หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนตอนที่ ๘ วิธีปฏิบัติให้จิตเป็นสมาธิ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 2 กรกฎาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนตอนที่ ๘ วิธีปฏิบัติให้จิตเป็นสมาธิ
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๘
    ตอนที่ ๘ นี่ก็มาต่อเรื่อง พุทธานุสสติกรรมฐาน กันต่อไป
    แต่ก่อนที่จะต่อพุทธานุสสติกรรมฐาน
    ก็ขอย้ำเพื่อความเข้าใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า

    รายการนี้เป็นรายการ หนีนรก การที่จะหนีนรกได้
    ก็คือ หนึ่งตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้าว่า

    ๑. คิดถึงความตายอยู่เสมอ
    ไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าความตายเป็นของเที่ยง
    ท่านทั้งหลายอย่าประมาทในชีวิต
    คิดว่าเราจะตายวันนี้ไว้เสมอ
    หลังจากนั้นก็สร้างความดี คือ ยอมรับนับถือ
    พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความเต็มใจ
    ไม่สงสัยในความดีของท่านต่อไป ก็ทรงศีลห้าให้บริสุทธิ์
    อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท
    พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นการหนีนรกได้อย่างดีมาก
    และว่าจงอย่าปล่อยอารมณ์ใจให้ตกในด้านของความต่ำ
    ต้องดึงใจไว้ในด้านของความดี นั่นคือ ฝึกสมาธิจิตและปัญญา

    การฝึกสมาธิจิต บรรดาท่านพุทธบริษัท
    ก็ขอน้อมนำเอาพุทธานุสสติกรรมฐานขึ้นมาก่อน
    ว่าการฝึกสมาธินี่สมาธิแปลว่า การตั้งใจ
    ให้จิตใจตั้งใจว่าเรายอมรับนับถือพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ
    ถ้าจะไปทางไหนมาทางไหน เห็นรูปพระพุทธเจ้า
    ที่เขาทำด้วยกระดาษก็ดี หรือเขาทำด้วยฟางหรือซังก็ดี
    ปั้นด้วยดินก็ดี ปั้นด้วยปูนก็ดี
    หล่อด้วยโลหะก็ดี จิตใจพร้อมยอมรับนับถือยกมือไหว้
    ถ้าในสถานที่นั้นไม่ควรแก่การไหว้
    เพราะคนมากเกรงว่า เขาจะติฉินนินทา
    เพราะจิตใจของเรานี้ยังอยู่ในโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ
    คือ ยังติดอยู่ในลาภและก็มีความเดือนร้อนในการไม่มีลาภ ลาภเสื่อมไป
    ติดอยู่ในยศ เดือนร้อนในการเสื่อมยศ
    ยังหวั่นไหวในคำนินทา พอใจในคำสรรเสริญ
    พอใจในความสุข ไม่พอใจในความทุกข์
    ธรรมดาของชาวโลกเป็นอย่างนี้ตามที่พระพุทธเจ้าอยู่
    ในเมื่อจิตยังหวั่นไหวอยู่ ก็อย่าผืนสังคมมากนัก
    ถ้าสังคมนั้นเขาไม่ยกมือไหว้ เราก็ไม่ไหว้ก็ได้
    แต่ใจพร้อมยอมรับนับถือด้วยความเคารพด้วยความจริงใจ
    ถ้าเป็นอย่างนี้ใช้ได้ถือว่า เป็นพุทธานุสสติกรรมฐานแน่
    เป็นผู้ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าแน่

    ในตอนที่ ๗ ได้พูดมาถึงวิธีปฏิบัติให้จิตมีสมาธิ
    ให้ใช้กำลังหรือเวลาเพียงไม่มาก กำลังที่จงอย่าให้เครียด
    บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเครียดเกินไปไร้ผล
    ต้องเชื่อองค์สมเด็จพระทศพล คือ พระพุทธเจ้า
    ถ้าหากว่าย่อหย่อนเกินไปก็ไร้ผลอีก

