-> ตีแผ่ --> สมเด็จวังหน้า + สมเด็จวัดพระแก้ว + สมเด็จพระธาตุพนม

ผมพึ่งหัดเล่นไม่นาน ได้ข้อมูลดีมากเลยครับ จะได้ศึกษาถูกทาง ผมว่าศึกษาตามหลักสากลดีที่สุดครับ มีที่มาชัดเจนหาข้อมูลง่าย ศึกษาผิดก็เก็บเป็นครู ยังสามารถสอบซ่อมได้ ถ้าเล่นแบบไม่มีทิศทางเหมือนสอบตกเรียนไม่จบแน่นอน ผมพึ่งหัดใหม่เล่นแต่พระที่มีที่มาชัดเจนกรุวังหน้าดูแล้วไม่หน้าเล่นเลยดูแล้วไม่ขลังเหมือนพระทำใหม่ครับ ว่าแล้วก็โชร์สักเหรียญเนื้อพิเศษ อิอิอิอิ ขำๆ

 

ขอบคุณที่เข้ามาเติมข้อมูลครับ
ข้อมูลนี้มีอยู่แล้วครับ สมัย 2483-2484 เป็นการบูรณะครับ ไม่ใช่สถาปนา(สร้างใหม่)
เพราะฉะนั้น ข้อมูลถูกต้องแล้วครับ ไม่ผิดพลาด

-----------------------------

สำหรับ " เหรียญพระธาตุพนมช่วยไทย "
ผมไม่ขอแสดงความคิดเห็นครับ
เพราะไม่มีข้อมูล






-

 

ตามนี้ครับ

 

และ...
ตามนี้

 

1

 

องค์พระธาตุพนม ก่อนล้ม

 

องค์พระธาตุพนม ยุคสมัยต่างๆ

 

กระทู้ยังยาวเหมือนเดิมเลยนะครับ

 

สุดยอดข้อมูล ที่มีหลักฐาณ ยืนยัน เเละนอนยัน เลยครับ

ท่าน pmorn.. ขอบคุณที่ นำภาพประวัติศาสตร์ ที่หาดูได้ยาก มาให้ชม

จากภาพ เเสดงถึงความยิ่งใหญ่ ของคนโบราณโดยเเท้

ผม สังเกต(ส่วนตัว)... การล้มขององค์พระธาตุ เป็นการล้มที่สวยงาม ไม่ไปโดน โบสถ์

ที่อยู่ข้างฯ น่าอัศจรรย์ดีแท้....สุดยอดดดดครับ(smile)(smile)(smile)(||)(||)(||)

 

ชื่อ Pmorn ยังเชื่อถือได้เสมอ ไม่ผิดหวัง

 

เศษดิน ที่ระลึก การบูรณะพระธาตุพนม

ที่บ้านผมมี เศษดิน ที่ระลึก การบูรณะพระธาตุพนม ใส่กรอบพลาสติดไว้ น่าจะออกมาจากวัดนะครับ

 

ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้ครับ

 

สุดยอดครับข้อมูลยืนยันได้ไม่ใช่ลมๆแล้งแบบพวกพระเก๊มือผีกุวังหน้าวังหลัง ที่อ้างตำนานนู่นนี่นั่นยันเต พอเจอของจริงแบบพี่pmornถึงกับไปไม่เป็นเมาหมัดเข้ามุมไม่ถูก ตอนนี้น่าจะเป็นยุคมืดของพระเก๊มือผีกุวังหน้าวังหลวงแล้วครับ มืดมนอนธกาล ปู่อะไรเอย ดร.อะไรเอย ลุงอะไรเอย จอมสาบาญอะไรเอย ไปไม่เป็นเลยทีเดียว

 

ก็เป็นไปตามข้อมูลที่หามา แต่ท่านปอกว่าไม่มีการบูรณะ นี้ครับ นี้บูรณะสมัยใหม่ตั้งสองสามครั้ง ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องพระเครื่องนะครับ ไม่ได้มาสนับสนุนกรุวังหน้าวังหลังอะไร แค่ มาบอกว่ามีการบูรณะ ตรงกันนะครับ

 

เอาหลักฐานที่ท่านพิมพ์ เองนะ


เรื่องที่ 2 จบลง เพราะ
องค์พระธาตุพนม ไม่เคยได้รับการสถปนาใหม่ในรัชสมัยใดๆมาก่อนเลย และ ในประวัติศาสตร์ทางฝั่งไทย(สยาม)ไม่เคยเข้าไปบูรณะองค์พระธาตุพนมเลย จนกระทั่งองค์พระธาตุพนมล้มลงในวันที่ 11 สิงหาคม 2518 จึงได้มีการสถาปนาองค์พระธาตุขึ้นใหม่

