ญาณ ปัญญา ต้องมีสมาธิเป็นเหตุหรือสมาธิรองรับเท่านั้น ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 4 มิถุนายน 2015.

  1. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    <marquee direction=up scrollamount=1 bgcolor=black width=100%><center>

    ......

    ถ้าคาดผิด

    ก็ต้อง

    ลุยกันต่อ

    ......
    </center>
    </marquee>
     
  2. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    จ้าพ่อคุณ
     
  3. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    สัพเพธรรมาอนัตตา
     
  4. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    หายใจเข้า หายใจออก แล้วก็เริ่มแยกรูปนามได้เลยใช่ไหมครับ ?
    ยังไงครับ ?

    ขอบคุณครับ สาธุ


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มิถุนายน 2015
  5. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ลม จัดเป็น รูป จิตรู้จัดเป็นนาม จิตกำหนดระลึกว่านี่เรียกว่าลม นี่คือลมจัดเป็นนาม จิตเจตนาควบคุมให้จะหายใจเข้าจัดเป็นาม กายเคลื่อนลมเคลื่อนจัดเป็นรูป(อาการของกระบังลม ท้อง หลอดลม ตลอดจนจนกายที่เคลื่อนเป็นรูป) จิตรู้ว่าลมเคลื่อนกายเคลื่อนจัดเป็นนาม ลมที่ปะทะจมูกจัดเป็นรูป จิตรู้ว่าลมปะทะจมูกจัดเป็นนาม ลมเคลื่อนข้างในถัดจากนั้นจัดเป็นรูป จิตตามรู้ว่าลมเคลื่อนและอาการแห่งกายจัดเป็นนาม ลมถึงที่สุดกายเคลื่อนถึงที่สุดในการหายใจเข้าจัดเป็นรูป จิตรู้ว่าลมถึงที่สุดจัดเป็นนาม จิตเจตนาจะหายใจออกจัดเป็นนาม ลมภายในเคลื่อนกายเคลื่อนจัดเป็นรูป จิตรู้ตามรู้การเคลื่อนจัดเป็นนาม ลมปะทะจมูกขาออกจัดเป็นรูป จิตกำหนดรู้ระลึกรู้ว่าถึงหรือโดนจมูกจัดเป็นนาม เวลามีเวทนาอื่นเกิดขึ้นจัดเป็นนาม เวลามีสัญญาอื่นจัดเป็นนาม เวลามีสังขารหรือจิตปรุงแต่งอื่นนอกจากการกำหนดอาการบริกรรมข้างต้นจัดเป็นนาม จิตรู้ส่วนจิตรู้ จิตเจตนาก็จิตเจตนา จิตกำหนดหมายรู้ก็จิตกำหนดหมายรู้ จิตปรุงแต่งก็จิตปรุงแต่ง ลมเคลื่อนกายเคลื่อนสักแต่ว่ารูป นามเกิดดับสักแต่นามเกิดดับ รูปสัมพันธ์กับนาม นามสัมพันธ์กับรูป ก็สักแต่ว่าสัมพันธ์ รูปกับนามเป็นปัจจัยเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน ก็สักแต่ว่าเป็นปัจจัยต่อกัน รูปกับนามไม่สัมพันธ์กันก็ดีไม่เป็นเหตุปัจจัยแก่กันก็ดี ก็สักแต่ว่ารู้ จิตรู้ว่าลมไม่เที่ยง กายไม่เที่ยง จิตรู้ว่านามไม่เที่ยง จิตรู้ว่าจิตไม่เที่ยง จิตไม่ยึดมั่นก็รู้ว่าไม่ยึดมั่น จิตยังไปยึดมั่นก็รู้ว่าจิตยังยึดมั่น จิตยึดมั่นในอะไร ในอานานปานสติ ก็ยึดมั่นลม ยึดมั่นกาย ยึดมั่นจิตรู้ ยึดมั่นจิตที่ระลึกรู้กำหนดหมาย ยึดมั่นในจิตปรุงแต่ง ถ้าจิตไม่ยึดก็รู้ ก็พิจารณา