    คำว่า กามสุขัลลิกานุโยค ท่านแปลว่า ย่อหย่อน
    แต่ความจริง กาม แปลว่า ความใคร่
    เพราะเวลาที่ภาวนาไป พิจารณาไป นึกถึงไป
    ใจเกิดอยากจะได้สมาธิขั้นนั้น อยากได้ฌานขั้นนี้
    ในเวลานั้น อารมณ์ฟุ้งซ่านก็เกิด ไม่เกิดผลใช้ไม่ได้อีก
    ต้องทำใจแบบสบายๆ ให้อารมณ์เป็นสุข
    ถ้าความสุขมันหมดไป มีแต่ความหวั่นไหวมีแต่ฟุ้งซ่าน
    เราก็เลิกเสียก็หมดเรื่องหมดราว
    ทำเอากันแค่มีกำไร อย่าทำให้มันขาดทุน อย่าฝืน
    ถ้าใครเขาบอกว่า อีตาแก่คนนี้แกสอนให้คนขี้เกียจ
    อาตมาก็ยอมรับ ได้บอกไว้แล้วตั้งแต่ตอนที่ ๗ ว่า
    ถ้าขี้เกียจ ทำน้อยๆ แต่ได้ผลมาก เอา

    ก็ยังมีวิธีอีกวิธีหนึ่งที่บรรดาท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
    ผู้ทรงคุณพิเศษจริงๆ อาตมาต้องขอยอมรับว่า
    ท่านที่สอนมานั่นทรงคุณพิเศษจริงๆ
    ถามว่าทราบได้ยังไง ก็ต้องตอบว่าทราบด้วยกำลังใจของท่าน
    และการที่ท่านนึกในใจ อาตมาก็ไม่รู้เรื่องแต่ที่ท่านแสดงออกมา
    ทางกาย ทางวาจาซิ อย่างนี้รู้เรื่อง
    เพราะคนอย่างอาตมาไม่ใช่คนได้เจโตปริยญาณขั้นวิเศษวิโส
    หรือว่านิดหน่อยอาจจะยังไม่ได้ก็ได้
    นั่นก็หมายความว่า ยังไม่ได้ดีพอที่จะรู้ใจคน
    และเวลานั้นเรานึกอะไรไม่ได้กันเลย
    อาตมานึกเรื่องอะไรขึ้นมา ท่านพูดเรื่องนั้นทันที
    ทั้งๆ ที่ยังไม่ออกจากปากหรือว่าท่านคุยกับคนอื่น
    อาตมานึกปั๊บเรื่องนั้นขึ้นมา ท่านหันมาพูดเรื่องนั้นทันที
    อย่างนี้ต้องยอมรับว่า ท่านมีญาณพิเศษจริง
    แต่ท่านจะเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าก็ไม่ต้องพิสูจน์
    ว่าเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าท่านจะเป็นหรือไม่เป็น
    ในเมื่อท่านรู้อารมณ์คิดก็แสดงว่า จิตละเอียดมาก
    จิตท่านมีความสะอาดมาก
    เราก็ยอมรับนับถือพระประเภทนี้
    อาตมาเมื่อหนุ่มๆ บวชใหม่ๆ ระยะนั้นพบหลายองค์
    แต่ละองค์ก็มีแนะนำเสมออย่างเดียวกัน

    นั่นก็คือว่า เวลาตอนหัวค่ำ ท่านบอกว่า ตอนหัวค่ำ อย่าขยันมากนัก
    การนึกถึงพระพุทธเต้านึกเวลาไหนก็นึกได้ ไม่ห้าม
    เวลาถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ก็นึกถึงได้ ไม่เป็นไร
    เรื่องตอนนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่ออาตมาฝึกใหม่ๆ
    ท่านรุ่นพี่ ท่านเคยแนะนำว่า เวลาไปถ่ายอุจจาระก็ดี ถ่ายปัสสาวะก็ดี
    อย่านึกถึงพระพุทธเจ้านะ อย่าภาวนานะ
    ถ้านึกถึงตอนนั้นภาวนาเวลานั้น ถือว่าเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า
    ความจริงรุ่นพี่ท่านไม่ได้ฉลาดจริง ไปเจอะพระที่มีความสำคัญจริงๆ
    ท่านก็บอกว่า ภาวนาได้ นึกถึงได้ทุกเวลา
    จะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะจะเดินไปเดินมาอย่างนี้ ก็ใช้ได้ ยิ่งดีใหญ่
    ท่านก็บอกว่า ถ้าเวลาเราจะตาย เวลาถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ทำยังไง
    ถ้าปล่อยว่างตอนนั้นกำลังใจเราเกิดฟุ้งซ่านไปถึงด้านอกุศล
    ก็จะทำให้ใจของตนอทิสสมานกายของตนลงนรกไป
    ท่านแนะนำดี ท่านก็แนะนำด้านเอากำไร

