ่านบทความของคุณบุญทรงแล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย..ขอบคุณมากนะคะ
     
  18. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) สวัสดีครับคุณมาจากดิน ก็ง่ายๆ ไม่มีอะไรครับ ของเก่าคือ บุญเก่า ที่เราสั่งสมมาไว้ดีแล้ว ครับ และคุณเจ้าของกระทู้ เขาทำมาไว้ดี มีของเก่าอยู่ ถ้าไม่มีของเก่าอยู่ อยู่ๆมาทำ มันไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ ครูบาอาจารย์ ท่านเคยพูด คนที่เริ่มมาปฏิบัติ ธรรม ในชาตินี้ ถ้าจะเอาจริง แม้เอาชีวิตเข้าแรก ต้องใช้เวลา นับแสนๆชาติเลยครับ ถึงจะได้ คนที่มีของเก่าอยู่ บุคคล เหล่านั้น เขาก็ได้มาแล้ง นับชาติ ไม่ถ้วนเหมือนกัน


    เอากันง่ายๆ บารมีต้น อย่างดีก็ให้ทานรักษาศิล รักษาบ้างไม่รักษาบ้าง ถ้าชวนไป เจริญสมาธิกรรมฐาน พวกนี้ ให้เราชวนเขาจนตายเขาไม่เล่นด้วยแน่นอนครับ ถ้าบารมีกลาง พวกนี้ ชวนไปวัดวาอาราม หรือไปสำนักปฏิบัติ ธรรม ให้ทานรักษาศิล พวกนี้ชอบครับ ส่วนพวก ปรมัตถบารมี พวกนี้ ชอบทำเพื่อพระนิพพาน อันสูงสุด เขาทำมาดีแล้ว จะ บารมีต้น ก้ดี กลางก็ดี ปลายก็ดี ทุก ขั้นตอน มันก็มี หยาบ กลาง ละเอียดครับ ถ้าบารมี กลาง พวกนี้ ยังไม่ชอบพระนิพพานครับ เพราะว่า กำลังใจเขายังไม่ถึง อันนี้คงเข้าใจนะครับ ก็ไม่ว่ากัน ของใครของมันครับ ทำความดีๆทั้งนั้นครับ ทำเพื่อความพ้นทุกข์ :cool:
     
  19. กุสินารา

    กุสินารา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +282
    สวัสดีค่ะ เราเคยเจอเรื่องคล้าย ๆ เจ้าของกระทู้ค่ะ ตอนเราไปปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่านโกเอ็นก้าเป็นระยะเวลา 10 วัน ระหว่างที่อยู่ที่นั่น เราไม่ได้รู้สึกว่าปฏิบัติก้าวหน้าเลย ยังคงฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา

    แต่วันหลัง ๆ น่าจะประมาณวันที่ 6-7 เป็นต้นไป เราจะได้ยินเสียงสวดมนต์หลายครั้ง เหมือนมาจากที่ไกล ๆ แต่ฟังไม่ออกว่าสวดบทอะไร เสียงเหมือนพระสวดค่ะ เสียงเกิดไม่เป็นเวลา บางทีก็ตอนปฏิบัติ บางทีก็ก่อนนอน ตอนเช้าตรู่ และมีอยู่วันหนึ่งตอนกำลังจะนอน หลับตาอยู่พอลืมตาขึ้น เห็นเป็นเหมือนเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ตรงหน้าเรา เรางงว่ามันคืออะไร แต่มันมีอยู่แค่นั้นเป็นสี่เหลี่ยมพื้นผิวขรุขระ เราพยายามเพ่งมอง ว่ามันคืออะไร ถามตัวเองว่าเราหลับหรือยัง ตื่นหรือหลับอยู่ สักพักมันก็หายไปเอง
    เรางงมาก แต่ก็ไม่ได้ถามหรือคุยกับใครเลย เพราะไม่รู้จะถามใคร รอบตัวเราไม่มีคนปฏิบัติธรรม และตอนนั้นจิตของเราก็ไม่ได้สงบอะไร มีเพียงแค่มันนิ่งๆ กว่าปกตินิดหน่อย
    เพราะไม่ได้พูดกับใครเลยตลอด 10 วัน มันจะนิ่งๆ ของมันเอง แต่ตอนปฏิบัติก็คิดตลอดเวลาค่ะ พอมาอ่านกระทู้นี้เลยนึกถึงประสบการณ์ของเราในตอนนั้นขึ้นมา ไม่ทราบว่าคืออะไรคะ
     
  20. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    สวัสดีครับคุณ Crearati<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_9689594", true); </SCRIPT> แหมพูดได้ไพรเราะจริงๆครับ น่ารักจริงๆ ผมเอง ก็นึกอยากเข้ามาเท่านั้นเอง เห็นว่า ดีมีประโยชน์มากเลย ตัวผมเอง ก็ยังไม่ได้อะไรเลยครับ เพียงมีประสบการณ์ บ้างเท่านั้นเอง และรู้สึก มันจะคล้ายๆผม เมื่อ สักตอน ๓-๔ เดือนที่ผ่านมาครับ จิตคนเรานั้น มันไม่เคยหลับ หรอกครับ ไอ้ที่หลับน่ะ คือกาย ที่เราอาศัยอยู่ครับ อย่าว่าผมเลยนะครับ ที่เอามะพร้าว ห้าว มาแรก สวนนะครับ ถือว่าแลกเปลี่ยน ความรู้กันครับ


    คือว่า เมื่อ สามสี่เดือนที่ผ่านมา ผมเวลานอน หลับ แต่ว่ามันไม่หลับ รู้ตัวตลอด เลย มันจะฟุ้งไปไหน รู้ตลอด มันจะคิดเรื่อง โลภ โกรธ หลงรู้ตัว ตลอด คิดร้ายคิดดี หรือไม่ดีอะไร มันก็รู้ ทั้งๆ ตัวนอนหลับ จิตมันฟู ตื่นอยูตลอดเวลา ก้ยังคิดเอ่ เราเป็นอะไร มันตามรู้เรื่องต่างๆชนิด ไม่วางอารมย์ แต่เวลาเรา ตอนเช้า ๆ นึกว่ามันจะง่วง มันก้ไม่ง่วง มันเกิดขึ้น ของมันเอง โดยมันตามรู้ของมันเอง และอีก่อนนหน้านั้น ไม่นาน หรือเมื่อก่อนๆ จะเป็นบางครั้ง แบบคุณว่ามา จิตจะโปร่ง สว่าง จ้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...