    ก็ทำให้เนืองๆ ก็น่าจะพัฒนาขึ้น
    ปล. พูดกับตัวเอง ว่าน่าจะดีขึ้น
     
  6. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    แต่ว่า ยังงงนะครับ คือ เหมือนว่า นามในบางจังหวะมันจะมีสถานะเป็นรูป ท่านที่แม่นอภิธรรมช่วยอธิบายจะขอบคุณนะครับ นามจะจัดเป็นรูป เมื่อใด แล้วรูปลักษณะใดจะจัดเป็นนาม จะมีหรือไหม ผมเข้าใจแค่นี้เอง
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เอา ไฟ เผา !
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .ไม่ได้รู้ อภิธรรม แต่..............มีพระสูตรที่ว่า รูปคือ มหาภูติรูปทั้งสี่ และรูปที่อาศัยมหาภูติรูปทั้งสี่...นามคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ.....เจตนา ผัสสะ มนสิการ ก็ คือ สังขารขันธิ์ ความปรุงแต่ง นั้นเอง....การกำหนดรู้ คือ การรู้ ชัด ลักษณะ ของ สภาพธรรมนั้นนั้น ว่าคือ ขันธิ์ใด หรอ สิ่งใดเป็นเบ้ืองต้นนะครับ:cool:
     
  9. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ที่ผมกล่าวเพราะอ่านจากที่อื่นมา ตอนเด็กๆ จึงจำไม่ได้เพราะตอนนั้นไม่เข้าใจ ต่อมา ก็ไปทางสมถะเสียมาก

    จำคร่าวๆ อย่างนี้ว่า เมื่อรูปเกิดขึ้น เช่น รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส ใจสัมผัสหรือธรรมารมณ์ อันนี้เป็นรูป ตรงนี้เข้าใจง่ายว่า รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส จัดเป็นรูป แต่ใจสัมผัสหรือธรรมารมณ์ นี่แหละที่ งง ว่าเหตุใดจัดเป็น รูป แต่พิจารณาว่าธรรมารมณ์เป็น "ของ" นอกใจ มากระทบกับใจเป็นผัสสะ แต่เมื่อใจลงไปคลอเคลีย คือ มโน เจตนา เวทนา สัญญา สังขาร จัดเป็นนาม ธรรมารมณ์ที่มากระทบดับไปแล้ว สิ่งที่เกิดจากนั้น เป็น นาม คือยาวไปถึง ตัณหา อุปาทาน และภพ (ในที่นี้ หมายถึง จิตไปเสวยอารมณ์อันมีตัณหาอุปาทานเป็นที่เกิด ) อันนี้ เป็น นาม นี่คือ รูป เปลี่ยนเป็นนาม (ความจริง รูปมันดับไป นามมันเกิดมา )

    ต่อมา เพราะจิตสร้างภพ คือ จิตไปถือมั่นเช่น เกิดความรักในสัตว์ หรือเกิดความเกลียดในสัตว์ เมื่อมันดับไป คือ ภาวะภพ มันดับไป คือ ความรักไม่เที่ยง ความโกรธไม่เที่ยง อันเป็นนามธรรม มันดับ ไป แต่เพราะไม่สิ้นเชื้อโดยสนิท เมิ่อจิตดำเนินไป หรือเมื่อทำกรรมฐานต่อไป มันมาเกิดเมื่อมีผัสสะ อื่น โดยสัญญาไปดึงมา มาเป็น นาม แต่ถ้าอยู่ๆ มันเกิดมากระทบใจ นาม ก็จะกลายเป็น รูป

    อันนี้ คือ ดูที่ธรรมารมณ์ นั้น ถ้ามากระทบใจเป็นดุจ วัตถุ จัดเป็นรูป ถ้าแปรเป็นการเสวยอารมณ์จัด เป็น นาม

    อันนี้ คือ จุดที่ต้องถามว่า ที่เคยอ่านมา รูป แปรเป็น นาม และนาม แปรเป็น รูป

    ที่อธิบายอย่างนี้ ผมดันจำไม่ได้ว่าใครอธิบาย เพราะตอนเด็กตอนอายุสิบกว่าขวบ อ่านอย่างเดียว ไปขโมยอ่านในร้านหนังสือ เลยจำไม่ค่อยได้ ต่อมา ก็มุ่งไปทางสมถะเสียมากจนอายุปูนนี้