    ท่านบอกว่าการปฏิบัตินี่ เราต้องปฏิบัติให้มันง่ายๆ และได้กำไรสูง
    นักค้ากำไรแต่ไม่เกินควร
    ถ้าเกินควรนั่น ก็หมายความว่า คิดต้องการกำไร
    เลยนิพพานนี่เกินควรแน่ไม่เกินควร
    ถ้าเกินควรนั่นก็หมายความว่า คิดต้องการกำไรเลย นิพพานนี่เกินควรแน่
    ถ้าเป็นมนุษย์ต้องการนิพพาน ยังไม่เป็นการค้ากำไรเกินควร
    เพราะว่ามนุษย์ทุกคนจะพบจุดความสุขจริงๆ ก็คือ ที่นิพพาน
    ยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด จะถือว่ามีความสุขจริงจังนั่นไม่ได้

    การเอากำไรท่านบอกว่าอย่างนี้
    เวลาหัวค่ำอย่าลืมว่าเราเหนื่อยมามาก เหนื่อยตั้งแต่ตื่นใหม่ๆ
    พอตื่นขึ้นมากายยังไม่ทำงาน แต่ใจมันคิดแล้ว
    พอถึงเวลาค่ำร่างกายอยากพักผ่อน เพราะเหนื่อยมามาก
    ถ้าเราไปเคร่งเครียดตอนนั้นจะลำบาก
    ผลดีจะไม่เกิด ไอ้ร่างกายมันจะพักความง่วงมันก็เกิด
    เราก็ฝืนความง่วง คิดว่าเวลานี้ต้องใช้เวลาเท่านั้นใช้เวลาเท่านี้
    อารมณ์จิตก็จะเกิดไม่ทรงตัว
    เมื่อความง่วงเข้ามาครอบงำ ความดีก็ไม่เกิด
    การนึกถึงอะไรจริงจังก็ไม่มี ท่านก็แนะนำว่า ถ้าทำไปจะนั่งก็ดี
    จะนอนก็ดีจะยืนก็ดี จะเดินก็ดี
    การเจริญสมาธิหรือวิปัสสนาญาณ
    ไม่ใช่นั่งก็ดีจะนอนก็ดีจะยืนก็ดี จะเดินก็ดี
    การเจริญสมาธิหรือวิปัสสนาญาณ
    ไม่ใช่นั่งอย่างเดียว นั่งนอนยืนเดินใช้ได้
    ถ้าอยู่ตามลำพังจะนั่งแบบไหน นั่งเก้าอี้ นั่งขัดสมาธิ
    นั่งพับเพียบ นั่งเหยียดขา นั่งห้อยเท้า ได้ทุกอย่าง
    นอนก็ได้ เอนกายก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้
    เดินเขาเรียกจงกรม เป็นอันว่าทำได้ทุกอริยบถ
    แต่ถ้าบังเอิญเกิดความเพลีย เกิดความง่วงขึ้นมา
    ท่านบอกจงอย่าฝืน นอนเลย
    นอนแล้ว จับลมหายใจเข้าออก จับคำภาวนา
    เพียงเท่านี้แล้วภาวนาให้หลับไป
    ถ้าขณะใดถ้าจิตยังไม่ฌาน จิตมันจะยังไม่หลับ
    ถ้าจิตถึงฌานเมื่อไร จะตัดหลับทันที
    แล้วท่านก็บอกว่า เราหลับไปกี่ชั่วโมง
    ท่านถือว่าเป็นการทรงฌานนั้นตลอดเวลาที่เราหลับ จนกว่าจะตื่น
    ถ้าตายไปในเวลาหลับ จะมีผลตามกำลังฌาณทันที
    นั่นคือ ตกนรกไม่ได้แล้ว