 

คนเราผิดบ้างอะไรบ้างก็ไม่เป็นไร มั้ง

 

ข้อมูลนี้ผมให้ไว้ตั้งแต่ปี 2554 อยู่หน้าที่ 6
ผ่านมา 4 ปีแล้วครับ
ไม่รู้จะมาเถียงเอาชนะไปทำไย
ก็แค่ท่านไม่ได้อ่านทุกหน้า

 

ผมหมายถึง
ก่อนหน้าที่จะเกิดเป็นประเทศสยาม
ในสมัย ร 4 เราปกครองด้วยระบบการส่งส่วยส่งบรรณการ
ไม่มีเขตแดนประเทศ ปกครองแบบเมืองขึ้น ส่งบรรณการรายปี 3 ปี หรือ 5 ปี
บางเมืองขึ้น ส่งบรรณาการทั้ง เวียตนาม จีน ทั้ง 3 แห่งพร้อมกัน(รวมกับเรา)
จึงทำให้กำหนดเขตประเทศที่แน่นอนไม่ได้(ซึ่งทำให้ฝรั่งเศสนำมาใช้เป็นข้ออ้างว่า ลาวเป็นเมืองขึ้นของเวียตนาม ทำให้เราสูญเสียดินแดนลาวให้แก่ฝรั่งเศส)
สมัยนั้น ไม่มีคนฝ่ายเราเข้าไปทำการบูรณพระธาตุพนม
มีแต่คนลาว
ดังนั้น ที่นิยายเล่าว่า
ในสมัย ร 4 สมเด็จโตไปสถาปนาพระธาตุองค์ใหม่แล้วทำพระเครื่องบรรจุไว้ภายใน
มีการเฉลิมฉลอง 7 วัน 7 คืน
แล้วมาแตกรุเมื่อคราวพระธาตุพนมล้มปี 18
จึงเป็นเรื่องโกหก
เพราะช่วงเวลานั้น(ช่วงเวลาที่สมเด็จโตมีชีวิต) นครพนม เป็นของลาว จึงมีแต่คนลาวเท่านั้นที่มาทำการบูรณะพระธาตุพนม ไม่มีคนจากสยามไปทำการบูรณะพระธาตุพนม จึงไม่มีการสร้างสมเด็จพระธาตุพนมโดยสมเด็จโตบรรจุไว้ในพระธาตุพนม ตามนิยาย(หลอก)ขายพระเล่าไว้

 

ผมก็อ่านที่ท่านบอกไม่มีการบูรณะมากอนเลย จนพระธาตุพนมล้ม ปี๒๕๑๘ ท่านจะให้ผมเข้าใจอย่างอื่นได้อย่างไร ผมจึงมาแก้ให้ กลัวคนเข้าใจอย่างผมเข้าใจ แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าผมผิด ก็ต้องขอโทษ มิได้มีเจตนาอื่นใดเเอบแฝงแม้แต่นิดเดียว ก็ได้ความรู้จากกระทู้นี้มากอยู่ครับ ก็ขอขอบคุณในข้อมูลที่ได้เอามาลงไว้ครับ

ปล.ผมอ่านกระทู้นี้มาประมาณสองปีแล้วครับเกือบทุกหน้าครับ อาจจะลืมเรื่องราวไปบ้าง แต่สำหรับผู้มาใหม่ อาจเข้าใจอย่างผมที่เข้าใจผิดได้ ไม่ขอลบโพสนะครับ

 

ดีแล้วคร้บที่ทักท้วง
ขอบคุณครับ




ช่วงรัฐบาลสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำเนินนโยบายชาตินิยมในชุมชน จึงได้ทำการ เปลี่ยนแปลงรูปแบบยอดดวงปลีพระธาตุพนม จาก สถาปัตยกรรมแบบล้านช้าง ให้เป็น ยอดเจดีย์แบบไทย ภายใต้การดำเนินการของ หลวงวิจิตรวาทการ ที่ขณะนั้นเป็นทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ อธิบดีกรมศิลปกร

จึงไม่น่าแปลกใจที่ หลวงวิจิตรวาทการ ไม่เอาผลงานการก่อสร้างบูรณองค์พระธาตุพนม เก็บไว้เป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจในชีวิตการทำงานเลย


<cite class="_Rm">www.resjournal.kku.ac.th/social/PDF/2_2_179.pdf


</cite>