    ปล. ใครจดจำได้ หรือทราบการอธิบายอย่างนี้ ว่ามีที่มาอย่างไร ถูกหรือผิดช่วยผมด้วยนะครับ ถ้าเข้าใจผิดก็จะได้เลิกเข้าใจผิด หรือใครสามารถเอาไปถามพระแล้วมาตอบได้ก็ดีนะครับ เวลาไปทำกรรมฐานที่วัด บางทีปริยัติเราก็ไม่ได้แตะ ไม่ได้ถามพระ แถมไม่รู้ว่าท่านใดจะตอบได้ เราเลยไม่ค่อยกล้าถาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2015
  10. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ทำไมเวลาผมหัดแยกรูปนามตามจริง ไม่เหมือนตำราครับ

    ตั้งสติที่เวทนา แยกส่วนออกจากร่างกาย ย้อนมาหาที่จิต มีสามอย่าง พิจารนาพอเห็นเหตุเห็นผล ต่างอันต่างอยู่ไม่ติดรวมเป็นอย่างเดียวกัน แค่นั้น

    ผมหัดแยกแบบงูๆปลาๆ แล้วลองมาเทียบเคียงตำรา ทำไมไม่เหมือนตำรา ปรากฏมันไม่ได้แค่มีรูปกับนามหรือกายกับจิต

    เห็นว่า กายจริงอย่างหนึ่ง ทุกข์เจ็บปวดกายก็จริงอย่างหนึ่ง จิตก็อย่างหนึ่งมันแยกจากกันอย่างนี้
    (ถ้าจิตจริงล้วนๆ ก็มีธรรมอันเดียว หรือสักว่ารู้ ประมานนั้น)

    มันไม่เหมือนตำรา ?, แต่เทียบเคียงแล้วมี ครูบาอาจารย์หลวงตามหาบัว,หลวงปู่ขาว อธิบายสภาวะธรรมส่วนนี้ได้ลึกซึ้งและชัดเจนมาก
    (แต่ท่านก็นำต่อด้วยการพิจารนาอสุภะ-สุภะ จนต่อไปถึงที่สุด)

    ปัจจุบันรู้สึกว่า เวทนากายเป็นที่หมายของกาย, ตาหูจมูกลิ้นกาย-รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เกิดอารมณ์ภายใน, จิตกับอารมณ์เช่นไม่พอใจหวั่นไหว มันเริ่มชัด ก็พยายามแยกออกจากกันแบบนั้นบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันบ้าง เห็นเป็นคนละสิ่งบ้าง เลยเกิดความสงสัย เราจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป ไม่ค่อยมีเทศนาส่วนการพิจารณาเวทนาจนสุดทาง หาตำราไม่ค่อยเจอ ใครทราบถึงครูบาอาจารย์องค์ไหนที่หนักไปทางพิจารนาเวทนาอย่างเดียวล้วนๆที่มั่นใจว่าเกิดผลการปฏิบัติมีไหมครับ ช่วยแนะนำบ้างจะไปค้นหาเทียบเคียงแนวทางปฏิบัติดูครับ ขอบคุณครับ


    [​IMG]..นี่หว่า
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ตามคำบอกเล่า

    ก็เห็นว่า พระป่าด้วยกัน จะกล่าวว่า หลวงตาพ้นครั้งแรก ด้วยการกำหนดรู้ " เวทนา "
    พอลำดับต่อมา ก็ไปเน้นพิจารณากาย แล้ววนไปพิจารณาจิต จบด้วยพิจารณาธรรม

    ดังนั้น ก็ไปหาฟังเอาเอง การพิจารณาเวทนา ที่ทำให้หลุดพ้นในตอนต้นๆ พระป่า จะเล่า
    กันออกรสออกชาติ ในฐานะ ศิษย์หลวงตา

    แต่ถ้าจะให้ กระแทกเอง

    ก็ กระแทกอย่างเดิม คือ มีมิจฉาทิฏฐิเรื่องจิตเที่ยงแฝงอยู่ตลอดเวลา เอาส้นสิบ
    ยัดเข้าไปเตะถึงตับไต ก็ยังไม่เลิก ดีไม่ดี ยิ่งมีทิฏฐิเห็นว่า ก็จานกูสอน ก็จานกูสอน