    ข้อนี้บรรดาท่านพุทธิบริษัทโปรดทราบ ว่าขั้นของสังโยชน์ ๓
    ทำอะไรไม่หนัก ถ้ามีกำลังใจแค่ปฐมฌานใช้ได้
    สมาธิไม่สูงเลย คำว่า ปฐมฌาน
    ก็มีเครื่องสังเกตก็คือว่า ขณะที่ภาวนาอยู่ก็ดี หรือพิจารณาอยู่ก็ดี
    รู้ลมหายใจเข้าออกก็ตาม
    ในตอนนั่นหูเราได้ยินเสียงภายนอกทุกอย่าง
    ได้ยินชัดเจนแจ่มในตามกำลังที่เขาส่งเสียงกัน
    และขณะนั้นเราสามารถภาวนาก็ได้พิจารณาก็ได้
    ไม่รำคาญในเสียงนี้ท่านเรียก ปฐมฌาน ไม่มีอะไรหนัก
    นี่เป็นวิธีหนึ่งที่เป็นวิธีเบาๆ
    และก็การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานที่บรรดาท่านพุทธบริษัท
    ถ้าใช้กำลังใจพระรูป พระรูปพระโฉมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
    จะเป็นการดีมากจะเป็นการดีมาก
    แต่ว่าท่านที่จะทำอย่างนี้ได้เฉพาะท่านที่ได้ ทิพจักขุญาณ
    คือ หลักสูตรของวิชชาสามเท่านั้น กับหลักสูตรของอภิญญา มโนมยิทธิ
    ซึ่งมีทิพจักขุญาณอยู่ด้วยจึงจะทำได้
    ถ้าไม่ได้หมวดสองหมวดนี้ก็ใช้จับรูปพระพุทธรูป
    ตามที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น คือตอนที่ ๗

    ตอนนี้มาคุยกัน การแนะนำเอาแค่นี้พอ ทำแค่นี้พอ
    ถ้าถามว่า ทำนิดๆ หน่อยๆ จะมีอานิสงส์หรือ
    จงอย่าลืมว่าทำครั้งละนิดครั้งละหน่อย
    ทำครั้งละน้อยๆ ๒-๓ นาที ย่อมมีอานิสงฆ์
    ขณะที่เราทำจิตเป็นสมาธิเมื่อไร
    เวลานั้นจิตว่างจากกิเลสทันที

    พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
    บุคคลใดทำจิตว่างจากกิเลสวันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง
    ท่านกล่าวว่า บุคคลนั้นเป็นผู้มีจิตไม่ว่างจากฌาน
    ความดีจะสะสมตัวอยู่เสมอ

    ถ้าถามว่าคนที่ทำความดีวันละเล็กวันละน้อย
    จะมีอานิสสงฆ์ยังไง จะมีผลเป็นประการใด
    ความจริงเรื่องในพระพุทธศาสนาก็มีมาก
    แต่วันนี้ต้องขอประทานอภัยแก่บรรดาพุทธบริษัท
    ในฐานะที่อาตมาต้องซ้อมตายมาหลายวาระ
    การตายที่มันตาย จริงๆ ไม่ได้ซ้อม
    ตายแล้วกลับฟื้นคืนขึ้นมา (ขอประทานอภัยดื่มน้ำนิดหนึ่ง)
    มันกลับพื้นขี้นมาย่อมมีผลในการตายครั้งนั้นๆ
    ขอเอาความตายตอนต้นมาคุยกัน เหลือเวลาประมาณ สัก ๑๔ นาที
    ท่านทั้งหลายจะได้ทราบว่า การนึกถึงพระพุทธเจ้าวันละเล็กวันละน้อย
    ทุกๆ วันย่อมมีอานิสงส์

    อาตมาเองเมื่อสมัยที่เป็นเด็กต้องถือว่า พอจำความได้
    ท่านแม่ก็บอกให้ภาวนาว่า พุทโธ
    แต่การภาวนา ให้ท่านได้ยินคำว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ
    อย่างนี้ ๓ ครั้งเท่านี้ ท่านบอกใช้ได้หลับได้
    ต่อไปจะนึกยังไงก็ไม่ว่า พอนอนลงไปปั๊บ
    ต้องบังคับเอ้าภาวนาว่า พุทโธ ให้แม่ฟัง
    อาตมาเป็นเด็กไม่ภาวนาก็ไม่ได้ เพราะว่าเครื่องลงอาญาอยู่ใกล้ท่าน
    คือไม้เรียว ถ้าขืนขัดคำสั่งเดี๋ยวไม่เรียวก็วิ่งมาแล้ว
    ไอ้เจ้าไม้เรียวนี่มันก็แปลก
    มันปฏิบัติตามคำสั่งของมือของท่านเด็ดขาดทันทีทันใด
    ได้การกลัวถามว่ากลัวใครก็บอกว่า กลัวไม้เรียว ไม่ได้กลัวแม่
    แม่จริงๆ ไม่น่ากลัวแต่ไม้เรียวกลัวมาก

    ถ้าวันไหนเผอิญนอนหลับไปก่อนไม่ได้ภาวนาว่า พุทโธ ให้ท่านฟัง
    หรือว่าจะว่าพุทโธแต่ว่าดังหรือไม่ดังก็ตาม ท่านไม่ได้ยิน
    เผอิญเข้าที่นอนก่อนท่าน แล้วก็หลับไปเข้าไปแล้ว
    ท่านจะปลุกขึ้นมาให้ภาวนาว่า พุทโธ
    คุณแม่ท่านไม่รับฟัง ท่านบอกว่าต้องว่าเดี๋ยวนี้ก็นอนว่าทั้งๆ ที่ง่วง
    พุทโธ พุทโธ พุทโธ ก็ไม่ใช่ พุทโธ
    มันกลายเป็น พุทโธ ไปท่านก็ไม่ว่าอะไร หลับก็หลับไป
    อาศัยอย่างนี้ จนกระทั่งเป็นเด็กโตอายุ ๑๐ ปีเศษ

    แต่ว่าพอโตขึ้นมาหน่อยเกิดการกลัวผี ไอ้ผีนี่ อาตมากลัวจริงๆ
    เคยเห็นผีบ้างหรือเปล่าก็จำไม่ค่อยได้นักตอนเป็นเด็ก
    แต่ความรู้สึกมันกลัวมาก ถ้ามีใครเขาเผาศพกันที่ไหน
    ถ้ามีปี่พาทย์ ได้ยินเสียงตะโพนมอญก็ดี หรือว่าตีกลองประโคมศพก็ดี
    อีตอนนั้นนอนไม่ได้แล้ว คนเดียวนะนอนไม่ได้ต้องหาเพื่อนนอน
    เวลาจะนอนก็ต้องหาอะไรมาทับตีนมุ้ง อุดร่อง
    เกรงว่าผีจะลอดจากร่องขึ้นมาบ้าง
    เกรงว่าผีจะลอยมุ้งเข้ามาบ้างเอาอะไรมาทับตีมุ้งเข้าไว้
    ความกลัวมันกลัวขนาดนี้ แม้กระทั่งเวลากลางวันเข้าห้องข้างใน
    คือ ในห้องเขาใช้งานไปหยิบอะไรในห้องก็ตาม
    ก็ยังกลัวผีตอนกลางวันทั้งๆ ที่ผู้ใหญ่นั่งอยู่ข้างนอกก็ยังกลัว
    เวลาไปหยิบของแล้วเวลาเดินออกไม่เอาหน้าออก
    เอาหลังออกถอยหลังมาหาประตู เกรงว่าผีจะมาจับหลัง
    ในเมื่อท่านแม่ท่านบอกว่า ถ้ากลัวผีอย่างนี้ปกติผีนี่กลัวคำว่า พุทโธ
    คือ กลัวพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าท่านก็เลยบอกว่า

    ต่อไปนี้ ถ้าความกลัวเกิดขึ้นเมื่อไรให้ภาวนาว่าพุทโธทันที
    ถ้าอย่างนี้ผีจะไปไกลแสนไกลให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน
    ว่าขอบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จงช่วยกำจัดผีไปให้ไกลแสนไกล แล้วภาวนาว่า พุทโธ
    ในเมื่อความกลัวเกิดขึ้นมาเมื่อไร ก็ภาวนาว่าพุทโธ
    หากความไม่กลัวไม่เกิดขึ้นก็ไม่ภาวนาว่า พุทโธ