    ถ้ามีมากกว่าจานกูสอน ก็จะมีเรื่อง อริยูปวาโท ที่เคยทำไป ที่เคยล่วงไป พลาดพลั้งไป

    อันนี้ ภาวนาให้ตาย ก็ไม่สามารถเห็นธรรม ความไม่เที่ยงของเวทนา ทำให้ได้แต่
    เปรียบเทียบเอาอย่างซื่อๆบื้อ พร้อมกับการ คัดค้านในใจไปจนวันตาย ในเรื่องจิตไม่เที่ยง


    แล้ว ข้อเท็จจริงหละ อริยูปวาโท เคยทำไหม เคยออกชื่อ แล้ว ส ใส่เกือกมีใคร เชื่อ
    ที่เรากล่าวหรือเปล่า

    ถ้า อริยูปวาโทไม่มี ไม่เคยทำ ไม่เคยออกชื่อ ไม่เคยชัดชวนให้ใครเชื่อแล้วดันสำเร็จ
    มันก็แค่ บริภาษธรรมดาๆ อันนี้ ก็ไปหาสงฆ์ที่ไหนก็ได้ ที่มั่นใจ แล้ว กล่าวอธิษฐาน
    ของขมาดู

    แต่..............อย่าทำ หากยังไม่ยอมรับเรื่อง จิตไม่เที่ยง จิตมีธรรมชาติเกิดแล้วก็ดับ

    มันจะเอา ส้นสิบเดินต่างหัวชนฝาไม่เลิก ของมันอยู่แล้ว ธรรมชักสะพาน


    ปล. ทำไมปรักปรำแบบนั้น ก็เพราะ เวลามาถาม คุณจะแสดงอาการกวนส้นสิบ แหลมไว้เสมอ

    ซึ่งเราจะอาศยสิ่งนั้น เป็นเรื่อง ธรรมชักสะพาน กล่าวอะไรให้ฟังยังไง มันก็ ประเคนส้นสิบ
    สนองกลับ คนชี้ทาง เสมอ
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ทีนี้ อย่าว่าอย่างงู้นอย่างงี้เลยนะ

    เท่าทีเสวนาธรรมกันมา ร่วม 6 ปี !!!

    ผมเคยทักไปแล้วว่า คุณไม่เคยเปิดเผย ไม่เคยซื่อตรงต่อธรรมปฏิบัติของตัว คือ เสวนามาป่าน
    นี้ยังดูไม่ออกเลยว่า คุณใช้อะไรเป็นวิหารธรรม

    เดี๋ยวก็โพส อานาปานสติ ท่านพ่อลี เดี๋ยวก็ไปโน้น มโนยุกยิ๊ก เดี๋ยวไปบริกรรม ตกลง ภาวนา
    แบบไหน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่ มุขนัย ถามไปอย่างงั้นเอง แบบกวนส้นสิบที่เห็นบ่อยที่สุด

    อยู่ดีๆ ก็มากล่าวว่า แยกนั่น แยกนี่ได้ ....การกล่าว ก็เหมือนปฏิบัติ แต่ ปฏิบัติไป คิดเปรียบ
    เทียบไปหรือเปล่า

    การเห็น ว่ามันแยก มันจะไม่มี การบรรยายเป็นเสียงอะไรทั้งนั้น มันจะรู้แบบคนอิ่ม รู้แบบ
    ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆให้ลึกซึ้ง ไม่ต้องมี รหัสพ่อรหัสแม่มานั่งยิ้ม กล่าวสำทับว่า อย่างนี้
    แหละใช่ คาถานี้มีมานาน ..........ส้นตีอะนะจิก !!