    ญาติโยมฟังตอนนี้แล้วก็จำไว้ด้วยนะ
    อาตมาตอนเด็กไม่มีอะไรจริงจังกับพระพุทธเจ้า
    แต่ว่าเป็นเรื่องแปลกตอนมาบวชแล้วเข้าใจชัด
    ตอนที่บวชใหม่ๆ ตอนพรรษาแรกอยู่กับ หลวงพ่อปาน
    คืนวันหนึ่งลุกขึ้นมาเช้ามืด เจริญพระกรรมฐานเช้ามืดตอนตีสอง
    ก่อนหน้าตีสองนิดหนึ่งต้องตื่นแบบนั้นทุกวัน
    เวลานี้ก็ยังตื่นแบบนั้นเป็นปกติ เพราะชินกับเวลาที่ตื่นเวลาตีสอง
    ก่อนหน้าตีสองประมาณครึ่งชั่วโมงตื่น ก็เรียกว่าตีหนึ่งครึ่ง ก็เกินไปบ้าง
    ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ทำวัตรสวดมนต์เสร็จ
    ถึงเวลาตีสองตรง ลุกขึ้นเจริญพระกรรมฐาน คือว่า นั่งกรรมฐาน
    ภาวนาตามอัธยาศัย มาวันหนึ่งพอตื่นขึ้นมาเปิดหน้าต่างจะล้างหน้า
    เห็นผีไม่มีหัว มันโดดเสียไม่มีละ โอ้โฮ เยอะแยะ
    จำนวนสักสองร้อยคนกว่า โดดที่ชานตึงตังก็มองดูอะไรกันแน่
    เห็นว่าผีไม่มีหัวเท่านั้นแหละ ก็เลยสงสัย
    (ตอนนั้นความกลัวก็ไม่เกิดขึ้น) ว่า
    ไอ้พวกนี้ไม่มีหัวทำไมโดดได้ เลิกล้างหน้ามาสวดมนต์
    มาไหว้พระสวดมนต์ มันก็ตามมาโดดในกุฏิ
    นั่งกรรมฐานมันก็โดดใกล้ๆ ก็ช่างมันใจสบาย พอถึงตีสี่เลิก
    เพราะพระลุกขึ้นสวดมนต์
    ตอนนั้นไปนอนเจ้าผีตนหนึ่งโดดเข้ามาคร่อมอก
    ก็ตั้งใจจะเอามือขวาหยิบหวายตีผี ตีมันมันก็กดมือขวาไว้
    พอจะเอามือซ้ายหยิบมันก็กดมือซ้ายไว้กดแขวนซ้ายไว้
    จะว่ายังไงมันก็ว่าตาม พอว่าคาถาขับผีจบ มันบอกว่า กูไม่กลัว
    ว่าอีกบทหนึ่ง มันบอกว่า บทนี้มึงได้ครึ่งเดียว มันก็เลยว่าต่ออีกครั้ง
    แสดงว่าผีตัวนี้เรียนมามาก ต่อไปก็หมดท่า ไม่รู้จะทำแบบไหน
    ก็เลยนึกในใจว่า โอหนอ โลกนี้ไม่มีใครดีกว่าพระพุทธเจ้า
    มนุษย์ก็ดี เทวดาพรหมก็ดี เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าทั้งหมด
    ไม่มีใครเหนือท่าน นึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้า
    ขอให้ช่วยกำจัดผีตัวนั้น และนึกภาวนาว่าในใจว่า พุทโธ
    แล้วเป่าพรวดเดียว เจ้าผีก็โดดหกคะแมนเคนเก้ โดยวิ่งหนีไปเลย