    นะ เวทนามันแยก แยกแบบเป็นเพียงผู้ดู ผู้แลอยู่ ไม่ใช่ผู้กระซิบหลอก ผู้บรรยายการเห็น
    มันถึงจะ " รู้ว่ารู้ชัด รู้ว่ารู้จริง " รู้แล้วจบตรงที่รู้ ไม่ต้องพูด ไม่ต้องมานั่งทบทวนก่อน และ
    หลังการภาวนา ...........เห็นตามจริง มันจะพ้นอาสวะ หมดสงสัยไปพร้อมกันหมด ไม่มี
    มานั่งตะกี้กูรู้อะไร กูทำอะไร กูจะเอาอย่างนั้นอีก จะเอาอย่างนั้นอีก .....โดนมารมันหลอกเอา
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าจะใช้ " อานาปานสติ " เป็นกรรมฐานเดียว

    กำหนดรู้ลงไปเลย ทุกครั้งที่หายใจแล้วเกิดการสืบต่อของชีวิต นั่น เวทนามันปักอยู่ ล้านเปอร์เซนต์

    ดังนั้น ไอ้กรรมฐานขี้ฑูตกุดถัง ภาวนาดับเวทนา ไปมุ่งปิดหูปิดตา สร้างภาพเวทนาดับ
    นั่นมัน ธรรมส้นสิบ มันแหกตา

    ของจริง มะอึง นั่งหายใจอยู่นี่ เวทนาเกิด ดับอยู่นี่ เขาให้ ภาวนาด้วย ภูมิจิตมนุษย์นี้
    ไม่ต้องไป มโนยุกยิ๊กแกว่งส้นสิบหายิ้ม !! ไปเป็นจ้าวแห่งลมไปเห็นผีเห็นสางแผ่เมตตา หารหัสพ่อรหัสแม่
     
  14. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023

    ผมได้อ่านธรรมะอันไหนมา อันไหนน่าสนใจ ก็โพสไว้อ่านบ้าง นำเสนอกันไปบ้าง ถูกจริตใครก็แล้วแต่เลือกครับ ก็แค่นั้นครับ

    ที่ผมถามก็ชวนสนทนาธรรม ชวนคิดพิจารนา พูดคุยตามประสาคนไม่รู้
    วิหารธรรมผมก็ไม่มีอะไรจริงจัง จับๆจดๆ พยายามตั้งสติให้อยู่กับปัจจุบันให้ได้ มันก็ไม่ได้ก็ประมานนั้นแหละครับ อย่าถือสาเลย ไม่ค่อยได้ปฏิบัติอะไรจริงจังมากมาย กำลังหาทางอยู่ครับ

    แนะนำได้เสมอครับ รับไปพิจารนา
    :cool:
     
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เออ กล่าวแบบซื่อตรงแบบนี้ ค่อยน่าเสวนาดีๆ ด้วยหน่อย

    ถ้า ทราบว่า ตนใช้ความจับจดเป็นวิหารธรรม ก็เอา สภาวะการจับจด นั่นแหละ เป็น วัตถุวิสัย

    ยกขึ้นเป็นสิ่งที่เกิดบ่อย เป็นวาสนาของตน เป็น กายที่ประชุมเป็นตน

    ยก เห็นสภาวะธรรมจับจดให้ชัดๆ เวลาเห็นชัด คือ มันจะเกิดการหยั่งทราบว่า มันเกิด แล้วก็ดับ

    เอาสภาวะจับจด นั่นแหละ มาเฝ้นหา สภาวะพ้น มีธรรมเอก แล้วแลอยู่

    แยก สภาวะธรรมจับจดเป็นสิ่งถูกรู้ เกิดดับ เดี๋ยวครอบงำจิต เดี๋ยวก็หายไปจากจิต

    มันครอบงำได้ก็เพราะ เวทนามันเกิด พอเวทนามันดับ มันก็หายไปจากจิต

    จิตมันเกิดร่วมกับเวทนาเป็นจิตสังขาร พอเวทนามันเกิด ความจับจดก็ปรากฏ บังคับบัญชา
    ไม่ได้ จะไม่เอาก็ไม่ได้ จะเอาก็ไม่ใช่เรื่อง กำหนดรู้อย่างนี้ ก็จะทราบว่า จิตมันเกิด แล้วก็ดับ

    เห็นการยกสิกขาบทได้ครั้งหนึ่ง ก็เกิด ความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ ครั้งหนึ่ง

    เห็นสิกขาบทหายไปจากจิต ก็เกิดนิวรณ์ขึ้นครั้งหนึ่ง เกิดอุปกิเลสขึ้นครั้งหนึ่ง แล่น
    ไปสู่โลก มีอยาตนะพร้อมครั้งหนึ่ง ตกจากรรมฐานไป

    จิตมันไม่เที่ยง เดี่ยวมันก็สมาทานสิกขาได้ เดี๋ยวก็สมาทานไม่ได้ ธรรมฉันทะ มันไม่เทียง
    เวทนาใดๆในโลกไม่เที่ยง แต่เพราะเห็นความไม่เที่ยง จึงรู้ หนทาง การสละออกไม่เหลือ !!!!
     