    นี่ละบรรดาท่านพุทธบริษัท ความจริงท่านแม่บอกสมัยเป็นเด็กๆ
    จะว่าท่านหลอกก็ไม่ได้ ผลมาปรากฏสมัยเมื่อบวชพรรษาแรก
    เรามาว่าถึงผลอีกผลหนึ่ง ต่อมาอายุ ๑๐ ปีเศษๆ
    ก็เกิดเป็นโรคอหิวาต์ตายกับเขา ตอนเป็นโรคอหิวาต์ใหม่ๆ
    เริ่มท้องเดินใหม่ๆ ท่านแม่ก็ให้ภาวนาว่าพุทโธ
    แล้วท่านเอาพระพุทธรูปให้เห็น
    ท่านบอกมองดูพระพุทธรูปแล้วก็ภาวนาว่า พุทโธ
    พระพุทธเจ้าจะช่วยให้หายโรค มันเจ็บมันเสียดท้องเหลือเกิน
    มันเจ็บท้องมาก ท้องถ่ายก็เพลีย มีความร้อนสูง
    พอถ่าย ๓ ครั้ง ก็เริ่มจะหมดสติ หมดแรง
    หมดแรงแต่สติยังดีใจก็ภาวนา พุทโธ
    ตอนนี้ลืมตาก็ไม่ค่อยจะไหว กายขยับไม่ไหว ใจก็ถึงภาพพระพุทธรูป
    คิดว่าขอพระพุทธเจ้าโปรดช่วยให้หายโรคด้วยเถอะ
    เห็นจะเป็นแบบเดียวกับ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ภาวนาไปๆ
    พระพุทธรูปใหญ่ขึ้นมาทุกทีๆ ผลที่สุดก็กลายเป็นพระสงฆ์
    และก็สวยงามมากยิ้มแย้มแจ่มใส สดชื่น
    ตอนนี้ร่างกายไม่รู้สึกทุกขเวทนา
    เพราะมัวไปสนใจ ความสวยของพระพุทธเจ้าเสีย

    ตอนนั้นเอง จิตออกจากร่างกายที่เรียกว่า "อทิสสมานกาย"
    เมื่อจิตมันออกจากร่างไป ก็ไปเป็นคน แต่ไม่ใช่คนปกติ
    เป็นคนผิดปกติ ไอ้คนผิดปกติ เขาเรียกคนบ้าหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
    เนื้อนี่ใสเป็นแก้วสวยจริงๆ และเสื้อก็ดี กางเกงก็ดีชฏาด้วย
    เป็นทองคำทั้งหมด และก็เนื้อทองคำผิวทองคำทั้งหมด
    ประดับไปด้วยเพชรแพรวพราวเป็นระยับ
    เป็นเพชรใสเป็นประกายมากสวยมาก
    ร่างกายทั้งหมดจะยกแขนยกขาขึ้นมายังไงก็ตามที มันเบาหมด
    จะยกย่างไปทางไหนมันเบาหมด
    ร่างกายไม่ใช่เดิม มันลอยๆ มันเบาเหมือนกับนุ่นปลิวลม
    ตอนนั้นก็ไปหาท่านแม่บ้าง ไปหาท่านลุงบ้าง
    เรียกใครก็ไม่มีใครสนใจ ทุกคนก็นั่งมองแต่ศพที่ตายอยู่
    ตอนนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท
    อาจจะสงสัยถามว่าเสียดายร่างกายไหม ?
    ก็ต้องตอบว่าเวลานั้นไม่รู้สึกเสียดายเลยไม่อยากได้มันด้วย
    มันสกปรกเหลือเกิน มันมีแต่ความสกปรกมีแต่ความเศร้าหมอง
    มาดูกายใหม่มันสวยมาก ขนาดเนื้อเป็นแก้วใสแจ๋ว
    พื้นที่หมดของผ้าเสื้อกางเกงมันเป็นทองคำทั้งหมด
    เครื่องประดับประดาสวยสดงดงามและประดับไปด้วยเพชร
    เพชรนี้เต็มไปหมด ผ้ายาวขนาดไหนเพชรประดับเต็มขนาดนั้น
    ไม่เห็นเนื้อทองของเสื้อผ้าเลย