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    พอไปเจอ โปสเตอร เห็น ธรรมคนอื่น เห็นสมบัติการภาวนาคนอื่น ธรรมฉันทะ มันก็เกิด

    ก็ไป โกยขยะเข้ามา ทับ ธรรมของตน ไม่ซื่อตรงต่อธรรมของตน เที่ยวเอา ธรรมคนอื่น
    มากลบธรรมตน

    เอา สุตตมัยปัญญา มาเป็นใหญ่กว่า ภาวนามัยยปัญญา โทษใครหละ !!!

    ก็เพราะ ไม่รู้ ปล่อยให้ อวิชชา มันนำพา คิดหรือว่า มันจะนำสุขมาให้ จริง
     
  17. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    อย่าไปปรามาส มโนไรเค้าเลยครับ เราก็ยังไม่พ้นสมมุติ

    พุทโธพระพุทธเจ้ามีภาพ ก็แยกกายกับจิต
    พุทโธไม่มีภาพก็รวมเข้าหาผู้รู้ สงบลงก็แยกกายกับจิต
    ก็กุศลเจตนาทั้งนั้น

    แยกกายกับเวทนากับจิต หรือแยกกายกับจิตส่งจิตไปภายนอก ด้วยกำลังด้วยเจตนา ก็สมมุติทั้งนั้นเป็นทางเดินของใครของมันนะ คหสต.ผมว่า
    ถ้าเราวิมุติแล้วก็ค่อยว่ากันอีกเรื่อง


    ถ้ากำหนดรู้ที่อารมณ์ที่เกิดจากอายตนะ นี้มันไม่ได้ภาวนาดับเวทนานะครับ ลองพิจารนาให้ดีๆ ที่ยกไป ตัณหาเกิดที่นี่
    กาย-อายตนะมีอยู่, อารมณ์มีอยู่, จิตก็มีอยู่รู้อยู่ แบบนั้น พยายามตั้งสติแบบนั้นอยู่ แต่ยังไม่ได้เรื่องได้ราวก็คลำหาทางไปเรื่อยๆครับ

    แนะนำได้ตลอดครับ :cool:
     
  18. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    :cool: :cool:
    ขอบคุณครับ รับไปพิจารนา
     
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็เป็น ซะอย่างนี้ มาเสวนา แทนที่จะเอาธรรม ส ใสเกือก ไปอ่าน แล้วแปลความว่า
    มี คนหน้าส้นสิบ ปรามาส กรรมฐาน ปรามาสครู บาอาจารย์

    เสวนาไป ก็เอาความเฮีย ระยาม มาประเคนให้ คนชี้ คนที่ มะอึง ขอมุขนัย แนะนำชี้ทาง


    ถ้าเสวนาไป แล้ว หาช่อง หาตะเข็บ คอยชี้ความชั่วในตัวผู้อื่น มะอึง ก็ ภาวนาของ มะอึงไป


    ด้วยอำนาจแห่งความไร้สัจจ ไม่ซื่อตรงของ คนถาม ขอให้มัน วนเวียนในสังสารวัฏต่อไป

    ไม่ได้แช่งนะเว้ยเฮ้ย กล่าวไปตาม สัจจ ที่มันเป็นจริง ไม่เป็นอื่น !!!

    ************


    ปล. สังเกตุสิ เวลาปรารภว่า จะรับไปพิจารณา มันจะ ตกหล่นหายไปในทันที นั่นแหละ
    สัจจ มันไม่เคยมี ไม่เคยซื่อตรงต่อ จิตของตน โทษใคร !!!

    การยกนิ้ว การถามแล้วบอกรับไปพิจารณา คุณก็ทำของคุณมา 6 ปี จนผม สรุปไปว่า มารยาสาไถย !!! จำไม่ได้รึ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2015
  20. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ขอโทษด้วยละกันครับ วันหลังจะระวังจิตใจกว่านี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...