    ในเมื่อไม่มีใครสนใจ ก็ไปยืนอยู่หลังบ้าน
    คิดว่าจะยืนเที่ยวอยู่หลังบ้านยังไม่คิดจะไปไหน
    เห็นคนเดินกันมาประมาณ ๒๐๐ คน มีหัวหน้าสูงใหญ่มาก
    คนทุกคนที่ตามมาหัวแค่เอวบ้าง ไม่ถึงเอวบ้าง
    และมี ๒ คนขนาบกลาง มีคนหลังหนึ่งคน
    (เวลามันเหลือน้อย บรรดาท่านพุทธบริษัท) ก็ถามคนหน้าว่า
    ลุงจะไปไหนครับ ? เขาก็กางตำราออกมาเปิดปั๊บ
    เขาบอก หลานไม่อยู่ในบัญชีไปกับลุงไม่ได้ กลับเข้าบ้านเสีย
    อาตมาก็นึกในใจว่าตาลุงนี้บ้า ถามว่าจะไปไหน
    ดันบอกว่าไม่มีในบัญชี แกจะบอกเราว่าไปไหนสักคำก็ไม่บอก
    ต่อมาก็ถามคนตรงกลาง ตรงหลัง เขาก็พูดเหมือนกัน
    ก็เลยปล่อยให้เขาเดินไกลไปประมาณสัก ๑ กิโล ก็เดินตามไป
    มันไม่รู้สึกเหนื่อย เขาเข้าป่าขึ้นเขาลงเขาเข้าป่าละเมาะไปเรื่อยๆ
    พอถึงป่าสูงใหญ่ เขาก็สำรวจคนทางด้านโน้นเป็นด้านนรก
    ยืนบนยอดเขา เห็นสำนักของพระยายมมีอาคาร ๓ หลัง
    และมีคนประเภทมนุษย์เรายืนเป็นกลุ่มๆ
    กลุ่มประมาณ ๑๐๐ คนบ้าง เกินร้อยคนบ้าง
    มีคนตัวใหญ่ๆ แบบนั้นถือฆ้อนบ้าง ถือหอกบ้าง
    ถือกระบองบ้าง มาคุมอยู่กลุ่มละคน

    ถามท่านลุงว่า "ที่นั่นแดนอะไร"

    ท่านบอกว่า "ที่นั่นเป็นสำนักของพระยายม ภาพคนที่เห็นนั้น
    เคยไปจากนรกให้ไปเกิดแล้ว กลับไม่ทำความดี เขาจับมาลงโทษใหม่"
    เห็นคนเดินออกมาจากสำนักพระยายม
    ท่านบอกนั่นพระยายมตัดสินแล้วต้องไปสู่นรก"
    ชี้ไปแดนข้างหน้าไกลมากแต่ว่าเป็นทะเลเพลิงจับท้องฟ้า

    ท่านบอก "โน่น เอาไปที่โน่น"

    ถามท่านบอกว่า "ผมอยากจะลงไปดูบ้างได้ไหม"

    ท่านบอก "ไม่ได้ หลาน คนที่ภาวนาว่า พุทโธ หรือ อรหัง ก็ตาม
    หรือภาวนาว่ายังไงก็ตาม ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าไว้เป็นปกติ
    คนประเภทนี้ลงไปในแดนนั้นไม่ได้ ถ้าลุงปล่อยให้ลงไปลุงมีโทษ
    จะต้องถูกทำโทษ ขอให้หลานกลับ"

    ท่านก็แนะนำว่าทีหลัง ถ้าต้องการจะรู้อะไรนึกถึงลุงแล้วมาที่นี่
    ลุงจะให้ดูทุกอย่าง ก็เป็นความจริง ทีหลังพอนึกปั๊บก็ไปถึงที่นั่นทันที
    นึกถึงลุง ลุงก็มาถึง อยากดูนรกลุงให้ดูนรกอยากดูนางฟ้า เทวดา
    วิมานท่านให้เห็นหมด อยู่ใกล้ๆ

    เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย คำภาวนาว่า "พุทโธ"
    แม้แต่เล็กน้อยถ้าจิตช่ำชองขั้นใจประโยชน์มันเป็นอย่างนี้ ตกนรกไม่ได้

    แต่ว่าเวลานี้จะพูดไปก็ตามไม่ไหว
    บรรดาท่านพุทธบริษัทเพราะเวลาหมดพอดี
    สำหรับในตอนนี้ก็ต้องขอลาก่อน
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
    จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี..
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...